ตอนที่ 8
ที่ห้องสี่เหลี่ยมสีขาว น้ำนอนไม่หลับ เพราะเค้าอยากจะไปที่งานเลี้ยงโรงแรมไอยรา เห็นคุณชายภัครพิชัยพูดคุยกับคุณเขตว่ามีแขกมากมายหลากหลายชนชั้นไปร่วมงาน เค้ายิ่งอยากไป ไปเจอผู้คนในแวดวงไฮโซว่าเค้ามีวิถีชีวิตยังไง การพูดการจาเป็นอย่างไร น้ำอยากรู้ไปหมด แต่ก็ไม่กล้าที่จะขอเขต ไปที่งาน เจ้านายดุขนาดนั้นเค้าก็ไม่กล้าขอไปหรอก
“ยังไม่นอนหรอน้ำ” หญิงสาวในชุดนอนเดินเข้ามาในห้อง
“นอนไม่หลับครับพี่กล้วยไม้ ”
“อยากไปร่วมงานละสิ ตัดใจซะเถอะนะ เธอเองก็รู้ว่าคนใช้อย่างเรา จะไปงานแบบนั้นได้ยังไงกัน ไม่มีใครเค้ายอมรับหรอก ”
“ครับพี่”
“ดีแล้ว นอนซะเถอะอย่าคิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้เลยนะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาทำงานแต่เช้า”
“แล้วคืนนี้เราไม่ต้องรอเปิดประตูให้คุณชายหรอครับ”
“ไม่ต้องแล้ว เจ้านายทั้ง 4 คน จะไปนอนพักที่โรงแรมไอยราของคุณดุษฎี ที่เปิดต้อนรับแขกผู้มาร่วมงานเป็นพิเศษ พี่เพิ่งรู้เมื่อกี้จากสุชาติ คนของคุณชายประศิต”
“โห อยากไปบ้างจังเลย โรงแรมที่ว่าคงจะสวยน่าดู”
“ใช่แล้ว นี่พี่พูดขนาดนี้ยังไม่ตัดใจอีกนะเรา”
“พี่กล้วยไม้เล่าให้ฟังหน่อยสิครับ น้ำอยากรู้เกี่ยวกับโรงแรมไอยรา”
“โรงแรมไอยรา เกิดขึ้นด้วยเงินที่เป็นน้ำพักน้ำแรงจากเสี่ยสิงห์ และได้สร้างขึ้นด้วยไม้ขนาดใหญ่ราคาหลายบาทผสมผสานเข้า
กับสไตล์ยุโรป จุดเด่นเลยก็คือรูปปั้นฝูงช้างที่ตั้งอยู่ลานน้ำพุหน้าโรงแรม มันสะดุดตามากเลยทีเดียว”
“พี่กล้วยไม้พูดเหมือนเคยไปเห็นแล้วเลยนะครับ”
“ใช่ พี่เคยเห็น มันสวยจริงๆ เอาล่ะนอนได้แล้ว คืนนี้จะมีแค่น้ำ พี่ ใบหลิว สงกรานต์ สุชาติ เท่านั้น”
“ครับผม”
กล้วยไม้หยิบผ้าห่มผืนบางๆห่มให้น้ำก่อนจะเดินไปปิดไฟแล้วออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่เพียงแสงจันทร์แสงดาวงดาวที่สาดส่องเข้ามาในห้องพอให้เห็นสลัวๆ ร่างบางหยิบเอาสร้อยเส้นทีทองสลักตัว ฉ ฉิ่งขึ้นมาดูอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่เหมือนจากเมื่อก่อนที่ไม่สนใจมันเลย
เด็กหนุ่มจดจ้องรายละเอียดทุกอย่างที่เป็นของล้ำค่าสิ่งนี้ เค้าเองก็ไม่รู้หรอกว่าจะมีสร้อยจี้ทรงกลมสวยงามแบบนี้อยู่ติดตัวแม่มาตลอดๆ แต่เค้าเพิ่งได้จากแม่ตอนจะมาอยู่ที่บ้านของคุณชายภัครพิชัยเท่านั้นเอง
“อักษร ฉ ฉิ่ง มันคืออะไร แล้วข้างในมีอะไรนะ?”
ชายหนุ่มเริ่มสงสัยขึ้นทุกทีๆ เค้าพยายามที่จะแกะจี้นั้นออกมา และจี้นั้นมันก็ถูกเปิดออก ด้านในไม่ปรากฏอะไรเลยนอกจากนาฬิกาเข็มสีทองที่แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ร่างบางยิ่งทำสีหน้างุนงงเข้าไปใหญ่แล้วปิดฝากลับไปเหมือนเดิม แล้วเอาคล้องคอไว้ที่คอ
“ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่นา แต่ทำไมวันนั้นหลวงพ่อถึงได้ตกใจจัง เฮ้อ นอนดีกว่า”
ที่งานเลี้ยงฉลองดุษฎี ในเวลานี้นายแบบ นางแบบทีมของแอรินกำลังเดินโชว์ชุดไทยประยุกต์ผสมผสานเข้ากับสไตล์ปารีส เป็นที่พึงพอใจของคนในงานเลี้ยงมาก โดยเฉพาะหม่อมเจ้าหญิงรัมภาพรรณ ที่ชื่นชอบงานแบบนี้เป็นพิเศษ ท่านประทับใจกับงานชิ้นนี้มาก แอริน หญิงสาวตัวเด่นในงานเดินออกมาที่ด้านหน้าเป็นคนสุดท้ายปิดงานเดินแฟชั่น แขกผู้มีเกียรติทุกท่านต่างพากันปรบมือให้กับเธอเป็นอย่างมาก
“ทูลฝ่าบาท และสวัสดีแขกผู้มีเกียรติทุกท่านในงานวันนี้นะคะ จบไปแล้วกับงานเดินโชว์แฟชั่นของแอรินเอง ซึ่งแอรินดีใจมากที่
คุณพ่อได้จัดงานเลี้ยงฉลองโรงแรมและแอรินเองที่เพิ่งกลับมาจากปารีส และในงานวันนี้แอรินเองขอถือเอาโอกาสนี้เปิดตัวคนที่แอรินสนิทและพิเศษที่สุดในชีวิตแอรินเลย ขอเชิญพันเอกหม่อมหลวงภูธเนศ ธำรงอาภรณ์นิชค่ะ ”
สิ้นเสียงของเธอ แขกผู้มีเกียรติในงานต่างตกใจและสงสัยไม่น้อย พร้อมกันแววตาหลายคู่นั้นหันมาจ้องมองเค้า เขตทำตัวไม่ถูกหันไปมองแดนภพที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งเพื่อนเค้าเองก็ช่วยอะไรไมได้เลย
“เขต แอรินเรียกแกนานแล้วนะ ขึ้นไปกล่าวอะไรซักหน่อยเร็ว”
“จะดีหรอวะ”
“เออสิ รีบไปได้แล้ว แขกทุกคนมองมาที่แกหมดแล้วรู้ไหม”
“เออๆ”
ภูธเนศเดินขึ้นไปยังจุดที่แอรินยืนอยู่ เธอส่งยิ้มให้เค้าอย่างดีใจ เขตเขินอายเล็กน้อยที่ขึ้นมายืนอยู่ต้องนี้ เค้าหันไปมองแอรินด้วยสีหน้าเอาเรื่องเล็กน้อย แอรินเลยหุบยิ้มไป
“จะทำอะไรทำไมไม่บอกพี่ก่อนคะ น้องริน”
“รินก็ไม่ได้อยากทำหรอกค่ะพี่เขต คุณพ่อบอกมาอีกที”
“ไม่ไหวเลยนะคะ ไม่ดีเลยด้วย”
“พี่เขตรีบพูดกล่าวอะไรหน่อยสิคะ แขกมองกันเต็มแล้ว”
“ก็ได้ค่ะ แต่คราวหน้าห้ามทำอะไรแบบนี้อีกแล้วนะคะ สัญญาพี่เขตก่อน”
“สัญญาค่ะ”
แอรินฉีกยิ้มกว้าง เพราะชายหนุ่มร่างสูงไม่ได้ดุเธอมาก แต่เพราะแค่อายเล็กน้อย ภูธเนศพูดออกไมค์ไปเรื่อยๆ กล่าว
ความรู้สึกต่างๆนาๆ และกล่าวขอบคุณเสี่ยสิงห์ในการจัดงานและให้ที่พักในค่ำคืนนี้ด้วย แขกในงานต่างพากันชอบและชื่นชมใน
คำพูดของเขตมาก โดยเฉพาะดุษฎีและแอรินที่ยิ้มดีใจ
งานเลี้ยงฉลองจบลงด้วยดีจนถึงเวลา 01.00 น. แขกในงานต่างพากันทยอยขึ้นลิฟต์ไปยังส่วนชั้นต่างๆที่ดุษฎีเตรียมไว้ในแขกในการพักหลับนอนในค่ำคืนนี้ เว้นก็แต่ท่านชายและท่านหญิงสองพระองค์ที่โปรดกลับไปนอนที่วัง
“ท่านชายท่านหญิง น่าจะประทับที่นี่คืนนี้ กระหม่อมได้เตรียมห้องไว้ให้เป็นอย่างดี”
“ขอบคุณมากเสี่ยสิงห์ เรากับน้องชายอยากกลับไปนอนที่วังมากกว่า เดี๋ยวท่านแม่และท่านน้าจะเป็นห่วงแย่”
“หามิได้กระหม่อม เพียงแค่ทั้งสองพระองค์เสด็จมางานของกระหม่อมก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว ขอท่านหญิงท่านชายเสด็จ
กลับวังโดยปลอดภัยกระหม่อมทูลลา”
“ฝ่าบาทเพคะ ขอบพระทัยที่มางานแฟชั่นของหม่อมฉัน ไว้หากมีโอกาสจะทูลเชิญมาร่วมงานอีกนะเพคะ”
“เธอคงจะชื่อแอริน การจัดงานแสดงวันนี้ทำได้ดีมากไม่ต่างอะไรไปกับมืออาชีพ เราขอชมเชยเธอนะ ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“อ้อลืมไป ไม่นึกไม่ฝันว่า เธอกับพันเอกหม่อมหลวงภูธเนศ จะเป็นคนพิเศษ เรื่องนี้ฉันเพิ่งจะรู้”
“ทูลท่านหญิง แอรินลูกสาวกระหม่อมกับหม่อมหลวงเขต รู้จักกันนานและรู้ใจกันด้วยกระหม่อม”
“อย่างนั้นหรอ ฮึ แต่ท่านดุษฎี อย่าหาว่าเราสอนท่านเลยนะ มีลูกสาวคิดอ่านการใดควรไตร่ตรอง มิใช่ให้ลูกสาวทำเช่นเมื่อครู่นี้ มันไม่
งาม”
“ท่านหญิงรับสั่งถูกแล้ว กระหม่อมจะจำเอาไว้”
“ขอบคุณที่ท่านรับฟัง ต้องขอโทษด้วยนะ เราเพียงแค่หวังดี ชายดลขึ้นรถ”
“ไปแล้วนะเขต แดนภพ เดี๋ยวไว้มีโอกาสเราจะได้พบกันอีกครั้ง” ท่านชายชยาดลกล่าวอำลาเพื่อน
“สัญญาแล้วนะท่านชาย กระหม่อมทั้งสองต้องได้พบท่านชายอีกเป็นแน่ กระหม่อม”
“โอเค ท่านพี่ เชิญขึ้นรถด้านนี้เลยครับ”
“ขอบใจมากน้องชาย”
ดุษฎี แอริน เขต และแดนภพ ยืนรอส่งขบวนรถ 2 คันที่มุ่งหน้ากลับไปวังฉัตรอรุณ ทันทีที่รถกำลังออกตัวทั้ง 4 คนก็โค้งคำนับเล็กน้อยตามพิธีที่ควรจะทำ ส่วนแอรินเธอเองก็ถอนสายบัวสวยงามเพื่อเอาใจท่านหญิงรัมภา ที่เห็นเธออยู่นอกกระจกรถอย่างชัดเจน แปลกจริงๆเธอเพิ่งตำหนิแอรินไปเองแท้ๆ แต่เธอกลับทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
เช้าวันใหม่ที่หอพักมหาวิทยาลัย
“สวัสดีตอนเช้า ฟ้ามอญ!” ร่างสูงโผล่มาขวางทางเดินของเพื่อนชาย
“ไม่เจอกันเลยจะได้ปะ?” ร่างบางตอบแบบไม่สบอารมณ์
“อ้าวทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ลืมไปแล้วหรอว่านายรับปากเราว่าจะให้เป็นเพื่อนนายไม่ใช่หรอ ”
“ย้ำอยู่นั่นแหละ แล้วนี่ไม่มีเรียนหรือไง ทำไมไม่เห็นแต่งชุดนิสิต” ฟ้ามอญทำหน้าสงสัย
“โห นี่คอยสังเกตเราอยู่เหมือนกันหรอ ไม่น่าเชื่อนะเนี่ย เอ๊ะหรือว่าไอ้ต่อคนนี้มันจะหูฝาด”
“ฉันไม่มีเวลามาเล่นตลกคาเฟ่กับนายหรอกนะ หลบไป”
“เดี๋ยวยังไม่ให้ไป รอเราก่อนดิ ซัก 20 นาที”
“ไมได้ฉันจะไปไม่ทันแล้ว ไม่เห็นหรือไง”
“ก็เห็น เริ่มเรียนกี่โมงล่ะ?”
“10 โมงเช้า”
“โถ่เหลืออีกตั้ง 40 นาที ฟ้ามอญนายจะรีบไปไหนเนี่ย”
“นี่น้อยๆหน่อยนาย คนเรามันไม่เหมือนกันซักหน่อย อย่างนายนี่คงจะไปสายตลอดละสิท่า ถึงได้พูดแบบเนี่ย”
“อุ้ย รู้ด้วยหรอว่าเค้าไปเรียนสาย” ร่างหนาเลิกคิ้วสูงพร้อมกับยิ้ม มันทำให้ให้ยิ่งเพิ่มความทะเล้นไปอีกเท่าตัว
“เดา!”
“หา! เดาเอาหรอกหรอ นายนี่นะ เวลาทำหน้าตอนจับผิดได้ มันน่า…”
“มันน่าอะไร ” ตัวเล็กกว่าถามเค้นเอาคำตอบ
“ป่าว แค่จะบอกว่า น่าขำขัน ” ต่อตอบบ่ายเบี่ยงทำเอาฟ้ามอญโมโห
“เออดี! ไม่ลงไม่รอมันละ ”
“เฮ้ย โถ่ เดี๋ยวสิฟ้า เราล้อเล่น เรากำลังจะบอกว่า นายน่ารักต่างหากล่ะ”
“เหอะ ฝันไปเถอะ ไอ้คนกลิ้งกลอก ”
“อ้าว นี่พูดความจริงให้ฟังแล้วนะเนี่ย ไม่เชื่อกันมั่งเลย”
“มันเรื่องอะไรของฉันที่เชื่อล่ะ”
“มานี่เลยๆ”
ร่างหนาจับข้อมือเล็กๆของฟ้ามอญแล้วดึงให้ไปทางเดียวกัน แต่มันมากพอที่จะทำให้เพื่อนชายตัวเล็กคนนี้เซถลาไปกับทิศทางแรงดึงของเค้า
“โอ้ยจะลากไปไหนเนี่ย”
“ก็ลากไปที่ห้องเราไง ไปรอเราจนกว่าเราจะแต่งตัวเสร็จ”
“โอ้ย ไอ้บ้า คิดว่ามีพลังเยอะแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรอ”
“ก็อยากดื้อเองนี่นา ช่วยไม่ได้”
“ปล่อย โอ้ยไอ้ ต่อ บ้า”
“หืม…เรียกชื่อเราแล้วหรอ น่ารักจัง อย่าดิ้นสิฟ้า เดียวจับจูบอีกเหมือนวันนั้นนะ”
“ไม่เหมือน วันนั้นมันแค่เรื่องสมมติ ไมได้จริงจังซะหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้น รอบนี้เอาจริงเลยปะล่ะ”
“เสียใจ ฉันชอบผู้หญิงครับ”
“เหอะๆ ไปหลอกแมวที่อื่นมันยังจะเชื่อกว่านี้ ตัวเท่าลูกหมี ผู้หญิงที่ไหนจะเอา”
“ไม่เอาก็อย่าเอาสิโถ่ ไม่ง้อซะหน่อย แล้วนี่ทำไมต้องเทียบฉันเป็นลูกหมีด้วยฮะ ไอ้ตุ๊ด”
“ว่าใครตุ๊ด!”
“นายไง นายต่อตุ๊ด”
“ถ้าพูดว่าตุ๊ดอีกคำเดียวนายเป็นเมียฉันแน่ ไม่ต้องไปเรียนกันเลยดีไหมวันนี้”
“เฮ้ย ต่อ ฉันล้อเล่น อย่ามองแบบนั้นสิ น่ากลัวเป็นบ้าเลย ”
“หึ กลัวละสิ เคยได้ยินปะ ฉายา พี่ต่อนัยน์ตาหื่นกาม”
“ฉาชาพิลึกแฮะ ไปแต่งตัวไปเร็วๆ ถ้าฉันไปเรียนไม่ทันนะ เดี๋ยวเจอดีแน่!”
“ครับๆ คุณพ่อ”
ต่อเดินไปหน้ากระจกบานใหญ่ภายในห้อง พร้อมกับหยิบเสื้อผ้าทีละชิ้นๆมาสวมใส่ ร่างบางนั่งรออยู่ห่างๆสายตาก็กวาดไป
ทั่วห้องก็เจอกรอบรูปครอบครัวและรูปแม่ตั้งอยู่ข้างเตียงนอน
“ครอบครัวนายอบอุ่นดีจังเลย”
“ครอบครัวฉันหรอ”
“อืม นั่นไงในรูปนั้น”
“ก็อบอุ่นอย่างว่าแหละ แต่น่าเสียดายที่คุณแม่ไมได้อยู่กับเราแล้ว”
“แม่นาย ท่านเสียแล้วหรอ”
“อืมใช่ เราแต่งตัวเสร็จแล้ว ไปกันเถอะ”
“ต่อ เราขอโทษนะเราไม่ได้ตั้งใจถาม…”
“ไม่ใช่ความผิดนายซักหน่อยนึง ไปเรียนกันเถอะ ไปรถฟีโน่เราเนี่ยแหละง่ายดี”
หม่อมหลวงคนเล็กแห่งบ้านธำรงอาภรณ์นิชขับไปส่งเพื่อนชายต่างคณะอย่างฟ้ามอญ เด็กหนุ่มที่เริ่มมีความรู้สึก ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่า ต่อ เป็นเพื่อนชายที่อบอุ่นและนิสัยดี เค้าเองต่างหากที่มีอคติกับต่อมากจนเกินไป
“นี่ ส่งได้ที่นี้นะ ที่เหลือเดินขึ้นไปเรียนเอง ”
“รู้แล้วน่าไม่ได้เป็นง่อยซะหน่อย”
“อืมแล้วนี่ เพื่อนสาวของนาย ไปไหนล่ะพักนี้ไม่ค่อยเห็น”
“นายหมายถึงใคร เฌอตาหรอ?”
“นี่คุณ! พูดอย่างกับมีเพื่อนหลายคนเลยนะ”
“เอ๊ะ ก็ไม่รู้นี่ แต่พักนี้ก็ไม่เจอจริงๆแหละ อาจจะเพราะมีธุระส่วนตัวมั้ง ไปได้แล้ว เรียนไม่ทันไม่รู้ด้วยนะ”
“นี่ นายนั่นแหละจะไปเรียนไม่ทัน จะ 10 โมงแล้วนะ ไม่รีบไปอาจารย์เล่นงานไม่รู้ด้วยนะฟ้ามอญ”
“รู้แล้วละน่า”
“เอ๊ะเดี๋ยวๆๆๆ อุตส่าห์มาส่งจะหันตูดเดินไปง่ายๆอย่างนี้เลยหรอ ขอบจงขอบใจไม่มีสักคำ”
“ขอบใจมากกกกกก นายโย่งขี้เหร่ แบร่….” ฟ้ามอญทำสีหน้าล้อเลียนอย่างมีความสุข นี่เค้าไปมีพฤติกรรมแบบนี้กับภูวนนท์
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเชียวนะ
“ฮาๆๆๆๆๆ” ต่อ หัวเราะคนตรงหน้าทำท่าทางอย่างกับลิงน้อยในสวนสัตว์
“เอ๊ะ! ขำอะไรคุณ! ”
“ปะ…เปล่า ไปเรียนได้แล้ว เดี๋ยวจะเข้าไม่ทันนะ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
“ได้ ฝากไว้เยอะๆๆแล้วมาเอาคืนด้วยนะ จะได้เจอหน้าบ่อยๆ”
“ไม่มีทาง ฮึ”
ร่างบางเดินหันหลังพร้อมกับโบกมือเหนือหัวไปมา พร้อมกับบอกว่าขอบใจมาก ภูวนนท์มองตามเข้าไปก็แอบยิ้มให้
กับท่าทีของฟ้ามอญ เพื่อนต่างคณะที่หน้าบึ้งตึงกับเค้าอยู่ตลอดเวลาที่พบกัน แต่ดูตอนนี้ท่าทางน่าจะหายโกรธเค้าเสียแล้ว
แหละ
ณ รั้วสีขาวทองที่ประดับไปด้วย เหล็กดัดสวยงามตลอดแนวรั้ว พื้นที่แสนสงบสบายตั้งตระหง่านอยู่ติดกับถนนใหญ่ ผู้คนแถวนี้หรือคนเทียวไปเทียวมาก็จะรู้ว่าเป็นสถานที่พักพิงของราชนิกุล ที่มีตัว ฉ ฉิ่งประดับตัวใหญ่ไว้บนซุ้มทางเข้าวัง เป็นวังของ พระองค์เจ้าฉัตรอรุณ นั่นเอง
“หม่อมรุ้งพราวเจ้าขา ท่านชายเสด็จมาเจ้าค่ะ”
“ชายดลรึ ให้เข้ามาสิ” หญิงอายุวัย 40 ปลาย ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านแม่ สวัสดีครับ นี่ท่านแม่กับคนในตำหนักจัดเตรียมพวงดอกไม้เยอะแยะไปที่ไหนครับ”
“อืม แม่ว่าแม่จะไปไหว้พระเสียหน่อย ช่วงนี้แม่ฝันไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่”
“โบราณว่าไว้ฝันร้ายจะกลายเป็นดี แล้วท่านแม่ฝันเห็นสิ่งใดครับ”
“แม่ฝันว่า หม่อมพิมล ชายาของเสด็จพระองค์เจ้า เสด็จพ่อของลูก ที่สิ้นใจไปนาน เธอมาเข้าฝันแม่”
“หม่อมพิมล ลูกพอจะจำได้ ท่านอามาดีหรือมาร้ายครับ”
“แม่ไม่แน่ใจ แต่เธอร้องขอความเมตตาสงสาร ให้ไปรับลูกเธอกลับมายังวัง”
“แต่ท่านป้า หม่อมบุหลัน ท่านบอกทุกคนว่า โอรสของเสด็จพ่อกับหม่อมพิมลสิ้นชีพิตักษัย ตั้งแต่ประสูตินี่ครับ”
“แม่ก็ไม่รู้ แต่ในฝันเธอดูน่าสงสารมาก แม่เองก็ใจไม่ค่อยดี เลยกะว่าจะไปทำบุญเสียหน่อย ลูกว่างจะไปกับแม่หรือไม่ ”
“ลูกว่างครับ แต่ท่านแม่ จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าโอรสจะยังมีชีวิตอยู่”
“แม่ไม่มั่นใจ แต่จะเป็นไปได้อย่างใด ชยาดล ”
“แต่ท่านแม่เคยเล่าให้ลูกฟังนี่ครับว่า นางรับใช้คนสนิทก็หายสาบสูญไปด้วยหลังจากนั้นเพียง 1 คืน”
“ใช้ นางหายไป ไม่มีวี่แวว ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย แม่ยังจำได้ว่านางผู้นั้นชื่อ ชื่น! ”
“ถ้าโอรสองค์เล็กยังไม่สิ้นชีพิตักษัย ผมก็มีน้องชายอีกคนเลยหรือครับ”
“ก็เป็นอย่างนั้น แต่อายุห่างกัน 10 ปี เลยนะ เมื่อ 20 ปีก่อน ลูกยังเด็กนัก เสด็จพ่อท่านทรงโปรดให้ลูกกับท่านหญิงภา ไปอยู่ที่
เมืองนอก ไปเรียนหนังสือที่นั่น ”
“ใช่ครับ ผมเลยอดเห็นหน้าน้องชายเลย”
“เอาเถอะ แม่เตรียมของเสร็จแล้ว ไปวัดกันลูก”
“ครับ ท่านแม่ลูกช่วยถือ”
“อืม ถือระวังด้วยนะ”
รถตู้สีขาว ด้านหน้าทะเบียนรถติดรูปสัญลักษณ์ ฉ ฉิ่งเอาไว้ เป็นรถพระที่นั่งของพระองค์เจ้าฉัตรอรุณได้ทรงให้ไว้ที่วังเช่นเดิม ซึ่งวันนี้หม่อมรุ้งพราวและหม่อมเจ้าชยาดล ไกลเกียรติขจรกุลได้ประทับในรถไปวัด
เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถก็แล่นมาถึงบริเวณภายในวัดที่แสนสงบร่มรื่น หญิงสาววัยกลางคนลงจากรถพร้อมกับอาภรณ์สีขาว เกล้าผมเป็นมวยขึ้นมาพร้อมกับปักปิ่นสีรุ้ง 7 สีรูปนกฟ้าไว้ที่มวยผม ดูสวยสดงดงามสมเป็นชายาคนที่ 2 ของพระองค์เจ้าฉัตรอรุณตามคำล่ำลือ
“ค่อยๆลงนะเจ้าคะ หม่อมรุ้งพราว ” คนใช้ส่วนตัวกล่าวเอ่ยเพราะเห็นว่าพื้นดินกับพื้นรถต่างระดับกันมาก
“ขอบใจ เดี๋ยวเอาของถือลงมาเลยนะ เดี๋ยวสายกว่านี้จะไม่ทันหลวงพ่อ”
“ได้เจ้าค่ะ หม่อม”
“เออนี่ ชายดล วัดแห่งนี้เมื่อ 21 ปีก่อน เสด็จพ่อของลูกพาแม่ หม่อมพิมล หม่อมบุหลัน มาที่วัดแห่งนี้ เพราะที่แงนี้เสด็จพ่อของ
ลูกศรัทธาหลวงพ่อรูปนี้มาก เอาล่ะเข้าไปข้างในกันเถอะ ”
“ครับท่านแม่”
สองแม่ลูกพร้อมกันคนรับใช้ 2 3คน เดินหิ้วของมาไหว้พระ ทั้งอาหารคางหวาน และดอกไม้นับไม่ท้วนเดินเข้ามา
โบสถ์ โชคดีเหลือเกินที่หลวงพ่อยังอยู่ เธอก้มลงกราบหลวงพ่อพร้อมกับชยาดลเองก็กราบตามแม่ไป
“คุ้นหน้าคุ้นตา หม่อมรุ้งพราวหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะหลวงพ่อ ไมได้มาหาหลวงพ่อเสียนาน วันนี้เอาอาหารคาวหวานพร้อมดอกไม้หอมร้อยเป็นมาลัยมาถวายหลวงพ่อ
เจ้าค่ะ”
“อืม อนุโมทนานะโยมหม่อม เอ๊ะแล้วนี่ใช่หม่อมเจ้าชายชยาดล พระโอรสของเสด็จพระองค์ชายหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ หลวงพ่อเดาไม่ผิด ตอนนี้โตแล้ว ”
“อ้อ ดูใบหน้า ผิวพรรณ หล่อเหลาละม้ายคล้ายคลึงเสด็จพ่อเลยนะท่านชาย”
“ครับหลวงพ่อ”
“อืมๆ ไม่ทรายว่าท่านชายอายุกี่ชันษาแล้ว”
“30 ปีครับหลวงพ่อ”
“อืมๆ โยมหม่อมรุ้งพราว ดูเหมือนจะมีเรื่องทุกข์ร้อนใจใช่ไหม สีหน้าไม่ดีเลย ”
“ใช่เจ้าค่ะหลวงพ่อ เมื่อคืนฝันเห็นหม่อมพิมลมาเข้าฝัน เธอดูน่าสงสารมาก และขอร้องให้ช่วยพาหม่อมเจ้ากลับเข้าวังเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ”
“อย่างนั้นหรือ อืมเป็นฝันที่ไม่ดีเท่าไหร่แต่ฝันร้ายจะกลายเป็นดี”
“จะดีได้อย่างไรเจ้าคะ หลวงพ่อ ในเมื่อหม่อมเจ้าโอรสของพระองค์เจ้ากับหม่อมพิมล สิ้นชีพิตักษัยตั้งแต่วันประสูติ บ่าวสาวคน
รับใช้ในวังนับร้อยชีวิตก็รู้ข่าวนี้ไปในแนวเดียวกัน”
“อย่างนั้นหรือ แปลกจริงๆ เมื่อไม่นานมานี้ ทางบ้านของตระกูลธำรงอาภรณ์นิช ก็พาลูกชายทั้ง 2 มาทำบุญ แต่อาตมาเห็นว่า
เด็กที่เป็นลูกบุญธรรมของหม่อมราชวงศ์ภัครพิชัย มีสร้อยที่อาตมาได้ให้กับโอรสธิดาแห่งวังฉัตรอรุณเสียด้วย”
“หลวงพ่อพูดว่าเห็นสร้อยหรือเจ้าคะ ชายดล เอาสร้อยที่ลูกใส่ติดตัวให้หลวงพ่อดูเร็ว”
“ครับท่านแม่”
ตัดฉับๆๆ ตอนนี้ ยาวกว่าตอนอื่นๆ
ผู้แต่งสะใจ หม่อมเจ้าหญิงรัมภาพรรณ ตักเตือนดุษฎีและแอริน แต่กลับกลายเป็นทองไม่รู้ร้อนเสียนี่
เอ๊ หลวงพ่ออาจจะเป็นสะพานเชื่อมเรื่องราวให้กระจ่างแจ้งก็เป็นได้ 5555
ไว้เจอกันใหม่ตอนที่ 9 และ 10 ในเสาร์ อาทิตย์หน้านะครับ บ้ายบาย