ตอนที่๑๑ ติน [ครึ่งแรก] อารมณ์ขุ่นเคืองของผมเริ่มจะเบาลงแล้วเป็นเพราะไอ้ภูมันทำท่าเหมือนจะงอนเรื่องกุญแจรถด้วย ผมเลยต้องทำให้มันกลับมาอารมณ์ดีแบบเดิมก่อน
“กุญแจรถมึงไม่หายหรอกน่า”ผมพูดไปรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“มึงรู้ได้ไง”มันมองผมด้วยสายตาเชือดเฉือน
“ไอ้ตินคงเก็บมานั่นแหละ”
“แล้วถ้ามันไม่ได้เก็บล่ะ”
“ก็ทำใหม่ไง”ไอ้ภูทำหน้าหงุดหงิดใส่ผมก่อนจะกลับไปสนใจหนังสือการ์ตูนของมันต่อไป ส่วนผมก็ได้แต่รอไอ้ตินกลับมา ไม่อยากจะโทรไปเพราะผมกำลังหงุดหงิดอยู่
“มึงว่าไอ้ตินจะกลับมาไหม”ผมพูดทำลายความเงียบ แต่ก็เหมือนคุยอยู่คนเดียวเพราะไอ้ภูมันเอาแต่เงียบ
“หายงอนได้แล้ว กูไม่ง้อนะ”
“เรื่องของมึง”มันพึมพำมาโดยไม่มองหน้าผม
“ไอ้ภู”ผมเลยได้แต่ปาหมอนใส่มันก่อนจะรีบกระโดดลงจากเตียงแต่ก็หนีมันไม่พ้นเพราะมันคว้าข้อเท้าผมไว้ได้
“เฮ้ย จะล้มเว้ย หัวฟาดพื้นขึ้นมาทำไง”
“ก็หาเมียใหม่ไง”มันยกยิ้มก่อนจะดึงผมไปกอดแน่น แน่นจนผมหายใจไม่ค่อยออก
“สัดภูหายใจไม่ออกเว้ย”ผมหยิกแขนมัน ไอ้ภูหัวเราะก่อนจะปล่อยตัวผม
“หายงอนกูแล้วเหรอ”
“ช่างเหอะ ไงๆเดี๋ยวไอ้ตินก็กลับมานั่นแหละ”ไอ้ภูทำหน้านิ่งๆ
“แล้วถ้ามันไม่กลับล่ะ เห็นบอกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วน”เหอะ อดหมั่นไส้มันไม่ได้
“ไอ้ตินมันแคร์มึงจะตาย มันเคลียร์เสร็จเดี๋ยวก็กลับมา”ไอ้ภูลูบหัวผมเบาๆ แต่ผมก็เอนตัวออกห่างเหมือนทุกที ผมมองน่ามันด้วย
สายตาจริงจัง
“ไอ้ภู กูไม่รู้ว่าเรื่องนี้มึงคิดเห็นยังไง แต่กูไม่อยากให้มึงยุ่งกับเรื่องนี้ กูไม่อยากห่างมึงไปนานๆอีก”ยิ่งพ่อมันเป็นคนพูดคำไหน
คำนั้นแล้วด้วย ผมยิ่งกลัว ไอ้ภูยิ้มก่อนจะขยับมากอดผมหลวมๆ
“มึงไม่ต้องคิดมากหรอก กูมีบทเรียนแล้ว ไม่มีทางทำผิดแบบเดิมซ้ำแน่”แต่ผมก็ยังกังวลอยู่ดี เหมือนไอ้ภูมันจะสังเกตุได้
“เครียดอะไร”
“กูกลัวว่าเรื่องมันจะบานปลาย”กลัวว่ามันจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วยเหมือนเรื่องของไอ้นัท ยิ่งถ้ามีเรื่องกับพวกเด็กช่างด้วยแล้ว ผมยิ่งกลัวเพราะพวกนั้นยิ่งเป็นพวกเล่นแรงๆ ถ้าไม่หายแค้นหรือเจ็บหนักก็ไม่มีทางหยุด ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ไอ้ภูเหมือนจะเห็นว่าผมเครียดเลยไม่ได้กวนใจผมแต่อย่างใด แต่มันหายเข้าไปทำเสียงดังในครัวแทน คงจะหาอะไรกินล่ะมั้ง ผมนึกไปถึงจี้ที่สั่งทำไว้ คงไม่มีโอกาสได้ให้เร็วๆนี้แน่ รอให้ผ่านเรื่องนี้ไปก่อนก็แล้วกัน
