[เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น] ในอ้อมกอดของสายลม (ตอนที่ 6 นายสายลม (จบ)) 21-09-2558 หน้า 3  (อ่าน 39237 ครั้ง)

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ยังดีที่เห็นธาตุแท้หมอวรรษได้เร็ว ไม่ไหว ๆ มีความสามารถก็ไต่เต้าขึ้นไปเองสิ
ลี้น้อยรีบโตแล้วมาดูแลเฮียหมี่สุดที่รักนะ

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ไม่รู้ว่าพลาดได้ไง แต่อ่านแล้วสนุกมาก

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
เราอยากรุว่าอะไรอยู่ใต้หมอนง่ะ~ ไม่คิดจะเฉลยเลยรึ
ขอหวานๆ สักทีจิสงสารลี้น้อยจะแย่ล่ะ ตอนหน้าจบแล้วยังไม่เห็นวี่แววจะทำคะแนนได้เลยอ่า~
หวังว่าท้องฟ้าคนนี้คงไม่ใจร้ายเหมือนฟ้านอกหน้าต่างที่อึมครึมและหอบลมฝนมาทุกวันนะคะ^^

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ดีนะที่เข้ามาเช็คหาตอนใหม่ของเรื่องนี้

เจ็บแต่จบดีนะ  ฉลาดขึ้นมาอีกนิด แกร่งขึ้นมาอีกหน่อย

วรรษไม่น่าที่จะเหลือใครเลย  พูดออกมาโต้งๆต่อหน้าแฟนตนปัจจุบันว่ายังรักแฟนเก่าอยู่ฉะนั้นก็อย่าได้เหลือใครเลยนะ   แต่ก็ว่าไม่ได้นะศีลไม่เสมอกันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้แล้ว

ใครสักคนน่าจะบอกอาจาน(คนๆนี้มีค่าแค่นี้จริงๆค่ะ)หมาบวรว่าวรรษตั้งใจจะใช้ลูกที่ จานเกลียดมากๆมาไต่เต้าเผื่อจานจะได้ชี้แนะวิธีที่ถูกต้องกว่า

เหนื่อยนักก็พักก่อน  หมี่น่าจะเห็นได้แล้วนะว่าลี้ก็ไม่น้อยแล้ว ลี้น้อยเองก็สามารถเป็นที่พึ่งทางใจให้เฮียหมี่ได้เหมือนกันนะ

ป.ล  จานบวรก็น่าจะคืนเงินที่แม่หมี่เก็บให้นะ   นางไม่คู่ควรที่จะได้มันหรอก ไม่ใช่ว่ามันเยอะหรือไร แต่นางไม่มีค่าพอที่จะได้ความรักขนาดนั้นจากแม่หมี่ค่ะ   พอๆกับที่เงินทองความสำเร็จใดๆที่นางได้มานั้นไม่มีค่าอะไรเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2015 03:05:03 โดย Freja »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
สวัสดีค่ะ

ขอโทษนะคะที่ทำให้ต้องรอนานเลย พอดีสัปดาห์ที่ผ่านมางานยุ่งมาก ๆ ผสมกับป่วยก็เลยไม่ได้มาต่อ

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อย ๆ ยังไงเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ

ว่าจะเขียนตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแต่ยิ่งเขียนยิ่งยาว ขอตัดอีกส่วนเอาไปไว้เป็นตอนถัดไปนะคะ

ขอบคุณหลาย ๆ ท่านที่ช่วยตรวจคำผิดให้ค่ะ ตอนล่าสุดยังไม่ได้ทวนเลย ผิดพลาดตกหล่นประการใดต้องขออภัยด้วยค่ะ

ส่วนเรื่องอะไรอยู่ใต้หมอน ถ้าใครเคยฟังเพลงนิทานหิ่งห้อย จะรู้ว่ามันคือหิ่งห้อยค่ะ เอาไว้ใต้หมอนแล้วจะนอนฝันดี

เจอกันตอนหน้านะคะ ขอให้มีความสุขกับการอ่านบะหมี่กับลี้น้อยค่ะ ไปอ่านกันเลย (ม่าแล้วต้องม่าให้สุด)




ตอนที่ 5 ปัจจุบันที่กำลังจะจากไป


กุ๊งกิ๊ง...


เสียงกระทบกันของเปลือกหอยที่ร้อยติดกับเชือกดังแว่วมาตามสายลม...


กุ๊งกิ๊ง...กุ๊งกิ๊ง...


บารมีปาดน้ำตาก่อนจะยันกายลุกขึ้นจากที่นอนเดินไปที่ริมหน้าต่าง เมื่อมือขาวรูดเก็บผ้าม่านผืนบางไว้ที่ข้างหนึ่งของวงกบก็พบว่าถังน้ำสแตนเลสที่ใช้ชักรอกไปมาระหว่างสองบ้านขณะนี้กำลังห้อยต่องแต่งอยู่ใต้ขอบหน้าต่าง ดึงขึ้นมาก็พบว่าข้างในมีถุงใส่น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ของโปรดของเขากับกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งเขียนด้วยลายมือ


‘กินน้ำเต้าหู้เพิ่มพลังหมัด’


“ไอ้ตี๋บ้า” เจ้าของสองตาช้ำบวมกล่าวเสียงขึ้นจมูกก่อนจะหันไปมองหน้าต่างห้องฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้ปิดไฟมืดสนิท บารมีดึงโทรศัพท์จากในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาพิมพ์ข้อความจากนั้นจึงกดส่ง


‘กินด้วยกันไหม’


เท่านั้นแสงไฟที่ชั้นบนของบ้านอีกฝั่งก็สว่างขึ้นอีกครั้ง


ทันตแพทย์หนุ่มคว้าถุงใส่น้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ลงมายังชั้นล่างของบ้าน ก่อนจะเข้าไปหยิบแก้วข้างในครัวแล้วจึงเดินไปที่ประตูไม้บานพับจัดการปลดกลอนลงเปิดออกสู่ด้านนอก เป็นเวลาเดียวกันกับที่ลูกชายช่างตัดผมแทรกตัวออกจากประตูเหล็กพับเก็บได้พอดี บารมีนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้าน เทน้ำเต้าหูลงในแก้วสองใบที่เตรียมมาระหว่างรออีกคนที่กำลังเดินข้ามมา โดยแบ่งให้ได้แก้วละเท่า ๆ กัน


“ดึกป่านนี้แล้วยังจะออกไปซื้อน้ำเต้าหู้” พูดจบก็เลื่อนแก้วที่มีน้ำนมถั่วเหลืองสีขาวนวลอยู่ครึ่งหนึ่งให้


“ก็เห็นเฮียยังไม่นอน” คนอายุน้อยกว่ากล่าวพลางใช้มือทั้งสองประคองแก้วเซรามิกทรงสั้นเอาไว้ ผิวสัมผัสนั้นอุ่นพอที่จะช่วยให้ร่างกายได้คลายความหนาวเย็นจากอากาศหลังฝนตกอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ทำให้อุ่นในใจได้เท่ากับการนั่งใกล้ ๆ กันในยามนี้ ยิ่งเห็นดวงตาแดงช้ำของอีกคนแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นยังไงบ้าง”


บารมียกมุมปากพร้อมกับหัวเราะหึราวจะเย้ยหยันตัวเอง ดวงตาหม่นหมองเลื่อนต่ำมองมือที่กำแก้วแน่น  “รู้สึกเหมือนเป็นคนโง่เลยว่ะ”


“รู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอก คิดเสียว่ามันก็แค่บททดสอบที่ทำให้เข้มแข็งขึ้น”


“คงจริงอย่างที่ซินแสว่า คนที่ผ่านเข้ามาเข้ามาในชีวิตของฉันก็มาแค่ทดสอบจิตใจ ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป”


“เอาน่าเฮีย อย่าคิดมากเลย กินน้ำเต้าหู้ดีกว่า” พูดจบปราณก็ยกแก้วขึ้นดื่ม “เฮ้ย! อะไรวะ” คนตัวโตรีบวางแก้ว ยกมือกุมหัวพลางเหลียวซ้ายแลขวามองหาบางสิ่งที่เพิ่งตกลงมาถูกศีรษะ เสียงตกกระทบพื้นทำให้เขาสามารถหาตำแหน่งของมันเจอได้ไม่ยาก


“ที่แท้ก็ไอ้นี่เอง”


“เชือกมันคงเปื่อยแล้วมั้ง สงสัยต้องถอดลงมาร้อยใหม่” บารมีกล่าวพร้อมกับหยิบเปลือกหอยในมือของอีกฝ่ายมาดูใกล้ ๆ


“ซ่อมแล้วซ่อมอีก เก่าแล้วก็ทิ้งมันไปเถอะเฮีย จะเก็บเอาไว้ทำไม ไว้หาซื้อเอาใหม่ก็ได้”


 “ก็แค่ร้อยเชือกใหม่เอง จะต้องไปซื้อทำไมให้ยุ่งยาก”


“ทำไมถึงชอบโมบายเปลือกหอยนัก” ปราณพูดก่อนจะส่งปาท่องโก๋เข้าปาก


“เคยอ่านนิทานเรื่องหนึ่งแล้วชอบน่ะ”


“เรื่องอะไรเหรอ”


“เด็กหญิงเดียวดายกับเด็กชายสายลม” บารมียิ้มจาง ๆ พลางนึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งที่เคยฟังเมื่อนานมาแล้ว


“เล่าให้ฟังหน่อยสิเฮีย”


“มันเป็นเรื่องของเด็กหญิงตาบอดคนหนึ่งที่ถูกนำมาทิ้งไว้ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่มีใครรู้ว่าเธอชื่ออะไร ใครถามก็ไม่ยอมบอก ดังนั้นด้วยความที่เธอเป็นเด็กที่เงียบขรึม ไม่สุงสิงกับใคร และไม่มีเด็กคนไหนอยากเล่นกับเธอ ทุก ๆ คนในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจึงพากันเรียกเธอว่าเด็กหญิงเดียวดาย”


“โอ้โห...ไม่มีชื่ออื่นจะเรียกกันแล้วหรือไง” ปราณส่ายหัว


“ฟังต่อไหม”


“ฟัง ๆ”


“ทุก ๆ สัปดาห์จะมีชาวประมงเอาปลามาส่งที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เขามักจะพาลูกชายของเขามาด้วย เด็กผู้ชายคนนั้นชื่อเด็กชายสายลม...”


“ตั้งแต่นั้นมาเด็กหญิงเดียวดายก็ไม่เดียวดายอีกต่อไป เพราะมีเด็กชายสายลมเป็นเพื่อนเล่นใช่ไหมล่ะ” ปราณแทรกขึ้น ในขณะที่บารมีเองก็พยักหน้าน้อย ๆ “พอโตขึ้น ทั้งสองคนก็แต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป อ้าว! แล้วเปลือกหอยอยู่ตรงไหนล่ะเฮีย”


“บางครั้งชีวิตจริงมันก็ไม่ได้จบลงแบบตอนท้ายของนิทานหรอกนะตี๋” คนเล่าผ่อนลมหายใจยาวก่อนจะว่าต่อ “เด็กชายสายลมกลายเป็นเพื่อนเล่นเพียงคนเดียวของเด็กหญิงเดียวดาย วันหนึ่งเมื่อพ่อมาส่งปลาที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า เด็กชายสายลมก็ขอตามมาด้วยพร้อมกับของขวัญชิ้นหนึ่งที่เขาตั้งใจทำให้เด็กหญิงเดียวดาย ซึ่งมันก็คือโมบายเปลือกหอย”


คนฟังพยักหน้า มองตาดวงตาหม่นเศร้าที่ตอนนี้กำลังจดจ้องไปยังเปลือกหอยสีขาวในมือ บารมีหยุดไปชั่วขณะก่อนจะเริ่มเล่าอีกครั้ง


“เด็กหญิงเดียวดายดีใจมากเลยละ เพราะมันเป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตของเธอ เธอขอให้แม่บ้านช่วยแขวนมันไว้ที่หน้าต่าง คอยฟังเสียงของมันทุกวันทุกคืนพร้อมกับนับวันเวลาที่จะได้พบกับเพื่อนรักอีกครั้งโดยไม่รู้เลยว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน”


“ทำไมล่ะเฮีย แล้วเด็กชายสายลมไปไหน”


“ไม่มีใครรู้ว่าเด็กชายสายลมกับชายชาวประมงหายไปไหน พวกเขาหายไปโดยไม่ได้ส่งข่าว นับแต่นั้นเด็ก ๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าก็พลอยไม่ได้กินปลาไปด้วย จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป เด็กหญิงเดียวดายก็ต้องแปลกใจที่พบว่าในมื้ออาหารของเธอมีปลาเป็นส่วนประกอบ เธอนั่งฟังเสียงโมบายเปลือกหอยด้วยความหวังที่ว่าในสัปดาห์ถัดไปเธอจะได้พบกับเด็กชายสายลมอีกครั้ง”


“แล้วยังไงเฮีย ตกลงเด็กสองคนนั่นได้พบกันไหม”


บารมีส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ไม่...ในสัปดาห์ถัดมาชาวประมงมาส่งปลาตามปกติ เมื่อเธอถามถึงลูกชายของเขา ชาวประมงก็ทรุดลงต่อหน้า ถึงแม้เด็กหญิงเดียวดายจะมองไม่เห็นแต่เธอรับรู้ได้ถึงความเศร้าสร้อย ชาวประมงเล่าให้ฟังว่าลูกชายของเขาเป็นโรคร้าย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาไม่สามารถมาส่งปลาได้ ลูกชายของเขาล้มป่วยอยู่ไม่นานก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ”


คนตั้งใจฟังถอนใจเฮือก “แล้วเด็กหญิงเดียวดายว่ายังไงเฮีย”


“เธอนิ่งเงียบ แถมยังไม่มีน้ำตาสักหยด นั่นเพราะคำพูดที่ชาวประมงได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ เขาจับมือและบอกเธอว่า ลูกชายของเขาแขวนโมบายเปลือกหอยเอาไว้ที่หน้าต่างทุกบานของบ้าน เมื่อใดก็ตามที่ลมพัดมา เสียงของมันจะได้ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้จากไปไหน สายลมยังคงพัดวนอยู่รอบตัวทุกคนที่เขารักและหนึ่งในนั้นก็คือเด็กหญิงเดียวดาย”


“เศร้าจัง” ปราณบ่นพึมพำในขณะที่ปากก็ยังคงเคี้ยวปาท่องโก๋ “แต่เห็นไหมเฮีย เด็กหญิงเดียวดายยังไม่เศร้าเลย เพราะฉะนั้นเฮียก็ต้องเข้มแข็ง เลิกร้องไห้เสียใจได้แล้ว”


“ไม่ได้ร้องโว้ย”


“ตาบวมขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่ได้ร้องไห้อีก”


“ก็แค่ดูซีรีส์เกาหลีแล้วมันอิน” ปากบางยังคงไม่ยอมแพ้แต่คำแก้ต่างก็ดูไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย มิหนำซ้ำยังไม่อาจสู้สายตากับคนที่กำลังเท้าคางมองมาได้ บารมีจำต้องยกน้ำเต้าหู้ขึ้นดื่ม สังเกตว่าทั้งที่ของเหลวในแก้วนั้นแทบจะไม่หลงเหลือความร้อนอยู่แล้ว แต่ทำไมจู่ ๆ ที่แก้มจึงได้รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาก็ไม่รู้


ปราณหรี่ตามอง ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นอีกฝ่ายคิดจะดูแม้แต่ละครไทย นี่ข้ามไปถึงเกาหลี “เกาหลีก็เกาหลี” ขี้เกียจจะเถียงด้วย ว่าแล้วก็ถอนหายใจหนัก “ถามจริงเถอะ เฮียเสียดายเขาไหม”


“ใคร” ถามออกไปทั้งที่ก็รู้อยู่แล้ว


“หมอวรรษวรไง เสียดายไหมที่ไม่ได้คบกับเขาต่อ”


“เสียดายเวลามากกว่า ถ้า ร...รู้...”


“ถ้ารู้แบบนี้” ปากหยักคลี่ยิ้มบาง ๆ “ตอนนี้พูดได้เพราะมันผ่านมาแล้ว แต่ตอนนั้นใครจะไปรู้ล่ะเฮีย ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกจริงไหม”


ทันตแพทย์หนุ่มถอนใจบ้าง หยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงวางบนโต๊ะก่อนจะเท้าคางเขี่ยให้หน้าจอเลื่อนไปหยุดที่ปฏิทินซึ่งแสดงให้รู้ว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นปีแล้ว “แบบนี้ที่หมอดูบอกว่ามีใครเข้ามาก่อนสิ้นปีก็คงหมดหวัง”


คนฟังหันขวับ จ้องหน้าคนพูดอย่างไม่เชื่อหู “อุตส่าห์บอกว่าไม่มีใครรู้อนาคต ยังแอบไปดูดวงอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย”


เมื่อจนต่อคำถามบารมีก็ทำได้แค่พยักหน้ายอมรับ “ก็มันอยากรู้นี่หว่า แต่สงสัยฉันจะอาภัพอย่างที่ซินแสคนก่อนทำนายไว้จริง ๆ ละมั้ง” พูดในขณะที่ตาเลื่อนต่ำลงมองปลายนิ้วของตนเองที่วนอยู่กับปากแก้ว “แกเชื่อเรื่องเนื้อคู่ไหมตี๋”


“ไม่เชื่อ” ปราณตอบแบบไม่ต้องใช้เวลาคิด


“ทำไมวะ”


...
 


“เนื้อคู่น่ะไม่มีจริงหรอก มีแต่คนธรรมดา ๆ ที่รอว่าเมื่อไรเราจะเปิดโอกาสให้เขาเข้ามาเป็นคนพิเศษหรือคนสำคัญก็เท่านั้นแหละเฮีย”



คำพูดของคนอายุน้อยกว่าซึ่งทิ้งท้ายไว้ก่อนฝนที่เริ่มโปรยลงมาจนต้องต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านของตนเองตั้งแต่เมื่อคืนวานยังวนเวียนอยู่ในหัว บารมีมองข้าวในจานไม่ได้พร่องเลยสักนิดเพราะเขามัวแต่ใช้ช้อนเขี่ยมันราวกับเป็นของเล่น แม้ตาจะอยู่ตรงนี้ แต่ใจกลับลอยไปไหนต่อไหนจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า


“ขอนั่งด้วยคนนะครับ”


เสียงนั้นทำเอาความคิดต้องหยุดลงแต่เพียงเท่านั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าร่างสูงเจ้าของยิ้มละไมที่ขอร่วมโต๊ะด้วยนั้นก็คือ ‘นุพันธ์’ ทันตแพทย์ที่เพิ่งย้ายมาทำงานใหม่นั่นเอง บารมีละสายตาจากคนตรงหน้าพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าวันนี้คนไม่เยอะเหมือนทุกวันซ้ำโต๊ะในโรงอาหารยังว่างอยู่อีกมาก แต่ในเมื่อเขาเอ่ยปากแล้วก็คงจะตอบรับเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายน้ำใจกัน 


“ช...เชิญครับ”


ผู้มาใหม่กล่าวขอบคุณ วางจานข้าวและแก้วกาแฟก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม รอยยิ้มของเขายังคงระบายอยู่บนใบหน้า ทั้งที่เพิ่งได้พบกันในงานเลี้ยงต้อนรับบุคลากรใหม่แท้ ๆ แต่เขากลับทำราวกับรู้จักกันมานาน แต่บารมีก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ก้มหน้าก้มตาจัดการกับข้าวในจานเงียบ ๆ กระทั่งอีกฝ่ายขึ้น


“นี่จำเราไม่ได้จริง ๆ น่ะเหรอ”


คนถูกถามชะงัก กลืนข้าวลงคอก่อนจะยกแก้วน้ำหวานขึ้นดูดพร้อมกับส่ายหน้า “เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”


หนุ่มหล่อพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ เราเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่ากัน จำไม่ได้เหรอ” ยิ่งเห็นสีหน้าฉงนสนเท่ห์ของอีกคน ริมฝีปากก็ยิ่งยกขึ้นดดยอัตโนมัติ อยากจะรีบ ๆ เฉลยให้รู้เสียที “แต่จำไม่ได้ก็ไม่แปลก เพราะเราอยู่ห้องสอง เพิ่งย้ายตามแม่มาจากต่างจังหวัดเมื่อตอนม.หก นายเป็นเด็กห้องหนึ่งคงไม่ได้สนใจใคร วัน ๆ เอาแต่เรียนหนังสือ”


“ก็ไม่ขนาดนั้น” บารมีกล่าวอยู่ในลำคอ อยากจะเถียงว่าถึงจะเป็นเด็กห้องเก่งกระนั้นก็ยังร่วมกิจกรรมโรงเรียนไม่เคยขาด แต่ในเมื่อถูกมองไปทางนั้นแล้วพูดออกไปก็เหมือนการแก้ตัวเปล่า ๆ


“เราชื่อนุนะ”


“ส่วนเรา...”


“บะหมี่ เราจำได้”


“รู้จักชื่อเราได้ยังไง เราไม่ใช่คนดัง”


“เราก็ไม่ได้อยากรู้จักคนดังนี่ ว่าแต่บะหมี่เถอะ จะรับคนธรรมดา ๆ อย่างเราเป็นเพื่อนได้หรือเปล่า” คำถามนั้นกับสายตาที่ส่งมาทำเอาบารมีต้องรีบพยักหน้าก่อนจะกลับมาสนใจกับข้าวในจานต่อ


“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับ”


และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ ความสนิทสนมของสองคุณหมอทำให้คนในโรงพยาบาลเป็นที่รู้กันว่า มีทันตแพทย์บารมีที่ไหน ต้องเห็นทันตแพทย์นุพันธ์ที่นั่น


(มีต่อนะคะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2015 13:49:11 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)



ปฏิทินจีนรายวันเล่มหนาถูกดึงออกจนเกือบครึ่งเล่ม มัวเพลินกับการทำงาน สนุกสนานกับการเที่ยวเล่นไปหน่อยเดียว รู้ตัวอีกทีก็ผ่านปีใหม่มาเกือบครึ่งทางเสียแล้ว ว่ากันว่าเวลาที่ผ่านไปไม่ต่างอะไรกับสายน้ำที่ไม่ไหลกลับ แต่สำหรับบารมีในตอนนี้หากเวลาจะย้อนกลับก็คงเป็นเพราะมีบางอย่างเข้ามากวนกระแสความคิดจนต้องหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตาคมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นโมบายเปลือกหอยยังคงแกว่งไกวส่งเสียงเตือนใจให้หวนนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง


ในมือถือกรอบรูปซึ่งมีภาพถ่ายเมื่อครั้งที่มีแม่อยู่ด้วยกันยังคงทำให้ยิ้มได้เสมอเมื่อหยิบขึ้นมาดูแต่ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะวางมันลงรวมกับสิ่งของอื่น ๆ ภายในกล่อง ร่างผอมบางผิดกับชายฉกรรจ์ในวัยเดียวกันลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังชั้นวางหนังสือ ตำหรับตำราที่เคยวางเรียงรายเบียดเสียดขณะนี้ถูกรั้งลงมาผูกเชือกวางซ้อนกันไว้เป็นกอง ๆ จะเหลือก็แต่เพียงสิ่งของอีกเพียงไม่กี่ชิ้น มือบางกำลังจะเอื้อมหยิบ แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น เมื่อหมุนตัวกลับก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ประตูถูกเปิดออก


“กู๋เข้าไปนะหมี่” เจ้าของบ้านกล่าวก่อนจะดันประตูเข้ามา “มาดูว่าเก็บของไปถึงไหนแล้ว”


“เหลืออีกไม่เยอะหรอกกู๋ ของหมี่น้อย มีแค่หนังสือกับเสื้อผ้าในตู้แค่นั้นเอง”


คนเป็นน้าเพียงแต่พยักหน้าก่อนจะนั่งลงที่เตียง “แน่ใจเหรอว่าจะไม่ย้ายไม่อยู่ด้วยกัน”


“ไม่เอาหรอกกู๋ หมี่ไม่อยากไปเป็นกอขอคอ” ทำพูดติดตลกแต่ก็อดใจหายไม่ได้ นั่นก็เพราะกู๋ขจรกำลังจะแต่งงานและจะย้ายไปอยู่เรือนหอที่เพิ่งสร้างเสร็จ ดังนั้นตัวเขาเองจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่หอพักบุคลากรที่โรงพยาบาลจัดให้ 


“ทำไมคิดแบบนั้น เราครอบครัวเดียวกันนะ หมี่ก็เป็นหลานกู๋ เมื่อก่อนยังอยู่กับกู๋ได้เลย”


“มันไม่เหมือนกันแล้วกู๋ ตอนนี้กู๋ไม่ใช่หนุมโสดแบบแต่ก่อนแล้วนะ หมี่ตัดสินใจแล้ว กู๋ให้หมี่ทำในแบบที่หมี่เลือกเถอะนะ”


“แล้วนี่บอกบ้านโน้นหรือยังว่าจะย้ายไปอยู่หอพักของโรงพยาบาล”


บารมีส่ายหน้า “รอให้หมดเรื่องยุ่ง ๆ งานรับปริญญาของลี้น้อยก่อน หมี่จะหาโอกาสบอกป๊ากับแม่อีกที”


“คงจะใจหายกันน่าดู เฮียปริญญากับพี่วารีแกรักหมี่ยังกับลูก แถมเจ้าลี้น้อยก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก”   


บารมีละสายตาจากน้าชายมองไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายเลย แม้จะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแต่ความผูกพันมันเกี่ยวแน่นจนไม่อาจปริปากได้


ในที่สุดสี่ปีแห่งการเรียนของก็สิ้นสุดลง เช้านี้ทุกคนในครอบครัวต่างก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าสดใส โดยเฉพาะลูกชายคนเดียวของบ้าน นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานแล้วอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ แม้จะเป็นช่วงเวลาแสนเหน็ดเหนื่อยแต่ก็เต็มไปด้วยความปลื้มปิติ บรรยากาศในบ้านชื่นมื่น ชุดครุยสีดำเปื้อนคราบเหงื่อยังคงแขวนเอาไว้ที่ข้างชั้นวางอุปกรณ์ตัดแต่งผมของผู้เป็นพ่อ ในขณะที่ปริญญาบัตรก็ถูกเก็บไว้ในตู้อย่างดี อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อยังหลงเหลืออยู่บ้างกระนั้นปราณก็ยังคงตื่นแต่เช้าเพื่อช่วยพ่อของเขาเปิดร้านเหมือนเคย ชายหนุ่มหมุนก๊อกหยิบสายยางขึ้นมารดน้ำต้นไม้ ปากก็ฮัมเพลงเริ่มต้นวันแรกของการเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวอย่างอารมณ์ดี


“ไง หายเหนื่อยแล้วเหรอถึงได้ตื่นแต่เช้ามาเปิดร้าน”


“หายแล้ว” ปราณตอบยิ้ม ๆ “คนที่เหนื่อยน่ะเฮียมากกว่า ต้องขับรถพาป๊ากับแม่ไปนครปฐม เมื่อคืนกว่าจะถึงบ้านก็ดึก ทำไมตื่นเช้าจัง วันนี้วันเสาร์นะเฮีย”


“มันชินนี่หว่า”


“แล้วนั่นถือถุงอะไรมา”


บารมีก้มมองถุงหูหิ้วใบใหญ่ในมือก่อนจะตอบคำถาม “ของทะเลน่ะจะเอามาให้ป๊ากับแม่”


“ไปเที่ยวทะเลมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ยักชวนกันบ้าง”


“ไม่ได้หรอก พอดีมีเพื่อนที่โรงพยาบาลบ้านเขาอยู่จันทบุรีก็เลยฝากเขาซื้อ เดี๋ยวฉันเอาเข้าไปในบ้านก่อนนะ” พูดจบคนตัวเล็กก็เดินหายเข้าไปในบ้าน ใช้โอกาสนี้บอกเรื่องที่ควรจะต้องบอกสักที 


ชายหนุ่มหายไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้ง พบว่าลูกชายเจ้าของบ้านกำลังยืนมองไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งกู๋ขจรกำลังลากบันไดอะลูมิเนียมจากในบ้านออกมากางออก   


“กู๋เขาจะทำอะไรน่ะเฮีย”


“ติดป้ายน่ะ”


“ป้าย? ป้ายอะไร” ปากถามแต่ตายังคงมองตามหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบปลาย ๆ ที่กำลังเปิดท้ายก่อนจะรั้งบางอย่างออกมา และเมื่อกู๋ขจรกางไวนิลที่มีข้อความ ‘ขาย’ และหมายเลขโทรศัพท์สำหรับติดต่อปราณก็ถึงบางอ้อ “ข...ขาย”


“อืม พอดีบ้านที่จะใช้เป็นเรือนหอสร้างเสร็จพอดี แต่งงานแล้วคงย้ายเข้าไปอยู่ กู๋แกก็เลยจะขายที่นี่”


“ล...แล้วเฮียล่ะ เฮียจะไปอยู่กับกู๋เหรอ”


“เปล่า ฉันจะย้ายไปอยู่หอพักที่โรงพยาบาลจัดให้น่ะ”


คนฟังหันมาสบตา แทบอยากให้สิ่งที่ได้ยินเป็นแค่ความฝัน


“วันนี้ก็เลยถือโอกาสมาลาป๊ากับแม่แล้วก็บอกแกด้วย”


การได้รู้เรื่องทั้งหมดเป็นคนสุดท้ายทำให้ปราณจำต้องกลืนความรู้สึกน้อยใจลงคอก่อนจะถามต่อ “แล้วของล่ะ เฮียจะย้ายเมื่อไร ผมจะได้ไปช่วย”


“ไม่ต้องหรอก ของมีไม่เยอะ ฉันทยอยขนใส่รถไปวันละนิดละหน่อยจนหมดแล้วละ”


เจ้าของร่างสูงกำหมัดแน่น กำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่เสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายก็ทำให้ต้องยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น มองบารมีที่หยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดรับสาย พลันรอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อครู่


“สวัสดีนุ” คนตัวเล็กหันหลังให้ก่อนจะมองซ้ายมองขวาเดินข้ามถนนกลับไปยังฝั่งบ้านของตน แต่กระนั้นปราณก็ยังคงได้ยินสิ่งที่เขาพูดกับคนปลายสายอยู่ดี “เราโทร.ไปเอง จะถามว่าวันนี้ว่างไหม จะเลี้ยงขอบคุณที่อุตส่าห์ซื้อของมาให้น่ะ เดี๋ยวเจอกันที่หอนะ...”


ลูกชายร้านตัดผมมองตามร่างบางของพี่ชายคนสนิทที่กำลังแทรกตัวผ่านประตูบานเฟี้ยมกลับเข้าไปในบ้าน คำร่ำลานั้นมันช่างสั้นเสียเหลือเกิน นี่เขาต้องจะใช้เวลาแค่ไหนในการยอมรับและปรับตัวให้ได้ ในเมื่อเวลาที่มีกันมันยาวนานจนกลายเป็นความรู้สึกผูกพันที่ยากจะตัดให้ขาดได้ง่าย ๆ เสียแล้ว ปราณเดินเงียบ ๆ ขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เปิดประตูห้องนอนก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูความเป็นไปภายในซอยเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวชวนจดจำ รถเก๋งสีดำที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ในหัวตอนนี้มีคำถามเดียวคือ ‘วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วหรือเปล่าที่จะได้พบกัน’



ทุกคำถามมักจะมีคำตอบเสมอ และคำถามนั้นมันก็มีคำตอบในตัวของมันเอง กว่าสองสัปดาห์แล้วที่ย่านคนจีนเล็ก ๆ แห่งนี้ไร้ซึ่งเงาของทันตแพทย์บารมี วันไหนที่ปราณเลิกงานค่ำแล้วไปนั่งที่ร้านแปะก็มักถูกผู้อาวุโสถามถึงอีกคน จนวันนี้ต้องเดินเลี่ยงไปอีกทาง


“หิวไหมลูก กินข้าวมาหรือยัง” ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้นเมื่อลูกชายเดินเข้ามาในบ้าน


“ยังไม่หิวครับแม่ ง่วงมากกว่า ลี้ขึ้นไปนอนก่อนนะแม่ ถ้าหิวเดี๋ยวลี้ลงมาหากินเอง” พูดจบชายหนุ่มก็เดินขึ้นบันไดไปทิ้งให้แม่มองตามอย่างเป็นห่วง


ปราณดึงเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือออกก่อนจะนั่งลง ทอดตามองออกไปนอนหน้าต่าง ห้องแถวฝั่งตรงข้ามถูกปิดตายติดป้ายหราว่าขาย ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงรถจอด เขาก็อดชะโงกหน้าออกไปดูไม่ได้ หวังจะให้เป็นคนคุ้นเคยที่กลับมาเยี่ยมเยียนกันบ้าง แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เมื่อพบความจริงว่ารถที่เข้ามาจอดเป็นรถของคนที่หยุดถ่ายภาพหรือไม่ก็เป็นกู๋ขจรที่พาคนมาดูห้องแถวติดป้ายขายนั่นเอง


ชายหนุ่มถอนใจหนักก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง หูได้ยินเสียงโมบายเปลือกหอยที่กำลังไหวลู่ไปตามกระแสลม เชือกเส้นใหญ่ยังคงเชื่อมหน้าต่างของสองบ้านไว้ด้วยกันเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือหลังหน้าต่างบานนั้นไม่มีพี่ชายที่คอยเป็นทั้งเพื่อนเล่นในวัยเด็กและเป็นที่ปรึกษาเมื่อต่างคนต่างเติบโตขึ้นอีกต่อไป


“อาลี้น้อย ลื้อแก้เชือกที่หน้าต่างให้อากู๋ขจรอีหน่อย”


เสียงของป๊าปลุกทำให้ปราณที่ฟุบหน้าหลับอยู่กับโต๊ะปรือตาขึ้น ชายหนุ่มขยี้ตางัวเงีย ทันทีที่ตั้งสติได้ก็ภาวนาขอให้ร้องห้ามได้ทันทีเถอะเพราะเขายังอยากจะเก็บมันเอาไว้ก่อน  ร่างสูงผุดลุงขึ้นมองไปยังหน้าต่างบ้านตรงข้ามก็พบว่าเจ้าของบ้านกำลังแก้ปลายเชือกอีกฝั่งออก คงเพราะผ่านวันเวลาและต่อสู้กับสภาพดินฟ้าอากาศมานาน ยิ่งช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกวันเชือกนั้นจึงเปราะและขาดลงเสียก่อน


แม้กู๋ขจรจะพยายามคว้าถังที่ผูกติดกับพวงเปลือกหอยแต่ก็คว้าไม่ทัน ทำให้มันหล่อนลงกระทบพื้นจนเกิดเสียงดังแทรกขึ้นท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ปราณพยายามมองหาถังใบนั้นกับโมบายเปลือกหอยของเขาแต่มันก็มืดเสียจนไม่เห็นอะไรเลย ตกลงมาสูงขนาดนั้น ป่านนี้เปลือกหอยก็คงจะแตกละเอียดไม่เหลือชิ้นดีมิหนำซ้ำคงจะถูกน้ำพัดลงท่อระบายน้ำไปเสียแล้วกระมัง คิดได้ดังั้นมือหนาก็ได้แต่แก้ปลายเชือกฝั่งตนเองออกก่อนจะสาวเส้นที่เคยเป็นดั่งตัวเชื่อมมิตรภาพกลับคืนมา


ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ห้องแถวฝั่งตรงข้ามถูกประกาศขาย วันนี้เมื่อปราณกลับถึงบ้าน เขาก็เห็นว่าไวนิลแผ่นใหญ่ที่เคยติดอยู่เหนือกันสาดถูกปลดลงมาแล้ว อีกไม่นานคงจะมีเพื่อนบ้านคนใหม่ย้ายเข้ามา ไม่รู้ว่าจะดีเหมือนคนที่เพิ่งจากไปหรือเปล่า ชายหนุ่มวางสัมภาระลงบนเก้าอี้ตัดผมของป๊าก่อนจะเดินออกจากบ้านตรงไปยังเวิ้งที่เต็มไปด้วยร้านอาหารทั้งที่อาศัยชายคาตึกแถวและรถเข็น 


“เกี๊ยวน้ำถุงหนึ่งแปะ” ปราณร้องบอกชายชราเจ้าของรถเข็นขายบะหมี่ก่อนจะหันไปสั่งกะเพราไข่ดาวของโปรดกับลูกชายของเขาที่เปิดแผงขายอาหารตามสั่งอยู่ข้าง ๆ กัน


“วันนี้ไม่นั่งกินที่นี่เหรออาลี้น้อย”


“ไม่กินแปะ วันนี้จะไปกินกับเฮี่ยหมี่”


“ฮ่อ ๆ นี่สั่งเผื่ออาคุณหมอใช่ไหม เดี๋ยวแปะจะแถมเกี๊ยวตัวโต ๆ ให้ ฝากบอกอีด้วยว่าแวะมาเยี่ยมอั๊วะบ้าง อั๊วะคิดถึง”


“ได้แปะ” ปราณยิ้มอารมณ์ดีก่อนจะนั่งลงรออาหารที่สั่ง


ไม่ถึงสิบนาทีของที่สั่งก็ถูกลูกชายเจ้าของร้านบะหมี่รถเข็นใส่ถุงยกมาวางตรงหน้า


“เท่าไรเฮีย”


“เตี่ยอีบอกว่าฟรี ไม่คิดตังค์”


“เฮ้ย! จะดีเหรอเฮีย ของซื้อของขาย เฮียรับไปเถอะนะ”


“ไม่ได้ ๆ” อีกฝ่ายยกมือปฏิเสธพัลวัน “เตี่ยอีสั่งแล้ว ลื้อเอาไปฝากอาบะหมี่ตามที่อีบอกก็แล้วกัน” พูดจบหนุ่มพุงพลุ้ยเจ้าของแผงอาหารตามสั่งยิ้มตาหยีให้ก่อนจะเดินกลับไปหน้าเตาเหมือนเดิม


ปราณเองก็ยิ้มเช่นกัน นึกดีใจแทนอีกคนที่เป็นที่รักของใคร ๆ มากมาย แต่ทั้งที่มีแต่คนรัก เจ้าตัวกลับยังรู้สึกว่าตนเองขาดจนต้องเฝ้าค้นหา อยากจะให้บารมีมาอยู่ตรงนี้ด้วยกันเหลือเกิน จะได้รู้ว่าใครกันบ้างที่รักเขา คิดดังนั้นก็อยากจะไปถึงหอพักของโรงพยาบาลให้ไว ๆ อีกฝ่ายจะได้กินของโปรดที่ไม่ได้กินเสียนานในตอนที่มันยังร้อนอยู่


เนื่องจากไม่ใช่เวลาเร่งด่วน มัณฑนากรหนุ่มจึงใช้เวลาเพียงไม่นานในการเดินทางมาถึงโรงพยาบาล เขาถามเอากับเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยจนรู้ว่าหอพักของทันตแพทย์อยู่ที่ไหน ชายหนุ่มเดินดุ่มไปที่ด้านหลังของโรงพยาบาลก่อนจะตรงไปยังอาคารสูงห้าชั้นที่ป้ายด้านหน้าเขียนว่า ‘อาคารที่พักบุคลากร’ เมื่อเห็นรถของบารมีจอดอยู่จึงรู้ว่ามาไม่ผิดที่แน่ ปราณจึงตรงเข้าไปถามหาคนที่ต้องการพบเอากับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำหอพักซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะสำหรับติดต่อสอบถาม


“สวัสดีครับพี่ คือผมมาพบคุณหมอบารมีน่ะครับ ไม่ทราบว่าเขากลับมาหรือยัง”


“รถจอดอยู่นะครับ รถหมอนุพันธ์ก็อยู่ น่าจะมาแล้ว เพราะปกติจะเห็นกลับมาพร้อมกัน” ชายร่างผอมในชุดเครื่องแบบสีกรมท่ากดยิ้มก่อนจะยกมือป้องปากทำกระซิบกระซาบ “พวกแม่บ้านเขาซุบซิบว่าแกเป็นแฟนกัน ผมนี้ขนลุกเลย ผู้ชายกับผู้ชายจะเป็นแฟนกันได้ยังไง แต่ว่าไป ผมเห็นหมอบารมีครั้งแรกก็คิดว่าเป็นนักศึกษาหญิงที่ชอบตัดผมสั้นแต่งตัวเลียนแบบผู้ชายอยู่เหมือนกัน"


เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาไม่มีอารมณ์ร่วม รปภ. ขาดสารอาหารก็กลับเข้าสู่หน้าที่อีกครั้ง "เดี๋ยวผมลองดูให้ก่อน ถ้ามาแล้วจริง ๆ จะโทร.ขึ้นไปแจ้งให้ พอดีคุณหมอแกอยู่ตึกฝั่งตรงข้าม” พูดจบก็เดินออกไปนอกชายคาตึกเงยมองไปยังอีกฝั่ง “นั่นไงครับ ไฟเปิดอยู่” พูดพลางชี้ให้ดูระเบียงที่เปิดไฟสว่าง จากนั้นจึงเดินกลับเข้าไปที่โต๊ะในขณะที่ปราณยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น


ไม่ใช่แค่ชื่อไม่คุ้นหูที่ทำให้ความคิดต้องสะดุด แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นก็แทบทำให้ทั้งร่างชาและไม่อาจละสายตาไปไหนได้  มันคือภาพของชายหนุ่มแปลกหน้าที่กำลังปีนเก้าอี้เพื่อแขวนโมบายเปลือกหอยเหนือกรอบประตูระเบียงโดยมีพี่ชายที่เขาอยากเจอยืนให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง มือใหญ่กำหูหิ้วถุงพลาสติกแน่นก่อนจะเดินย้อนกลับมายังโต๊ะของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังเปิดสมุดหาเบอร์โทรศัพท์ภายในของห้องพักฝั่งตรงข้าม


“รอเดี๋ยวนะครับ พอดีผมจำเลขห้องคุณหมอบารมีไม่ได้”


“ไม่ต้องรีบหรอกครับพี่” ปราณกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาผิดกับตอนที่เพิ่งมาถึง “ผมฝากพี่ไว้ให้เขาดีกว่า หาเบอร์โทรศัพท์เจอเมื่อไรพี่ช่วยบอกให้เขาลงมาเอาก็แล้วกัน” พูดจบก็หยิบกล่องข้าวในถุงออกมาวาง “ส่วนข้าวนี่ผมยกให้พี่นะครับ ตอบแทนที่พี่ช่วยจัดการให้”


“จะไม่อยู่รอจริง ๆ เหรอครับ”


“พอดีผมนึกได้ว่ามีธุระน่ะครับ” ปราณยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะหันหลังจากมา ไม่แม้แต่จะคิดมองขึ้นไปยังระเบียงของอาคารฝั่งตรงข้าม


(มีต่อนะคะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2015 14:55:50 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


เกี๊ยวน้ำถุงใหญ่ทำให้ทันตแพทย์บารมีต้องกลับมาในที่ที่เขาเคยอยู่อีกครั้ง หนึ่งเดือนที่ผ่านมามีเรื่องราวยุ่งยากเกิดขึ้นมากมายระหว่างการทำงาน จึงทำให้ไม่ได้ย้อนกลับมาเยี่ยมเยือนชุมชนแห่งนี้อีกแม้จะคิดถึงเพียงใด ชายหนุ่มจอดรถที่หน้าร้านตัดผมบุรุษมองไปยังห้องแถวฝั่งตรงข้ามก็พบว่าป้ายบอกขายที่เคยติดไว้ถูกปลดออกไปแล้ว นึกดีใจที่อีกไม่นานกู๋ก็คงจะมีเงินก้อนใหญ่เอาไว้ต่อยอดธุรกิจสักที แต่ลึก ๆ ก็รู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อยเพราะนี่เป็นสิ่งที่เตือนให้รู้ว่าเขาคงจะต้องจากที่นี่ไปจริง ๆ แล้ว


ชายหนุ่มเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเดินไปยังร้านตัดผมซึ่งตอนนี้ปิดให้บริการแล้ว ประตูเหล็กด้านหน้าถูกดึงเข้าหากันเหลือไว้เพียงช่องเล็ก ๆ เหมือนกำลังรอการกลับมาของสมาชิกภายในบ้านที่อาจจะออกไปทำธุระข้างนอก บารมีจึงอาศัยความคุ้นเคยแทรกตัวเข้าไปด้านใน กล่าวทักทายสองสามีภรรยาเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งคุยกันอยู่หน้าทีวี


“อาบะหมี่มาพอดี จะได้มาช่วยอาลี้น้อยอีตัดสินใจ”


“มีอะไรกันเหรอครับป๊า” คนเพิ่งมาถึงทำหน้างุนงง


“ก็อาลี้น้อยน่ะสิ อีได้ทุนเรียนฟรีที่เกาหลี พอประกาศผลว่าได้ อีก็เกิดไม่อยากไปขึ้นมาเฉย ๆ” ช่างปริญญากล่าวพลางยื่นจดหมายราชการฉบับหนึ่งให้


“คณะมัณฑนศิลป์ประกาศรายชื่อผู้ได้รับทุนการศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติเกาหลี” บารมีอ่านข้อความที่หัวกระดาษจากนั้นจึงกวาดตาดูรายละเอียดคร่าว ๆ “แล้วเรื่องภาษาล่ะครับ ในนี้ไม่เห็นมีบอก”


“ลี้น้อยบอกว่าเขาไม่เอาผลสอบวัดระดับภาษาเกาหลีจ้ะ แต่ให้ไปเรียนปรับพื้นที่โน่นก่อนครึ่งปี” ภรรยาช่างตัดผมอธิบาย


“ก็ดีนี่ครับ แล้วทำไมลี้น้อยถึงจะไม่ไป แปลกจัง” พูดจบบารมีก็พับจดหมายสอดลงซองเหมือนเดิม “แล้วนี่เขาไปไหนเสียล่ะครับแม่”


“กลับมาเจอจดหมายนี่เข้าก็ทำหน้าเครียดเลย บ่นว่าไม่อยากไป นี่คงไปที่ศาลเจ้าละมั้ง พักนี้พอมีเรื่องไม่สบายใจก็ไปที่นั่นทุกที หมี่ไม่อยู่สักคนคงไม่มีใครให้ปรึกษา ป๊ากับแม่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรสักเท่าไร ได้แต่บอกว่าถ้าไม่สบายใจเรื่องอะไรก็ระบายให้ฟังได้ แต่ก็ไม่เห็นลี้น้อยว่ายังไง”


เมื่อได้ฟังดังนั้นบารมีก็ตัดสินใจไปยังศาลเจ้าแม้ช่างปริญญาและภรรยาจะเอ่ยปากห้ามเพราะฟ้าฝนทำท่าจะตกก็ตาม แม้จะมืดค่ำแล้วแต่ก็ไม่รู้สึกว่าที่นี่น่ากลัวเลยสักนิด เดินไปทางไหนก็มีแต่ลุงป้าน้าอาคนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งนั้น ทุกที่ที่ไปล้วนเป็นที่ที่ตัวเขาเองคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็กทั้งสิ้น หากมีใครที่ทำร้ายร่มที่ถือติดมือมาด้วยก็คงพอจะใช้เป็นอาวุธได้บ้าง


ไม่นานเจ้าของร่างเล็กก็มาหยุดยืนที่หน้าศาลเจ้า ลมฝนหอบเอาทั้งฝุ่นและควันเข้าปะทะหน้าจนต้องยกมือขึ้นกำบัง เมื่อสายลมคลายความเกรี้ยวกราด บารมีก็ก้าวเท้าผ่านช่องประตูเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งฝ่าควันธูปสวนออกมาพอดี

 
“ทำไมเมื่อวานไม่อยู่รอกัน รปภ.บอกว่าแกออกไปก่อนที่ฉันจะลงมาไม่ถึงสิบนาที”


“ไม่อยากรบกวนเวลา” ปราณตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ


“อะไรวะ รบกวนเวลาอะไรกัน ก็แกอุตส่าห์ซื้อเกี๊ยวน้ำอาแปะไปให้กิน ยังจะว่ารบกวนเวลา จะรอเจอกันก่อนก็ไม่ได้” บารมีบ่นในขณะที่เท้าก็ก้าวตาม


“เฮียอยากเจอผมด้วยเหรอ คิดว่ามีเพื่อนใหม่แล้วลืมทุกคนที่นี่แล้วเสียอีก”


“แกพูดอะไรของแกวะ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย”


“ไม่ต้องเข้าใจก็ได้” ปราณกล่าวก่อนจะหันหลังเดินต่อโดยไม่สนหยดน้ำที่กำลังร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าสีดำสนิท


“พูดไม่รู้เรื่องแล้วจะเดินหนีแบบนี้ได้ยังไงกัน แกโมโหอะไรของแกเนี่ย โกรธฉันเรื่องอะไรก็บอกมาสิ”


“เฮียสนใจด้วยเหรอว่าผมรู้สึกยังไง”


“ก็แกเป็นน้องฉัน จะไม่ให้สนใจได้ยังไง”


‘น้อง’ คำนั้นทำเอาคนฟังชะงักกึก ขายาวหยุดกะทันหันจนทำให้คนที่เดินตามมาชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างอย่างจัง


บารมีมุ่นคิ้วพลางยกมือขึ้นจับจมูกตัวเองมองคนที่กำลังหันกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ฉันไม่รู้ว่าแกโกรธฉันเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องที่ฉันไม่ได้กลับมาที่นี่ก็เพราะช่วงนี้ที่โรงพยาบาลมีแต่เรื่องวุ่น ๆ” ทันตแพทย์ร่างผอมบางกล่าวอย่างหัวเสียก่อนจะเป็นฝ่ายเดินหนีเสียเอง


“ด...เดี๋ยวเฮีย” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยขึ้นพร้อมกับรั้งข้อมือเล็กเอาไว้ แม้เมฆฝนจะก่อตัวรวมกันเป็นกลุ่มก้อนบดบังแสงจันทร์ แต่แสงอันน้อยนิดจากเสาไฟริมทางก็พอจะทำให้เห็นใบหน้าชวนมองที่กำลังส่ายน้อย ๆ ได้อย่างชัดเจน สีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจของบารมีทำให้ความกรุ่นในอารมณ์ของปราณค่อย ๆ คลายลง


“ไม่เข้าใจตัวเองจริง ๆ ว่าทำไมต้องมาเถียงกับแกด้วยเรื่องแค่นี้ วันนี้ก็แค่ตั้งใจจะมาขอบคุณเรื่องที่อุตส่าห์เอาเกี๊ยวน้ำไปให้กินก็เท่านั้นเอง” กล่าวพลางแกะมืออีกฝ่ายออก “ปล่อย ฉันไม่อยากอารมณ์เสียตามแก”


“ไม่ปล่อย จนกว่าเฮียจะหายโมโห”


บารมีถอนใจแรงจ้องหน้าคนพูด “ฉันอยากได้คำอธิบายแทนคำขอโทษ” ห้วนจนคนฟังกลืนน้ำลายเอื๊อก “ถ้าจะให้หายโมโหแกต้องตอบคำถามฉันอีกหนึ่งข้อ”


“ได้สิ เฮียอยากรู้อะไร”


“ทำไมแกถึงจะไม่รับทุน”


“ฮ...เฮียรู้?”


“เมื่อกี้ฉันแวะไปที่บ้านมา ป๊ากับแม่แกเล่าให้ฟังหมดแล้ว มีเหตุผลอะไรถึงไม่อยากไป”


“ไม่มีเหตุผลอะไร แค่ไม่อยากไป ที่สอบก็เพราะอาจารย์อยากให้ลองดู”


“สอบได้แล้วก็ยิ่งต้องไป ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการกั๊กที่คนอื่นเขา คนที่เขาอยากได้รับโอกาสนี้มีตั้งเยอะตั้งแยะ”


“แต่ผมไม่อยากไป”


“ตี๋ ฉันรู้ว่าแกไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลนะ บอกได้ไหมว่าทำไมแกถึงไม่อยากไป”


ปราณกดตาลงต่ำมองมือของตนเองที่ค่อย ๆ คลายออกจากข้อมือของอีกฝ่าย หน้าคมส่ายไปมาในขณะที่กรอบตากำลังร้อนผ่าวเพราะน้ำตาที่เอ่อขึ้นจนไม่อาจกลั้นไว้ได้อยู่ โชคดีที่ลมแรงพัดละอองน้ำปลิวฟุ้งกระทบกับผิวหน้า คงพอจะใช้เป็นข้ออ้างในยามที่ไม่สามารถสะกดความรู้สึกได้บ้าง


“ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”


“ตี๋...แกไม่เคยพูดโกหก บอกมาซิว่าเพราะอะไร”


“เพราะเฮียไง” ปราณที่ไม่อาจฝืนตัวเองได้อีกต่อไปตะโกนลั่นแข่งกับเสียงคำรามของท้องฟ้าพร้อมกับเงยหน้าขึ้น พยายามข่มแล้วแต่น้ำใสก็ดันไหลออกจากสองตาจนภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด


“พ...เพราะฉัน?”


“ลี้ไม่อยากไปก็เพราะเฮีย อยากอยู่ใกล้ ๆ เฮีย อยากรู้ว่าทุกวันฮียทำอะไรบ้าง อยากได้ยินเสียง อยากเจอหน้า”


บารมีแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง แต่เสียงโครมคลืนหลังจากประจุไฟฟ้าแหวกผ่านอากาศก็ไม่อาจกลบความจริงที่ปราณเพิ่งพูดออกมาเมื่อสักครู่ได้


“ก...แกคิดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”


“ไม่รู้” คนพูดส่ายหัวดิก “รู้ตัวอีกทีก็รักไปแล้ว”


‘รัก’


คำนั้นทำเอาคนฟังชาไปทั้งตัว จุกตรงกลางลำคอจนพูดไม่ออก ทั้งที่ตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหินหากแต่บารมียังรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างหนักอยู่ภายใต้อกเสื้อด้านซ้าย ขาล่าถอยไปได้เพียงนิดก็ต้องหยุดเพราะข้อมือถูกยึดไว้


“อย่าไปนะเฮีย อย่าหนีไปไหน อย่าทำให้ผมกลัวการได้พูดมันออกมา” พูดจบรั้งร่างเล็กไปยืนหลบสายฝนที่กำลังโปรยปรายลงมาภายใต้หลังคาที่ยื่นคลุมกระดานประกาศข่าวของชุมชน


ฝนหนาเม็ดส่งผลให้พื้นถนนกลับเจิ่งนองไปด้วยน้ำ อากาศรอบ ๆ หนาวเย็นจับจิตจับใจจนร่างกายไหวสะท้าน หากแต่ที่ข้อมือของบารมียังคงรู้สึกอุ่นเพราะสัมผัสจากมือหนาที่ไม่มีที่ท่าว่าจะคลายออก เมื่อต่างฝ่ายต่างไร้ซึ่งคำพูดความเงียบงันจึงโรยตัวโอบล้อมสองร่างเอาไว้ บารมีทอดตามองม่านน้ำที่ทิ้งลงตามแรงดึงดูดของโลก ความในใจที่น้องชายบ้านตรงข้ามได้กล่าวออกมาเมื่อครู่ทำให้นึกตำหนิตัวเองที่ไม่เคยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายเลยสักนิด อดคิดไม่ได้ว่าเขาคงทรมานอยู่ไม่น้อยที่ต้องเก็บมันไว้ภายในใจเรื่อยมา 


“รู้แบบนี้แล้วโกรธไหม เกลียดผมหรือเปล่า” คนอายุน้อยกว่าตัดสินใจถามคำถามที่ตัวเขาเองก็กลัวในคำตอบที่จะได้รับอยู่เหมือนกัน


“เปล่า” แม้จะเป็นคำสั้น ๆ แต่บารมีก็แน่ใจว่าเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ


“ผมคิดมาตลอดว่าถ้าพูดออกไปแล้วเฮียจะโกรธจะเกลียดกัน”


“สบายใจหรือยัง”


“อืม...” เจ้าของร่างสูงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถอนหายใจอย่างปลอดโปร่ง


บารมีพยักหน้าน้อย ๆ "ถ้าสบายใจแล้ว แกก็ไปเถอะนะ เพราะฉันเองก็ต้องไปเหมือนกัน"


"ฮ...เฮีย เฮียจะไปไหน" ปราณจ้องมองเสี้ยวหน้าที่ปรากฏขึ้นในความมืดยามที่ประจุไฟเคลื่อนที่จากก้อนเมฆไปยังก้อนเมฆจนเกิดเป็นแสงแวบวาบบนท้องฟ้า


"ฉันขอตามอาจารย์หมอไปทำงานแพทย์อาสาที่กาญจนบุรี" พูดจบก็ดึงมือของคนตัวโตออก


“เฮียจะไปเมื่อไร”


“ปลายเดือนหน้า”


“ไปนานไหม”


“ไม่รู้เหมือนกัน” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวเสียงแผ่ว ตัดสินใจกดสลักให้ร่มกางก่อนจะหันมาชวนคนบ้านใกล้ให้กลับกันเสียที แต่เมื่อกำลังจะก้าวออกจากใต้ชายคากันสาด เอวบางก็ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยท่อนแขนแกร่งจนไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ ร่างเล็กถูกรั้งเข้ามาแนบแผงอกกว้าง ดวงหน้ารับรู้สึกถึงไออุ่นของลมหายใจจากปลายจมูกที่อยู่ห่างไปไม่มาก


"สัญญาได้ไหมว่าจะรอ"


คนฟังส่ายหน้า "ฉันไม่สัญญา ส่วนแก...อย่ายึดติดกับคำพูดในวันนี้ อีกสองปีข้างหน้าความรู้สึกของแกมันอาจจะไม่ใช่แบบนี้แล้วก็ได้"


"ไม่...ไม่มีทาง ไม่มีทางเด็ดขาด ผมจะทำให้เฮียเห็น ไม่ว่าจะกี่ปีผมก็ไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด" พูดจบก็กระชับวงแขนให้แน่นเข้าพร้อมกับสบตาคู่สวยราวกับจะบอกให้รู้ว่าเขาพร้อมเสมอที่จะเปิดประตูให้อีกฝ่ายมาดูให้รู้แน่ว่าหัวใจของเขานั้นมั่นคงเสียยิ่งว่าสิ่งที่พูดออกไป


แต่ยิ่งร่างสูงโน้มหน้าใกล้เข้ามาเท่าไรบารมีก็ยิ่งอยากจะรีบถอยห่างให้ห่างออกไปมากขึ้นเท่านั้น นั่นเพราะเกรงว่าปราณจะได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเขาเองยังไม่รู้ว่าจะควบคุมมันสงบลงได้อย่างไร เมื่อรู้ตัวว่าหมดทางหนีหน้าหวานก็จำต้องเบือนไปทางอื่น แต่ก็ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อปราณใช้มือข้างที่เหลือจับปลายคางมนให้เชิดขึ้น


“ก...แก แกจะทำอะไร”


“ผมเคยสัญญากับตัวเองว่าผมจะไม่จูบใครส่งเดช และถ้าคิดจะจูบละก็ คน ๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่ผมรักจริง ๆ และคนนั้นก็คือเฮีย”


ปราณจ้องลึกลงไปในดวงตาไหวระริกคู่นั้นก่อนจะโน้มหน้าลงประกบริมฝีปากลงบนกลีบปากเย็นเฉียบเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ บารมีปิดเปลือกตาลงช้า ๆ เมื่อความอ่อนหวานละมุนละไมแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูกาย สัมผัสนิ่มนวลชวนให้หัวใจวูบไหว ไร้เรี่ยวแรงจนเผลอปล่อยให้ร่มหลุดมือปลิดปลิวไปตามกระแสลมกระโชก สองร่างเปียกปอนเพราะละอองฝนหากแต่ความรู้สึกอุ่นมิได้จางหายตราบเท่าที่เรือนกายและลมหายใจยังคงไม่ห่างจากกัน



...

ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้าซึ่งเป็นตอนจบนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2015 01:25:41 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
เพิ่งเห็นอ่ะ ปกติก็ไม่พลาดอยู่แล้ว
รอเฮียกับอาตี๋กลับมาเจอกันอีกครั้ง

ออฟไลน์ XVIII.88

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 440
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-0
    • XVIII.88
นึกว่าจะต้องร้องไห้เพราะเฮียไปกับหมอนุซะแล้ว  :hao5:
มาทีหลังจะมาแย่งเฮียไปจากลี้น้อยไม่ได้นะ

เฮียจะตอบรับความรู้สึกลี้น้อยใช่ไหม  :mew4:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
โอ๊ยยยย กว่าจะหวานทำเอาลุ้นผ้าปูแทบขาด

"อย่าทำให้ผมกลัวการได้พูดออกมา"
ชอบคำนี้จัง เข้าใจเลยกว่าคนพูดจะรวบรวมความกล้าพูดออกไปได้ มันไม่ได้ง่ายๆ เหมือนในโฆษณานะ ยิ่งรวมกับความรู้สึกหลายปีที่เก็บมาจนตกผลึก

ตอนหน้าจบแล้วเหรอ~ ไม่น้า อยากอ่านอีกง่า~ พล็อตมันน่าจะลากได้ยาวกว่านี้นะ นะ นะ *จิ้มพุงจึกๆ*

ปล.ตอนหน้าลี้น้อยจะสมหวังแล้วใช่ไหม? เพราะจบแล้ว สักทีเถอะนะ นี่ตอนโมบายขาดแทบขาดใจตามTT^TT

ออฟไลน์ ศตรัศมี

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แรกๆสงสารหมี่จับจิต หลังๆเริ่มสงสารลี้น้อยเพราะอ่านแล้วไม่รู้สึกว่าหมี่คิดกับลี้เกินน้องชายเลย คุณ ถธปทฟ ช่วยเอาหมอนุไปเก็บก่อนได้มั้ย ให้ลี้น้อยได้คู่กับหมี่โดยปลอดภัยเถอะ สาธุ โอมมะลึกกึ๊กกึ๋ย...

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
โถ  ลี้น้อยของป้า  :o12:

เป็นแค่น้องชายจริงๆนะ   ตอนหมอนุมานี่สิ้นปีหรือยัง?  ถ้ายังก็รอให้ลี้น้อยกลับมาจากเกาหลีก่อนแล้วกันนะ

ที่ลี้น้อยว่าก็ถูกนะ  บ่อยครั้งที่คนเราไม่มองตรงที่สิ่งที่มีอยู่  แต่ไปจดจ่อกับสิ่งที่ขาดไปมากกว่า  คนบางคนมองเห็นแก้วน้ำที่มีน้ำครึ่งแก้วว่าน้ำหายไปตั้งครึ่งงในขณะที่คนอื่นมองเป็นว่ามีน้ำตั้งครึ่งแก้ว

ขอบคุณมากค่ะ  รอตอนสุดท้ายค่ะ 

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
พึ่งจะได้เข้ามาอ่าน มาติดตามลี้น้อยด้วยคนนะคะ

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2628
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
คุณทำเราร้องไห้อีกแล้ว ทั้งซึ้งทั้งเศร้าในเวลาเดียวกัน

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ตอนแรกนึกว่าลี้น้อยจะได้ซดน้ำใบบัวบกซะแล้ว
ว่ากันตามจริง หากจะมีใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้างแล้วทำให้เฮียหมี่มีความสุข เราก็เชียร์นะ
เพราะถ้าเกิดเฮียหมี่ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับลี้น้อย มันก็ช่วยไม่ได้ รักและดูแลแบบน้องชายมาตลอด
ตอนนี้เหมือนสองคนจะค่อยขยับความสัมพันธ์ขึ้นมานิดนึง แต่ก็ต้องห่างกันอีกเป็นปี ๆ
หวังว่าท้ายที่สุดจะลงเอยด้วยความสุขและสมหวังของคนทั้งคู่ และคนอ่านด้วย อิอิ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อ่านแล้วอุทานเบาๆ อ้าววววววววว !!!
เงื่อนไขของเวลาทำให้เรารู้สึกจุกทุกครั้งจริงๆ

ออฟไลน์ veeveevivien

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0


กลับมาต่อไวไวนะคะ หลงรักลี้น้อยยยย  :o12: :o12:

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
เจ็บหัวใจตามลี้น้อยไปด้วยเลยค่ะ ตอนที่เจ้าตัวเขาหันไปเห็นหมี่ยืนอยู่กับใครอีกคนที่ตรงระเบียง :monkeysad: เกือบเข้าใจผิดกันไปแล้ว ดีนะคะที่ลี้น้อยเลือกที่จะยื้อและสารภาพความในใจออกไปเสียก่อน ^^ เราว่ารักแท้ของลี้น้อยไม่แพ้ระยะทางแน่นอนนะคะหมี่ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ได้เลย~~ ( ขอให้ลี้น้อยสมหวังด้วยเทอญ :call: )

คำผิดจ้า..

“เกี๊ยวน้ำถึง(ถุง)หนึ่งแปะ”

ผู้ชายหับ(กับ)ผู้ชายจะเป็นแฟนกันได้ยังไง

ออฟไลน์ Lovetree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
นิทานที่หมี่เล่าทำเรานำ้ตาไหลพรากจริงๆ  ชอบนิทานมากๆค่ะ
เด็กหญิงเดียวดายเข้มแข็งมากๆ เด็กชายสายลมก็น่ารักน่าสงสาร

ขอบอกว่าแอบกรี๊ดหมอนุค่ะ555 รู้สึกผิดต่อลี้น้อยจัง แต่ยังไงก็เชียร์ลี้น้อยอยู่แล้ว
ถ้าหมอนุรับรู้ถึงความผูกพันของลี้หมี่แบบเราก็คงยอมรับได้ที่จะเป็นเพื่อนที่แสนดีตลอดไป  ได้ไหมค่ะหมอนุ เราชอบหมอนุนะ55

ลี้น้อยยังเด็กชอบชวนทะเลาะ แต่ชอบที่หมี่กับลี้น้อยเข้าใจกันเร็ว  ไม่ต้องพูดอะไรกันมากเลย  ทะเลาะกันไม่เคยนาน555
พอหมี่บอกเหตุผลที่ไม่ได้มาหาเลย ลี้น้อยก็เลิกน้อยใจแล้ว  พอหมี่บอกว่าจะไปเหมือนกัน ลี้น้อยคงเข้าใจแล้วว่าหมี่ยังไม่มีแฟน
พอลี้น้อยบอกรัก  หมี่ก็รับรู้ถึงความรู้สึกได้แถมยังรู้สึกโทษตัวเองอีก  ใส่ใจความรู้สึกของลี้น้อยมากๆ  ชื่นชมหมี่มากๆ

ยังชอบลี้น้อยที่พูดจากวนๆ  การกระทำที่ละมุนละไม และตอนนี้ก็ชอบความคิดดีๆของลี้น้อย โดยเฉพาะเรื่องจูบ  กรี๊ดมากๆ
คิดว่าหมี่คงคิดแบบเดียวกัน  ก็เลยยอมให้ลี้น้อยจูบตนเองใช่ไหม รู้ใจตัวเองแล้วใช่ไหม  หมี่น่ารักที่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง

อีกสองปี ลี้น้อยกลับมาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้วทำให้หมี่เลือกให้ได้นะ  เชื่อว่าหมี่ยังรอ  แม้หมอนุอาจจะยังคิดจีบหมี่อยู่ก็ตาม
เหมือนหมอนุเฝ้ามองหมี่ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแล้ว  ทำไมหมอนุต้องทำให้กรี๊ดด้วยนะ  แต่ลี้น้อยทำให้รักนะ555

ดีใจมากๆที่จะได้อ่านอีกตอน  นักเขียนไม่ค่อยสบาย  พักผ่อนเยอะๆนะคะ  รอได้เสมอค่ะ
ขอบคุณมากๆนะคะ  สนุกมากๆและลุ้นทุกตอนเลยค่ะ :L2:




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ฟู่....ชอบเรื่องสั้นก็ตรงนี้ สั้น กระชับ เร้าอารมณ์

ออฟไลน์ Sillyfoolstupid

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-0
อั๊ยย้ะ first kiss  :hao7:
ถึงจะเป็นแ่ทางฝั่งของลี้น้อยฝั่งเดียวก็เถอะ
เพราะพี่บะหมี่น่ะคงไม่เหลือมาให้ลี้น้อยได้ชื่นใจหรอก ฮ่อล ขัดใจ พี่หมอฟันซะจริง

คืออ่านตอนของลี้น้อยแล้ว ปวดใจ กลั้นน้ำตาจนคอโป่ง
โถ่ถัง กะละมัง หม้อไห ช่างอาภัพเสียนี่กระไร

แต่พี่เค้ายอมให้จูบ แสดงว่ายังมีความหวังนะลี้น้อย
ไปเกาหลี เก็บเงินมาขอพี่บะหมี่แต่งงานนะ
คราวนี้ ลี้น้อยก็ได้ฟันหมอฟันละ อุ้ยๆๆๆๆ  :hao6:

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
ตอนที่ 6 นายสายลม



ในเดือนถัดมาเมื่อบารมีได้รับแจ้งจากอาจารย์หมอท่านหนึ่งที่เขาให้ความเคารพเรื่องกำหนดการเดินทางไปยังจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อเข้าร่วมทีมแพทย์อาสาลงพื้นที่ภาคตะวันตก ชายหนุ่มก็เริ่มเตรียมเก็บข้าวของรวมถึงทยอยเคลียร์เคสของคนไข้หลายรายที่อยู่ในความรับผิดชอบ

ทันทีที่อาจารย์หมอหรือผู้ช่วยศาสตราจารย์ทันตแพทย์พิพัฒน์เอ่ยปากชวนให้ไปช่วยงานในโครงการแพทย์อาสาในชนบทห่างไกล ทันตแพทย์คนหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกันกลับต้องขอเวลาคิดเพราะภาระทางบ้านบ้าง บางคนต้องผ่อนรถ ในขณะที่บางคนกำลังจะเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ดังนั้นคนตัวเปล่าเล่าเปลือยอย่างบารมีจึงไม่รั้งรอที่ตกปากรับคำด้วยความยินดี  เขาคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดหากวันนั้นปราณไม่สารภาพความในใจออกมา แต่ยิ่งรู้แบบนั้นก็ยิ่งต้องไปให้เร็วที่สุด เพื่อตัวปราณเองจะได้ตัดใจได้เช่นกัน


ร่างเล็กลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือลากเก้าเดินไปหยุดที่ประตูระเบียง เงยหน้าขึ้นมองโมบายเปลือกหอยที่กู๋ขจรแวะเอามาให้เมื่อเดือนก่อน ตอนที่กู๋โทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่ามันร่วงลงตอนที่กู๋ขึ้นไปปลดเชือกก็นึกใจหายอยู่เหมือนกันกลัวว่าจะแตกละเอียดเสียหมด โชคยังดีที่มันค้างอยู่กับพุ่มไม้ ไม่เช่นนั้นคงจะโดนรถเก็บขยะเหยียบจนบุบบี้เหมือนกับถังสแตนเลสใบนั้นแน่ ๆ บารมีหลับตาลงฟังเสียงกุ๊งกิ๊งของเปลือกหอยที่กระทบกันยามเมื่อสายลมพัดผ่านมา ได้ยินเสียงนี้ทีไรก็ให้คิดถึงเด็กชายแก้มยุ้ยกับเรื่องราวเมื่อครั้งยังเยาว์วัยอยู่ร่ำไป 


“อีกสองปี ถ้าแกยังรู้สึกแบบเดิมอยู่ละก็ เราค่อยกลับมาพูดเรื่องนี้กันใหม่”


นั่นคือไม้ตายสุดท้ายที่เขางัดขึ้นมาใช้กับน้องชายงอแงในวันสุดท้ายที่ได้พบกัน


“แสดงว่าเฮียจะรอ?” ดวงตาหม่นหมองเคลือบแฝงแววแห่งความไม่มั่นใจในขณะที่มือยังประคองแก้มขาวไม่ห่าง


คนอายุมากกว่าสายหน้าน้อย ๆ พร้อมกับดึงมือใหญ่ออกก่อนจะตอบ “เงื่อนไขคือตอนนั้นฉันเองก็ต้องไม่มีใคร เพราะฉะนั้นแกไม่จำเป็นต้องจริงจังอะไรกับสิ่งพูดออกมาในวันนี้”


ท้ายประโยคนั้นทำให้ปราณจำต้องถอยห่างออกมา ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงได้ดูแคลนหัวใจของตนเองได้ถึงเพียงนี้


“ผมจะตกลงรับทุนของรัฐบาลเกาหลีอย่างที่เฮียต้องการ แต่ไม่ใช่เพราะผมอยากไป ที่ผมไปเพราะผมจะพิสูจน์ให้เฮียเห็นว่าเวลามันไม่สามารถทำให้ผมเปลี่ยนใจได้”



ทันตแพทย์หนุ่มถอนใจเฮือก น้ำเสียงตัดพ้อกับแววตาที่มีแต่ความเศร้ายังคงตราตรึงอยู่ในห้วงแห่งความคิด ไม่รู้ว่านั่นจะใช่วันสุดท้ายที่ได้พบกันหรือไม่ แต่แทนที่ได้เห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายเหมือนเคย มันกลับตรงกันข้าม เพราะเมื่อปราณพูดจบเขาก็เดินจากไปโดยไม่คิดจะหันกลับมามองข้างหลังอีกเลย


เสียงเคาะประตูทำให้บารมีต้องละสายตาจากสิ่งที่กำลังพาให้เขาย้อนคืนสู่อดีต เมื่อเดินไปเปิดประตูก็พบว่าคนที่มาเคาะเรียกไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นทันตแพทย์หนุ่มที่อยู่ห้องถัดไปไม่ไกลนี่เอง


“ทำอะไรอยู่” นุพันธ์ถามพร้อมกับส่งยิ้มให้ รอยยิ้มของเขามักทำให้บารมีนึกสงสัยอยู่เสมอว่าผู้ชายคนนี้ไม่มีเรื่องให้ต้องทุกข์ใจบ้างหรือไรจึงยิ้มได้ตลอดเวลาเช่นนี้


“กำลังคิดว่าจะเก็บหนังสือลงกล่องน่ะ นุมีอะไรหรือเปล่า”


“เราซื้อเกี๊ยวน้ำมาสองถุง แต่คิดว่าคงกินไม่หมดแน่ ๆ เลยว่ามาหาคนช่วยกิน”


“วันนี้ข้ออ้างแปลก ๆ นะ” บารมีพูดยิ้ม ๆ ก่อนจะดึงประตูอ้าออก หลีกทางให้เจ้าของร่างสูง ตาคมทอกมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปหยุดวางถุงเกี๊ยวน้ำลงบนโต๊ะ จากนั้นก็จัดการเปิดตู้เหนือซิงค์ล้างจานหยิบชามกับตะเกียบออกมาราวกับรู้จักของทุกชิ้นในห้องนี้เป็นอย่างดี


“แปลกเหรอ ถ้าอย่างนั้นวันหลังนุจะพูดความจริงก็แล้วกัน” นุพันธ์กล่าวเมื่อนั่งลงที่โต๊ะเล็ก ๆ ที่บารมีใช้สำหรับรับประทานอาหาร


“ความจริงอะไรกัน” คนตัวเล็กถามพาซื่อขณะแก้ยางมัดปากถุงก่อนจะเทเกี๊ยวลงในชาม


“ก็...อยากกินข้าวด้วย” นุพันธ์ยิ้มหวาน


“โธ่ นึกว่าอะไร” พูดจบก็เทน้ำซุปร้อน ๆ ตามลงไปก่อนจะเลื่อนชามให้ จากนั้นจึงจัดการส่วนที่เหลือให้ตัวเองบ้าง เมื่อเรียบร้อยจึงเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้วแล้วยกมาวางลงบนโต๊ะ “ที่แท้ก็หาเพื่อนกินข้าวนี่เอง”


“เมื่อไรเบื่อเป็นเพื่อนแล้วบอกนะ” ร้อยยิ้มยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้าของคนพูด แม้จะเป็นการกล่าวแบบทีเล่นทีจริงแต่บารมีก็รู้ได้ว่ามันมีความหมายแอบแฝงอยู่ในที


“พูดมากน่า กินไป ๆ” เจ้าของแก้มสีเรื่อแสร้งทำรำคาญ จากนั้นจึงตักเกี๊ยวใส่ปาก


“เขินเหรอ”


“หึ” ทำลากเสียงพร้อมกับมุ่นคิ้ว


“เขินก็บอกว่าเขินสิ นุจะได้รู้ว่าที่ทำอยู่มันได้ผล เผื่อหมี่จะใจอ่อนบ้าง”


“กินไป” บารมียกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับกล่าวเสียงอู้อี้เพราะเกี๊ยวคำโต


เห็นอาการของอีกฝ่าย ทันตแพทย์นุพันธ์ก็ได้แต่อมยิ้ม ลงมือกินเกี๊ยวน้ำในชามของตนเองที่วันนี้ดูจะหวานเป็นพิเศษ


หลังจากมื้อเย็นผ่านไป บารมีก็จัดการล้างถ้วยชามในขณะที่เพื่อนเก่าสมัยมัธยมของเขายังคงนั่งรื้อ ๆ ค้น ๆ หนังสือที่ถูกวางไว้เป็นกอง ๆ เมื่อเลือกหนังสือได้ร่างสูงก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินไปที่โต๊ะหนังสือ แต่ไม่เห็นเก้าอี้ที่เคยตั้งอยู่จึงกวาดตามองหา


“หมี่เอาเก้าอี้มาตั้งตรงนี้ทำไมเหรอ”


“จะปลดโมบายลงมาน่ะ พอดีนุมาเคาะเรียกเสียก่อน ลืมไปเลย” คนที่กำลังยืนล้างจานหันมาตอบ


“ถ้าอย่างนั้นนุเอาลงมาให้นะ” พูดจบเขาก็เหยียบขึ้นไปบนเก้าอี้ก่อนจะเอื้อมมือปลดโมบายเปลือกหอยลงมา มองอย่างพิจารณา เห็นว่ามันเก่ามากแถมบางอันก็แตกบิ่นจนดูไม่เป็นเปลือกหอย จึงถามกับผู้เป็นเจ้าของ “ทิ้งเลยไหม เก่าแล้ว”     


“อย่าทิ้งนะ” บารมีรีบบอกก่อนจะเช็ดไม้เช็ดมือเดินไปคว้ากล่องกระดาษใบเล็กที่เตรียมไว้จากนั้นจึงเดินไปหยุดต่างหน้าคนที่ช่วยปลดโมบายเปลือกหอยลงมาให้ “เอาใส่นี่”


“อยากรู้จังว่าใครให้มา คงเป็นคนสำคัญมาก ๆ แน่ ๆ หมี่ถึงไม่ยอมทิ้ง” พูดจบก็หย่อนพวงเปลือกหอยลงกล่อง


“น้องข้างบ้านน่ะ” เจ้าของร่างเล็กจัดการปิดฝากล่อง กำลังจะหาที่วางก็ต้องหยุดเพราะคำถาม


“เพราะเขาด้วยหรือเปล่าที่ทำให้หมี่ปฏิเสธเรา”


“ม...ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้นแหละ” บารมีหลบสายตาที่มองมาราวกับจะค้นหาคำตอบก่อนจะเดินไปวางกล่องกระดาษในมือลงบนโต๊ะเขียนหนังสือ “เราก็แค่ไม่อยากให้นุต้องทนรอ ในขณะที่เราเองได้ออกไปทำตามใจตัวเอง”


คนตัวสูงส่ายหัวก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ “ถ้าคำตอบในใจหมี่คือเรา เราคิดว่าการรอคอยมันคุ้มค่านะ แต่ถ้าไม่ใช่...” นุพันธ์ยังคงยิ้ม “ก็ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ไม่ทำร้ายกัน”


บารมีเงยหน้าขึ้นสบตาคนพูดก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว “ขอบคุณเหมือนกันที่เข้าใจเรา”


“เลิกทำหน้ายังกับแบกโลกเอาไว้ได้แล้ว” เจ้าของรอยยิ้มพิมพ์ใจพูดพร้อมกับยกมือขึ้นโยกศีรษะคนตัวเล็ก “เราอกหักเรายังยิ้มได้เลย”


คำพูดติดตลกนั้นพอจะเรียกความสดใสให้กลับคืนสู่หัวใจห่อเหี่ยวของบารมีได้บ้าง ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพร้อมกับปัดมือที่กำลังทำให้หัวยุ่งออก “พูดเวอร์ไปแล้ว อกหักอะไรกัน”


“จริงด้วย เขายังไม่ทันตกลงคบด้วยเลยนี่นา” ว่าแล้วก็ถอนใจยาว “ก็เรามันมาทีหลังนี่เนอะ จะไปสู้คนที่เขามีอดีตร่วมกันได้ยังไง”


“พูดมากไปแล้ว กลับห้องไปได้แล้วไป” บารมีกล่าวพร้อมกับออกแรงดันแผ่นหลังกว้างให้เดินไปที่ประตู


“อะไรกัน พูดแทงใจดำเข้าหน่อยต้องไล่ด้วย”


“แทงใจดำบ้าอะไร กลับห้องไปได้แล้ว” ปากพูดในขณะที่มือก็ดึงประตูให้เปิด สังเกตว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนอีกต่อไป นุพันธ์ยอมก้าวออกไปแต่โดยดีก่อนจะหันกลับมาสบตาและส่งยิ้มให้เหมือนเคย


“ขอบคุณมากนะที่กินข้าวเป็นเพื่อน”


“อือ วันไหนต้องการเพื่อนก็บอก”


ต่างคนต่างยิ้มให้กัน เมื่อรู้สึกได้ว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนนั้นมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด


...



ในที่สุดวันที่ต้องออกเดินทางก็มาถึง คณะของอาจารย์หมอพิพัฒน์ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ทำให้บารมีต้องเดินทางลำพังเพียงคนเดียว ดังนั้นนุพันธ์จึงมาช่วยเขาตรวจสอบสภาพรถตั้งแต่เช้าตรู่ 


“เติมน้ำฉีดกระจกหน้ารถแล้วหรือยังหมี่”


“เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”


“ไม่ให้ห่วงได้ยังไง เดินทางไกลนะ”


“เราตรวจดูทุกอย่างเรียบร้อยแล้วสบายใจได้” พูดจบบารมีก็ปิดกระโปรงหน้ารถ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับร่างสูงของคนที่ไม่ได้พบกันเสียนาน “ตี๋” คำเรียกนั้นช่างแผ่วเบา


“แม่ให้เอาของกินมาให้เฮียน่ะ” ปราณกล่าวพร้อมกับส่งปิ่นโตเถาเล็กให้ “วันก่อนเฮียโทร.ไปบอกว่าจะเดินทางวันนี้ เมื่อคืนแม่เลยทำตุ๋นไก่ให้จะได้เอาไปกินที่โน่น”


“ขอบใจนะ” บารมีรับปิ่นโตมาถือเอาไว้ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรมากกว่านี้ดี


“คนนี้น่ะเหรอ น้องชายข้างบ้านที่หมี่พูดถึง” คนที่ยืนเป็นอากาศอยู่นานจงใจแทรกขึ้นพร้อมกับกดยิ้มมุมปาก สบตาผู้มาเยือนแวบหนึ่งแล้วจึงรั้งปิ่นโตจากมือเล็กก่อนจะเดินอ้อมไปวางให้ยังที่นั่งข้างคนขับ


ปราณกำหมัดแน่น ‘น้องชายข้างบ้าน’ ที่ได้ยินทันตแพทย์นุพันธ์เรียกฟังแล้วให้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่คำนี้หลุดจากปากเฮียหมี่ของเขาเสียอีก


“กลับก่อนนะ” ว่าแล้วก็หันหลังกลับ 


“ด...เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป”


คำร้องขอนั้นไม่ได้ทำให้หัวใจแห้งเหี่ยวของคนฟังพองฟูขึ้นเลยสักนิด ปราณได้แต่ยืนนิ่งรอฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด


“แล้วแกล่ะ จะเดินทางเมื่อไร”


“อีกสองเดือน” เป็นคำตอบสั้น ๆ ตอบทั้งที่ไม่ได้หันมาสบตาคนถามเลยด้วยซ้ำ


จากกรุงเทพฯถึงกาญจนบุรีใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษ แต่ไม่ว่าจะเป็นหนทางห่างไกลเพียงใดหรือระยะเวลาจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเท่าไรก็ไม่อาจทำให้ทันตแพทย์หนุ่มหยุดคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลยสักนาทีเดียว ดวงตาเศร้าสร้อยของปราณทำให้นึกเป็นห่วง แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ก็คงทำได้แค่เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจและหวังว่าประสบการณ์จะทำให้อีกฝ่ายเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งเท่านั้น บารมีจอดรถที่หน้าโรงพยาบาลประจำจังหวัดซึ่งเป็นปลายทางของวันนี้ก่อนจะเดินทางสู่อำเภอสังขละบุรีซึ่งเป็นขอบแดนตะวันตกของประเทศซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นงานแพทย์อาสาในพื้นที่ภาคตะวันตกของเขาในวันรุ่งขึ้น


...


‘ยิ่งหา ยิ่งห่าง ยิ่งไม่เห็น

บางคนอยู่ใกล้กัน แต่กลับมองกันไม่เห็น

ทั้งที่นั่งทำงานโต๊ะใกล้ ๆ กัน แต่กลับไม่เคยได้คุยกัน

ทั้งที่ยืนถ่ายรูปข้าง ๆ กัน แต่กลับไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร

ทั้งที่ยืนอยู่ต่อหน้า แต่กลับมองผ่านเลยไป

...เพราะไม่สำคัญ...

แต่ถ้าวันหนึ่งใครคนนั้นกลายมาเป็นคนสำคัญของคุณ

แม้ในภาพถ่ายที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูงมากมาย คุณจะมองเห็นเขาเป็นคนแรก

แม้ว่าเธอจะยืนอยู่ไกลสักเพียงไหน คุณจะรู้สึกว่าเธอยืนอยู่ใกล้ ๆ

และแม้ว่าจะไม่ได้คุยกัน แต่คุณจะรู้สึกได้ถึงถ้อยคำมากมายในดวงตาคู่นั้น

คุณว่าอย่างนั้นไหม?’



ปราณวางหนังสือที่ถูกส่งมาจากประเทศไทยเมื่อไม่กี่วันก่อนลงทันทีที่ตาคมกวาดตามตัวอักษรจนกระทั่งมาถึงบรรทัดสุดท้าย  หน้าปกเป็นภาพของเปลือกหอยที่ถูกร้อยเข้าไว้ด้วยกัน ใครที่ได้เห็นก็คงพอจะนึกถึงเสียงของมันในยามที่กระแสลมพัดผ่านได้อย่างไม่ยาก ตัวอักษรพิมพ์นูน ‘ในอ้อมกอดของสายลม’ คือชื่อของหนังสือ


ส่วนชื่อผู้แต่งที่อยู่ถัดลงมานั้นปราณรู้จักดี นี่คือพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มแรกของ ‘ขจร นราธิป’ สถาปนิกวัยห้าสิบปีเศษที่วางดินสอเขียนแบบแล้วมาจับปากกาถ่ายทอดประสบการณ์ความรักหลังครองตนโสดมานานนับสิบปีจนเจ้าตัวก็ยังคิดว่าชาตินี้คงต้องอยู่บนคานทองแห้งเหี่ยวเฉาตายเสียแล้ว ที่ปกหลังมีคำโปรยสั้น ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งในเล่ม


‘เสียงของมันทำให้รู้ว่า...สายลมยังคงพัดวนอยู่รอบตัวเรา’


จู่ ๆ ข้อความนั้นก็ทำให้นึกถึงใครบางคนขึ้นมา การใช้ชีวิตเพียงลำพังในต่างแดนทำให้เขาแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะคิดถึงบ้าน เกือบสองปีของการเรียนระดับปริญญาโทในสาธารณรัฐเกาหลีทำให้เขาต้องปรับตัวอย่างมาก ที่ปรึกษาหนึ่งเดียวที่มีก็คืออาจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ และที่พึ่งที่ดีสุดในยามทุกข์ยากก็หนีไม่พ้นตัวของเขาเอง


แม้สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะทำให้หลงลืมบางอย่างไปบ้าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่ปราณไม่เคยลืมมันเลย...



(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2015 08:54:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


ธันวาคม 2558   


ประตูเหล็กม้วนที่หน้าคลินิกทำฟันเล็ก ๆ ในอำเภอสังขละบุรีถูกดึงลงเมื่อเวลาจวนค่ำ ทันตแพทย์หนุ่มที่รับอาสาปิดร้านจัดการใส่กุญแจและตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะโทรศัพท์รายงานต่อเจ้าของตัวจริงซึ่งติดภารกิจต้องเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงเกษียณอายุของข้าราชการคนสำคัญในตัวจังหวัดเพื่อความสบายใจ บารมีขับรถออกจากคลินิกมุ่งหน้าสู่แม่น้ำซองกาเรีย จอดรถที่มุมหนึ่งก่อนจะตรงไปยังสะพานไม้ระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตรที่เชื่อมไปยังหมู่บ้านชาวมอญซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม


ทันตแพทย์ร่างเล็กเดินไปไปหยุดยังกลางสะพานก่อนจะทอดตามองแสงสุดท้ายที่ปลายขอบฟ้า กว่าหนึ่งปีแล้วที่เขาตัดสินใจอยู่ช่วยงานอาจารย์หมอพิพัฒน์ซึ่งเปิดคลินิกทำฟันให้กับคนยากไร้หลังโครงการแพทย์อาสาสิ้นสุดลง คลินิกเล็ก ๆ ที่ไม่เคยเลือกว่าคนไข้จะเป็นคนไทย คนมอญ หรือแม้แต่ผู้ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่เคยเลือกว่าเขาคนนั้นจะยากมีดีมีจนอย่างไร


ดังนั้นอาจารย์หมอพิพัฒน์จึงเป็นตัวอย่างให้คนในชุมชนเห็นว่าหากเรามีความปรารถนาดีให้กับผู้อื่น เราก็ได้รับแต่สิ่งดี ๆ กลับคืน ในปีต่อ ๆ มาจึงมีแพทย์และทันตแพทย์ผู้มีความสามารถจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจเดินตามทางที่อาจารย์ได้วางไว้ นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้บารมีคิดว่านอกจากจะเป็นโชคดีของเพื่อนร่วมวิชาชีพที่จะได้รับประสบการณ์ซึ่งหาไม่ได้ในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ แล้วยังถือว่าเป็นโชคดีของบรรดาลุงป้าน้าอาที่ไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะไปใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชนอีกด้วย


เสียงเตือนจากโปรแกรมสนทนาในโทรศัพท์ทำให้บารมีต้องหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาจากกระเป๋ากางเกง รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อจู่ ๆ คนที่ไม่ได้คุยกันนานนับปีก็ส่งข้อความมาหา


‘ทำอะไรอยู่’


“ฟังเสียงลม แกล่ะ”


‘มองเฮียอยู่’


ข้อความที่ถูกส่งกลับมาทำเอาบารมีต้องละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ และสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของเขาก็คือ เด็กชายสมบูรณ์ เด็กชายร่างเล็กที่มักจะทำหน้าที่เป็นไกด์ท้องถิ่นให้กับนั่งท่องเที่ยวที่มาเดินชมความงามของสะพานมอญแห่งนี้ แม้ผิวคล้ำทำให้ร่างแทบจะกลืนไปกับความมืดหากแต่รอยยิ้มของหนุ่มน้อยกลับลอยเด่นมาแต่ไกล   


“หมอ ๆ มีคนฝากมาให้” พูดจบสมบูรณ์ก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ก่อนจะวิ่งจี๋กลับไปยังหมู่บ้านชาวมอญ


เมื่อบารมีคลี่กระดาษแผ่นนั้นออก เขาก็พบข้อความที่เขียนด้วยลายมือ ‘เสียงของมันทำให้รู้ว่า...สายลมยังคงพัดวนอยู่รอบตัวเรา’

“นายสายลม” ปากบางเม้มแน่นเมื่ออ่านลงมาจนถึงชื่อคนส่ง ทันตแพทย์หนุ่มเหลียวซ้ายแลขวาพิจารณาให้แน่ว่าเจ้าของลายมือไม่ได้คลาดจากสายตาจึงตัดสินใจเดินกลับมาที่รถ หวังจะได้พบนายสายลมที่นั่นแต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด จะส่งข้อความกลับไปถามว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนแต่สัญญาณอินเทอร์เน็ตก็ขาด ๆ หาย ๆ สุดท้ายเมื่อไม่พบใคร บารมีก็ถอดใจคิดว่ามันคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเป็นความบังเอิญ


ชายหนุ่มจอดรถที่หน้าบ้านเช่าชั้นเดียวยกพื้นเตี้ย ๆ ซึ่งตั้งอยู่หลังตลาด เดินขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก่อนจะไขกุญแจดึงประตูให้เปิดออก จัดการเปิดไฟให้ห้องพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดเท่าแมวดิ้นตายสว่างขึ้น กำลังจะหันมาดึงลูกบิด จู่ ๆ ประตูก็ถูกกระชากออก ภาพที่เห็นคือร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งกำลังหอบตัวโยนอยู่ต่อหน้าในขณะที่มือใหญ่ยังคงเกาะขอบประตูแน่น เขาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนและรองเท้าผ้าใบขาด ๆ สะพายเป้ใบโตเหมือนนักท่องเที่ยวทั่ว ๆ ไป ปีกหมวกแก๊ปบนศีรษะทำให้เห็นหน้าไม่ชัดนัก


“ม...ไม่ ไม่...รอกันเลย” พูดไปก็พ่นลมออกจากปากไป


บารมีมุ่นคิ้วเมื่อรู้สึกคุ้นกับเสียงที่ได้ยิน “ตี๋...ตี๋เหรอ”


“ก...ก็ ก็ใช่น่ะสิ” เจ้าของร่างสูงยืดตัวขึ้นก่อนจะถอดหมวกออก ทำให้เห็นเม็ดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามไรผม “อุต...อุตส่าห์ฝากน้องไกด์บอกให้...รอก่อน รู้ไหม...รู้ไหมว่า” ปราณกลืนน้ำลายบรรเทาความแห้งผากในลำคอ “ว...วิ่งตามมาตั้งแต่สะพานมอญ”


“ไม่ได้บอกนี่ เด็กคนนั้นก็แค่ยื่นกระดาษให้เฉย ๆ” พูดพลางยกมือขึ้นเกาแก้ม ไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือสงสารดี


“โธ่...” ว่าแล้วคนอายุน้อยกว่าก็ทิ้งตัวลงนั่งแผ่อย่างหมดแรง


“ลุกไปนั่งข้างในเถอะ” เจ้าของบ้านเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นมือให้จับ


ปราณเงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะวางมือลงบนมือเล็กที่กำลังออกแรงดึงให้เขาลุกขึ้น


“ตัวหนักเป็นบ้า”


“เฮียไม่มีแรงเองต่างหาก” เจ้าของร่างสูงกล่าวก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงแคบ ๆ ปลดเป้วางลงกับพื้น มองคนตัวเล็กที่มาหยุดอยู่ตรงหน้า เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้บารมีเปลี่ยนไปเลยสักนิด แล้วเวลาก็ไม่ได้ทำให้หัวใจของเขาเปลี่ยนไปเช่นกัน


“หายโกรธแล้วเหรอถึงมาที่นี่”


“ไม่ได้โกรธสักหน่อย” ปราณตอบชัดเจนแต่กลับเลือกที่จะเอาประโยค ‘ก็แค่น้อยใจ’ ไว้ในลำคอ


“แล้วรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”


“ง่าย ๆ ก็ถามเอาจากแฟนเฮียไง”


“ใคร” บารมีกอดอกมองอีกฝ่ายที่ยังคงยียวนกวนประสาทไม่เปลี่ยน


“ก็หมอนุพันธ์ไง”


“เขาไม่ได้เป็นเป็นแฟนฉันสักหน่อย แกไปเอาที่ไหนมาพูด”


ปราณกดยิ้มมุมปาก อย่างน้อยก็สามารถตัดคู่แข่งออกไปได้ “ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับมาคุยเรื่องที่คุยค้างไว้ได้แล้วใช่ไหม”


“เรื่องอะไรของแก” คนตัวเล็กทำเฉไฉ


“ก็เรื่องที่ว่า ถ้าอีกสองปีเฮียยังไม่มีใคร แล้วผมเองก็ยังไม่เปลี่ยนใจ เราจะ...”


“แน่ใจได้ยังไงว่าฉันยังไม่มีใคร”


“มาทวงสัญญาทั้งที ผมก็ต้องทำการบ้านมาดีหน่อยสิ หมอนุพันธ์เล่าเรื่องเกี่ยวกับเฮียให้ผมฟังทุกอย่าง เพราะฉะนั้นผมก็เลยจะมารับเฮียกลับบ้านด้วยกัน”


บารมีถอนใจพลางส่ายหน้าระอา ไม่คิดว่าเพื่อนรักจะหักเหลี่ยมโหดได้ลงคอ ชายหนุ่มเดินไปรั้งผ้าเช็ดตัวที่ตากอยู่ก่อนผลุบเข้าไปในห้องน้ำอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“อ้าว! อะไรวะ ยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย” ปราณบ่นพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปเคาะประตูห้องน้ำเรียกให้คนข้างในออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง


“ไอ้ตี๋ ถ้าแกขืนยังโวยวายฉันจะให้แกออกไปนอนตากลมหนาวข้างนอก”


ในที่สุดเสียงปรามจากหลังประตูไม้ก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่จำต้องปิดปากเงียบ เดินคอตกกลับมานั่งลงที่เดิม


พักใหญ่ ๆ บารมีก็เปิดประตูออกมาก่อนจะเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ปาใส่หัวคนที่กำลังถือวิสาสะนั่งหยิบโน่นจับนี่อยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ


“เฮ้ย! มันอยู่กับเฮียได้ยังไง” ปราณร้องขึ้นทันทีที่ดึงโมบายเปลือกหอยออกมาจากกล่องใบเล็ก “ก็วันนั้นมันตกลงมานี่นา ตอนเช้าผมไปดูก็ไม่มีแล้ว”


“กู๋เก็บไว้ให้” เจ้าของบ้านกล่าวขณะเปิดประตูออกไปตากผ้าเช็ดตัวที่ราวระเบียง ทันทีที่ประตูเปิดออก สายลมกลางฤดูหนาวก็พัดเข้าปะทะพาให้ร่างสั่นสะท้านจนต้องรีบกลับเข้าไปหาความอบอุ่นข้างใน “ไปอาบน้ำได้แล้วไป วิ่งมาตั้งไกล ตัวมีแต่เหงื่อ”


ปราณพยักหน้าพร้อมกับวางของที่ระลึกในวัยเด็กลงก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวพาดบ่าคว้าชุดใหม่ในเป้ กวาดตามองรอบ ๆ เห็นว่าในบ้านแทบจะไม่มีข้าวของมีค่าอะไรเลย ซ้ำในห้องน้ำก็ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ตักน้ำรดตัวไปก็คิดไป ไม่รู้ว่าบารมีทนหนาวได้อย่างไรกัน


ร่างสูงออกจากห้องน้ำเมื่อออกไปตากผ้าเช็ดตัวที่ระเบียงก็ต้องปากคอสั่นกลับมา หวังว่าจะได้นอนใต้ผ้าหุ่มอุ่น ๆ บนเตียง แต่หมอนที่เจ้าของบ้านเตรียมเอาไว้ให้ก็ทำให้รู้ว่าที่นอนของเขาในคืนนี้คือพื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ


“ใจร้ายว่ะ” ปราณบ่นพึมพำมองคนที่นอนหันหลังให้อยู่บนเตียง


“อย่าบ่นน่า เกาหลีหนาวกว่านี้อีก”


‘เออจริง’ คิดในใจแล้วก็ล้มตัวลงนอน


เมืองเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขาเมืองนี้ช่างเงียบสงบเหลือเกิน ปราณรู้สึกแบบนั้น แม้จะอยู่ใกล้ตลาดแต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงรถราสัญจรไปมาเลย เงียบเชียบเสียจนหูรับรู้ได้ถึงเสียงของกิ่งไม้ที่ไหวลู่ไปตามลม พื้นกระเบื้องนี่ยิ่งนอนนาน ๆ ก็ยิ่งเย็นเยือกเสียจนต้องกัดฟันขดกอดตัวเองเพื่อให้คลายความหนาว กำลังจะเคลิ้มหลับจู่ ๆ มืออุ่นก็แตะลงที่ต้นแขน


“หนาวเหรอตี๋ ถ้าหนาวก็ขึ้นมานอนบนเตียงนี่” พูดจบบารมีก็ถอยร่นพอให้มีที่สำหรับอีกคน


ราวกับเสียงสวรรค์ ไม่ต้องให้พูดซ้ำ ร่างใหญ่ก็คว้าหมอนค่อย ๆ ปีนขึ้นซุกตัวใต้ผ้าห่มนุ่ม พยายามเคลื่อนไหวช้า ๆ และทำตัวให้เล็กที่สุดเพื่อจะได้ไม่รบกวนเจ้าของบ้านที่อุตส่าห์มีน้ำใจ ชายหนุ่มหลับตาลงกระนั้นกลิ่นหอมจาง ๆ ที่ลอยวนอยู่กับปลายจมูกก็ทำให้ต้องปรือตามองร่างเล็กที่กำลังขยับไหวตามจังหวะการหายใจ


“กลับบ้านกับลี้นะเฮีย” ปราณกล่าวอย่างแผ่วเบา คิดว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วแต่กลับได้ยินเสียงอู้อี้ตอบกลับมา


“อือ”


“ฮ...เฮียว่าไงนะ” เจ้าของร่างใหญ่ขยับเข้าใกล้ ตั้งใจฟัง


“กลับก็กลับไง”


“พรุ่งนี้เลยนะ”


“อื้อ” คนง่วงลากเสียงด้วยความรำคาญ แต่แล้วแขนแกร่งที่สอดรัดรั้งร่างเข้าไปกอดนั้นก็ทำให้ตาสว่างอีกครั้ง “เฮ้ย! กอดทำไม”


“กลัวตกเตียง” ปราณกระซิบที่ข้างหูก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอสูดกลิ่นกายหอมฟุ้งของพี่ชายคนสนิทให้หายคิดถึง


“ไอ้ตี๋บ้า” บารมีกลั้นยิ้มก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง หากนี่คือความฝันก็คงเป็นฝันที่อุ่นที่สุด


...


ในที่สุดย่านคนจีนกลางมหานครใหญ่ก็ได้มีโอกาสอ้าแขนต้อนรับการกลับมาของบารมีอีกครั้ง ทันตแพทย์หนุ่มมองออกไปนอกกระจกรถที่กำลังเคลื่อนไปบนถนนซึ่งเต็มไปด้วยรถรา ที่นี่ดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนัก เมื่อรถเลี้ยวเข้าไปในซอยเขาก็พบว่ามีห้องแถวหลายหลังที่มีการทาสีใหม่แต่ก็ยังคงรูปแบบเดิมเอาไว้ จะมีแปลกตาไปก็คงจะเป็นห้องแถวฝั่งตรงข้ามกับร้านตัดผมที่ตอนนี้ถูกปรับปรุงใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น


“ฝั่งโน้นเขาทำเป็นอะไรน่ะ”


“คลินิกทำฟันน่ะ แต่ยังไม่เปิด เขารอเจ้าของมาเปิดอยู่” ปราณตอบเมื่อรถจอดสนิท “เข้าบ้านก่อนเถอะเฮีย ป๊ากับแม่รออยู่”


บารมีเปิดประตูลงจากรถก่อนจะเดินตามร่างสูงเข้าไปในบ้าน ภาพแรกที่เห็นก็คือแม่ของปราณที่ตรงเข้ามาสวมกอด เธอยิ้มทั้งน้ำตาจนบะหมี่นึกตำหนิตัวเองที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมเยียน ส่วนป๊าที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ไม่ได้ต่างกันเลย แม้จะพยายามฝืนแต่น้ำตาลูกผู้ชายก็ไหลนองทั้งสองแก้มจนลูกชายตัวจริงต้องยื่นผ้าเช็ดหน้าให้


แต่สิ่งที่ทำให้บารมีต้องประหลาดใจหนักก็คือการได้พบอาจารย์หมอบวรที่นี่ ชายหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ผู้ชายคนนั้นดูแก่ไปมาก ผมสีดอกเลาที่เคยใส่น้ำมันหวีปัดจัดทรงจนเนี้ยบตอนนี้กลับถูกปล่อยตามธรรมชาติ เขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกล่าวขอบคุณปราณ


“ขอบใจเธอมากนะที่ช่วยพาลูกชายของฉันกลับมา”


คำพูดของผู้เป็นพ่อทำเอาลูกที่ถูกมองข้ามอย่างบารมีรู้สึกชาไปทั้งร่าง ชายหนุ่มยืนทื่อก่อนจะนึกขึ้นได้จึงยกมือไหว้ มองพ่อบังเกิดเกล้าที่กำลังเดินตรงเข้ามา


“ฉันเอาเงินของแม่แกมาคืน” พูดจบมือกร้านก็ล้วงลงไปในซองกระดาษก่อนจะหยิบสมุดบัญชีธนาคารส่งให้


บารมีมุ่นคิ้วเพราะจำได้ว่ามันไม่ใช่สมุดบัญชีของแม่


“รับไปสิ” ทันตแพทย์บวรกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูมีอำนาจ


ชายหนุ่มหันไปสบตาภรรยาช่างตัดผมที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เพื่อขอความเห็น


“รับสิลูก ผู้ใหญ่ให้ก็ต้องรับไว้”


ได้ฟังดังนั้นจึงตัดสินใจรับมันไว้ เมื่อเปิดดูก็พบว่าชื่อบัญชีเป็นชื่อของตัวเขาเอง ‘บรามี นราธิป’ ส่วนยอดนั้นก็เพิ่มจากยอดเดิมของแม่อยู่มากโข มากจนเขารู้สึกว่าไม่อาจจะรับมันไว้ได้


“อาจารย์เก็บไว้เถอะครับ นี่มันไม่ควรจะเป็นของผม”


“ฉันไม่ได้ให้แกเปล่า ๆ” หมอบวรกล่าวก่อนจะเดินออกไปยืนมองห้องแถวฝั่งตรงข้าม “ฉันให้แกเพื่อให้แกเอาไปช่วยคนอื่น”


“หมายความว่ายังไงครับ” ลูกชายถามอย่างไม่เข้าใจในขณะที่ขาก้าวตามร่างสูงของผู้เป็นพ่อ


“ฉันอาจจะไม่ใช่พ่อที่ดีนัก ไม่ได้ดูแลแกมาแต่ต้น แต่วันนี้ฉันอยากให้มันเป็นของขวัญกับแก ให้แกใช้มันหาเลี้ยงตัวเอง อนาคตจะได้ไม่ลำบาก” พูดจบเจ้าของเส้นผมสีดอกเลาก็ก้มลงไขกุญแจก่อนจะยกประตูเหล็กม้วนขึ้น


มองผ่านประตูกระจกใสเข้าไปภายในบนผนังสีขาวด้านหลังเคาท์เตอร์ มีตัวอักษรนูนเรียงเป็นคำ ‘คลินิกทันตกรรมบี.สไมล์’ ซึ่งมีชื่อของเขาเป็นทันตแพทย์ประจำ


“นี่เอกสารสำคัญทั้งหมด” ทันตแพทย์บวรกล่าวพร้อมกับยื่นซองในมือให้


“ต...แต่ว่า”


“รับไว้สิ”


“แต่ผมคงไม่มีความสามารถ...”


“อย่าดูถูกตัวเอง” คนเป็นพ่อกล่าวเสียงเครือ นึกตำหนิตนเองที่มีส่วนทำให้ลูกชายรู้สึกไม่มั่นใจในความสามารถที่มี ที่ผ่านมาพ่ออย่างเขาไม่เคยชื่นชมเมื่อลูกประสบความสำเร็จหรือแม้แต่ถ้อยคำให้กำลังใจยามที่ลูกล้มลงก็ไม่มีเลย “มันอาจจะไม่ได้มีพิธีเปิดใหญ่โตเหมือนคนอื่น ๆ เขา แต่ขอให้รู้ไว้ว่ามันคือสิ่งที่พ่อตั้งใจให้ลูก”


“พ่อ” เป็นครั้งแรกที่บารมีพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำโดยไม่สนใจว่ามันจะสร้างความขุ่นเคืองให้แก่คนฟัง “แค่พ่อมาเปิดให้นั่นก็เป็นมงคลที่สุดแล้วละครับ”


ผู้เป็นพ่อพยักหน้าก่อนจะรั้งร่างลูกชายเข้ามากอด “พ่อเชื่อว่าแกต้องทำได้” 


(มีต่อนะคะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2015 06:54:12 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +466/-3
    • ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า
(ต่อค่ะ)


หลังจากย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ บารมีก็ถูกเชิญให้ไปทำงานที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้งตอนเย็นถึงจะกลับมาเปิดคลินิก ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นคนทำงานที่ไม่มีเวลาไปโรงพยาบาลในเวลาราชการรวมถึงบรรดาเด็ก ๆ ในชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง ส่วนปราณนอกจากจะได้ทำงานในบริษัทรับออกแบบตกแต่งภายในที่มีชื่อเสียงแล้วยังได้รับการทาบทามจากมหาวิทยาลัยที่เคยเรียนให้กลับไปให้ความรู้แก่น้อง ๆ นักศึกษาที่เป็นศิษย์ปัจจุบันเป็นครั้งคราว และร้านบะหมี่รถเข็นของอาแปะก็ยังคงเป็นจุดนัดพบหลังเลิกงานเหมือนเช่นเคย


“แปะ เกี๊ยวน้ำหนึ่ง บะหมี่แห้งหนึ่ง” มัณฑนากรหนุ่มร้องสั่งก่อนจะเดินตามทันตแพทย์ร่างเล็กมานั่งลงที่โต๊ะ


“เบื่อกะเพราไข่ดาวแล้วเหรอ”


“อยากกินบะหมี่มากกว่า” คำตอบนั้นยังไม่เท่ากับสายตาที่ส่งมา ทำเอาเจ้าของคำถามต้องเสมองไปทางอื่น


“ตกลงจะให้คำตอบได้หรือยัง รอมาเดือนกว่าแล้วนะ”


“ถามว่าอะไร ลืมไปแล้ว”


“อายุมากแล้วก็อย่างนี้แหละ ลืมง่าย”


“ไอ้ตี๋ แกว่าใครแก่”


“ก็ว่าเฮียน่ะแหละ”


“ฉันไม่ได้ลืมสักหน่อย แค่ยังไม่อยากตอบ”


“จะรออะไรอีกเนี่ย เลขสามแล้วนะเฮีย”


“ซินแสบอกว่าอยู่เป็นโสดแล้วจะร่ำรวยเงินทอง เนรมิตรทุกอย่างได้เหมือนกับผู้วิเศษเลยละ”


“ไปดูดวงมาอีกแล้วเหรอเนี่ย ถ้าเชื่อหมอดูแบบนี้ ผมก็กินแห้วน่ะสิ”


บารมีอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ย อันที่จริงเขาไม่ได้อยากเป็นผู้วิเศษแบบที่ซินแสว่าหรอก อยากเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ๆ ที่ใครสักคนซึ่งพิเศษกว่าคนอื่น ๆ อยู่เคียงข้างกันก็เท่านั้น   


หลังจากท้องอิ่มสองคนก็พากันเดินกลับเข้าไปในซอยก่อนจะแยกย้าย แต่แทนที่จะเข้าบ้านตัวเองปราณกลับเปลี่ยนใจเดินข้ามมายังคลินิกทันตกรรมที่เพิ่งเปิดใหม่ เจ้าของร่างสูงก้มลงลอดผ่านช่องประตูเหล็กม้วนที่ถูกดึงปิดลงมาครึ่งหนึ่งเข้าไปด้านในซึ่งสร้างความแปลกใจให้ผู้เป็นเจ้าของอยู่ไม่น้อย


“ทำไมยังไม่เข้าบ้านอีก”


“ปวดฟันก็เลยจะมาให้คุณหมอตรวจฟันครับ”


“ปวดมากไหม เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลยนี่นา ถ้าอย่างนั้นเข้าไปข้างในก่อน เดี๋ยวฉันดูให้” บารมีกล่าวอย่างร้อนใจ กำลังจะเดินน้ำเข้าไปในห้องทำฟันก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยคำพูดสั้น ๆ


“ตรงนี้แหละ”


“ตรงนี้จะตรวจได้ยังไง ไม่มีเครื่องมือสักชิ้น”


“เอาเถอะน่า” พูดจบปราณก็พาคนตัวเล็กกว่าไปนั่งที่โซฟา ส่วนตัวเขาเองก็ถือโอกาสนอนหนุนตักหมอฟันเสียเลย


“ไหนบอกว่าปวดฟันไง”


“หายแล้ว”


“โกหกกันนี่” คุณหมอบ่นพร้อมกับพยายามผลักหัวหนัก ๆ ออก


“ที่ไม่โกหกน่ะตรงนี้” ว่าแล้วก็รั้งมือบางวางบนหน้าอกในตำแหน่งเดียวกับหัวใจ


“ปากดี”


“ปากหวานต่างหาก แต่ก็ยังดีกว่าพวกปากไม่ตรงกับใจ”


“ถ้าปากอยู่ตรงกับใจคนนั้นร่างกายต้องผิดปกติแน่ ๆ”


ปราณถอนใจเฮือกก่อนจะลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าคนพูดด้วยสายตาคาดโทษ “ผมเริ่มไม่สนุกกับเฮียแล้วนะ ไม่รู้ละเฮียเอาจูบแรกของผมไปแล้ว ยังไงวันนี้ก็ต้องทำให้เฮียยอมพูดออกมาให้ได้” พูดจบก็อาศัยความได้เปรียบยึดข้อมือของคนที่กำลังคิดหนีเอาไว้ “ตอบมาเดี๋ยวนี้ว่าจะยอมเป็นแฟนกันหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นจูบจริง ๆ ด้วย”


“ไอ้ตี๋ ไอ้ขี้โกง”


“ตอบมาเดี๋ยวนี้” ปราณกล่าวพร้อมกับโน้มหน้าเข้าใกล้ “ตอบมาเสียดี ๆ หรือว่าอยากโดนจูบ”


“ต...ตอบ ตอบ ๆ ตอบแล้ว”


“ว่ายังไง”


“ย...ยอม ยอมก็ได้ ยอมแล้วไงไอ้ตี๋บ้า ออกไปห่าง ๆ สิ”


คนฟังยิ้มมุมปากก่อนกดปลายจมูกลงสูดกลิ่นหอมที่ข้างแก้มขาวเข้าฟอดใหญ่ “ถ้าเรียกตี๋อีกจะโดนแบบนี้ บอกแล้วว่ามันห่างเหิน”


“แล้วทีแกมาทำพูดผมกับฉันล่ะ”


“นี่แน่ะ แกกับฉันก็ไม่ได้” อีกหนึ่งฟอด


“อ...ไอ้...”


“ไอ้อะไร หืม?” ปราณกล่าวพลางใช้ปลายจมูกเขี่ยเล่นที่ใบหูแดงแปร๊ดเบา ๆ


“ล...ลี้ ปล่อยยยย” บารมีกล่าวเสียงอ่อย


“ปล่อยก็ได้ ถ้าเฮียสัญญาว่าต่อไปนี้เราจะพูดกันเหมือนเดิม ลี้สัญญาว่าจะไม่พูดแบบนั้นกับเฮียอีก จะไม่อยากเป็นผู้ใหญ่ในสายตาของเฮียแต่จะเป็นลี้น้อยแบบนี้”


“เออๆๆ สัญญาก็สัญญา”


“ดีมาก” พูดจบปลายจมูกโงก็ยังไม่วายขโมยหอมเข้าอีกฟอด


“อะไรวะ ก็สัญญาแล้วไง ยังจะหอมอีก”


“อันนี้เอาคืนที่เฮียแอบหอมแก้มลี้ตอนเด็ก ๆ”


“ไอ้ตี๋!!! แกยังคลานอยู่เลยแกจำได้ด้วยเหรอ” บารมีร้องเสียงหลง


“เดาเอา เดาถูกใช่ไหมล่ะ” จบประโยคนั้นแก้มแดงก็ร้อนฉ่าเพราะปลายจมูกที่ฉกสูดกลิ่นหอมขวาทีซ้ายทีซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


ในที่สุดวันนี้บารมีก็ได้รู้ว่า ‘ปราณ’ ไม่ได้เป็นแค่สายลมที่พัดมาแล้วผ่านไป แต่จะเป็นลมหายใจให้กันตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต


จบจ้ะ





สวัสดีค่ะ
ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา ในที่สุดเราก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้ว
หวังว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้คงพอจะทำให้คนอ่านยิ้มได้บ้างนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดและขอบคุณสำหรับทุก ๆ คอมเมนต์ค่ะ
สำหรับเรื่อง “ในอ้อมกอดของสายลม” นี้ เราคิดว่าน่าจะเป็นนิยายเรื่องสุดท้ายของปีนี้
และอาจจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขียนค่ะ ตามที่เคยบอกผู้อ่านไปแล้วว่าเรามีภารกิจเยอะ
ถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่ามาไกลมาก ๆ แล้ว ได้มีหนังสือเป็นของตัวเอง 1 เล่ม
กับนิยายอีกหลายเรื่องที่หลายคนถามว่าเมื่อไรจะรวมเล่มสักที
บางทีเราก็คิดว่ามันสนุกดี เลิกงานแล้วได้กลับมาหาข้อมูล ได้เขียนนิยาย ได้เที่ยว
ได้อ่านหนังสือที่ไม่ใช่ตำราเรียนหรือได้ทำในสิ่งที่ชอบ
มันมีความสุขดีจนเราเผลอวางเรื่องเครียด ๆ บางเรื่องที่ต้องทำเอาไว้เฉย ๆ เผลอคิดว่าไม่ทำก็ไม่เป็นไร
555 อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับน้อง ๆ นะคะ
เลยคิดว่าหลังจากนี้จะออกล่าฝันสักที

เพราะชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไร
มันจะไปจบที่ตรงไหน แต่จะยังไงก็ต้องไปให้ถึง (ขอบคุณพี่ตูนค่ะ)

ไม่ได้เป็นการร่ำลานะคะ เราไม่ได้หนีไปไหนนะ ไม่ได้ทอดทิ้งคนอ่าน แค่อยากแจ้งให้ทุกท่านทราบ
จะได้ไม่เสียอารมณ์ ทำไมขอตอนพิเศษก็ไม่เขียนไรงี้
ถ้ามีเวลาจะพยายามทำให้นิยายเรื่องที่เหลือออกมาเป็นเล่มให้ได้ค่ะ แต่คงนานหน่อย

ปลายปีนี้จะครบ 2 ปีแล้วนะคะที่เรามีโอกาสได้รู้จักกัน ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ
ที่ให้การต้อนรับขับสู้เลี้ยงดูปูเสื่อเราเป็นอย่างดี ขอบคุณพี่ ๆ น้อง ๆ เพื่อน ๆ นักเขียนทุกท่าน
และขอบคุณ Hermit Books  ที่คอยให้ความช่วยเหลือค่ะ
หวังว่าเราคงจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดไป

ขอบคุณค่ะ

ถธปทฟ.
 
ปล. สำหรับรีปริ๊น “ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า” มีความคืบหน้ายังไงเราจะได้แจ้งให้ทราบต่อไป
เรื่องอื่น ๆ ที่หลายท่านถามเรื่องรวมเล่ม ก็จะพยายามอัพเดตให้ฟังว่าเป็นยังไงบ้างถ้าหากมีความเคลื่อนไหวค่ะ
ส่วนเรื่องสั้นชุด "ในความคิดถึง" ประกอบด้วย ปลายทางคิดถึง , ในอ้อมกอดของสายลม นั้น
เราวางแผนว่าหากมีการรวมเล่มก็คงจะรอให้มีเรื่องที่ 3 ก่อนค่ะ
 


เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ค่ะ
อยากจะขอบคุณทุก ๆ คอมเมนต์อีกครั้งที่แวะเวียนมาคุยกัน
เราได้รับประโยชน์มาก ๆ เพราะอาจมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คิดไม่ถึง
สุดท้ายต้องขออภัยที่ต้องทำร้ายจิตใจแม่ยกหมอนุค่ะ 555

ปล.2 คุณ Lovetree คะ ถ้าผ่านมารบกวนมองเลยขึ้นไปบนข้อความส่วนตัวนะคะ...เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม.. ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2015 20:49:59 โดย ถ้าเธอเป็นท้องฟ้า »

ออฟไลน์ leGGyDan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
ในที่สุด ลี้น้อยของเจ้ก็ยิ้มออกซะที โอยยย ผ้าปูขาดแล่ววว555
จีบคนแก่มันยากเนาะ หมอนุอกหักซะแล้วเดาว่านางจะเป็นพระเอกของภาคต่อใช่ไหมคะ อย่าทิ้งนางนะเรารักนาง ออกจะแมน แฟร์ๆ งี้(เอ๊ะ!ได้ข่าวออกไม่กี่ฉาก แต่ดูชอบประหนึ่งพระเอก)

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา btw be with you, everytime is our party.
ยังคงยืนยันว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อ่านนิยายแล้วยิ้มได้กว้างขนาดนี้ ขอบคุณที่ทำให้เรายิ้มได้ทุกครั้งที่ได้อ่าน
จะรอผลงานต่อไปเหมือนตฤณกรที่เฝ้ามองอาทิตย์ทัศน์ค่ะ

ดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะคะ อากาศเปลี่ยนปล่อย ลมหนาวเริ่มมาเยี่ยมเยือนแล้ว

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
ลี้น้อยทวงคำตอบจากหมอหมี่ได้น่ารักมากๆ เลยค่า :m3: แถมทวงไปทวงมาก็ดันจับได้เสียอีกว่าหมอหมี่แอบหอมแก้มตัวเองเมื่อตอนยังเป็นเด็กน้อย :m20: หลังจากนี้คงถูกเอาคืนอีกยาวแน่ๆ เลยนะคะหมอหมี่ เพราะถ้าให้นับระยะเวลากว่าที่ลี้น้อยจะโตจนแก้มยุ้ยๆ หายไปหมดนี่ก็หลายปีอยู่นา~ ><

ดีใจกับลี้น้อยที่สมหวังเสียที แล้วก็ดีใจกับหมอหมี่ที่ได้ปรับความเข้าใจกับคุณพ่อด้วยนะคะ ^^ อะไรจะสุขใจมากไปกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว :heaven

ขอบคุณค่ะ :pig4:

ปล. เฝ้ารอผลงานต่อๆ ไปนะค้า~~

คำผิด + คำตก ..จ้า ^^

กำหนดการเดิน(ทาง)ไปยังจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อเข้าร่วมทีมแพทย์อาสาลงพื้นที่ภาคตะวันตก

โชคยังดีที่มันแล้ว(ยัง)ค้างอยู่กับพุ่มไม้

เพื่อนเก่าสมัยมัธยมของเขายังคงนั่งลื้อๆ(รื้อ) ค้นๆ

พูดจบก็หย่อนพวงเปือก(เปลือก)หอยลงกล่อง

"เราเช็ก(เช็ค)ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วสบายใจได้"

“อีกสองเดือน” เป็น(คำ)ตอบสั้น ๆ

แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ก็คงทำได้(แค่)เก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในใจ

ทั้งที่ยืนถ่ายรู้(ถ่ายรูป)ข้าง ๆ กัน แต่กลับไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายคิดอะไร

การใช้ชีวิตเพียงลำพังในต่างแดนทำให้เขาแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด(คิดถึง)บ้าน

พูดพราง(พลาง)ยกมือขึ้นเกาแก้ม

“แน่จะใจ(จะแน่ใจ)ได้ยังไงว่าฉันยังไม่มีใคร”

ซ้ำในห้องน้ำก็ไม่(ไม่มี)เครื่องทำน้ำอุ่น

แม้จะอยู่ใกล้ตลาดแต่แทบจะไม่ได้ยินเสียงรารถ(รถรา)สัญจรไปมาเลย

ปราณกระซิบที่ข้างหูก่อนจะซุกหน้าลงกับซอกคอสูดกลิ่นหอมกายหอมฟุ้ง(สูดกลิ่นกายหอมฟุ้ง)ของพี่ชายคนสนิทให้หายคิดถึง

“เออๆๆ สัญญาก็สัญา(สัญญา)”

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
อ่านแล้วทำให้คิดว่า บางทีเรามองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
เอามองหาในสิ่งที่เราอยากได้ หันมาใส่ใจสิ่งที่อยู่กับเรา
อยู่รอบตัวเราบ้างก็ดี
ปล. ขอบคุณสำหรับนิยาย ไม่ผิดหวังจริงๆที่อ่าน และขอให้คุณส้สมหวังกับสิ่งที่ตั้งใจ

ออฟไลน์ GBlk

  • ขอให้สรรพสัตว์จงมีความสุข
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-43
เรื่อยๆ แต่แอบหน่วงตลอด

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
วันนี้จะยอมเรียกอ.หมอบวรค่ะ ในที่สุดก็โตพอที่จะเข้าใจนะอาจารย์หมอว่าหมี่ไม่ได้ต้องการอาจารย์หมอแต่หมี่อยากได้พ่อ   มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา

ในที่สุดหมี่กับลี้น้อยก็เจอความสุขพร้อมกับหากันเจอเสียทีนะ   

อบอุ่นมากๆค่ะ  ขอบคุณมากค่ะ

ป.ล ชอบหมอนุค่ะ  นางโผล่มาแล้วฟีลกู๊ดค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด