Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 29
กักขัง
รามินทร์ตื่นในช่วงตีห้าของวันใหม่เพื่อจะเตรียมตัวไปร่วมงานแต่งงานของอภิหชัยบดินทร์ เพราะในฐานะที่เป็นเจ้าของรีสอร์ทจะไม่โผล่ไปงานเลยก็เห็นทีจะไม่ใช่เรื่อง เขาจัดการอาบน้ำแต่งตัวอย่างเงียบเชียบที่สุด โชคดีที่อินทัชหลับลึกมาก ไม่รู้ว่าเหนื่อย หรือไม่ระแวงกันแล้ว...
แต่มันก็เป็นเรื่องดี เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาก
ที่สำคัญ...เขาไม่อยากเห็นสายตาที่แสดงถึงความผิดหวัง
ไม่ได้อยากทำ...แต่ก็ทำ
“กูขอโทษ...ที่ครั้งนี้ กูก็จำเป็นต้องใจร้ายอีก”
ร่างสูงเดินไปเช็คประตูหน้าต่างทุกบานของบ้านพักให้ดี ก่อนจะทำการล็อกกุญแจบ้านโดยขังร่างโปร่งบางจากด้านในเอาไว้ หน้าต่างก็ใส่กรงเล็กที่โทรมาสั่งก่อนจะพาอินทัชมาที่นี่แล้ว กันร่างโปร่งบางหนี แล้วก็สั่งห้ามไม่ให้ลูกน้องเข้ามายุ่มย่ามแถวนี้ด้วย
“แล้วจะรีบกลับ”
เขามองตัวบ้านพักที่เงียบสลัดก่อนจะตัดใจเดินจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกผิด รู้สึกไม่ได้ แต่จะทำยังไงได้ล่ะ พามันกลับไปมันก็เจอเพื่อนของมัน แต่ถ้ามันอยู่นี่โดยไม่ขัง มันก็อาจจะหนี...
ถ้าอินทัชกลับไปแล้ว...ระหว่างเราจะกลายเป็นคนอื่นกันทันที เขาจะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ ไม่ได้พบ และนั่นรามินทร์ไม่ยอมเด็ดขาด!
แสงแดดแยงกระทบเปลือกตา ทำให้คนที่นอนหลับสบายอยู่ต้องขมวดคิ้วอย่างรำคาญแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา หันมองข้างๆ ก็ไม่พบกับเจ้าของบ้านพักก็มองไปยังประตูห้องน้ำพบว่ามันไม่ได้ปิด ไม่มีเสียงน้ำไหลหรือเสียงน้ำกระทบกับพื้น ร่างขาวค่อยๆ หยัดตัวเองขึ้นนั่ง เหยียดแขนขาแล้วค่อยๆ ลุกออกจากเตียง เดินไปที่ห้องน้ำทำธุระส่วนตัวของตัวเองให้เรียนร้อยอย่างที่ทำเป็นปกติ
ยังไม่ได้รู้สึกเลยว่า...มีบางอย่างผิดปกติไป
“ไปไหนของมัน” พึมพำเบาๆ เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยจนออกมาข้างนอกห้องนอน เดินจนรอบบ้านก็ไม่เห็นรามินทร์อยู่เลยเดินไปที่ครัวแล้วทำอาหารเช้าทานแทน
ร่างโปร่งทำเผื่อรามินทร์ด้วยความเคยชิน พอกินส่วนของตัวเองเสร็จก็จัดการเอาอะไรมาปิดจานที่แบ่งไว้ให้รามินทร์เอาไว้ ก่อนจะเดินจากห้องครัวไปเพื่อไปเดินเล่นข้างนอก รามินทร์ไม่อยู่ตอนนี้ ก็ขอไปสูดอากาศหน่อยเถอะ
กึก!
“หือ...ทำไมเปิดประตูไม่ได้”
กึก!
ลองอีกครั้งก็ไม่เป็นผล ไม่ต้องให้ลองครั้งที่สามอินทัชก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“มึงขังกู!! ไอ้ราม!!!” กัดฟันแน่นด้วยความโกรธ เดินไปที่หน้าต่างก็พบว่าทุกบานติดลูกกรงทั้งหมด ออกไม่ได้ แล้วประตูก็บานใหญ่เกินว่าที่แรงของเขาจะพังมันออกไป
เจ็บใจ!!!
เจ็บใจ...ที่มันไม่เชื่อใจเขาว่าไม่คิดหนีจริงๆ
และนอกจากความเจ็บใจแล้วเขายังเสียใจ...เสียใจที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องเสียใจ เพราะยังไงซะ มันก็เป็นเรื่องที่เขาต้องชินชาไปได้แล้ว...
“มึงมันใจร้าย...ที่ทำดีกับกูเมื่อวานนี้ก็เพราะว่ามึงจะทำแบบนี้ใช่ไหม”
ร่างโปร่งไม่มีทางรับรู้เลยว่า น้ำเสียงและดวงตาของตนมันตัดพ้อคนที่ขังเขาไว้ยังไงบ้าง...และถ้ารามินทร์เห็นมัน คงจะรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกันนัก
เอาคืนกันให้พอ...เพราะถ้าเขาไปแล้ว เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีก
ทั้งๆ ที่คิดแบบนี้...แต่ทำไม ลึกๆ ในใจถึงรู้สึกว่าไม่อยากไปกันนะ
...
...
...
“พี่ราม...ถึงกับต้องพาพี่อินหนีเลยเหรอ” เจ้าจอมถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าตึงๆ บ่งบอกว่ายังไม่หายโกรธรามินทร์ แต่ที่คุยด้วยเพราะเป็นห่วงอินทัช
“พี่ไม่ได้พาหนี”
“งั้นทำไมถึงไม่ให้พี่อินอยู่ อ๋อ...เพราะถ้าพี่อินอยู่ พี่อินก็จะถูกพาตัวกลับไป พี่ก็จะไม่ได้แก้แค้นใช่ไหมล่ะ” เจ้าจอมประชดประชันพี่ชาย จนรามินทร์ทำหน้าไม่ถูก
“เจ้าจอม...มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันยังไง ถ้าพี่บอกว่าพี่ไม่โกรธพี่อินแล้ว ไม่แค้นพี่อินแล้ว ทำไมไม่ปล่อยพี่อินไป ไอ้ที่พี่เคยบอกจอมน่ะ จอมไม่เชื่อหรอก” เจ้าจอมดูท่าจะยิ่งหัวเสีย
“พี่ก็ไม่ได้หวังให้เจ้าจอมเชื่อพี่”
“เฮอะ!!”
“ถ้าคุณธีรไนยถามถึงไอ้อิน ให้บอกไปว่ามันไม่อยู่แล้ว แค่มาพักผ่อนแล้วก็ไป”
“จอมต้องเชื่อพี่ด้วยเหรอ?”
“พี่แค่ขอร้อง…”
“ถ้าพี่รามไม่ใช่พี่ชายของจอมนะ...” ร่างเล็กพูดแค่นั้นก็เดินออกจากตรงจุดที่ร่างหนานั่งอยู่
“พี่รู้เจ้าจอม...”
งานกำลังจะเริ่มการเซอร์ไพรส์ แต่จิตใจของรามินทร์ไม่ได้อยู่ที่นี่
มันอยู่ที่ใครอีกคน คนที่เขาขังเอาไว้ในบ้านพักหลังเล็กๆ หลังนั้น มองดูนาฬิกาว่าจะออกไปได้ช่วงไหนอย่างกระวนกระวาย
“ดูคุณรีบๆ นะครับ” น้ำเสียงไม่คุ้นหูถามขึ้น เรียกสายตาของรามินทร์ให้หันไปมองคนที่เดินมาทักอย่างให้ความสนใจก่อนจะลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นว่าเป็นลูกค้า
“สวัสดีครับ เชิญนั่งก่อนสิครับ”
“ขอบคุณนะครับคุณรามินทร์ นั่งคนเดียวแบบนี้คงจะเหงาแย่เลยสินะครับ” ชายคนนั้นถามขณะนั่งลงไปด้วย ส่วนรามินทร์ก็นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านั่งลงแล้ว
“ก็ไม่เหงาเท่าไหร่หรอกครับคุณธีรไนย”
“เรียกธีร์สั้นๆ ก็ได้ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณธีร์ก็เรียกผมว่ารามสั้นๆ ก็ได้ครับ”
“โอเคครับ”
คนที่มาทักทายรามินทร์เป็นคนเดียวกันกับคนที่เขาต้องการพาอินทัชหนีออกไป เพื่อไม่ให้ทั้งสองคนเจอกัน...และเหมือนว่าจะชีวิตจะดูตลกร้ายเพราะธีรไนยดันเข้ามาหาเขาเอง
และจุดประสงค์ ทำไมเขาจะไม่รู้
“คุณธีร์มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” รามินทร์ปรับสีหน้าและน้ำเสียงให้ดูจริงจัง ยังไงซะ รีสอร์ทและโรงแรมของเขาก็ให้ทางบริษัทของอัคนีเป็นคนดูแล ฉะนั้นรามินทร์ก็ถือว่าเป็นลูกค้าคนสำคัญของอภิหชัยบดินทร์
“ผมแค่มาทักทายน่ะครับ ก็คุณรามเป็นลูกค้าของบริษัทเรา แต่ว่าผมยังไม่เคยเจอคุณรามเลย ก็เลยมาทักทายและพูดคุยด้วยก็เท่านั้นครับ” ร่างโปร่งบางยิ้มให้
สำหรับรามินทร์ ธีรไนยหล่อ หล่อมากๆ ตรงกันข้ามกับเพื่อนรักอย่างอินทัชที่น่าหวานและสวยสุดๆ แต่ในเชิงกายภาพแล้ว ธีรไนยดูจะผอมกว่า อินทัชจะมีกล้ามเนื้อมากกว่า ส่วนสูงก็คงจะพอๆ กัน แต่ธีรไนยน่าจะสูงกว่าอยู่นิดหน่อย
“งั้นหรือครับ” รามินทร์ยิ้มให้
“รีสอร์ทที่นี่สวยดีนะครับ ไม่ใช่แบบที่ทางเราออกแบบเสียด้วย ใครออกแบบรีสอร์ทให้คุณรามหรือครับ” ธีรไนยชมและสอบถามด้วยความสนใจส่วนตัวของตนล้วนๆ
“เป็นลูกน้องคนสนิทที่เก่งมากๆ ในด้านนี้น่ะครับ”
“สวยจริงๆ ครับ เข้ากับธรรมชาติได้ดีสุดๆ ไปเลย บรรยากาศก็ดี”
“ขอบคุณครับ ถ้าคุณธีร์ชอบก็มาพักบ่อยๆ สิครับ มาพักผ่อน แล้วผมจะให้ส่วนลดพิเศษเลยครับ”
“ฮะๆ ถ้าว่างผมจะมาพักผ่อนที่นี่ก็แล้วกันนะครับ”
“ยินดีเลยครับ”
สองหนุ่มคุยกันอย่างออกรส สนิทสนมกันเร็วกว่าที่คาด เพราะช่วงอายุที่ไล่เลี่ยกันทำให้ไลฟ์สไตล์ก็เหมือนๆ กัน ทางรามินทร์เองเมื่อคุยอยู่กับธีรไนยนานๆ เข้าก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมาทางเขาจนรู้สึกเย็นยะเยือก ก็พยายามมองหาสาเหตุ ก็พบกับดวงตาดุจราชสีห์ของพีรพัฒน์ที่จ้องเขาไม่วางตา
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณราม”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”
แค่แฟนคุณจ้องผมอย่างกับจะกินหัวแล้วก็เท่านั้น
“ก็เห็นมองหาอะไรอยู่ นึกว่ารอคนเสียอีก”
“ฮ่าๆ เปล่าครับ ผมแค่มองบรรยากาศภายในงานไปรอบๆ น่ะครับ แล้วคุณธีร์กับคุณพัฒน์ออกมาแสดงตัวแบบนี้ไม่กลัวคุณดรีมเห็นครับ”
“ไม่หรอกครับ เดี๋ยวดรีมมาผมค่อยหลีกไป ว่าแต่ว่า ผมมีเรื่องอยากจะให้คุณรามช่วยเหลือหน่อยน่ะครับ” ร่างโปร่งเอ่ยขึ้น ทำเอาหัวใจของรามินทร์เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นทันที
นี่สินะ ความรู้สึกกังวลของคนที่มีความผิดติดตัว
“อะไรหรือครับ”
“เพื่อนผมเขาหายไป...” ธีรไนยเกริ่น แต่เพียงแค่เกริ่นก็ทำเอาเหงื่อกาฬของรามินทร์ไหลลงมาอย่างรู้สึกกังวลและเครียดๆ เพราะสายตาของธีไนยดูเปลี่ยนไป
“ครับ…?” แสร้งทำสีหน้าสงสัยให้อย่างแนบเนียน
“เขาชื่ออินทัช เป็นนักธุรกิจ รู้จักไหมครับ”
“รู้จักครับ” จะบอกว่าไม่รู้จักก็คงจะพิรุธเกินไปสินะ
“ผมให้คนของผมตามหาเพื่อนของผม และหลายวันก่อนเพื่อนผมมันโทรไปหาแม่ของมัน ผมเลยให้คนตามว่าเบอร์นั้นโทรจากที่ไหน แล้วมันก็บอกว่าเป็นที่นี่”
กลัว...ความรู้สึกแรกที่ฟังจบ รามินทร์รู้สึกกลัว แต่ก็ตีหน้านิ่งได้อย่างเหมือนไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
“ครับ...ที่จริงแล้วผมก็ไม่อยากจะผิดคำพูดกับคุณอินหรอกครับ แต่ในเมื่อทุกคนตามหาและเป็นห่วงขนาดนั้น ผมจะบอกเท่าที่ผมทราบนะครับ”
“ครับ” ดวงตาของธีรไนยมีประกายของความหวังเข้ามาจนรามินทร์รู้สึกผิด
รู้สึกผิดที่ต้องโกหก...
“คุณอินมาที่นี่จริงครับ มาพักอาทิตย์หนึ่งแล้วก็ไปแล้ว ซึ่งผมไม่ทราบจริงๆ ว่าคุณอินจะไปที่ไหนต่อ แต่จากการได้พูดคุยกับคุณอิน รู้สึกว่าเขาบอกว่าจะเที่ยวให้รอบประเทศก่อนก่อนจะกลับไปน่ะครับ”
“งั้นหรือครับ” ธีรไนยทำหน้าผิดหวังในทันที
“ขอโทษจริงๆ ครับที่บอกได้เท่านี้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่รู้ว่าเพื่อนยังสบายดีก็สบายใจแล้วล่ะครับ ว่าแต่...มันไม่ได้พูดเกริ่นๆ บ้างหรือเปล่าครับว่าจะไปไหนต่อ”
“ไม่เลยครับ”
“งั้นหรือครับ” ธีรไนยพึมพำเบาๆ กับตัวเอง แล้วมองโต๊ะอย่างเหม่อลอย
“เอาเป็นว่าถ้าคุณอินกลับมาที่นี่ ผมจะติดต่อคุณธีร์ไปนะครับ”
“ขอบคุณนะครับ ยังไงขอรบกวนด้วย นี่เป็นนามบัตรของผม สามารถติดต่อได้ตลอดเวลานะครับ” ธีรไนยหยิบนามบัตรจะกระเป๋าเสื้อสูทที่พกติดตัวเสมอเผื่อเจอลูกค้าให้กับรามินทร์ไป ซึ่งรามินทร์เองก็เก้บมันไว้ในเสื้อสูทอย่างดีเช่นกัน
“ครับ ถ้าได้ข่าวผมจะรีบติดต่อไปทันทีเลย”
“ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณมากๆ เลยครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับ เดี๋ยวแผนเซอร์ไพรส์ดรีมจะแตกเสียก่อน”
“ครับ เชิญตามสบายเลยนะครับ”
รามินทร์มองร่างโปร่งที่เดินไปหาคนรักที่ยืนแอบๆ อยู่หลังต้นไม้เพื่อบังไม่ให้ปลายฝันที่กำลังเดินเข้ามาในตัวงานเห็นหรือจับสังเกตได้
พอพนักงานพาปลายฝันไปนั่งที่โต๊ะที่จัดไว้ให้ปลายฝันแต่เพียงผู้เดียว เขาก็ลอบมองสีหน้าที่แสนจะงงงวยของปลายฝันไปด้วย แม้ว่าคนตัวเล็กจะดูไม่เข้าใจและดูจะสับสนแต่ก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี ไม่นานพิธีกรก็เริ่มพูด จวบจนการเปิดโปรเจคเตอร์ฉายภาพของปลายฝัน และฉากขอแต่งงานที่แสนอบอุ่นของทั้งสามคน
แน่นอนว่ามันเป็นภาพที่สวยงามมาก ทั้งสามคนดูเป็นครอบครัวเดียวกัน ไหนจะเด็กแฝดทั้งสองที่อยู่เคียงข้างกับปลายฝันอีก...เป็นงานแต่งงานที่สร้างความอิจฉาให้กับผู้หญิงทั้งประเทศไปแล้ว...
ขนาดรามินทร์เองยังคิดเลยว่า ปลายฝันนั้นช่างโชคดีจริงๆ
“ผมขอให้คุณดรีมกับคนรักมีความสุขมากๆ นะครับ ขอให้ชีวิตรักยั่งยืนยาวนาน” รามินทร์เดินไปอวยพรและแสดงความยินดีกับปลายฝันที่ยิ้มบานอย่างมึงความสุขตลอดทั้งงาน
“ขอบคุณคุณรามมากนะครับที่ช่วยเหลือผม ถ้าไม่มีคุณรามผมก็ไม่รู้จะไปที่ไหนเหมือนกัน”
“ยินดีอยู่แล้วล่ะครับ คราวหน้าก็คุยกันดีๆ ก่อนจะหนีมานะครับ แบบนี้ไม่ดีเลย” ร่างหนาตำหนิแบบจริงใจ ซึ่งร่างบางก็ยิ้มให้อย่างขอบคุณ ก่อนจะโดนคนรักของปลายฝันทั้งสองเรียกให้ไปหาแขกสำคัญ ซึ่งเจ้าของงานก็ขอตัวไป ปล่อยให้รามินทร์ยืนยิ้มอยู่ที่เดิม
ปลายฝันถือเป็นคนในอุดมคติของรามินทร์ ตอนที่เจอครั้งแรกก็คิดอยากจะจีบ แต่พอรู้ว่ามีเจ้าของเขาก็ไม่ได้คิดจะเดินหน้าอะไรอีก มันก็แค่การถูกใจในครั้งแรกที่ได้เห็นนั่นแหละ
ตอนนี้...เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แค่นั้นก็พอ
แต่สำหรับอินทัชคนที่ทำให้เขาทั้งกังวลใจ อยากจะกลับไปหาเต็มแก่อยู่ตอนนี้ รามินทร์ไม่มีทางรู้เลยว่าถ้าเขาปล่อยมันไปตอนนี้ เราจะเป็นเพื่อนกันได้ไหม...และดูเหมือนว่า คำว่าเพื่อน เขาไม่ได้อยากได้จากมันเหมือนกัน
“หึ...ไม่อยากเป็นเพื่อน”
แล้วจะเป็นอะไรล่ะ ในเมื่อ...ศัตรู เขาก็ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
งานดำเนินมาจนถึงช่วงเย็นรามินทร์อยู่ร่วมรับประทานอาหารความกังวลเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน เป็นห่วงความรู้สึกของคนที่เขาขังไว้ เรื่องอาหารอะไรไม่มีปัญหาเพราะเขาเตรียมไว้เต็มตู้เย็นแล้ว แต่ในขณะที่เขาจะเลิกร้ายและจะทำดีกับมัน มันก็มีเหตุจำเป็นให้เขาต้องดีแตก
“ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีธุระต้องไปทำต่อ”
แม้จะดูแปลกๆ ที่ดันมีธุระตอนใกล้จะค่ำแบบนี้ แต่รามินทร์จำเป็นต้องขอตัวแม้จะทานข้าวไปได้แค่คำสองคำเท่านั้น
“โอ้…เชิญเลยลุงไม่คิดว่ารามจะมีธุระต่อ” คุณอิสระพูด
“พอดีว่าต้องไปหาเพื่อนน่ะครับ ปล่อยให้รอนานแล้ว ยังไงผมจะบอกคุณพ่อว่าคุณลุงฝากความคิดถึงมาให้นะครับ” รามินทร์ยิ้มสุภาพ
แม้ว่าเขาจะรู้จักกับทางอิสระซึ่งเป็นเพื่อนของพ่อเขา และพ่อของรามินทร์ก็ทำธุรกิจกับอิสระมานาน แต่เขาก็ไม่ได้สนิทสนมกับทางลูกชายของคุณอิสระมากนัก
ปฐพีกับอัคนี เป็นบุคคลที่เข้าหายาก ถ้าไม่มีอิทธิพลมากพอก็ตีสนิทอะไรไม่ได้ พอๆ กับพีรพัฒน์ที่มีความร้ายกาจและฉลาดเป็นกรดชนิดที่ว่าไม่สมควรคบเป็นเพื่อนอยู่อีก
อภิหชัยบดินทร์เป็นอะไรที่รามินทร์เลี่ยงได้ เขาก็จะเลี่ยง
“ดีๆ ลุงฝากรามด้วยนะ พ่อเราน่ะติดต่อยากเย็นเหลือเกิน”
“ได้ครับคุณลุง ยังไงผมขอตัวนะครับ”
“โชคดีๆ”
ร่างสูงยกมือไหว้อิสระกับคุณหญิงก่อนจะเดินไปสั่งงานกับจักรที่เดินไปมาภายในงาน จากนั้นเขาก็ตรงไปที่รถแล้วขับกลับจังหวัดเลยด้วยความเร่งรีบ
ไม่สนใจเลยว่ามันจะมืดและอันตรายขนาดไหน
ไม่สนใจเลยว่าฝนกำลังตกหนักแค่ไหน
ขอแค่ตอนนี้...เขาไปถึงรีสอร์ทที่เลยให้ได้เร็วที่สุดก็พอ
“ฝนมาตกอะไรตอนนี้วะ!!!” เขาสบถด่าอย่างหงุดหงิด แต่เท้าก็เหยียบคันเร่งไม่มีลดความเร็วเลยสักนิด รู้สึกว่าตัวเองใจร้อนสุดๆ ก็ตอนนี้แหละ
50%
สวัสดีค่ะ อัพเรื่องนี้ได้ค่อนข้างช้าเพราะยูกิเองก็เรียนเยอะ เรียนหนักขึ้นทุกวันๆ การบ้านและงานที่อาจารย์สั่งก็เยอะตามไปด้วย และช่วงนี้จะเป็นการสอบมิดเทอมของยูกินะคะ แจ้งไว้เผื่ออัพช้า จะได้ไม่โกรธกัน ^^ อ่านแล้วคอมเม้นท์ติชมหรือให้กำลังใจยูกิด้วยนะคะ
มีปัญหาตรงไหน สอบถาม พูดคุยกับยูกิได้ที่แฟนเพจนะคะ หน้านิยายยูกิจะมาลงนิยายและอ่านคอมเม้นท์อย่างเดียว อาจจะมีไปตอบเม้นท์บ้างแต่ไม่ทุกอันเนาะ
https://www.facebook.com/sawachiyuki/