“ไอ้ฟิก มากินข้าว”เสียงเรียกของไอ้ภูทำให้ผมเดินเข้าไปในครัว แปลกใจเมื่อเห็นมันกำลังตักข้าวผัดใส่จานให้ผมอยู่
“มึงทำเองเหรอ”ผมถามงงๆ
“เออดิ”
“กินได้แน่นะ”ผมถามพร้อมหัวเราะ ไอ้ภูหันมาทำหน้าหงิกใส่ผม
“ไม่กินก็แล้วแต่”
“เดี๋ยวนี้ขี้น้อยใจว่ะ หัวก็ไม่ได้ล้านซะหน่อย”ผมบ่นพอให้มันได้ยิน จากนั้นก็กินข้าวกับไอ้ภูสองคน ต้องเรียกว่าข้าวผัดซอส เพราะมันใส่เยอะเสียจนมีแต่รสซอสเค็มๆ ถึงท้องจะอิ่มแต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ มีภารกิจถ่างตารอไอ้ตินอยู่ ผมหยิบหนังสือการ์ตูนของไอ้ภูมาอ่านฆ่าเวลาระหว่างที่รอ ส่วนไอ้ภูออกไปรับลมที่ด้านนอกระเบียง รอจนเกือบๆสี่ทุ่มกว่าๆ ไอ้ตินก็กลับมา ผมไล่สายตาสำรวจ เห็นว่ามันปกติดีทุกอย่าง รวมถึงสีหน้าของมันด้วย พอเข้ามาในห้องมันก็เดินตรงมาหาผมทันที
“กูขอโทษนะฟิกที่ทำให้เป็นห่วง เมื่อเย็นกูวู่วามไปหน่อย”มันพูดเบาๆ เอามือลูบหัวผมไปด้วย เหอะ แต่ผมยังไม่อยากคุยกับมันตอนนี้ก็เลยไม่ได้ตอบหรือถามอะไรออกไปทั้งๆที่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“มึงเอารถกูมาใช่ไหม”ไอ้ภูกลับเข้ามาพร้อมถามถึงลูกชายมันทันที
“อืม”ไอ้ตินโยนกุญแจรถคืนไอ้ภู มันคงไปงมหากุญแจในพงหญ้านั่นแหละ หึ คิดแล้วสะใจ ผมพลิกหน้ากระดาษไปมาเสียงดัง ไม่ได้ตั้งใจอ่านเลยสักนิด
“แล้วเป็นไงบ้างวะ”ไอ้ภูเป็นคนถามก่อน ดีมาก เพราะกูกำลังอยากรู้พอดี
“ก็แค่ไปคุยกับเพื่อนเฉยๆว่าจะเอาไงต่อ”เสียงไอ้ตินตอบกลับมา น้ำเสียงมันฟังดูสบายใจ แสดงว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรง
“เพื่อนคนไหนวะ”ไอ้ภูถามได้ตรงประเด็นทุกเรื่องที่ผมอยากรู้เลย สงสัยเดี๋ยวต้องให้รางวัลซะแล้ว
“ไอ้นัท”คำตอบของมันทำผมขมวดคิ้ว ไหนไอ้ภูมันบอกว่าไอ้ชัยไง ไอ้นี่มันมั่วจริงๆ เกิดความเงียบขึ้นมาจนไอ้ตินต้องพูดต่อเอง
“มันมาบอกผมเรื่องกลุ่มเก่าว่ารุ่นพี่ในกลุ่มถูกรุมทำร้ายจากพวกเด็กช่าง พวกมันหมายหัวคนทั้งกลุ่มไว้เพราะมันจะเอาคืน แล้วก็มีคนอยากพบผมด้วย”
“ใครวะ”
“รุ่นพี่ที่เคยเป็นหัวโจกของกลุ่ม บางทีผมคงต้องเคลียร์งานเผื่อลงไปจัดการเรื่องเก่าๆที่ค้างคาให้เสร็จ ไม่อย่างนั้นพวกมันต้องมาวุ่นวายอยู่แบบนี้ตลอดแน่ๆ”ไอ้ตินนั่งลงบนเตียงข้างๆผม รู้สึกได้ว่าสายตาของมันกำลังจ้องมองผมอยู่
“ไอ้ฟิก หันมามองหน้ากูหน่อยดิ”ไอ้ตินเอื้อมมือมาแตะบ่าผม แต่ผมปัดออกด้วยใบหน้านิ่งๆ เรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้ทำไมมันถึงคิดจะจัดการคนเดียว นี่ถ้าผมไม่ตามไปมันจะยอมบอกหรือเปล่าก็ไม่รู้
“กูขอโทษ เมื่อเย็นกูแค่อยากไปคุยให้รู้เรื่อง”
“จนลืมนึกถึงความรู้สึกของกูใช่ไหม อ้อ ลืมไปว่ามึงมันเก่ง”ผมขยับลงมาจากเตียงก่อนจะเดินตึงๆเข้าห้องน้ำ ปิดประตูเสียงดังปัง
ผมทำฟอร์มเข้าห้องน้ำไปงั้นแหละเพื่อให้มันรู้ว่าครั้งนี้ผมโกรธมันจริงๆ ในเมื่ออยู่ด้วยกัน มีอะไรก็ต้องบอกกันสิ ผมล้างหน้าล้างตาแปรงฟันเสร็จก็ออกมา ไอ้ตินนั่งอยู่บนเตียงที่เดิม สีหน้าไม่ค่อยดีนัก ส่วนไอ้ภูกำลังฝึกเล่นกีต้าอยู่ที่พื้นห้อง
“มึงมาเล่นอะไรตอนนี้ จะนอนแล้ว”ผมผลักศีรษะมันเบาๆก่อนจะคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาเช็ดหน้า
“ฟิก กูขอโทษ มึงมาคุยกับกูดีๆซิ”ไอ้ตินขยับมายืนซ้อนหลังผม เสียงดีดกีต้าลอยมาเข้าหู ผมเหล่มองไอ้ภู ยังจะมาทำเล่นๆอีก
“กูไม่ได้อยากจะทำตัวงี่เง่าหรอกนะ แต่กูอยากให้มึงบอกกู เรื่องนี้มันไม่ใช่เล่นๆเลยนะ กูรู้ว่ามึงมีเพื่อน มึงจัดการเองได้ แต่แค่
บอกกูสักนิด มันเสียเวลามึงมากเลยเหรอ ถ้ากูมีเรื่องแล้วทำแบบนี้ พวกมึงคงแดดิ้นโวยวายใส่กูไปแล้วแน่ๆ หัดคิดให้มันเยอะๆหน่อยได้ไหมวะ”ผมมองหน้าไอ้ตินตรงๆ เป็นครั้งแรกจริงๆที่ผมด่ามันแบบนี้ ความจริงก็อยากจะโกรธมันนานกว่านี้ แต่
สถานการณ์ของไอ้ตินยังไม่เอื้อให้ผมเมินมันได้
“กูขอโทษ ต่อไปกูจะไม่ปิดมึงอีกแล้ว”ไอ้ตินพูดเสียงอ่อนก่อนจะเข้ามากอดผม
“แล้วไอ้นัทมันกลับไปหรือยัง”ผมถามด้วยเสียงฉุนๆ
“ยัง มันยังกลับไม่ได้ เพราะมันโดนเล่นงานมา คนในกลุ่มโดนเล่นงานกันหมด”ไอ้ตินถอนหายใจก่อนจะผละออกมามองหน้าผม
“แล้วตอนนี้…ชีวิตมึงยังปลอดภัยอยู่ไหมวะ”ผมชักงงๆว่ามันเคยมีเรื่องกับใครบ้าง
“ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก พวกมันแค่เตือนให้กูกลับไปสะสางเรื่องเก่าๆ ถ้าเคลียร์งานทางนี้เสร็จ ค่อยกลับไปบ้านเก่ากูกัน โอเค
นะ”ไอ้ตินมองหน้าผมก่อนจะเหลือบมองไอ้ภู บ้านเก่าไอ้ตินน่ะเหรอ …อยากจะตอบว่าไม่โอเค แต่ทำไงได้ในเมื่อมันต้องไปสะสางเรื่องทางนั้น เอาเถอะ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อก่อนมันเป็นยังไง
…………………………………………………………………..
หลังจากที่ไอ้ตินโดนพวกเด็กช่างรุม ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้น่าเป็นห่วงอีก ผมเองก็พยายามจะปล่อยใจให้สบายแบบพวกมัน คือมันสองคนทำตัวชิลมากๆ แต่แล้วก็มีเรื่องน่าสนใจเข้ามาทำให้ผมลืมปัญหาหนักอกเหล่านี้ไปได้ เพราะวันนี้ผมบังเอิญเจอไอ้ปลิวที่ร้านกาแฟข้างคณะ ตอนแรกก็ไม่สังเกตเห็นมันหรอกเพราะมันนั่งหันหลังให้ผม แต่ผมจำทรงผมใหม่เกรียนๆของมันได้ เลยเดินเข้าไปทัก
“เฮ้ย ปลิว มาทำอะไรแถวนี้วะ”ผมแตะไหล่มันพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ว่าง มันทำหน้าตาเหมือนไม่อยากเจอผม ท่าทางลุกลี้ลุกลนแปลกๆ
“กูมาหาเพื่อน”มันตอบกลับมาแบบไม่เต็มเสียงนัก
“เพื่อนคนไหนวะ”จำได้ว่าไอ้ปลิวมันเรียนจบแค่ม.หก ไม่ค่อยรู้จักกับใครด้วย แล้วมันจะมีเพื่อนแถวนี้ได้ไง
“ก็…เออน่า มึงอย่าถามมากได้ไหมวะ”ไอ้ปลิวกวาดสายตาไปรอบๆ ผมเลยมองตามบ้าง
“มึงทำท่าทางแปลกๆนะ ฮันแน่ หรือมึงไปเจอใครเข้าวะ”ผมถามด้วยเสียงตื่นเต้นเพราะอย่างน้อยมันก็ยังเปิดใจมองคนใหม่บ้าง
“กู…เครียดว่ะ”มันทำหน้าจริงจัง มือนวดขมับด้วยท่าทางเหนื่อยๆ
“ทำไมวะ มึงมีปัญหาอะไร”ผมถามด้วยความเป็นห่วง แต่ดูเหมือนมันจะไม่กล้าบอกผมซักเท่าไหร่
“กูไม่รู้จะบอกมึงดีไหม…”สีหน้ามันไม่ค่อยดีนัก ผมได้แต่ขมวดคิ้วรอให้มันเล่า
“มึงรู้จักไอ้เด็กปั้นไหม”มันกระซิบเบาๆ
“อ้อ ก็พอรู้จัก มันเป็นรุ่นน้องที่คณะไอ้ติน ทำไม มันจีบมึงเหรอ”ผมทำเสียงแปลกใจ แต่ดูๆไปไอ้ปั้นก็น่าจะใช้ได้
“เออ ทำนองนั้นแหละ”แต่มันยังสีหน้ายุ่งๆอยู่ มันเลียริมฝีปากก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ๆผม
“คือมัน…กูไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ”
“อ้าว มึงนี่ยังไงวะ พูดออกมาเลย กูอยากรู้”มาบอกให้อยากรู้แล้วจะทิ้งผมไว้กลางทางได้ยังไง ไอ้ปลิวกำลังจะเล่าเลย แต่ไอ้ปั้น
ก็โผล่มาซะก่อน มาถึงมันก็รีบคว้าข้อมือของไอ้ปลิวให้ลุกขึ้น แถมยังมองผมเหมือนกับผมไปเหยียบหางมันอีก
“เป็นเหี้ยไรของมึง”ไม่ชอบให้ใครมามองด้วยสายตาแบบนี้เลยจริงๆ ห้าวไปก่อนยังไงก็มีคนหนุน แบล็คดีก็แบบนี้แหละ
“พี่ฟิกก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้ว ผมขอล่ะ อย่ามายุ่งกับพี่ปลิวอีกเลย”ผมถึงกับงง กูไปยุ่งอะไรกับไอ้ปลิววะ ผมเหลือบมองไอ้ปลิวที่ทำสีหน้าเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง
“มึงเข้าใจอะไรผิดรึเปล่าวะ กูกับไอ้ปลิวเป็นเพื่อนกัน ถึงกูจะเคยกิ๊กกับมันก็เถอะ”ไอ้ปั้นทำเหมือนไม่เชื่อ อะไรของมันวะ
“กูกลับก่อนนะ ไว้จะเล่าให้ฟังวันหลัง”ไอ้ปลิวรีบลากไอ้ปั้นออกไป ผมได้แต่มองตามงงๆ ไอ้เด็กนั่นก็หันมามองผมด้วยสายตานิ่งๆ มันทำอย่างกับว่าผมจะไปแย่งไอ้ปลิวไปจากมันเลยว่ะ โธ่ ชีวิตผมมันช่างมีสีสันจริงๆ
หลังจากเคลียร์งานเสร็จผมก็กลับมาที่หอ เจอไอ้ภูกับไอ้ตินกำลังนั่งคุยอยู่ที่ร้านข้าวอีกฝั่ง ผมกำลังจะเข้าไปทักพวกมัน แต่ก็ชะงักโดยับพลันเมื่อเห็นว่าใครนั่งอยู่กับพวกมันด้วย
มัน คือ ไอ้ นัท!
“อ้าว ฟิก”มันหันมาส่งยิ้มให้ผม หลอนจริงๆ ไอ้ภูทำสีหน้าเหมือนไม่อยากร่วมโต๊ะด้วย ไอ้ตินเองก็ท่าทางไม่ชอบใจสักเท่าไหร่
ผมเลยจำต้องเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ว่าง ข้างๆไอ้ติน ผมเกลียดไอ้นัทจริงๆ เหม็นขี้หน้ามัน
“มึงมาทำไม”ผมถามด้วยน้ำเสียงไม่ชอบใจ
“มาหาแฟนเก่า”มันยกยิ้มยียวนใส่ผม
“อย่าก่อเรื่อง”ไอ้ตินแทรกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
“กูแค่มาเที่ยวแถวๆนี้ เห็นว่าตินกับภูยังพักอยู่ที่นี่เลยแวะมาคุยเล่นเฉยๆ สนุกจะตาย”ไอ้นัทส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ๆผม
“มาหาฟิกด้วยไง คิดถึ๊งคิดถึง เรามีความทรงจำดีๆด้วยกันไม่ใช่เหรอ ลืมแล้วหรือไง”ไอ้นัทส่งสายตาแพรวพราวมาให้ แต่ก่อนที่มันจะกวนประสาทผมไปมากกว่านี้ ไอ้ภูก็ยกเท้ากระแทกขาเก้าอี้ตัวที่มันนั่งอยู่เต็มแรง เมื่อกี้ผมขนลุกเกรียวเลย
“ระวังปากหน่อย ไอ้นัท จำที่กูเคยพูดได้ไหม”ไอ้ตินมองมันด้วยสายตาหงุดหงิด
“แค่แหย่เล่นเฉยๆเอง ตัวเองก็…”ผมเหลียวมองไอ้ตินทันที มันเองก็ทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนกัน ผมเอนตัวไปหามัน
“กูสยองว่ะ”แฟนเก่ามันแต่ล่ะคน ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ผมหมายถึงสติ
“แล้วมันมาทำไม”ผมกระซิบถามต่อไป ไอ้นัทก็เอาแต่มองมาที่ผม ส่วนไอ้ภูทำสีหน้าเหี้ยมๆตลอดเวลา ผมเดาว่ามันคงกำลังอดทนกับพฤติกรรมของไอ้นัทอยู่
“มันมาบอกข่าวเรื่องกลุ่มน่ะ”
“ทำไมมันต้องมาเองด้วยวะ”
“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้กูติดต่อเพื่อนทางนั้นไม่ได้ ก็เลยต้อง…”มันกลอกตาไปทางไอ้นัท
“แปลกดี คบกันนานแล้วเหมือนกัน”ไอ้นัทพูดขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกได้ ไอ้ภูถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“กูขึ้นไปรอบนห้องนะ อยู่ตรงนี้นานๆไม่ได้ เดี๋ยวกูได้เตะหมาแถวนี้แน่ๆ”ถึงจะพูดแบบนั้น ไอ้ภูก็จ้องมองไอ้นัทตรงๆ ไอ้นัทแค่เบนสายตาไปทางอื่น อย่างน้อยมันก็ยังกลัวไอ้ภูอยู่บ้าง
“เหอะ มึงคุยจบหรือยัง”ผมถามมันด้วยเสียงแข็งๆ
“ยัง กำลังปรึกษากับตินว่าจะเอายังไง”มันยิ้มให้ผมอีกแล้ว ประสาทกลับแน่ๆ ผมมองไปรอบๆเห็นว่ามันไม่ได้พกการ์ดมาเหมือนเคย
“เอาเถอะ นี่เป็นห่วงหรอกถึงได้มา มึงก็น่าจะรู้ดีนะ อย่างที่กูพูดไป มึงควรกลับไปคนเดียวนะ ติน พวกนั้นมันแรงแค่ไหน…มึงคงจำได้”ไอ้นัทเปลี่ยนมาจริงจัง ก่อนจะหันมามองผม
“ระวังตัวด้วย”พูดจบมันก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมนั่งมึน วันนี้เจอเรื่องชวนงงหลายเรื่องเลยว่ะ แล้วที่ไอ้นัทพูดมันเตือนผมหรือขู่กันแน่ ผมหันไปมองไอ้ตินที่ดูเป็นกังวลเหมือนกัน เมื่อไอ้นัทไปแล้ว ไอ้ภูก็กลับมาที่โต๊ะ
“มึงจะเอายังไง มึงคงไม่คิดจะกลับไปคนเดียวหรอกใช่ไหม”มันถามไอ้ตินด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ผมจับแววเยาะๆอยู่ในเสียงของไอ้ภูได้ ไอ้ตินขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองไอ้ภู
“ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วย ผมไม่โง่กลับไปคนเดียวหรอก ตอนนี้เสี่ยงจะตาย”
“ก็ดีที่มึงคิดได้”
“แต่คนที่ไม่สมควรไปคือพี่มากกว่า เกิดพลาดอะไรขึ้นมา พี่แย่แน่ๆ”ไอ้ตินถอนหายใจ ซึ่งมันคงรู้ว่าห้ามไอ้ภูไม่ได้แน่ๆ
“กูไม่พลาดหรอก ยังไงกูก็จะไป เมืองมาเฟียรึไง กูไม่กลัวหรอก”มันทำเสียงแข็งๆ
“กูก็จะไปด้วย หวังว่ามึงคงไม่คิดห้ามกูอีกคนหรอกนะ ไอ้ติน”มันทำสีหน้าลำบากใจ ผมรู้ว่ามันเป็นห่วง แต่ผมก็ห่วงมันเหมือนกัน
“มึงจะไปตายคนเดียว หรือไปกันเป็นหมู่คณะก็เลือกเอา”ไอ้ภูพูดติดตลก แต่ตอนนี้ผมขำไม่ออกจริงๆ
“เพื่อนกูก็จะไปด้วย ไม่ต้องห่วงหรอก”ไอ้ตินยิ้มจางๆ ถึงจะมีแววกังวลอยู่ด้วยก็ตาม
“แล้วพวกนั้นเล่นแรงแค่ไหน”ผมถามอย่างสนใจ คือผมตงิดๆกับคำพูดของไอ้นัทมันน่ะ
“บอกได้เลยว่าพวกนั้นไม่เลือกวิธีการหรอก แค่ได้แก้แค้นเอาคืนพวกมันก็สะใจแล้ว”ภายใต้ความนิ่งของมัน ผมมองเห็นความโกรธที่อยู่ในแววตาของมัน จากที่ฟังมันเล่า แถวๆบ้านเก่ามัน ส่วนใหญ่จะมีแต่พวกมีอิทธิพลมืด ใครไม่แน่จริงก็อยู่ไม่ค่อยได้ แล้วมันยังบอกอีกว่าแถวนั้นออกไปไหนคนเดียวตอนดึกๆไม่ได้เพราะมันอันตรายมาก
“แล้วมึงจะไปวันไหน”ไอ้ภูเปลี่ยนประเด็น
“คงจะอาทิตย์หน้า แต่ป๊ากับม๊า…คงไม่อยากให้ไป”ไอ้ตินถอนหายใจอีกครั้ง
“กูก็ไม่อยากจะปิดพวกท่านหรอก แต่ทำไงได้ ถ้ากูไม่ไปสะสางเรื่องเก่าๆ พวกมันก็ไม่ยอมจบแน่ ไม่ใช่แค่กูที่เดือดร้อน แต่มันลามไปถึงเพื่อนๆกูทั้งที่นู่นและก็ที่นี่ กูไม่อยากให้มันลามปาม จนต้องมาเล่นงานมึงด้วย”ไอ้ตินมองหน้าผมอยู่นาน มันดูเงียบแบบแปลกๆ น่ากลัวยังไงไม่รู้ มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรอีกรึเปล่านะ ผมมองหน้าไอ้ภูแต่มันแค่ส่ายหน้าให้ผม เหมือนจะบอกว่าอย่าเพิ่งถาม
“เราแจ้งตำรวจไม่ได้เหรอ เผื่อมีอะไรอันตรายขึ้นมา”ไอ้ภูกับไอ้ตินหันมามองหน้าผมเหมือนมองเด็กที่ไม่ประสีประสา
“แถวนั้นตำรวจช่วยอะไรไม่ได้หรอก”ไอ้ตินยิ้ม
“กูชักจะกังวลเหมือนมึงแล้วว่ะ”ไอ้ภูหันไปมองหน้าไอ้ตินด้วยสายตาเครียดๆ
“อะไรของมึงวะ กูแค่เสนอทางแก้ดีๆเฉยๆ แบบสันติวิธีไง เราเป็นปัญญาชน หาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ”ผมเก๊กมีสาระ ไอ้ตินหัวเราะใส่ทันที
“พวกนั้นไม่ได้อยากจบแบบสันติวิธีนี่หว่า พอๆ เลิกคุยเรื่องนี้ เดี๋ยวสมองจะระเบิดพอดี”
ผมเองก็เห็นด้วย เป็นอันว่าจบเรื่องนี้ไป อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดนั่นแหละครับ ผมไม่รู้ว่าไอ้ตินมันมีปัญหาอะไร ผมเองยังไม่กล้าถาม ถ้ามันพร้อมมันคงจะบอกเอง ผมเชื่อว่ามันไม่ปิดบังผมแน่ๆ ถึงจะกลัว แต่มาขนาดนี้แล้ว ผมก็อยากจะผ่านปัญหานี้ไปพร้อมๆกับพวกมันด้วย
TBC.
ช่วงนี้ยังยุ่งๆอยู่เลย ปั่นนิยายไม่ทันเลย เข้าสู่ช่วงสอบแล้วด้วย เลยเอาครึ่งแรกมาหย่อนก่อน

บอกไว้ก่อนว่าไม่มี3pอีกคู่แน่ๆ เพราะปลิวเองคงเข็ดกับความสัมพันธ์แนวๆนี้แล้วค่ะ
ป.ล. แอบกระซิบว่าจะแจกของที่ระลึก (?)เรื่องสามหน่อค่ะ แจกแค่สามอย่างเพราะงบน้อย

แต่แจกด้วยใจนะเออ

ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยจะบอกอีกทีนึงเนอะ