เหตุการณ์ในเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ยังอยู่ใน พ.ศ ๒๕๕๕ นะครับ
ที่กำหนด พ.ศ.เพราะว่าผู้แต่งกลัวตัวเอจะงหลงๆลืมๆ เรื่องอายุของตัวละคร
ตอนที่ ๑๖

สายๆวันอาทิตย์ผมตื่นมาเพราะเสียงเรียกเข้าของมือถือที่ผมดันลืมปิดเสียงแต่กลับไม่ใช่คนที่นึกว่าจะโทรมา กลับเป็นป่านที่ไม่ได้คุยกันนาน ผมกับนางเลยนัดเจอกัน กินข้าว ดูหนังกันทั้งวัน จนลืมคิดถึงเรื่องบอยไปชั่วขณะ
ตั้งแต่เมื่อเช้ามืดที่บอยบอกว่าต้องไปนี่เด็กมันจะไปไหนนะ ด้วยความสงสัยผมจึงกดหาเบอร์บอยแล้วโทรออก
ไม่รับ
โทรติดนะครับ
แต่ไม่รับ
ผมกดโทรออกเป็นรอบที่ห้า แต่ก็ไม่รับ
รอบที่สิบเปิดลำโพงไว้ก็ไม่รับ บอยจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ ผมเริ่มคิดไปต่างๆนานา รถชน อันนี้คงไม่ใช่หรอกถ้าชนต้องมีคนโทรมาแจ้งหรือว่าล้มในห้อง
ผมตัดสินใจส่งข้อความทางไลน์ไปว่า
- อยู่ไหนบอย
- จะมาห้องบีนไหม
บอยอ่าน แต่ไม่ตอบ ผมพยายามคิดในแง่ดีอาจจะยังไม่ว่าง
ยิ่งคิดมากยิ่งฟุ้งซ่าน ผมเลยหาอย่างอื่นทำจัดกระเป๋า ขัดรองเท้า เตรียมเสื้อผ้าชุดนักเรียนที่จะไปเรียนพรุ่งนี้ พรุ่งนี้โรงเรียนคงปล่อยเร็วขึ้นมาสักหนึ่งชั่วโมงเพราะเปิดเทอมวันแรก
เสียงสัญญาณของโรงเรียนเป็นที่รู้กันว่าต้องไปเข้าแถวในโรงยิมขนาดใหญ่ ผมรีบวางกระเป๋าไว้ในห้องก่อนจะมองไปที่โต๊ะบอยซึ่งไม่เพียงแค่โต๊ะของกี้ที่ไม่มีกระเป๋ามาวางเป็นเชิงบอกว่าลาออกแล้ว แต่เป็นโต๊ะบอยด้วยที่ว่าง เมื่อเช้าก่อนมาโรงเรียนผมก็โทรหาไปอีกครั้งแต่ก็เหมือนไม่มีสัญญาณซะอย่างนั้น
“สุวิทย์ๆ เห็นบอยไหม มันไม่มีเข้าแถวหรอ”
“กูไม่เห็นเลยบีน ครั้งสุดท้ายที่กูคุยกับมันก็สามวันก่อน กูนึกว่าอยู่กับมึงเลยไม่ได้ถามอะไรมันมาก”
“อ้าว นี่บีนโทรไปไม่รับมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เมื่อเช้าโทรก็ไม่ติด”
ขนาดเพื่อนสนิทจริงๆมันยังไม่รู้เลย
“เฮ้ย มันจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะบีน” ระหว่างทางที่เดินขึ้นห้องวิทย์มันก็มาถามผมอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
“ไม่รู้สิ ใจไม่ดีเลย” ตอนนี้กังวลไปหมดแล้วครับ จะไปไหนทำไมไม่บอกกัน
ทางพวกโอ๊ต ไบท์ อ๊อฟ เห็นผมหน้าเครียดๆก็ถามกัน วิทย์เลยอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เพื่อนๆก็ต่างพากันปลอบผมว่าบอยคงติดธุระ ผมก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับพร้อมกับคิดไปในทางที่ดี บอยคงไม่เป็นอะไรหรอกนะ
“สวัสดีค่ะ วันนี้เปิดเทอมวันแรกนะคะ ครูเลยเอาตารางเรียนมาแจกนักเรียนกัน อ้าวสมชายช่วยครูแจกหน่อยลูก”
ครูก็พูดไปเรื่อยๆ พูดโน่นพูดนี่ผมไม่ได้สนใจอะไรหรอก แต่สิ่งที่ครูพูดต่อไปนี้ทำให้ผมตกใจมากและเสียใจมากที่สุด
“เรื่องสุดท้ายนะคะ มีเพื่อนเราลาออกจากโรงเรียนสองคนนะ คนแรกณัฐชัยนะ เพื่อนเขาไปเรียนที่ภูเก็ต” อีกี้นั่นเอง
“อีกคนคือ ภัทรพล นะคะ” ผมจุกครับ ถึงกับพูดไม่ออก ได้ยินแต่เสียงฮือฮาของเพื่อนและก็เสียงของสุวิทย์ที่ถามครูขึ้นก่อน
ที่ครูจะเดินออกจากห้อง
“บอยเขาได้บอกไหมครับครู ว่าจะไปเรียนที่ไหน”
“เอ่อ อันนี้ครูก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เหมือนไม่ได้ให้เหตุผลที่ลาออกไว้”
ผมคงทนนั่งต่อไปไม่ได้ จะทำยังไงกับความรู้สึกที่เหมือนจะเป็นลมแขนขาอ่อนแรงเป็นเพราะเมื่อเช้ากินแค่ขนมปังแผ่นเดียวเพราะตื่นสายบวกกับเรื่องของบอยที่ทำให้ผมสับสนกระอักกระอ่วนใจ ทำไมบอยไปแบบนี้นะ ทำไมบอยไม่บอกกันก่อน ทำไมกัน
ผมลุกขึ้นว่าจะไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำเสียหน่อย แต่จังหวะที่ลุกขึ้นหูกับอื้อไปซะดื้อๆ ตาเริ่มพล่ามัว ได้ยินแต่เสียง
โอ๊ตเรียก บีน บีน ก้องอยู่ในหัว
ก่อนตัวจะเซเตรียมจะล้มลงกับพื้น
เหมือนมีคนแบกผมไว้ ความรู้สึกเป็นแบบนั้น
เตียง
ห้องพยาบาล
ผมพยายามลืมตาขึ้น ก็มีคนเอาอะไรมาให้ดม ปลดกระดุมเสื้อกับเข็มขัดให้คลายออก
“ดีขึ้นยังบีน” นี่โอ๊ตนี่นา
“อืม” โอ๊ตลูบหัวผมเบาๆ
น้ำตาไหล ผมน้ำตาไหลครับ แต่พยายามพลิกตัวไปอีกทางไม่ให้โอ๊ตเห็น
พยายามบอกตัวเองว่าต้องอดทนไว้ บอยอาจจะยังคงอยู่ที่หออยู่ก็เป็นได้
ผมนอนอยู่ห้องพยาบาลถึงเที่ยงก็ออกมาแล้วขึ้นไปเรียนที่ห้องต่อ
คนที่นั่งอยู่ข้างกันก็ตกใจพร้อมกับดุเล็กๆว่าทำไมรีบขึ้นมา
“โอ๊ต โอ๊ตพาเราไปหาบอยหน่อยนะ”
โอ๊ตมองหน้าผมก่อนจะบอกว่า “ได้สิ”
หลังจากเลิกเรียนโอ๊ตจึงบอกกับคนขับรถมารับกลับบ้านให้พาไปที่หอบอยก่อน
ผมถึงหอเปิดประตูรถก็เปิดประตูออกทัน โอ๊ตก็วิ่งเหยาะๆตามมาติดๆ ผมเดินไปถึงหน้าประตูอพาร์ทเม้นท์ก็ต้องชะงักลง จริงด้วยสิมันต้องใช้คีย์การ์ดเข้า แต่ว่าผมจำเบอร์ห้องได้
ผมเลยกดเลขห้องที่โทรศัพท์หน้าประตูโทรเข้าไปที่ห้อง แต่ไม่มีใครรับสักคนจึงเดินไปที่อ๊อฟฟิศของอพาร์ทเม้นนี้
“พี่ครับ ขอรบกวนหน่อยครับ คือผมจะมาหาเพื่อนที่ห้อง๓๐๑ แต่ว่าเข้าไม่ได้พี่ช่วยไปดูที่ห้องให้ได้ไหมครับ” ผมเรียกแม่บ้านที่ดูแลที่นี่ ก่อนวานให้ช่วย
“ห้อง ๓๐๑ เหรอน้อง เอ๊ะ ห้องนี้เขาย้ายไปตั้งแต่เช้าวันเสาร์แล้วน้อง”
คำตอบที่ทำผมงงไปอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันนี้ แสดงว่าเย็นวันศุกร์ที่บอยบอกว่าเก็บของนี่คือเก็บของย้ายห้องหรอกหรือ
“อ้าว ย้ายไปไหนครับ เขาได้บอกอะไรหรือเปล่า” โอ๊ตที่ยืนอยู่ข้างๆถามขึ้น
“พี่ไม่รู้นะน้อง น้องเขาไม่ได้บอกไว้นะ แต่เห็นบอกว่าย้ายด่วนเหมือนจะกลับไปต่างจังหวัด พ่อแม่มาช่วยขนด้วยนะ เดี๋ยวพี่เอาใบเซ็นชื่อให้ดูนะ”
“ครับ” ดีนะครับที่ให้ดู บางหอจะไม่ให้ดูพวกใบสัญญษของคนอื่น
“บีน กูลืมเอามือถือในรถ เดี๋ยวกูไปเอาก่อนนะ” โอ๊ตเดินกลับไปที่รถซึ่งจอดอยู่อีกฝั่ง
“นี่ค่ะน้อง”
ผมรับใบสัญญาหอของบอยมาดู ก็ไม่ได้บอกข้อมูลอะไรมาก แต่ที่งงก็คือตรงเซ็นชื่อมันไม่ใช่ชื่อของบอย
บอยชื่อ ภัทรพล ประเสริฐสุข แต่ชื่อกลับเช็นว่า ธีระพล แจ่มจันทร์ แต่มันก็เป็นลายมือบอยนะผมจำได้ กระดาษอีกใบที่ติดมาด้วยเป็นสำเนาบัตรประชาชนของบอยเซ็นสำเนาถูกต้องแล้ว แต่ชื่อก็เป็น ธีระพล แจ่มจันทร์ ผมรีบพับสำเนาบัตรยัดใส่กระเป๋ากางเกงก่อนเดินไปคืนใบสัญญาเช่าให้กับแม่บ้าน
“ได้ดูยัง”
“ดูแล้วก็ไม่มีอะไร”
ผมว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรแน่ๆหรือบอยจะปลอมตัวมาแบบผม แต่จะปลอมตัวมาเพื่ออะไรล่ะ ตำรวจมาจับยาเสพติดอย่างนั้นหรอหรือว่ามาทำแบบเดียวกับผม
ผมนั่งคิดไปตลอดทางไม่พูดไม่จา โอ๊ตไปส่งผมถึงหอก่อนที่ผมจะบอกว่าไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้กลับไปเถอะ ผมถึงห้องก็รีบถอดรองเท้าวางกระเป๋าก่อนจะหยิบสำเนาบัตรประชาชนที่บอยเซ็นกำกับไว้ ใต้ชื่อก็ธีระพล ในบัตรก็ธีระพล แจ่มจันทร์ เกิดวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๐ นี่ผมดูไม่ผิดใช่ไหมครับ บัตรของเด็กบอยบอกว่าเกิดปี ๓๐
ปี ๓๐ แสดงว่าปีนี้บอยก็ต้องอายุ ๒๕ แล้วใช่ไหม
แสดงว่าวันที่ผมได้ยินแว่วๆเมื่อเช้ามือวันก่อนว่า
พี่รักบีน
ก็คือ
ติ๊ง ติ๊ง
ติ๊ง ติ๊ง
ใครมาหาอีกนะ ผมรีบพับกระดาษแล้วเอาแก้ววางทับไว้ ขณะที่ผมเดินไปประตูก็ยังไม่สามารถบอกอารมณ์ของตัวเองได้ถูกว่าจะเศร้า เสียใจ สงสัย หรือจะโกรธดี มันตีกันไปหมดในหัวสมอง
“คุณบิ๊ก”
“สวัสดีครับ”
“........” ผมไม่พูดอะไร เดินไปเปิดตู้เย็นก่อนจะรินน้ำส้มมาให้เจ้านายหนึ่งแก้ว
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้นหรือว่าผมไม่ได้แจ้งว่าจะมาเลยโกรธ” ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อยเจ้านาย
“เปล่าครับ”
“หรือว่าซ่อนใครไว้ในห้องนี้หรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกครับ” ผมเดินอ้อมไปแล้วนั่งลงที่อีกฝั่งของโซฟา “ผมขอถามหน่อยนะครับคุณบิ๊ก”
“ถามว่า”
“นอกจากผมแล้ว มีใครทำงานแบบเดียวกับผมไหม ที่ต้องปลอมตัวแล้วไปดูแลลูกคนอื่น”
“มีสิ อ้าวนี่ดูไม่ออกหรอ”
“เหมือนความว่ายังไงครับ” อย่าบอกนะว่าบอย
“ก็ไอ้คนที่คุณบอกว่าจะมาห้องคุณวันก่อนๆนั้นไง คนที่ผมเปิดประตูออกไปแล้วไปเจอพอดี”
“บอยนั่นเหรอครับ”
“เออใช่ๆ นายบอยนั่นแหละ บอยมันรู้จักผมนะเพราะผมเคยไปคุยเรื่องปลอมตัวด้วย แต่มันก็คงแสดงสมบทบาทไปหน่อย”
ผมนั่งอึ้งไปนึกถึงเรื่องที่ผ่านๆมา ไม่น่าล่ะ ถึงบอยจะดูหน้าเด็กก็เถอะแต่ดูจากลักษณะแล้วมันดูเป็นเหมือนผู้ใหญ่ ความคิดความอ่าน การพูดจา การกระทำต่างๆแต่ผมก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากเพราะบางครั้งก็ยังติดนิสัยขี้เล่นเหมือนเด็กเวลาอยู่ใกล้ๆผม แสดงว่าสุวิทย์ก็คงเป็นแบบโอ๊ต
“แสดงว่าบอย”
“ใช่ ถูกต้องตามที่คิด”
“งานของคุณผมก็ไม่ได้คิดเองหรอกนะ ไอ้วิธีแปลกๆแบบนี้ แต่ผมเห็นคุณอาสุพจน์ที่เป็นกรรมการผู้บริหารแกเป็นคนทำ พอดีผมกับคุณอาแกสนิทกัน แกบอกว่าคุณแม่น้องวิทย์คือคุณรัชนีแกเป็นคนจัดการทุกอย่าง แกเอาลูกน้องในบริษัทผมนี่แหละปลอมตัวไป เพราะเห็นว่าบอยนี่มันนิสัยดี”
“แล้วยังไงต่อครับ”
“มันก็ได้ผลสิ วิทย์จากเด็กติดเกมส์ นอนดึก ไม่ไปเรียนพิเศษ อยู่ก็ก็เริ่มหันมาสนใจการเรียนเพราะว่าติดเพื่อนใหม่ที่ชื่อบอย ซึ่งย้ายเข้าตอน ม.๔ เทอมแรก บอยนี่แหละที่ผมเอามาเป็นตัวอย่างแล้วผมก็ทำตามที่แม่ของวิทย์ทำทุกอย่าง สุดท้ายโอ๊ตมันก็ดีขึ้นอย่างที่เราเห็นกัน”
“แสดงว่าบอยก็ต้องอายุมากกว่าผมล่ะสิ ”
“ใช่ ถูกต้อง นี่เจอกันอีกทีคุณก็ต้องเรียกบอยว่าพี่แล้วนะ ฮ่าๆ” ผมไม่ตลกตามเจ้านาย คุณบิ๊กแกเลยหุบยิ้มไป
ผมเอื้อมมือไปหยิบกระดาษที่มีแก้วเปล่าทับไว้แล้วคลี่ออก พร้อมอ่านให้คุณบิ๊กฟัง
“นายธีระพล แจ่มจันทร์ เกิดวันที่ ๓ ธันวา ๒๕๓๐ ที่อยู่ตามสำเนาคือที่จังหวัดหนองคาย ”
“อ้าว แล้วนี่ไปเอาสำเนาบัตรของบอยมาจากไหนบีน”
“จิ๊กมาจากหอบอยครับ บอยย้ายออกจากโรงเรียนแบบไม่บอกไม่กล่าวเพื่อนๆสักคำ แม้กระทั่งผมก็ไม่บอกรายละเอียดอะไรเลย มีแค่บอกว่าบอยต้องไปแล้วก็แค่นั้น”
“อ้าวเหรอ แต่ที่จริงสัญญางานบอยมันสองปีนะ สงสัยคงมีธุระต้องกลับบ้านหรือเปล่า”
“ผมไม่รู้”
“นี่เราตกหลุมรักเขาหรือเปล่าบีน”
“ก็ประมาณนั้น คงไม่ใช่ผมคนเดียวแต่เป็นบอยด้วยที่ดูเหมือนจะรักผม ผมคิดว่าเขาก็คงรักผมด้วยแต่ทำไมเขาทำแบบนี้ล่ะ เขาทำให้ผมเจ็บนะจะไปก็บอกกันบ้างสิ ไม่ใช่ว่าหนีหายไปเลย ถึงจะไม่ได้บอกว่าทำงานแบบเดียวกันแต่ก็ขอให้บอกว่าจะกลับบ้านก็ได้”
พูดไปก็จุกที่คอ เหมือนจะร้องไห้ ปวดที่ใจแต่น้ำตากลับไม่ไหล
“ใจเย็นๆก่อนคุณบีน บอยมันอาจจะมีเหตุผล เอาอย่างนี้ไหมล่ะ ลองคุยกับคุณรัชนีดูไหมเผื่อนายอยากรู้เรื่องของบอยเพิ่มเติมว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำไมลาออก คุณรัชนีเป็นแม่ของสุวิทย์นั่นแหละ คุณอาแกเป็นคนใจดีไม่ต้องกลัว แกก็พอรู้ๆจักคุณจากผมอยู่บ้างเพราะมีแค่คุณคนเดียวที่ปลอมตัวไปทำงานแบบบอย”
“อย่างนั้นก็ดีเหมือนกันครับ”
คุณบิ๊กหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะกดโทรออกหาคุณรัชนี ได้ใจความว่า นัดคุณรัชนีไว้พรุ่งนี้ตอนเย็นที่ร้านอาหารในห้างหรู
.............................................................................................
ผมรอเวลาเลิกเรียนอย่างใจจดใจจ่อ พอถึงเวลาก็รีบกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปที่ที่นัดคุณรัชนีไว้ก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงด้วยความที่อยากรู้ความจริงแบบละเอียด
ผมนั่งรอแถวๆร้านอาหารราคาแพงเกือบหนึ่งชั่วโมงก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา
“คุณบีนใช่ไหมคะ พี่เป็นเลขาของคุณรัชนี คุณบีนแจ้งชื่อคุณรัชนีที่ร้านแล้วเข้าไปนั่งรอได้เลยค่ะ เดี๋ยวคุณรัชนีจะตามเข้าไป”
“ครับ ขอบคุณครับ”
ผมแจ้งชื่อคุณรัชนีไป เด็กเสิร์ฟก็พาผมเข้าไปนั่งในห้องรับประทานอาหารส่วนตัว
รออยู่ไม่นาน คุณรัชนีก็เข้ามาเธอยังดูไม่แก่มากคงประมาณสี่สิบปลายๆ ท่าทางดูใจดี
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ น้าเป็นแม่น้องวิทย์เองนะ” แกดูเป็นคนใจดีจริงๆ ดูไม่ถือตัว
“ครับ”
“อยู่โรงเรียนวิทย์เป็นอย่างไรบ้าง ดื้อไหม”
“ไม่นะครับ เดี๋ยวนี้ออกจะเงียบๆนั่งแถวหน้า”
“โอเค เรานัดน้ามานี่อยากรู้เรื่องของบอยใช่ไหม เห็นคุณบิ๊กบอกมาแบบนั้น น้าก็พอจะเข้าใจความรู้สึกหนูอยู่นะ”
นี่คุณบิ๊กคงไม่ได้ไปบอกคุณรัชนีหรอกนะว่าผมกับบอยสนิทกันเกินเพื่อน
“ประมาณนั้นครับ อยู่ๆก็หายไปเลยเลยอยากรู้ว่ามันยังไงกันแน่”
“อืม เอาไงดี ตอนแรกบอยเขาเป็นพนักงานในส่วนแผนกที่น้าดูแลนี่ล่ะ น้าก็เห็นบอยผ่านๆคือ ย้อนไปเมื่อตอนสองปีก่อนบอยเขาเป็นเด็กจบใหม่ แต่ด้วยความที่มาทำงานไม่ตรงสายเลยได้ทำแค่งานธุรการ แต่ความที่ว่าเป็นเด็กดี ขยัน ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะน้อย น้ากับเด็กๆในแผนกเลยเอ็นดูบอย เช้าๆบอยก็จะชงกาแฟ ทำขนมปังให้พี่ทานกัน ดูนิสัยดีมาก”
แล้วแกก็เล่าต่อไปว่า “ด้วยความที่บอยเป็นเด็กดีแต่ลูกน้านี่สิ ไม่ค่อยมีเพื่อนเอาแต่ติดเกมส์ ไม่ตั้งใจเรียนเลยอยากให้บอยไปเป็นเพื่อนกับวิทย์ น้าเลยคิดแผนการนี้ขึ้นมา ซึ่งมันก็ได้ผลนะตอนวิทย์ขึ้น ม.๔ น้าก็ให้บอยปลอมตัวเป็นเด็ก ม.๔ ไปเป็นเพื่อนกับวิทย์เสียเลย ทางบอยก็ยินดีรับทำนะเพราะเห็นว่าเงินดีด้วย เพราะทางบ้านบอยที่อยู่ต่างจังหวัดก็ไม่ได้รวยอะไรมากแถมช่วงนั้นก็มีปัญหาเรื่องเงิน แล้วบอยก็ทำงานนี้ออกมาได้ดีด้วย ควบคุมความประพฤติลูกน้าได้เป็นอย่างดีแต่บอยก็มีบอกกับน้านะว่าพ่อแม่เขาก็บ่นอยากให้เขากลับไปทำงานแถวๆบ้าน น้าก็ไม่ได้อะไรมากถ้าอยากไปน้าก็จะให้ไป แต่มีข้อแม้คือต้องห้ามติดต่อกับเพื่อนในชั้นเรียนอีกเดี๋ยวความแตก อันนี้หนูบีนเข้าใจใช่ไหมลูก”
“เข้าใจครับ แล้วรถยนต์นี่เป็นของใครครับ”
“อ๋อ รถยนต์เป็นของทางเราเอง คือบอยเขาไม่อยากจะไปอยู่หอแพงๆเลยอยู่หอที่เคยอยู่อยู่แล้ว ทางน้าก็กลัวว่าจะเดินทางไปลำบาก คุณพจน์พ่อน้องวิทย์เลยไปเอารถมือสองจากเต้นท์เพื่อนเขามาให้บอย นี่วันก่อนน้ายังบ่นให้บอยอยู่นะว่าทำไมไม่ค่อยใช้รถ แต่อาทิตย์ก่อนบอยก็มาคืนรถให้น้าแล้วล่ะ น้าเองก็ยังอดใจหายไม่ได้นะ”
“ครับ บอยได้บอกไหมครับว่าเหตุผลที่เขาออกคืออะไร”
“เหตุผลหรอ เอ่อ บอยบอกแค่ว่าพ่อแม่ให้กลับไปทำงานแถวบ้านนะ รู้สึกบ้านบอยจะอยู่หนองคาย แล้วก็มีปัญหานิดหน่อยที่ต้องไปเคลียร์ จำได้ว่าบอยบอกแค่นี้นะหนู”
“มีปัญหาที่ต้องเคลียร์เหรอครับ อาทิตย์ก่อนพ่อแม่บอยก็มานะครับ”
“ใช่ๆ พ่อแม่มาเก็บของกลับไปก่อน นี่ยังเสียดายเลยนะบอยยังทำงานไม่ครบสัญญาเลย แต่ทางน้าก็ให้เงินไปอีกก้อนหนึ่ง เผื่อจะได้ใช้ในตอนที่ขัดสน”
“คุณน้าใจดีมากเลยนะครับ”
“โอ๊ย ไม่ได้ใจดีมากหรอกหนู น้าเห็นคนมันนิสัยดี ตั้งใจทำงานก็อยากช่วย ว่าแต่เราจะทำอย่างไรต่อไป”
“ผมอยากไปหาบอยครับ อยากไปถามเหตุผลให้ชัดเจน อยากได้คำตอบ”
“บอยก็นะ ดีหมดทุกอย่าง อยู่ๆทำไมมาตัดสินใจอะไรแบบนี้นะ แทนที่คนทำงานเหมือนๆกันจะบอกกันบ้างก็ไม่ได้ สงสัยจะเชื่อน้ามากเกินไปว่าไม่ให้ติดต่อกับใครถ้าทำงานนี้เสร็จ เมื่อวานวิทย์ลูกน้าก็บ่นๆนะว่าอยู่เพื่อนสนิทอยู่ๆก็ลาออกไปเฉยๆ น้าก็สงสารวิทย์มันเหมือนกัน ยังไงก็ฝากดูวิทย์ให้หน่อยนะลูก”
“ได้ครับ ขอบคุณคุณน้ามากนะครับ ที่ช่วยอธิบายเรื่องของบอยให้ผมฟัง ถ้าผมเจอบอยจริงๆแล้วบอยถามว่าใครบอกผมจะไม่บอกแล้วกันว่าคุณน้าเป็นคนบอก”
“ไม่เป็นไรๆบอกไปเลยก็ดี ถ้าบอยมันกล้าโกรธเดี๋ยวน้าจะโทรไปด่ามันเอง”
คุณรัชนีหัวเราะอย่างอารมณ์ดีก่อนจะบอกให้ผมทานข้าวที่สั่งมาได้แล้ว เรานั่งทานข้าวกันคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ก่อนที่จะแยกกันกลับ
หนองคายอย่างนั้นหรือ ผมเปิดข้อมูลการเดินทางวางแผนไว้พร้อม
ที่อยู่ตามบัตรประชาชนและก็ที่อยู่ของบอยอย่างละเอียดที่คุณรัชนีให้ผมไว้ก่อนกลับ
แต่เรื่องนี้ผมคงต้องฉายเดี่ยวแล้วล่ะจะให้โอ๊ตหรือเพื่อนๆ รู้ไม่ได้ว่าไปไหน ยังไงเรื่องของบอยก็คงต้องปกปิดกันต่อไปเพราะถ้า
เพื่อนๆรู้ว่าบอยปลอมตัวมากลัวว่าความจะแตกโดนซักมาจนถึงตัวผมอีก
ขออย่างเดียว
ขอรู้เหตุผลว่าทำไมต้องหายไปอย่างนั้น
วันศุกร์นี้แหละคือวันเดินทาง ขาดเรียนสักวันคงไม่เป็นอะไรหรอก
“สู้ๆนะบีน ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
ผมบอกกับตัวเองในใจก่อนหลับไปบนเตียง เตียงที่ไม่มีบอยมานอดกอดผมเหมือนเดิมแล้ว
...
สุดท้ายก็ พี่บอย
นะทุกคน ไม่ใช่เด็กบอยอีกต่อไป แหมนึกว่าบีนจะได้กินเด็กแล้วซ :rureadyะอีก
แล้วบีนจะไปเจอบอยไหมนะแต่ระดับบีนเก่งอยู่แล้ว เรื่องกี้เล่นยายังไปสืบมาได้ เรื่องหาที่อยู่ตามทะเบียนบ้านแค่นี้ คงหมู
จากเรื่องวัยรุ่นใสๆ จะไปสู่โหมดมาม่าได้หรือไม่ :katai1:แบบนี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปนะจ้ะ จะไม่สัญญานะว่าจะรีบมาต่อเพราะเคยสัญญาแล้วมาต่อช้ามาก ฮ่าๆ 
รักคนอ่านทุกคนเด้อ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นกันทุกครั้งเลยนะครับ 
ฝันดีนะครับ บายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
