สวัสดีค่ะ
ขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องรอนานเลย พอดีสัปดาห์ที่ผ่านมางานยุ่งมาก ๆ ผสมกับป่วยก็เลยไม่ได้มาต่อ
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ ยังไงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
ว่าจะเขียนตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแต่ยิ่งเขียนยิ่งยาว ขอตัดอีกส่วนเอาไปไว้เป็นตอนถัดไปนะคะ
ขอบคุณหลาย ๆ ท่านที่ช่วยตรวจคำผิดให้ค่ะ ตอนล่าสุดยังไม่ได้ทวนเลย ผิดพลาดตกหล่นประการใดต้องขออภัยด้วยค่ะ
ส่วนเรื่องอะไรอยู่ใต้หมอน ถ้าใครเคยฟังเพลงนิทานหิ่งห้อย จะรู้ว่ามันคือหิ่งห้อยค่ะ เอาไว้ใต้หมอนแล้วจะนอนฝันดี
เจอกันตอนหน้านะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านบะหมี่กับลี้น้อยค่ะ ไปอ่านกันเลย (ม่าแล้วต้องม่าให้สุด)
ตอนที่ 5 ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป
กุ๊งกิ๊ง...เสียงกระทบกันของเปลือกหอยที่ร้อยติดกับเชือกดังแว่วมาตามสายลม...
กุ๊งกิ๊ง...กุ๊งกิ๊ง...บารมีปาดน้ำตาก่อนจะยันกายลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปที่ริมหน้าต่าง เมื่อมือขาวรูดเก็บผ้าม่านผืนบางไว้ที่ข้างหนึ่งของวงกบก็พบว่าถังน้ำสแตนเลสที่ใช้ชักรอกไปมาระหว่างสองบ้านขณะนี้กำลังห้อยต่องแต่งอยู่ใต้ขอบหน้าต่าง ดึงขึ้นมาก็พบว่าข้างในมีถุงใส่น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ของโปรดของเขากับกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งเขียนด้วยลายมือ
‘กินน้ำเต้าหู้เพิ่มพลังหมัด’“ไอ้ตี๋บ้า” เจ้าของสองตาช้ำบวมกล่าวเสียงขึ้นจมูกก่อนจะหันไปมองหน้าต่างห้องฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้ปิดไฟมืดสนิท บารมีดึงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาพิมพ์ข้อความจากนั้นจึงกดส่ง
‘กินด้วยกันไหม’
เท่านั้นแสงไฟที่ชั้นบนของบ้านอีกฝั่งก็สว่างขึ้นอีกครั้ง
ทันตแพทย์หนุ่มคว้าถุงใส่น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ลงมายังชั้นล่างของบ้าน ก่อนจะเข้าไปหยิบแก้วข้างในครัวแล้วจึงเดินไปที่ประตูไม้บานพับจัดการปลดกลอนลงเปิดออกสู่ด้านนอก เป็นเวลาเดียวกันกับที่ลูกชายช่างตัดผมแทรกตัวออกจากประตูเหล็กพับเก็บได้พอดี บารมีนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน เทน้ำเต้าหูลงในแก้วสองใบที่เตรียมมาระหว่างรออีกคนที่กำลังเดินข้ามมา โดยแบ่งให้ได้แก้วละเท่า ๆ กัน
“ดึกป่านนี้แล้วยังจะออกไปซื้อน้ำเต้าหู้” พูดจบก็เลื่อนแก้วที่มีน้ำนมถั่วเหลืองสีขาวนวลอยู่ครึ่งหนึ่งให้
“ก็เห็นเฮียยังไม่นอน” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพลางใช้มือทั้งสองประคองแก้วเซรามิกทรงสั้นเอาไว้ ผิวสัมผัสนั้นอุ่นพอที่จะช่วยให้ร่างกายได้คลายความหนาวเย็นจากอากาศหลังฝนตกอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ทำให้อุ่นในใจได้เท่ากับการนั่งใกล้ ๆ กันในยามนี้ ยิ่งเห็นดวงตาแดงช้ำของอีกคนแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง”
บารมียกมุมปากพร้อมกับหัวเราะหึราวจะเย้ยหยันตัวเอง ดวงตาหม่นหมองเลื่อนต่ำมองมือที่กำแก้วแน่น “รู้สึกเหมือนเป็นคนโง่เลยว่ะ”
“รู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอก คิดเสียว่ามันก็แค่บททดสอบที่ทำให้เข้มแข็งขึ้น”
“คงจริงอย่างที่ซินแสว่า คนที่ผ่านเข้ามาเข้ามาในชีวิตของฉันก็มาแค่ทดสอบจิตใจ ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป”
“เอาน่าเฮีย อย่าคิดมากเลย กินน้ำเต้าหู้ดีกว่า” พูดจบปราณก็ยกแก้วขึ้นดื่ม “เฮ้ย! อะไรวะ” คนตัวโตรีบวางแก้ว ยกมือกุมหัวพลางเหลียวซ้ายแลขวามองหาบางสิ่งที่เพิ่งตกลงมาถูกศีรษะ เสียงตกกระทบพื้นทำให้เขาสามารถหาตำแหน่งของมันเจอได้ไม่ยาก
“ที่แท้ก็ไอ้นี่เอง”
“เชือกมันคงเปื่อยแล้วมั้ง สงสัยต้องถอดลงมาร้อยใหม่” บารมีกล่าวพร้อมกับหยิบเปลือกหอยในมือของอีกฝ่ายมาดูใกล้ ๆ
“ซ่อมแล้วซ่อมอีก เก่าแล้วก็ทิ้งมันไปเถอะเฮีย จะเก็บเอาไว้ทำไม ไว้หาซื้อเอาใหม่ก็ได้”
“ก็แค่ร้อยเชือกใหม่เอง จะต้องไปซื้อทำไมให้ยุ่งยาก”
“ทำไมถึงชอบโมบายเปลือกหอยนัก” ปราณพูดก่อนจะส่งปาท่องโก๋เข้าปาก
“เคยอ่านนิทานเรื่องหนึ่งแล้วชอบน่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“เด็กหญิงเดียวดายกับเด็กชายสายลม” บารมียิ้มจาง ๆ พลางนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่เคยฟังเมื่อนานมาแล้ว
“เล่าให้ฟังหน่อยสิเฮีย”
“มันเป็นเรื่องของเด็กหญิงตาบอดคนหนึ่งที่ถูกนำมาทิ้งไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีใครรู้ว่าเธอชื่ออะไร ใครถามก็ไม่ยอมบอก ดังนั้นด้วยความที่เธอเป็นเด็กที่เงียบขรึม ไม่สุงสิงกับใคร และไม่มีเด็กคนไหนอยากเล่นกับเธอ ทุก ๆ คนในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจึงพากันเรียกเธอว่าเด็กหญิงเดียวดาย”
“โอ้โห...ไม่มีชื่ออื่นจะเรียกกันแล้วหรือไง” ปราณส่ายหัว
“ฟังต่อไหม”
“ฟัง ๆ”
“ทุก ๆ สัปดาห์จะมีชาวประมงเอาปลามาส่งที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขามักจะพาลูกชายของเขามาด้วย เด็กผู้ชายคนนั้นชื่อเด็กชายสายลม...”
“ตั้งแต่นั้นมาเด็กหญิงเดียวดายก็ไม่เดียวดายอีกต่อไป เพราะมีเด็กชายสายลมเป็นเพื่อนเล่นใช่ไหมล่ะ” ปราณแทรกขึ้น ในขณะที่บารมีเองก็พยักหน้าน้อย ๆ “พอโตขึ้น ทั้งสองคนก็แต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป อ้าว! แล้วเปลือกหอยอยู่ตรงไหนล่ะเฮีย”
“บางครั้งชีวิตจริงมันก็ไม่ได้จบลงแบบตอนท้ายของนิทานหรอกนะตี๋” คนเล่าผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะว่าต่อ “เด็กชายสายลมกลายเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียวของเด็กหญิงเดียวดาย วันหนึ่งเมื่อพ่อมาส่งปลาที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กชายสายลมก็ขอตามมาด้วยพร้อมกับของขวัญชิ้นหนึ่งที่เขาตั้งใจทำให้เด็กหญิงเดียวดาย ซึ่งมันก็คือโมบายเปลือกหอย”
คนฟังพยักหน้า มองตาดวงตาหม่นเศร้าที่ตอนนี้กำลังจดจ้องไปยังเปลือกหอยสีขาวในมือ บารมีหยุดไปชั่วขณะก่อนจะเริ่มเล่าอีกครั้ง
“เด็กหญิงเดียวดายดีใจมากเลยละ เพราะมันเป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตของเธอ เธอขอให้แม่บ้านช่วยแขวนมันไว้ที่หน้าต่าง คอยฟังเสียงของมันทุกวันทุกคืนพร้อมกับนับวันเวลาที่จะได้พบกับเพื่อนรักอีกครั้งโดยไม่รู้เลยว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน”
“ทำไมล่ะเฮีย แล้วเด็กชายสายลมไปไหน”
“ไม่มีใครรู้ว่าเด็กชายสายลมกับชายชาวประมงหายไปไหน พวกเขาหายไปโดยไม่ได้ส่งข่าว นับแต่นั้นเด็ก ๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็พลอยไม่ได้กินปลาไปด้วย จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป เด็กหญิงเดียวดายก็ต้องแปลกใจที่พบว่าในมื้ออาหารของเธอมีปลาเป็นส่วนประกอบ เธอนั่งฟังเสียงโมบายเปลือกหอยด้วยความหวังที่ว่าในสัปดาห์ถัดไปเธอจะได้พบกับเด็กชายสายลมอีกครั้ง”
“แล้วยังไงเฮีย ตกลงเด็กสองคนนั่นได้พบกันไหม”
บารมีส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่...ในสัปดาห์ถัดมาชาวประมงมาส่งปลาตามปกติ เมื่อเธอถามถึงลูกชายของเขา ชาวประมงก็ทรุดลงต่อหน้า ถึงแม้เด็กหญิงเดียวดายจะมองไม่เห็นแต่เธอรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อย ชาวประมงเล่าให้ฟังว่าลูกชายของเขาเป็นโรคร้าย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาไม่สามารถมาส่งปลาได้ ลูกชายของเขาล้มป่วยอยู่ไม่นานก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ”
คนตั้งใจฟังถอนใจเฮือก “แล้วเด็กหญิงเดียวดายว่ายังไงเฮีย”
“เธอนิ่งเงียบ แถมยังไม่มีน้ำตาสักหยด นั่นเพราะคำพูดที่ชาวประมงได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ เขาจับมือและบอกเธอว่า ลูกชายของเขาแขวนโมบายเปลือกหอยเอาไว้ที่หน้าต่างทุกบานของบ้าน เมื่อใดก็ตามที่ลมพัดมา เสียงของมันจะได้ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้จากไปไหน สายลมยังคงพัดวนอยู่รอบตัวทุกคนที่เขารักและหนึ่งในนั้นก็คือเด็กหญิงเดียวดาย”
“เศร้าจัง” ปราณบ่นพึมพำในขณะที่ปากก็ยังคงเคี้ยวปาท่องโก๋ “แต่เห็นไหมเฮีย เด็กหญิงเดียวดายยังไม่เศร้าเลย เพราะฉะนั้นเฮียก็ต้องเข้มแข็ง เลิกร้องไห้เสียใจได้แล้ว”
“ไม่ได้ร้องโว้ย”
“ตาบวมขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้ร้องไห้อีก”
“ก็แค่ดูซีรีส์เกาหลีแล้วมันอิน” ปากบางยังคงไม่ยอมแพ้แต่คำแก้ต่างก็ดูไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย มิหนำซ้ำยังไม่อาจสู้สายตากับคนที่กำลังเท้าคางมองมาได้ บารมีจำต้องยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่ม สังเกตว่าทั้งที่ของเหลวในแก้วนั้นแทบจะไม่หลงเหลือความร้อนอยู่แล้ว แต่ทำไมจู่ ๆ ที่แก้มจึงได้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาก็ไม่รู้
ปราณหรี่ตามอง ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอีกฝ่ายคิดจะดูแม้แต่ละครไทย นี่ข้ามไปถึงเกาหลี “เกาหลีก็เกาหลี” ขี้เกียจจะเถียงด้วย ว่าแล้วก็ถอนหายใจหนัก “ถามจริงเถอะ เฮียเสียดายเขาไหม”
“ใคร” ถามออกไปทั้งที่ก็รู้อยู่แล้ว
“หมอวรรษวรไง เสียดายไหมที่ไม่ได้คบกับเขาต่อ”
“เสียดายเวลามากกว่า ถ้า ร...รู้...”
“ถ้ารู้แบบนี้” ปากหยักคลี่ยิ้มบาง ๆ “ตอนนี้พูดได้เพราะมันผ่านมาแล้ว แต่ตอนนั้นใครจะไปรู้ล่ะเฮีย ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกจริงไหม”
ทันตแพทย์หนุ่มถอนใจบ้าง หยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงวางบนโต๊ะก่อนจะเท้าคางเขี่ยให้หน้าจอเลื่อนไปหยุดที่ปฏิทินซึ่งแสดงให้รู้ว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นปีแล้ว “แบบนี้ที่หมอดูบอกว่ามีใครเข้ามาก่อนสิ้นปีก็คงหมดหวัง”
คนฟังหันขวับ จ้องหน้าคนพูดอย่างไม่เชื่อหู “อุตส่าห์บอกว่าไม่มีใครรู้อนาคต ยังแอบไปดูดวงอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย”
เมื่อจนต่อคำถามบารมีก็ทำได้แค่พยักหน้ายอมรับ “ก็มันอยากรู้นี่หว่า แต่สงสัยฉันจะอาภัพอย่างที่ซินแสคนก่อนทำนายไว้จริง ๆ ละมั้ง” พูดในขณะที่ตาเลื่อนต่ำลงมองปลายนิ้วของตนเองที่วนอยู่กับปากแก้ว “แกเชื่อเรื่องเนื้อคู่ไหมตี๋”
“ไม่เชื่อ” ปราณตอบแบบไม่ต้องใช้เวลาคิด
“ทำไมวะ”
...
“เนื้อคู่น่ะไม่มีจริงหรอก มีแต่คนธรรมดา ๆ ที่รอว่าเมื่อไรเราจะเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาเป็นคนพิเศษหรือคนสำคัญก็เท่านั้นแหละเฮีย”คำพูดของคนอายุน้อยกว่าซึ่งทิ้งท้ายไว้ก่อนฝนที่เริ่มโปรยลงมาจนต้องต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านของตนเองตั้งแต่เมื่อคืนวานยังวนเวียนอยู่ในหัว บารมีมองข้าวในจานไม่ได้พร่องเลยสักนิดเพราะเขามัวแต่ใช้ช้อนเขี่ยมันราวกับเป็นของเล่น แม้ตาจะอยู่ตรงนี้ แต่ใจกลับลอยไปไหนต่อไหนจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ขอนั่งด้วยคนนะครับ”
เสียงนั้นทำเอาความคิดต้องหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าร่างสูงเจ้าของยิ้มละไมที่ขอร่วมโต๊ะด้วยนั้นก็คือ ‘นุพันธ์’ ทันตแพทย์ที่เพิ่งย้ายมาทำงานใหม่นั่นเอง บารมีละสายตาจากคนตรงหน้าพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าวันนี้คนไม่เยอะเหมือนทุกวันซ้ำโต๊ะในโรงอาหารยังว่างอยู่อีกมาก แต่ในเมื่อเขาเอ่ยปากแล้วก็คงจะตอบรับเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายน้ำใจกัน
“ช...เชิญครับ”
ผู้มาใหม่กล่าวขอบคุณ วางจานข้าวและแก้วกาแฟก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มของเขายังคงระบายอยู่บนใบหน้า ทั้งที่เพิ่งได้พบกันในงานเลี้ยงต้อนรับบุคลากรใหม่แท้ ๆ แต่เขากลับทำราวกับรู้จักกันมานาน แต่บารมีก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ก้มหน้าก้มตาจัดการกับข้าวในจานเงียบ ๆ กระทั่งอีกฝ่ายขึ้น
“นี่จำเราไม่ได้จริง ๆ น่ะเหรอ”
คนถูกถามชะงัก กลืนข้าวลงคอก่อนจะยกแก้วน้ำหวานขึ้นดูดพร้อมกับส่ายหน้า “เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”
หนุ่มหล่อพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ เราเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่ากัน จำไม่ได้เหรอ” ยิ่งเห็นสีหน้าฉงนสนเท่ห์ของอีกคน ริมฝีปากก็ยิ่งยกขึ้นดดยอัตโนมัติ อยากจะรีบ ๆ เฉลยให้รู้เสียที “แต่จำไม่ได้ก็ไม่แปลก เพราะเราอยู่ห้องสอง เพิ่งย้ายตามแม่มาจากต่างจังหวัดเมื่อตอนม.หก นายเป็นเด็กห้องหนึ่งคงไม่ได้สนใจใคร วัน ๆ เอาแต่เรียนหนังสือ”
“ก็ไม่ขนาดนั้น” บารมีกล่าวอยู่ในลำคอ อยากจะเถียงว่าถึงจะเป็นเด็กห้องเก่งกระนั้นก็ยังร่วมกิจกรรมโรงเรียนไม่เคยขาด แต่ในเมื่อถูกมองไปทางนั้นแล้วพูดออกไปก็เหมือนการแก้ตัวเปล่า ๆ
“เราชื่อนุนะ”
“ส่วนเรา...”
“บะหมี่ เราจำได้”
“รู้จักชื่อเราได้ยังไง เราไม่ใช่คนดัง”
“เราก็ไม่ได้อยากรู้จักคนดังนี่ ว่าแต่บะหมี่เถอะ จะรับคนธรรมดา ๆ อย่างเราเป็นเพื่อนได้หรือเปล่า” คำถามนั้นกับสายตาที่ส่งมาทำเอาบารมีต้องรีบพยักหน้าก่อนจะกลับมาสนใจกับข้าวในจานต่อ
“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับ”
และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ ความสนิทสนมของสองคุณหมอทำให้คนในโรงพยาบาลเป็นที่รู้กันว่า มีทันตแพทย์บารมีที่ไหน ต้องเห็นทันตแพทย์นุพันธ์ที่นั่น
(มีต่อนะคะ)