<<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>  (อ่าน 129674 ครั้ง)

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
แต่เหตุการณ์ก็ทำให้จากกันอ่ะ
ตอนนี้เลือกไม่ถูกเลยจะโหวตแบบไหนดีน่ะ

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ไม่รู้ล่ะ เชียร์สมิงอ่ะ -^-! 555555

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
รุ่นพ่อก็หวานกันไป :katai2-1:

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
เลือกโหวต3พีรัวๆๆๆๆๆ
ชอบคู่คุณพ่อมากค่าาา
คิดถึงพ่อสมิงแล้วๆๆๆๆ

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
รอๆๆๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Arzumi

  • #เจ้าหนูจาไม
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                    บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                          บทที่  10.1


               ศึกรบยังคงโหมหนักในระหว่างจัดม้าเร็วเร่งนำสาส์นร่วมเป็นพันธมิตรไปยังเหมราช บางคราเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์

ต้องทรงไปบัญชาการรบด้วยตนเอง ส่วนตัวโกมุทที่เป็นฝ่ายสนับสนุนคิดอยากจะช่วยเหลืองานของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จึง

ได้ตัดสินใจควบม้าลาดตระเวนไปยังรอบเขตที่พักทางด้านหลังหวังจะป้องกันการลอบโจมตีจากพวกอุดรรังษี

               ร่างสูงโปร่งบังคับม้าพลางกระชับคันธนูอยู่ในมือ ดวงตาเรียวงามมองอย่างระแวดระวังไปตามต้นไม้ใหญ่น้อย

เพื่อสอดส่องภัย จนกระทั่งต้องหยุดม้าลงเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบดังแว่วเข้าหู โกมุทโก่งคันศรให้พร้อมให้มันพุ่งออกไป


               “นั่นใคร”


               เอ่ยออกไปด้วยความหวาดหวั่น โกมุทพยายามมองหาต้นเหตุแห่งเสียงด้วยความตื่นเต้น


               สวบบบ

               พรึ่บบบ


               ทันทีที่กิ่งไม้ไหวเอนโกมุทก็ยิงลูกศรออกไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ใจชื้นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงอุทานแม้ว่ามัน

จะเบามาก เขารีบกระแทกส้นเท้าบังคับอาชาให้พุ่งตรงไปทางต้นเสียง แต่แล้วโกมุทก็ต้องตกใจเมื่อมีร่างสูงใหญ่ของคน

แปลกหน้ากระโจนลงมาใส่เขาจนร่วงลงจากหลังม้า

               ร่างทั้งสองกลิ้งไปตามพื้นจนหยุดลงในตอนที่โกมุทเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่าง มีดคมในมือจ่ออยู่ที่คอของโกมุท

เตรียมจะปาดลงไปหากเจ้าของมันไม่ชะงักเสียก่อน

               ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในผ้าคลุมสีดำเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของโกมุทชัดเจน โกมุทเองก็เบิกตามองอย่าง

ประหวั่นพรั่นพรึง หากไม่มีเสียงโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมจากทางด้านที่มีการสู้รบดังขัดจังหวะมีดคมก็คงจะปลิดชีวิตเขา

ไปเสียแล้ว

                จู่ๆมันผู้นั้นก็ผุดลุกออกจากร่างกายของโกมุทและเร้นกายเข้าไปในป่าลึก โกมุทรีบยันกายลุกขึ้นยืนพลางถอน

ลมหายใจเมื่อผ่านช่วงแห่งความน่ากลัวไปได้ เขารีบเป่าปากเรียกอาชาคู่ใจขึ้นมาและควบมันกลับเข้าไปในค่ายพักโดย

ไม่รู้เลยว่าไม่ไกลออกไปนัก คนที่เพิ่งจะไว้ชีวิตเขาลอบมองตามจนลับตา


               “ทรงบาดเจ็บ”


               บุคคลที่ยืนเบื้องหลังกล่าวขึ้นเมื่อเห็นรอยธนูถากที่ต้นแขนจนเลือดซิบ


               “ไกลหัวใจ”


               น้ำเสียงเย่อหยิ่งกำแหงดังมาจากคนผู้นั้นเมื่อก้มมองบาดแผลที่เกิดขึ้นจากบุรุษผู้มีใบหน้าอันงดงาม เขาดึง

ผ้าคลุมหน้าตนเองออกเผยให้เห็นรอยยิ้มอันพึงใจ

               นานหนักหนาแล้วที่มิเคยพบพานบุรุษคนใดที่ดึงดูดสายตาเช่นนี้ ถึงกับต้องสูดลมหายใจเพื่อระงับจิตใจเมื่อ

ความต้องการกำลังท่วมท้น


               “ชายผู้นั้นเป็นใคร”


               เอ่ยถามชายซึ่งยืนอย่างนอบน้อมอยู่เบื้องหลังด้วยความอยากรู้ และสายสืบของเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง


               “กราบบังคมทูล ชายผู้นั้นนามว่าโกมุทตำแหน่งเสนาบดีแห่งรัตนปุระนครและมีความสัมพันธ์เป็นน้าของเจ้า

ฟ้าอาทิตยวงศ์พะย่ะค่ะ”


               น้าของอาทิตยวงศ์


               มุมปากยิ้มลึกอย่างพอใจเมื่อรู้สึกว่ารางวัลแห่งการศึกน่าจะคุ้มค่าควรแก่การทุ่มเท


               “กลับกันได้แล้ว ข้าจะรีบไปวางแผนการรบ”


               เขาหมุนกายกลับไปเพื่อกระโดดขึ้นไปบนหลังอาชาตัวใหญ่ที่มีบังเหียนงดงามวางอยู่บนหลังมัน บังเหียนที่

ทำให้ผู้พบเห็นรู้ว่าผู้ที่จะบังคับอาชาตัวนี้ได้มีเพียงผู้สืบสันตติวงศ์แห่งเมืองอุดรรังษีเท่านั้น
               








               เมื่อควบอาชามาจนถึงที่พักของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์โกมุทก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ราย

ล้อมกันอยู่ด้านนอก เขารีบกระโดดลงจากหลังม้าและก้าวเข้าไปทันที เหล่าทหารและเสนาบดีเมื่อเห็นโกมุทที่มีศักดิ์เป็น

พระมาตุลาก็เปิดทางให้เขาก้าวเข้าไปภายในอย่างร้อนรน


               “เกิดเหตุอันใดขึ้น”


               เอ่ยถามเสียงเข้มกับเหล่าเสนารักษ์ที่เข้าเฝ้าอยู่ภายใน นายแพทย์ทหารอาวุโสเป็นผู้ให้คำตอบแก่เขา


               “เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเข้าไปร่วมรบกับเหล่าทหารอย่างอาจหาญจนได้รับบาดเจ็บ”


               บาดเจ็บ!


               หัวใจร่วงหล่นไปอยู่แทบเท้าด้วยความห่วงใยเป็นล้นพ้น โกมุทก้าวยาวๆไปยังด้านหลังบังตาของที่พัก เขา

เห็นวรกายของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์นั่งอยู่บนแท่นบรรทมและมีผ้าพันแผลพันอยู่รอบพระพาหา(ต้นแขน) โกมุทถึงกับกลั้น

อารมณ์ไม่อยู่ส่งเสียงตวาดลั่นจนเหล่าแพทย์และทหารเสนารักษ์ถึงกับสะดุ้ง


               “ทำไมจึงไม่คุ้มครองเจ้าฟ้า เหตุใดพระองค์จึงบาดเจ็บ สะเพร่ากันเหลือเกิน”


               “โกมุท เราปลอดภัยน่า ใจเย็นก่อนเถิด”


               พระพักตร์จืดเจื่อนของผู้เป็นทั้งหลานและคนรักยิ่งทำให้โกมุทนึกเคืองเพราะรู้ดีว่าเจ้าฟ้าอาทิตวงศ์ทรง

กระทำด้วยความมุทะลุ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวคนทั่วแคว้นถึงกับตรัสอะไรไม่ออกเมื่อเห็นโกมุทโกรธจน

ควันออกหูจึงทรงโบกพระหัตถ์ให้เหล่าแพทย์กลับออกไป และเมื่ออยู่เพียงลำพังก็ทรงแย้มสรวลเอาใจ


               “อย่าโกรธเราสิโกมุท”


               ร่างโปร่งก้าวสวบๆมายืนเคียงแท่นพระบรรทม ดวงตาเรียวกรุ่นไปด้วยความเป็นห่วงระคนขัดเคือง


               “พระองค์ทรงนึกอะไรขึ้นมาพะย่ะค่ะถ้าได้บ้าดีเดือดแบบนั้น นี่ถ้าทรงเป็นอะไรขึ้นมาหม่อมฉันจะกลับไปบอก

ท่านพี่กุสุมาเช่นไรและไหนจะยังประชาชนทั่วทั้งรัตนปุระนครอีกล่ะ อุ๊บ”


               ถูกดึงจนเสียหลักให้ล้มอยู่บนตักแล้วเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จึงทรงปิดปากช่างต่อว่านั้นเสีย โกมุทดิ้นรนด้วยความ

โมโหแต่เป็นเพราะจุมพิตอันหนักหน่วงทำให้เขาต้องยินยอมหยุดดิ้นรนในที่สุด


               “พระองค์ก็เป็นเสียอย่างนี้ เอะอะก็จูบ”


               โกมุทที่ยอมนิ่งให้ทรงกอดรัดและคลอเคลียมองค้อนอย่างหมั่นไส้ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์สรวลออกมาอย่างถูก

พระทัยพลางเชยคางมนให้เงยขึ้นสบพระเนตร


               “ก็เราชอบจูบเจ้านี่ แล้วเจ้าล่ะไม่ชอบหรือไร”


               “อย่าทรงเฉไฉความผิด”


               “จะโกรธอะไรนักหนานะท่านน้า”


               แสร้งถอนพระปัสสาสะทั้งที่พระเนตรยังพราวแสง ทรงขยับวรกายพลิกให้โกมุทลงไปนอนหงายอยู่บนแท่น

พระบรรทมโดยมีพระองค์เอนทับ


               “เราก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ที่ต้องทำก็เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหาร”


               โกมุทเม้มปากนิ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้


               “หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์ หากพระองค์เป็นอะไรไปหม่อมฉันคงอยู่ไม่ได้”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงส์ทรงประสานสายตาล้ำลึก ปลายข้อพระหัตถ์ตวัดไล้ไปตามกรอบหน้างามอย่างแสนรัก


               “เรารู้ เราไม่มีทางเป็นอะไรหรอก เรากลัวท่านน้าร้องไห้ขี้มูกโป่ง”


               “บ้า หม่อมฉันไม่ใช่เด็กๆแล้ว”


               “จริงเหรอ งั้นพิสูจน์กันหน่อย”


               ตรัสจบก็ซุกพระพักตร์ลงกับลำคอระหงและขบเม้มเบาๆจนโกมุทไหวสะท้าน


               “พระองค์ทรงบาดเจ็บ อื้อ...”


               “เจ็บแค่ที่แขน ตรงนี้ไม่ได้เจ็บสักหน่อย”

               ดึงมือเรียวของโกมุทไปกอบกุมพระคุยหฐาน(เอิ่ม...ตรงนั้นนั่นแหละ)จนเจ้าของมือหน้าแดงก่ำเมื่อพบว่าจุดนั้น

กำลังคับแน่นอยู่ในพระสนับเพลา(กางเกง) เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงบังคับให้โกมุทนวดเฟ้นด้วยปลายนิ้ว


               “อาทิตย์ บ้าจริง”


               น้ำเสียงขัดเขินยิ่งทำให้หลานชายผู้สูงศักดิ์กระทำการอย่างถูกพระทัย และในที่สุดโกมุทก็ต้องโอนอ่อนตาม

พระทัยให้ทรงตักตวงความหวานจนลืมเรื่องบาดหมางในที่สุด





-----------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------




เวลาน้อยใช้สอยประหยัด แต่งสะสมไว้ก่อน

ปอลิง ใครถามถึงพ่อสมิง อีกนานจ้ากว่าจะออก เก็บความคิดถึงไว้ก่อนน้า





 :z2: :z2: :z2: :z2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-11-2015 21:42:16 โดย Belove »

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ขอบคุณค่ะ
รอตอนต่อไป ^^

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
หรือคนที่โดนธนูเปนมือที่3 ทำไมอาทิตย์เข้าใจผิด
สงสารพ่อบัวก่อนล่วงหน้า ฮืออออ
คิดถึงพ่อสมิงงง

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
ตะเอง(คนเขียน)
วันนี้เราได้ราชาศัพย์ใหม่  *พระคุยหฐาน*

แต่ชาตินี้จะมีวันได้ใช้ไหมเนี่ย?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                 บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                       บทที่  10.2



               รุ่งเช้าหลังจากถวายการดูแลเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ที่เพิ่งตื่นจากบรรทมแล้ว โกมุทก็ได้รับข่าวไม่สู้ดีนักว่าเจ้านาง

กุสุมาผู้เป็นพี่สาวทรงพระประชวร เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็ทรงร้อนพระทัยไม่น้อยเมื่อได้ยินข่าว


               “เจ้ากลับไปดูแลพระมารดาเถอะโกมุท”


               โกมุทเองก็นึกเช่นนั้นแต่ยังสองจิตสองใจเพราะเป็นห่วงเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เช่นกัน


               “หม่อมฉันเป็นห่วงพระองค์”


               ถอนหายใจพลางโอบกอดแผ่นปฤษฎางค์และเกยคางไว้กับพระอังสากว้าง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงดึงโกมุท

ให้ก้าวมาด้านหน้าและกระชับต้นแขนเพื่อให้โกมุทสบายใจ


               “เราโตแล้ว เชื่อใจเราเถิดอย่าได้กังวล เราฝากให้เจ้าดูแลพระมารดาแทนเราที่ยังติดพันการรบอยู่ที่นี่ หาก

คลี่คลายได้เมื่อไหร่เราจะรีบกลับไป”


               โกมุทดึงพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์มาแนบที่แก้มตนและสบสายตาด้วยความรักเทิดทูน


               “พระมารดาของพระองค์เป็นพี่สาวของหม่อมฉันเช่นกัน หม่อมฉันจะดูแลท่านพี่กุสุมาให้ดีที่สุดเหมือนกับที่ได้

ดูแลพระองค์ และตอนนี้ขอให้หม่อมฉันได้ดูแลพระองค์ให้สุขกายสบายตัวอีกสักครั้งก่อนเดินทางกลับพระราชวังเถิด

พะย่ะค่ะ”


               ดึงพระหัตถ์และกดวรกายให้เอนลงไปกับแท่นพระบรรทมจากนั้นโกมุทจึงได้ทอดสายตาหวานฉ่ำมองเจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ มือเรียวของเขาดึงสนับเพลาลงมาช้าๆพลางขยับกายคุกเข่าอยู่ระหว่างพระอูรุ เขาวางมือกอบกุมท่อนเนื้ออุ่น

ที่ยังหลับใหลและใช้ปลายนิ้วนวดเฟ้นไปมาเพื่อปลุกเร้าให้ตื่นขึ้น โกมุทก้มหน้าลงไปแต่ก็ยังช้อนสายตามองสบ

พระเนตรก่อนที่เขาจะแตะปลายลิ้นลงไปอย่างนุ่มนวล


               “ท่านน้า เจ้าไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงสูดพระอัสสาสะเมื่อโกมุทกำลังยั่วเย้าด้วยลิ้นชื้น ความเป็นบุรุษเพศตื่นจากหลับใหล

อวดกายแข็งขัน โกมุทคลี่ยิ้มทั้งที่ยังไม่เลิกโลมเลียจนเปียกชื้น


               “หม่อมฉันอยากทำ เพราะพระองค์คือชีวิตและจิตใจของหม่อมฉัน”


               พูดจบก็งับริมฝีปากลงไปกอบกลืนรูดรั้ง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเปล่งพระเสียงด้วยความต้องการทะยานอยาก

สองหัตถ์กดศีรษะทุยของโกมุทที่ขยับขึ้นลงอย่างถูกพระทัย เส้นเอ็นปูดโปนอยู่โดยรอบบอกให้รู้ว่าพระองค์นั้น “ตื่น” ไป

หมดทั้งกาย โกมุทจึงคลายอิสระแต่กลับลุกขึ้นดึงรั้งผ้านุ่งของตนลงอวดสะโพกหนั่นแน่นกลมกลึง เขาคร่อมกายลงกับ

พระโสณีของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์และกดเอวลงไปให้ช่องทางของเขากลายเป็นสิ่งกลืนกินความเป็นชายแข็งแรงนั้นแทนที่


               “อา โกมุท วิเศษเหลือเกิน”


               แม้ว่าจะผ่านแรงรักยามราตรีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ร่างกายของโกมุทก็ยังทำให้พระองค์มีความสุขเกินจะกล่าว

ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปให้โกมุทได้ยึดจับเป็นหลักยามร่างโปร่งนุ่มเนียนได้เคลื่อนย้ายสะโพกบดคลึงให้พระองค์ได้สอด

ลึกและสัมผัสอยู่ภายใน ใบหน้าหวานหลับตาพริ้มพร้อมกัดริมฝีปากตนเองไว้ยามเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงสวนกายเข้า

ใส่ เสียงหวานครวญคร่ำไม่ชาดระยะเมื่อต่างพากันไปสู่จุดหมายแห่งความหวานก่อนที่โกมุทจะทอดกายซบไปบนพระ

อุระและเงยหน้าให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงประทานจุมพิตหวานเป็นรางวัล
               






               โกมุทเดินทางกลับเข้าพระราชวังไปแล้ว เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงรับมือกับศึกอีกหลายวันจนกระทั่งได้รับพระ

ราชสาส์นตอบกลับจากกษัตริย์แห่งเมืองเหมราช การประชุมเสนาบดีและนายทหารชั้นผู้ใหญ่จึงเกิดขึ้นและเมื่อผู้นำ

สาส์นอ่านข้อความจบลง ความตึงเครียดจึงบังเกิดติดตามมาทันที


               “หมายความเช่นใด ไอ้การเชื่อมสัมพันธไมตรีอันแน่นแฟ้นยืนยาวที่เมืองเหมราชต้องการ มันคือสิ่งใดกันแน่”


               ทรงตรัสถามราชทูตที่เดินทางกลับมาแจ้งข่าว


               “ขอเดชะ กษัตริย์เหมราชทรงหมายถึงการเชื่อมสัมพันธ์ด้วยการเป็นทองแผ่นเดียวกันพะย่ะค่ะ”


               เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีจากเหล่าผู้เข้าร่วมประชุม ต่างพากันถกเถียงความเป็นไปได้โดยไม่ทันสังเกตพระ

พักตร์ที่เปลี่ยนสีของเจ้าเหนือหัว


               “ทรงมีพระราชธิดาพระองค์เล็กที่มีพระสิริโฉมงดงามพระนามว่าเจ้าหญิงปะวะหล่ำ ซึ่งบัดนี้เจริญพระชันษาได้

สิบแปดปีแล้ว เห็นควรว่าควรจะอภิเษกกับพระองค์เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างสองเมืองพะย่ะค่ะ หากว่าพระองค์ทรง

ยอมรับข้อเสนอกษัตริย์แห่งเหมราชก็ยังยกทัพไปประชิดกับอุดรรังษีเพื่อดึงความสนใจไปจากรัตนปุระนคร”


               “เราไม่ต้องการแต่งงานเพื่อการเมืองเยี่ยงนี้”


               ตรัสเสียงเข้มพร้อมพักตร์เครียดเมื่อทรงนึกถึงความรักระหว่างพระองค์กับโกมุท แต่เหล่าเสนาบดีกลับมีความ

เห็นไปอีกทาง


               “อันที่จริงด้วยพระชนพรรษาของพระองค์ก็ควรที่จะมีเจ้านางได้แล้วพะย่ะค่ะ และเจ้าหญิงจากเมืองเหมราช

อันมีฐานะคู่ควรก็ไม่มีเหตุอันใดที่ควรปฏิเสธ พวกเกล้ากระหม่อมต่างเห็นพ้องต้องกันว่าพระองค์ควรที่จะรับไมตรีจาก

เหมราช”


                “แต่เราไม่ได้รักเจ้าหญิงอะไรนั่น แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็น”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์พยายามแย้งความเห็นจากเหล่าเสนาบดี พระทัยเต้นรัวด้วยความกลัดกลุ้ม


               “พระองค์เป็นผู้ครองแคว้นรัตนปุระนคร เป็นเจ้าฟ้าเหนือผู้คนทั้งปวง บางครั้งอาจจะต้องเสียสละความสุขส่วน

พระองค์เพื่อความสุขของส่วนรวมพะย่ะค่ะ”


               กัดพระทนต์แน่นเมื่อได้ฟังคำเตือนจากเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ ใบหน้าของพระมาตุลาปรากฏอยู่ในห้วงความคิด

แต่เพราะทรงเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่ต้องทำให้ประชาชนมีสุขจึงได้แต่ทรงหลับพระเนตรลงเพื่อปิดบังความเสีย

พระทัยจากเหล่าเสนาบดี


               “ถ้าหากเราตกลง เหมราชจะทำเช่นไร”


               ราชทูตรีบตอบคำถาม และคำตอบนั้นบาดลึกลงไปกลางพระทัยของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศม์


               “ทันทีที่ทรงเห็นควรกับข้อเสนอ เหมราชจะส่งกองรบไปที่ชายแดน และเมื่อพระองค์กลับถึงพระราชวัง

เจ้าหญิงปะวะหล่ำก็จะเสด็จดำเนินมาที่รัตนปุระนครเพื่อพิธีอภิเษกสมรสกับพระองค์พะย่ะค่ะ”



-------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------------------------



โอ๊ยยย แต่งไปก็สงสารไป

แต่ยิ่งอยู่สูงก็ยิ่งต้องเสียสละความสุขส่วนตัวนะ

 :mew2: :mew2:





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2015 22:08:24 โดย Belove »

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้ม
ก็ยังเชียร์สมิงอยู่ดี 555555
รอตอนหน้าน้า

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เค้าอ่ะชอบพ่อสมิงนะ พ่อสิงเค้าตัองหกหักแน่เลยอ่ะ (T_T)
เห็นแบบนีัแลัว โกมุทรักเจ้าอาทิตยวงศ์มากเลยอ่ะ


ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
ฮือออออ เศร้าล่วงหน้าาาาาาา
เปลี่ยนใจเชียร์พ่อสมิงงงง

ออฟไลน์ am_am

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เศร้าอ่ะ กลัวจนไม่กล้าจะอ่านแล้ววววว :mew2:

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
รอๆๆๆพ่อบ้วววว

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                 บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                        บทที่  11


               การยกทัพกลับคืนสู่รัตนปุระนครทำให้โกมุทดีใจเหลือเกิน เขาเฝ้ารอเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์อย่างตื่นเต้นรวมทั้ง

เจ้านางกุสุมาที่วรกายอ่อนแอสามวันดีสี่วันไข้ก็ยังมีกำลังใจขึ้นมากเมื่อทราบข่าวว่าพระราชโอรสจะกลับสู่พระราชวัง

สองพี่น้องเฝ้ารอใจจดใจจ่อจนกระทั่งกองทัพทหารเดินทางมาถึงในที่สุด


               “ลูกแม่”


               เจ้านางกุสุมาสวมกอดกายหนาของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทันทีเมื่อทรงก้าวเข้ามาในห้องบรรทมของพระมารดา

ด้วยความร้อนพระทัย เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงโอบกอดร่างอันบอบบางของพระมารดาไว้แน่น


               “พระมารดาเป็นเช่นไรบ้างพะย่ะค่ะ หม่อมฉันเป็นห่วงเหลือเกิน”


               “แม่ก็ป่วยนิดๆหน่อยๆแบบนี้แหละไม่หายขาดเสียที ดีที่ได้โกมุทมาอยู่เป็นเพื่อน”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงสบพระเนตรกับโกมุทที่ยืนอยู่ใกล้ๆด้วยความคิดถึง โกมุทเองก็ยิ้มรับด้วยความยินดี


               “แม่ดีใจที่ศึกด้านชายแดนจบลงเสียได้ แล้วนี่ทำไมทางอุดรรังษีถึงยินยอมหย่าศึกง่ายดายเช่นนี้เล่า”


               แม้เป็นสตรีแต่เพราะสนใจการเล่าเรียนเขียนอ่านจากบิดาทำให้เจ้านางกุสุมาฉลาดหลักแหลม ทรงรู้ดีว่าการ

เลิกทำศึกต่อกันนั้นต้องมีสาเหตุ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงลอบถอนพระทัยด้วยความกลัดกลุ้มกว่าจะตัดสินใจตรัสออกไป


               “เหตุเพราะศึกรบทำท่าจะยืดเยื้อเราจำต้องหาพันธมิตร จึงได้ส่งสาส์นไปที่เมืองเหมราชซึ่งเป็นเมืองที่มีชาย

ขอบติดกับอุดรรังษีเช่นกัน และเหมราชยินยอมที่จะช่วยเหลือเรา”


               “เหมราช”


               เจ้านางกุสุมาทวนคำพลางขมวดพระขนง


               “ช่วยกันง่ายๆเช่นนั้นรึ บอกแม่มาให้หมดดีกว่าอาทิตยวงศ์”


               ท่าทีอึกอักของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์พร้อมกับสายพระเนตรที่เหลือบขึ้นมองมาทางเขาบ่อยๆทำให้โกมุทสังหรณ์

ใจประหลาด หัวใจของเขาเต้นตึกตักเมื่อยืนรอฟังข้อตกลงของเหมราชเช่นเดียวกับเจ้านางกุสุมา


               “ทางเหมราชมีข้อเสนอเพื่อช่วยเราด้วยการ เอ่อ...ให้หม่อมฉันแต่งงานกับพระธิดาองค์เล็กของเหมราช

พะย่ะค่ะ”


               ราวกับหัวใจหลุดลอยออกจากร่าง โกมุทแทบจะหยุดลมหายใจเมื่อได้ฟังข้อเสนอดังกล่าว ใบหน้าที่ขาวอยู่

แล้วยิ่งซีดเผือดลงทันที เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้แต่ลอบมองด้วยความเห็นใจ

               ทำไมจะไม่ทรงรู้เล่าว่าโกมุทจะช้ำใจแค่ไหนเมื่อได้ยิน ในเมื่อพระองค์เองก็ไม่นึกโสมนัสแม้แต่นิดเดียวและ

ยังทรงห่วงความรู้สึกของโกมุทเหลือเกิน


                “แต่งงาน แสดงว่าลูกตอบตกลงไปแล้วใช่ไหม เพราะถ้าไม่ตกลงการรบก็คงจะยังไม่หยุดและลูกก็คงกลับมา

ไม่ได้”


               เจ้านางกุสุมาทรงคาดคั้นและเมื่อเห็นพระราชโอรสนิ่งงันด้วยจนแก่คำตอบผู้เป็นพระมารดาจึงได้ถอนหายใจ

ออกมา


               “ความจริงแม่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานเพื่อการเมืองเช่นนี้ แต่ในฐานะที่ลูกเป็นเจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนครแม่ก็

ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน แล้วพระธิดาแห่งเหมราชจะเดินทางมาถึงเมื่อไร”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเม้มโอษฐ์เมื่อจำต้องเอ่ยสิ่งที่ทำร้ายโกมุทอีกครั้ง


               “อีกไม่กี่วันนี้เจ้าหญิงปะวะหล่ำก็จะมาถึงรัตนปุระนครแล้วพะย่ะค่ะ”







               รู้ทั้งรู้ว่าต้องมีสักวันที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น แม้จะทำใจไว้บ้างแล้วแต่เมื่อเกิดขึ้นจริงโกมุทไม่นึกว่าเขาจะเสียใจ

มากขนาดนี้ น้ำตาที่หยาดหยดเหือดแห้งทิ้งไว้แต่รอยคราบที่เจ้าของใบหน้าไม่ได้สนใจ เมื่อได้อยู่เพียงลำพังในห้องของ

เขาโกมุทไม่จำเป็นที่ต้องเก็บงำความรวดร้าว ใบหน้าหวานเศร้าสร้อยเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ข้างหน้าต่าง

               คนที่เขารักเป็นถึงเจ้าแผ่นดินอย่างไรเสียก็ต้องอภิเษกกับคนที่คู่ควร และยิ่งเขาเป็นผู้ชายเช่นเดียวกับเจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์ มองเช่นไรก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นตัวจริง

                เสียงเปิดและปิดบานประตูดังขึ้นโดยไม่ได้ขออนุญาต โกมุทหลับตาลงเมื่อเขาจำเสียงฝีเท้านั้นได้เป็นอย่างดี

จนกระทั่งร่างโปร่งของเขาถูกรวบไปกอดไว้น้ำตาที่ว่าเหือดแห้งกลับร้อนเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง


                “โกมุท เราขอโทษ”


               สุรเสียงอมทุกข์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังอยู่ตรงข้างหู โกมุทปล่อยเสียงสะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่

เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ปล่อยให้โกมุทได้ร้องไห้ออกมา ได้แต่ทรงโอบกอดร่างสั่นสะท้านนั้นไว้ในอ้อมกอด

               ด้วยเหตุผลนั้นเข้าใจแต่เขาห้ามหัวใจไม่ให้เจ็บปวดไม่ได้ เป็นเพราะรู้ว่าอีกไม่นานอ้อมกอดอบอุ่นนี้จะต้องไป

เป็นของคนอื่นสิ่งที่โกมุททำได้ในปัจจุบันคือสวมกอดตักตวงไออุ่นนี้ไว้ให้ได้มากที่สุด

               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ลูบผมนุ่มด้วยความสงสาร โกมุทร้องไห้จนหมดแรงต้องปล่อยให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรง

ช้อนกายลอยจากพื้นเพื่อพาร่างสั่นเทาไปยังเตียงนอนที่ตั้งอยู่กลางห้อง ทรงวางโกมุทให้นอนคุดคู้ราวกับเด็กทารกก่อน

จะเอนวรกายลงนอนเคียงข้างและลูบหลังปลอบโยน


               “หม่อมฉันรู้ว่าต้องมีวันนี้”


               “เราไม่อยากให้มีวันนี้”


               ตรัสด้วยความเจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่เพราะด้วยหน้าที่จึงทำให้จำต้องทิ้งหัวใจไว้เบื้องหลัง


               “ขอให้เจ้ารู้ว่าเรารักเจ้า โกมุท”


               ทรงจูบซับน้ำตาทีละนิดจนมาหยุดที่เรียวปากที่แดงเพราะการร้องไห้ทรงปรนจูบอ่อนโยนระคนร้าวราน โกมุท

เปิดทางรับให้ปลายลิ้นร้อนได้เข้ามาสัมผัส เขาเบียดกายเข้ากอดด้วยความโหยหา

               ขอแค่วันนี้ เดี๋ยวนี้ ที่เขายังมีสิทธิ์ครอบครองชายผู้เป็นใหญ่เหนือแผ่นดินและชายผู้ครอบครองหัวใจ โกมุท

ขยับกายเพื่อให้วรกายแข็งแกร่งพลิกขึ้นมาทาบทับเหนือร่าง มือสั่นเทาช่วยกันปลดเปลื้องอาภรณ์เพื่อจะได้โอบกอด

แนบแน่นรับไออุ่นจากร่างกายอีกฝ่ายได้เต็มที่

               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงจูบและสัมผัสทั่วร่างงามด้วยความโหยหา หัตถ์หนาลูบไล้ทุกสัดส่วนที่พระองค์ได้เป็น

เจ้าของ รอยสีกุหลาบผุดขึ้นทั่วทั้งกายขาวเนียนที่แอ่นกายให้เชยชมด้วยใจรักและเปิดรับทางให้พระองค์ได้เป็นสุขเมื่อ

แทรกกายเข้าทางสวาทอีกครั้ง


               “หม่อมฉันรักพระองค์ แม้ว่าทำได้เพียงเฝ้ามอง”


               โกมุทรำพันเสียงกระเส่า แม้ร่างกายจะสุขสมหากแต่น้ำตากลับไหลเป็นทางจนเปียกไรผม เขายกเอวสูงรับ

แรงสะเทือนที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กำลังมอบให้จนร่างสั่นคลอน


               “ไม่ใช่แค่เฝ้ามอง แต่เจ้านั่งอยู่ในใจเราต่างหากโกมุท”


               ทรงปรนเปรอให้โกมุทจนไม่รู้ว่ากี่ครั้งแม้จะรู้ว่าความสุขสมในค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไม่

อาจครองคู่กันได้จนกระทั่งพากันหลับใหลไปกับน้ำตา






               ในที่สุดเจ้าหญิงปะวะหล่ำและเจ้าเมืองแห่งเหมราชก็มาถึงรัตนปุระนคร พิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นอย่างสมพระ

เกียรติภายในพระราชวังวุ่นวายกับงานใหญ่ครั้งนี้ กว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะรู้สึกพระองค์งานพิธีอภิเษกก็ผ่านมาจนถึงการ

ส่งตัวเข้าหอ เจ้าหญิงปะวะหล่ำมีพระสิริโฉมงดงามสมคำร่ำลือ แต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าเห็นเป็น

สตรีงดงามคนหนึ่งเท่านั้น ความเงียบงันจึงบังเกิดเมื่อได้อยู่กันเพียงลำพัง

               เจ้าหญิงปะวะหล่ำที่กลายเป็นเจ้านางพระองค์ใหม่แห่งรัตนปุระนครทรงช้อนพระเนตรมองพระสวามีของ

พระองค์ พระพักตร์คมเข้มสมชายชาตรีรวมถึงวรกายสูงและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของวัยหนุ่มทำให้เจ้านางปะวะหล่ำ

พึงใจไม่ยากนักพระปรางจึงอาบด้วยเลือดลมของวัยดรุณีเมื่อคาดการว่าอีกไม่นานจะเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์บ้าง


               “หม่อมฉันฝากตัวกับเจ้าพี่ด้วยเพคะ ต่อจากนี้เราทั้งสองต้องครองคู่กันจนแก่เฒ่า”


               แย้มสรวลอย่างเอียงอายและยกหัตถ์ขึ้นพนมและกราบที่พระอังสา ทรงเบียดกายสาวเข้าหาพระทัยสั่นไหว

เมื่อได้ใกล้ชิดกับเจ้าฟ้าที่แสนหล่อเหลา

               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเดาพระทัยของเจ้านางปะวะหล่ำออก ทรงทอดถอนใจเมื่อรู้ว่าในคืนส่งตัวควรจะทำเช่น

ไรหากแต่พระองค์ไม่นึกอยากจะมีความสัมพันธ์กับเจ้านางของพระองค์แม้แต่น้อย


               “ยินดีต้อนรับสู่รัตนปุระนครนะปะวะหล่ำ เราทั้งคู่ผ่านงานพิธีอันวุ่นวายกันมาหลายวันแล้วเจ้าคงเหน็ดเหนื่อย

น่าดู ใช่ไหม เราเองก็เหนื่อยไม่แพ้เจ้า เอาเป็นว่าคืนนี้เราพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยก่อนเถิดนะ”


               “แต่ว่า เจ้าพี่เพคะ”


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงอ้าโอษฐ์ค้างเมื่อเห็นร่างสูงทิ้งกายลงนอนและหลับพระเนตรลงโดยไม่สนใจพระองค์อีก

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์อยากจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาเมื่อมันช่างไม่ได้ดั่งใจพระองค์เสียเลย
               






               “ส่งตัวเมื่อคืนที่ผ่านมาเป็นเช่นไรบ้างเพคะทูนหัวของบ่าว รสชาติชีวิตคู่ในคืนแรก”


               แก้วกุดั่นนางกำนัลของเจ้านางปะวะหล่ำที่ติดสอยห้อยตามมาจากเมืองเหมราชเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้

เมื่อเข้าเฝ้าในยามสาย คำถามยิ่งกระตุ้นให้เจ้านางอารมณ์เสีย


               “อย่าถามให้มากความแก้วกุดั่น ข้ายิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ด้วย”


               ทรงส่งเสียงเอ็ดจนแก้วกุดั่นหน้าเสีย แต่เพราะรับใช้กันมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์จึงรู้วิธีรับมือ


               “โถ เจ้าหญิงน้อยของหม่อมฉัน เกิดเหตุอันใดขึ้นเพคะเล่าให้แก้วกุดั่นฟังเถิด”


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงเล่าให้คนสนิทฟังด้วยพระทัยรุ่มร้อน


               “คืนแรกที่เข้าห้องหอ ข้านึกว่าพระสวามีจะต้องมีอะไรกับข้าและทำให้ข้าได้รู้รสแห่งรัก แต่นี่อะไร เจ้าพี่

อาทิตยวงศ์ทรงบรรทมและทิ้งให้ข้าเปล่าเปลี่ยว เจ้าคิดดูสิว่าข้าจะรู้สึกเช่นไร”


               “อาจจะทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างที่พระองค์ตรัสจริงก็ได้นะเพคะ แต่ว่าคืนนี้เช่นไรเสียเจ้านางต้องได้รับในสิ่งที่

ควรได้ หม่อมฉันว่าเจ้านางควรจะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับคืนนี้”


               “เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไรแก้วกุดั่น”


               ทรงถามด้วยความอยากรู้และรับฟังคำแนะนำของแก้วกุดั่นด้วยความหมายมาด
               





               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์หงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ไม่เห็นหน้าโกมุทในการประชุมของเสนาบดีในวันนี้ แม้จะรู้ว่าโกมุท

ตั้งใจหลบหน้าในช่วงหลังพิธีอภิเษก แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นไรนอกจากเก็บความหงุดหงิดไว้ในพระทัยจนกระทั่งหมดวันและ

ต้องก้าวกลับเข้าไปในห้องบรรทมที่มีเจ้านางปะวะหล่ำคอยอยู่

               นี่ก็อีกคน

                ทรงถอนพระปัสสาสะอย่างกลัดกลุ้มเมื่อไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรกับพระชายาของพระองค์ดี


               “เจ้าพี่กลับมาแล้ว หม่อมฉันต้องการความช่วยเหลืออยู่พอดีเพคะ”


               ร่างอวบอิ่มในวัยดรุณียืนอวดกายอยู่กลางห้องด้วยท่าทีชวนให้วาบหวามเมื่อกำลังพันกายท่อนบนด้วยผ้าแถบ

ผืนบางจนมองเห็นรูปร่างชัดเจน เจ้านางปะวะหล่ำชะม้ายตามองก่อนจะก้าวนวยนาดเข้ามาหา


               “หม่อมฉันไม่คุ้นชินกับการนุ่งผ้าของรัตนปุระเลย พระองค์ช่วยจับผ้าให้หม่อมฉันสักนิด อ้าว อุ๊ย!”


               ชายผ้าแถบร่วงหลุดจากหัตถ์จนเผยให้เห็นอกอิ่มสล้าง เจ้าฟ้าอาทิตยวงส์ทรงมองด้วยสายพระเนตรเรียบเฉย


               “แย่จัง นี่หม่อมฉันทำอะไรลงไป พระองค์อย่าเพิ่งจ้องมองนะเพคะ อายเหลือเกิน”


               ตรัสว่าอายแต่เจ้านางปะวะหล่ำกลับโผเข้ากอดและเบียดทรวงอกเต่งตูมเข้าใส่วรกายหนั่นแน่นของเจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์พร้อมกับช้อนสายพระเนตรเย้ายวน เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ได้แต่ประทับนิ่งกับการกระทำของพระชายา

               หากเป็นโกมุทที่เป็นผู้เบียดกายเข้าหาคงจะดีไม่น้อย แต่นี่พระองค์ไม่ได้รู้สึกรู้สาสักนิดแม้ว่าเจ้านางปะวะหล่ำ

กำลังเชิญชวนให้พระองค์ได้ร่วมรัก เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงดันพระอังสาของพระชายาออกอย่างสุภาพ


               “วันนี้เราประชุมกับเสนาบดีทั้งวัน เราเหนื่อย ขอโทษนะปะวะหล่ำที่คงให้ในสิ่งที่เจ้าต้องการไม่ได้”


               ประโยครู้ทันการกระทำและปฏิเสธออกมานั้นสร้างความอับอายและขุ่นเคืองให้เจ้านางปะวะหล่ำไม่น้อย ทรง

ทอดพระเนตรพระสวามีพลางกลั้นเสียงกรีดร้องอย่างสุดกำลังโดยไม่สนพระทัยว่ายังอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อย


               “อะไรกันเพคะ นี่หม่อมฉันมาที่นี่เพื่อเป็นเมียของพระองค์ แต่พระองค์กลับไม่ได้สนพระทัยหม่อมฉันแม้แต่

น้อย ทรงเป็นพระอิฐพระปูนหรือเช่นไร หรือว่าหม่อมฉันไม่งดงามพอ”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ส่ายพักตร์อย่างกลัดกลุ้มเมื่อเห็นท่าทางของพระชายา


               “มิใช่เช่นนั้นหรอกปะวะหล่ำ เราเหนื่อยจริงๆ เราขอโทษอีกครั้งที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ เอาเป็นว่าไม่กวนให้เจ้า

หงุดหงิดยิ่งกว่านี้แล้ว เราจะไปนอนที่ห้องหนังสือ”


               ตรัสจบก็ทรงหันวรกายก้าวพระบาทออกประตูทิ้งให้เจ้านางปะวะหล่ำส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บพระทัย

เพียงเดียวดายในห้องบรรทม








               “เจ็บใจนัก ทำอย่างไรเจ้าพี่ก็ไม่ยอมเชยชมร่างกายของข้าเสียที นี่ผ่านไปเป็นสัปดาห์แล้วที่แต่งงานกันแถม

ยังหนีหน้าข้าด้วยการไปนอนที่ห้องหนังสือทุกคืน”


               “น่าเจ็บใจจริงๆเพคะ ทูนหัวของบ่าวงดงามถึงเพียงนี้กลับทรงไม่เห็นค่า”


               แก้วกุดั่นรีบกล่าวเสริมเจ้านายของตน


               “หรือว่าทรงมีใครแอบซ่อนไว้เพคะ”


               เจ้านางปะวะหล่ำฉุกพระทัยคิดตามคำพูดของแก้วกุดั่น


               “จริงสิ หรือว่าทรงมีนางสนมคนโปรดแอบซ่อนไว้ ไม่ได้การละ แก้วกุดั่นเจ้าต้องใช้ความสามารถของเจ้าไป

สืบเรื่องนี้มา ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าพี่มีใครแอบซ่อนไว้จริงหรือเปล่า อย่าให้ข้ารู้นะ”


               ทรงกัดพระโอษฐ์ด้วยความพลุ่งพล่าน


               “ข้าจะทำให้มันรับใช้เจ้าพี่ไม่ได้อีกเลย คอยดูสิ”
               




มีต่ออีกนิด....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2015 22:21:40 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


ต่อกันตรงนี้...





               “โกมุท หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าจะหลบหน้าเราไปถึงเมื่อไหร่”


               เสร็จสิ้นจากการว่าราชการและเมื่อเสนาบดีคนอื่นออกไปจากห้องประชุมแล้วเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จึงทรงตรัส

เรียกโกมุทที่เพิ่งจะมาทำงานในวันนี้หลังจากเสร็จงานอภิเษก ใบหน้างามหมองหม่นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเจ้าฟ้าอาทิตวงศ์

คว้าท่อนแขนไว้ก่อนที่โกมุทจะเร่งเท้าหนี


               “หม่อมฉันไม่ได้หลบหน้าพระองค์พะย่ะค่ะ”


               “แล้วการที่เจ้าไม่มาช่วยเราทำงานเหมือนเช่นเคยจะเรียกว่าอะไร”


               โกมุทสบตาด้วยความปวดร้าว จะให้เขากราบทูลได้เช่นไรว่าตั้งแต่วันงานอภิเษกเขาก็ยังหยุดเสียใจไม่ได้ แต่

เพราะเกริกผู้เป็นบิดาเห็นเขาหมกตัวอยู่แต่ในห้องจึงได้ถามด้วยความสงสัย เขาจึงจำใจต้องมาทำงานในวันนี้


               “หม่อมฉันก็แค่...”


               “คิดถึงเหลือเกินท่านน้า”


               ทรงดึงร่างบางเข้ามากอดจนโกมุทเจ็บแปลบ


               “ปล่อยหม่อมฉันเถิด อย่าทำเช่นนี้”


               “เจ้าไม่คิดถึงเราเลยใช่ไหม”


               ใครบอกล่ะ โกมุทคิดถึงเจ้าของหัวใจของเขาทุกวินาทีต่างหาก

               แม้ปากจะบอกให้ปล่อย แต่ใจของโกมุทกลับทำตรงกันข้าม เขากลับไม่กล้าผลักไสให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ห่าง

ออกจากความใกล้ชิดนี้


               “หม่อมฉัน...”


               “ทั้งที่เราคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”


               “อาทิตย์”


               ห้ามใจไม่ไหวจนต้องปล่อยให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ดึงใบหน้าเข้าหาและกดจูบด้วยความโหยหา โกมุทปล่อยใจ

ไปกับความเคลิบเคลิ้มจากรสลิ้นที่ตวัดอยู่ในโพรงปาก


               ขอแค่นี้ แค่นี้ที่เขาต้องการ

               โกมุทตักตวงความสุขเหล่านี้จนไม่รู้เลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องการกระทำของทั้งคู่ด้วยความคาดไม่ถึง







                    --------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป--------------------------------

     

                      ทุกครั้งที่แต่งฉากดราม่า คนแต่งมักจะมีน้ำตานองหน้าเสมอ แง้ๆๆ

                                                    :sad4: :sad4: :sad4:




ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
สงสารโกมุทล่วงหน้า แง้ๆๆ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ 14th-friedegg

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ชอบบบบบ ชอบ twincest

แต่สงสารท่านน้าาาาา
ฮือออออ
อยากรู้จัง ท่านน้า ขโมยลูกเขามาได้ยังไง??

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
สงสารโกมุททท T^T หนีไปซบอกพ่อสมิงเถอะะ 55555

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
คิดถึงพ่อสมิงแล้ววว

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                     บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                          บทที่  12.1


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงนั่งนิ่งพลางกำหัตถ์แน่นด้วยฤทธิ์แห่งโทสะเมื่อได้ยินในสิ่งที่แก้วกุดั่นคนสนิทนำมา

ราบทูล พระทัยเต้นด้วยไฟแห่งริษยาเมื่อรู้ว่าคนที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมอบความรักให้นั้นกลับเป็นบุรุษเพศ


              “มันเป็นใคร!”


               “มันผู้นั้นชื่อโกมุทเพคะ”


               แก้วกุดั่นผู้รู้ใจทำงานไม่เคยพลาด หลังจากที่เห็นภาพแห่งความใกล้ชิดนั้นนางก็รีบสืบความต่อทันที


               “เป็นเสนาบดีวัยหนุ่ม และที่สำคัญเอ่อ...ยังเป็นพระมาตุลาของเจ้าฟ้าอีกด้วยเพคะ”


               ตกพระทัยซ้ำสองเมื่อรู้ว่าบุคคลผู้นั้นมีความสำคัญในระดับเครือญาติ เจ้านางปะวะหล่ำยิ่งเจ็บพระทัยเหลือ

เกิน เจ็บจนยั้งไม่อยู่ต้องเสด็จพระราชดำเนินไปยังห้องพักของศัตรูแห่งหัวใจตามที่แก้วกุดั่นบอกทาง ทรงทุบบานประตู

ไม้อย่างแรงด้วยความคุกรุ่น รอแทบไม่ไหวในผู้อยู่ด้านในได้เปิดออก พลันเมื่อทอดพระเนตรใบหน้าของชายผู้ชื่อว่า

โกมุทแล้วเจ้านางปะวะหล่ำก็ถึงกับกัดพระโอษฐ์แน่น

               ใบหน้านั้นหวานซึ้งคลับคล้ายกับเจ้านางกุสุมาผู้เป็นพระมารดาของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ รูปร่างสูงโปร่งเหมาะ

เจาะพร้อมด้วยสง่าราศีแม้ว่าบัดนี้จะดูอมทุกข์อยู่ไม่น้อย เจ้านางปะวะหล่ำไม่ทรงแปลกพระทัยที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์จะ

ทรงมีใจให้บุรุษรูปงามคนนี้ ความเคืองแค้นรุมเร้าจนต้องออกแรงผลักไสให้โกมุทร่วงล้มไปกับพื้นและทรงก้าวตามเข้ามา

ภายในห้อง แก้วกุดั่นรีบสาวเท้าตามพร้อมปิดประตูตามอย่างรวดเร็ว

               โกมุทใจสั่นเมื่อเห็นว่าผู้บุกรุกเข้ามาในห้องส่วนตัวของเขาเป็นใคร ดวงเนตรที่จ้องเขม็งอย่างเอาเรื่องทำให้

โกมุทพอจะเดาได้ถึงเหตุผลที่เจ้านางคนใหม่ต้องลดเกียรติลงมาเช่นนี้


               “ถวายบังคมเจ้านางปะวะหล่ำพะย่ะค่ะ”


               “ก็ยังดีที่เจ้ารู้ว่าเราเป็นเจ้านาง”


               โกมุทหน้าซีดเผือดเมื่อได้ฟังคำตรัสยอกย้อน เขาได้แต่ข่มใจด้วยความอดทน


               “จำใส่หัวของเจ้าเอาไว้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าพี่อาทิตยวงศ์จะมีใครแต่บัดนี้เราคือเจ้านางของพระองค์ และเรา

จะไม่ยอมให้อ้ายอีตัวไหนมาแย่งเจ้าพี่ไปจากเรา”


               เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพักตร์สูงพลางก้าวเข้าใกล้โกมุทอย่างคุกคาม


               “ครั้งนี้เราแค่มาเตือน เจ้าควรจะรู้ว่าคำเตือนของเรามีแค่ครั้งเดียว เราไม่สนว่าเจ้าจะเป็นถึงพระมาตุลาหากเจ้า

ทำให้เราโกรธเราก็ไม่ยั้งมือแน่”


               ทรงหันพระวรกายกลับออกไปพร้อมแก้วกุดั่นที่เปิดประตูรออยู่แล้วอย่างรู้พระทัย โกมุทถึงกับทรุดฮวบลงกับ

พื้นอย่างหมดแรง ดวงตาหวานร้อนผ่าวจนต้องปล่อยให้มันไหลอาบแก้ม


               อาทิตย์

               บัดนี้ดอกบัวงามใกล้เหี่ยวเฉาเพราะขาดแสงแห่งความอบอุ่น โกมุทได้แต่ปล่อยใจไปกับความระทดท้อจนสิ้น

เรี่ยวแรง
               





               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ปวดพระเศียรเหลือเกินเมื่อการเจรจากับอุดรรังษีให้หยุดรุกรานยังไม่เป็นผลเมื่ออุดรรังษี

ต้องการพื้นที่ในเขตทับซ้อนเพิ่มขึ้น แม้จะยังเบาใจว่าช่วงนี้อุดรรังษีหันไปให้ความสนใจกับเมืองอื่นมากกว่า แต่เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์เองก็ยังไม่ไว้วางพระทัย ทรงนึกหาหนทางแก้ไขโดยไม่เกิดการสูญเสียไปมากกว่านี้

               ครุ่นคิดจนกลับมาถึงห้องพระบรรทมอันมีเจ้านางปะวะหล่ำอยู่ในห้องด้วย เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเหนื่อยหน่าย

เหลือเกินเมื่อผัดผ่อนมาหลายเพลา แต่ทำเช่นไรพระองค์ก็ไม่มีความต้องการในร่างกายของพระชายาเสียที


               “นึกว่าเจ้าพี่ลืมทางกลับมาที่นี่แล้วเพราะมัวหลงไปทางอื่น”


               คำค่อนขอดเรียกให้เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงเงยพักตร์ขึ้นมาอย่างไม่พอพระทัยนัก


               “หมายความเช่นไรปะวะหล่ำ นี่เจ้ากำลังต่อว่าเราอยู่ใช่ไหม”


               เจ้านางปะวะหล่ำก้าวพระบาทมาหาพลางทอดพระเนตรอย่างเจ็บแค้น


               “นึกว่าจะไม่ทรงเข้าใจเสียอีกเพคะ หม่อมฉันก็แค่กราบทูลเรื่องจริง”


               “อะไรคือเรื่องจริงของเจ้า”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ตรัสถามเสียงแข็งทำให้เจ้านางปะวะหล่ำสิ้นสุดความอดทน


               “ก็เรื่องจริงที่ว่าพระองค์ไม่ต้องการหม่อมฉันเพราะมีคนอื่น”


               “ปะวะหล่ำ เจ้ากำลังกล่าวโทษเรา ตั้งแต่เราอภิเษกกับเจ้าเราไม่เคยมีใคร”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เองก็เริ่มจะหมดความอดทนเช่นกัน พักตร์จึงกร้าวขึ้นจนเจ้านางปะวะหล่ำขาดสติ


               “แล้วก่อนหน้านั้นเล่าเพคะนี่คงจะอาลัยอาวรณ์มันนักล่ะสิ ทำไมเพคะ ทรงติดใจรสชาติแห่งบุรุษอย่างพระ

มาตุลาเช่นนั้นหรือจึงไม่สนใจหม่อมฉัน”


               “ปะวะหล่ำ!”


               “อย่านึกว่าหม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ไม่นานแล้วจะไม่รู้เรื่องอะไร ที่กริ้วขนาดนี้เพราะหม่อมฉันพูดความจริงใช่ไหม

เพคะ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็ต้องทำให้หม่อมฉันมีความสุขสิเพคะ”


               เจ้านางปะวะหล่ำดึงทึ้งอาภรณ์ออกจนเหลือแต่วรกายอวบอัดเปล่าเปลือยต่อหน้าพระพักตร์ด้วยสายพระเนตร

ท้าทาย เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทอดพระเนตรด้วยความนึกไม่ถึง


               “เจ้ามันบ้า ปะวะหล่ำ คนอย่างเจ้านี่หรือที่ต้องมาเป็นเจ้านางแห่งรัตนปุระนคร”


               สะบัดพระพักตร์หนีและก้าวพระบาทออกไปจากห้องพระบรรทมปล่อยให้เจ้านางปะวะหล่ำส่งเสียงกรีดร้องลั่น

ห้อง แก้วกุดั่นที่รออยู่ไม่ไกลนักรีบวิ่งถลาเข้ามาปลอบโยน


               “โถ อย่ากันแสงเพคะทูนหัวของแก้วกุดั่น”


               “เจ็บใจนัก เราจะทำเช่นไรถึงจะให้เจ้าพี่หันมาสนใจเราและกำจัดมันออกไปจากชีวิตเจ้าพี่”


               แก้วกุดั่นนิ่งคิดพลันยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา


               “หม่อมฉันได้ฟังจากนางกำนัลมาว่าที่หลังหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเรือนของนักบวชหญิงที่เก่งทางด้านคุณไสยนาม

ว่าแม่ย่าเฟื่องรุ้งอาศัยอยู่”


               เจ้านางปะวะหล่ำชะงักพลางหันมามองคนสนิทอย่างลังเล


               “เจ้าจะให้เราไปหานักบวชหญิงคนนั้นรึ”


               “ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ก็ต้องคาถา มันต้องมีสักทางที่พระองค์จะทำสำเร็จเพคะ”


               พระขนงของเจ้านางปะวะหล่ำย่นจนเกือบจะชนกันเมื่อกำลังครุ่นคิดหนักหน่วง







               เจ้านางปะวะหล่ำเร้นกายออกจากพระราชวังอย่างไม่ยากเย็นนักในเช้ามืดวันต่อมาด้วยการช่วยเหลือของ

มานพและอาวุธนายทหารสองคนที่ติดสอยห้อยตามกันมาตั้งแต่เหมราช ทรงประทับในรถม้าคันเล็กเพื่อเดินทางไปยัง

ท้ายหมู่บ้านจนถึงเรือนไทยหลังเก่าที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมจนดูน่ากลัว เจ้านางปะวะหล่ำในชุดสาวชาวบ้านสั่งให้มานพ

และอาวุธเฝ้ารออยู่ด้านนอกก่อนที่พระองค์จะข่มความหวาดหวั่นแล้วก้าวเข้าไปตามทางเดินเท้าเล็กๆพร้อมแก้วกุดั่นจน

กระทั่งถึงบันไดทอดยาวสู่ชานเรือนชั้นบน

               ชานเรือนกว้าง เก่าคร่ำ ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดทุกครั้งที่ย่ำเท้า เจ้านางปะวะหล่ำหันกลับไปสบตากับแก้วกุดั่น

บ่อยครั้งด้วยความไม่มั่นใจจนกระทั่งสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู


               “มีผู้ใดอยู่อยู่หรือไม่ เรามาหาแม่ย่าเฟื่องรุ้ง”


               ส่งเสียงถามออกไปพลันตกพระทัยเมื่ออยู่ๆร่างผอมในชุดสีเข้มทั้งตัวก็โผล่มาจากความมืดของเรือนไทย


               “ข้าคือเฟื่องรุ้ง มีธุระอันใดกับข้า”


               เมื่อร่างนั้นก้าวออกมาให้เห็นเต็มตาเจ้านางปะวะหล่ำถึงกับอ้าโอษฐ์ค้าง


               นามเรียกขานว่าแม่ย่าทำให้ทรงจินตนาการว่าต้องเป็นหญิงชราวัยใกล้จะเข้าโลง แต่ร่างที่ปรากฏให้เห็นกลับ

เป็นสตรีร่างสูงผอมใบหน้าดุจนน่าเกรงขามตัดผมสั้นจนเดาอายุไม่ออก แต่เจ้านางปะวะหล่ำคาดการไว้ว่าอย่างไรอายุ

ของแม่ย่าเฟื่องรุ้งก็ไม่น่าจะเกินสี่สิบปีเท่านั้น




TBC

ใครคิดถึงพ่อสมิงใจเย็นๆน้า

ต้องรู้ที่มาก่อนว่าทำไมโกมุทถึงได้แค้นเคืองนัก

เดี๋ยวพ่อสมิงค่อยออกตอนที่โกมุทหนีไปพร้อมอัคคีนะจ๊ะ แบ่งบทให้เจ้าฟ้าอาทิตย์ก่อน
 o18 o18 o18
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2015 21:16:50 โดย Belove »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เดาว่าแม่ย่านี่แหละตัวร้ายอันดับหนึ่งเลย
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เอาจริงๆนะ เราว่าปะวะหล่ำก็น่าสงสารอยู่นะ
เป็นผู้หญิงต่างบ้านต่างเมือง ถูกจับให้แต่งงานการเมือง
แต่พอมาถึง สามีคนที่ตนจะฝากผีฝากไข้ด้วยกลับไม่สนใจ มันก็น่าเศร้าอยู่นะ
คือถ้านางเป็นผู้หญิงสมัยนี้อาจจะสะบัดก้นกลับบ้านไปแล้ว
ทำไมต้องง้อคนที่ไม่สนใจเรา จริงมะ???

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
หมอผีมาแล้ว ร้ายแน่ๆ
โกมุทจะโดนอะไรบ้าง เศร้าล่วงหน้าาาา

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ รออ่านเรื่องพ่อมเนื้อเรื่องภาคลูกจะค่อยตามมาใช่ไหม

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                       บทที่ 12.2



             เมื่อได้สบตาเจ้านางปะวะหล่ำจึงถึงกับแข้งขาอ่อนเมื่อแม่ย่าเฟื่องรุ้งจ้องมองด้วยนัยน์ตาวาวราวกับปีศาจทะลุ

ทะลวงเข้าในหัวใจอันเต็มไปด้วยไฟแค้น มุมปากลึกกดลงแสยะยิ้มทำให้ใบหน้านั้นยิ่งดูน่าหวาดหวั่น


               “หญิงผู้สูงศักดิ์มาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ เชิญ”


               ก้าวหันหลังกลับเข้าไปยังห้องที่จากมา หากแต่คราวนี้ประตูยังเปิดกว้างรอให้เจ้านางปะวะหล่ำที่ยืนนิ่งราวกับ

ถูกสะกดก้าวพระบาทผ่านโต๊ะว่างเครื่องรางของขลังเข้าไปภายในห้องนั้น


               “เจ้านาง ระวังเพคะ ว้าย!”


               แก้วกุดั่นที่ทำท่าจะก้าวตามกลับต้องตกใจจนสติใกล้วิปลาสเมื่ออยู่ๆบานประตูไม้ก็ปิดฉับอยู่ตรงหน้ากีดกัน

นางจากเจ้านายให้อยู่ลำพังกับเจ้าของบ้าน แก้วกุดั่นหน้าซีดแข้งขาทรุดอยู่ตรงหน้าบานประตูนั่นเอง

               เจ้านางปะวะหล่ำสะดุ้งสุดตัวเมื่อบานประตูปิดลงทันทีเมื่อพระองค์ก้าวมาสู่ภายในที่มีเครื่องโต๊ะหมู่เรียงราย

เต็มไปด้วยของขลัง แม่ย่าเฟื่องรุ้งนั่งนิ่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าโต๊ะหมู่นั้น เจ้านางปะวะหล่ำได้แต่กลืนพระเขฬะเหนียว

หนับลงคอเมื่อจำใจต้องก้าวไปประทับนั่งเผชิญหน้าอยู่ตรงกันข้าม


                “สิ่งที่ต้องการช่างยากเย็นเข็ญใจยิ่ง เมื่ออีกฝ่ายเขาเห็นเจ้าเป็นเพียงอากาศธาตุ”


               เจ้านางปะวะหล่ำเงยหน้าสบตาด้วยดวงเนตรเบิกกว้าง คำพูดของเฟื่องรุ้งที่พูดออกมาโดยที่พระองค์ยังไม่ทัน

ตรัสถามทำให้ความเลื่อมใสบังเกิดขึ้นในพระทัยของสาวน้อยวัยดรุณีเช่นพระองค์


               “ยากเย็นเช่นไรก็ตาม แต่ข้าจำเป็นต้องได้”


               ริมฝีปากคล้ำเหยียดยิ้มลึก ดวงตาดุเบิกโพลงวาววับเมื่อได้ยินคำตอบของผู้มาเยือน


               “แม้ว่าจะต้องลงทุนราคาแพงงั้นรึ”


               พระพักตร์หล่อเหล่าสมชายชาตรีของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ผุดขึ้นกลางมโนสำนึก ความร้อนรุ่มติดตามมาจน

วรกายสั่นสะท้านยามที่เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพักตร์และจ้องมองเฟื่องรุ้งกลับอย่างมั่นใจในคำตอบ


               “ขอให้ได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ ลงทุนหนักหนาเพียงไหนข้าก็จ่ายได้”


               พระทัยเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นนักบวชหญิงยกมือลูบปากช้าๆ แม่ย่าเฟื่องรุ้งคว้าถุงผ้าเก่าคร่ำใบ

หนึ่งมาจากพานเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะหมู่ด้านหลัง


               “สิ่งที่อยู่ในถุงนี้เป็นสมุนไพรที่หาได้ยากยิ่ง เพียงแค่ต้มน้ำดื่มกินขอแค่เพียงแตะปลายลิ้น ไม่ว่ามันผู้ใดมี

หัวใจแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องยอมสยบให้กับอารมณ์ดิบที่ฝังอยู่จนกระทั่งมัวเมาอยู่ในความกำหนัด ชื่อของมันคือว่าน

กามา”


               สรรพคุณของว่านกามาทำให้เจ้านางปะวะหล่ำพึงใจเป็นอย่างยิ่ง ร่างอวบอัดขยับเข้าใกล้แม่ย่าเฟื่องรุ้งโดย

ไม่รู้องค์พลางยกหัตถ์ไขว่คว้าถุงผ้าที่เฟื่องรุ้งหลอกล่อจนกระทั่งหญิงสูงศักดิ์อยู่ใกล้จนยกมือคว้าเข้ามาสู่ตัวได้


               “ข้าต้องการมันแม่ย่า”


               “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าราคามันแสนแพง”


               เสียงเรียบกับมีรอยกระหายแต่ในตอนนี้เจ้านางปะวะหล่ำไม่ทันสังเกตสิ่งใดแล้วเมื่อสายตาได้แต่จับจองอยู่

กับถุงบรรจุว่านกามา


               “จะให้ข้าจ่ายเท่าไหร่โปรดบอกข้า”


               “ราคาของมันแพงเท่ากับร่างกายของเจ้าเอง”


               วรกายอวบอัดถูกพลิกให้นอนหงายอยู่หน้าโต๊ะหมู่นั่นเอง แม้ว่านักบวชหญิงจะมีรูปร่างผอมเกร็งแต่เจ้านาง

ปะวะหล่ำกลับไม่อาจหาญสู้ ได้แต่ปล่อยให้ปลายนิ้วยาวแหลมดึงเชือกของเสื้อที่ผูกมัดอยู่ตรงเอวให้คลายออกจนอวด

อกอิ่มล่อตาก่อนที่ปลายนิ้วนั่นจะเอื้อมไปแตะที่ข้อเท้าแล้วลากไล้ขึ้นมาตามท่อนขาจนผ้าซิ่นที่สวมอยู่ค่อยๆสูงขึ้นตาม

ปลายนิ้วมองเห็นท่อนขาขาวเรียว

               ไม่รู้ว่าความหาญกล้าของพระองค์มันหดหายไปไหนแต่ตอนนี้เจ้านางปะวะหล่ำได้แต่นอนนิ่งทั้งที่พระทัยไหว

ระรัวจนอกกระเพื่อมกับการกระทำของเฟื่องรุ้ง ดวงตาดุเบิกโพลงขณะบีบมือลงไปที่ต้นขาอ่อนก่อนจะควานนิ้วเข้าไปใน

ร่องหลืบจนเจ้านางปะวะหล่ำผวา


               “อ๊า...”


               ครั้งแรกที่มีสิ่งแปลกปลอมมาแตะต้องจุดสงวน พระโอษฐ์ถึงกับสั่นระริกกับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้ลิ้มลอง

ทรงแอ่นกายช้าๆเมื่อเฟื่องรุ้งโน้มกายลงมาขบเม้มปลายถันให้ยิ่งสยิวกาย บัดนี้เจ้านางปะวะหล่ำไม่รั้งรอที่จะเปิดทางให้

แม่ย่าเฟื่องรุ้งได้ล่วงล้ำเข้าไป ลมหายใจหอบหนักเมื่อลิ้นร้อนลากยาวไปจนถึงเนินนุ่มแล้วตักตวงอย่างกระหาย เจ้านาง

ปะวะหล่ำหวีดร้องอย่างสิ้นความอับอายเมื่อร่างกายกำลังถูกกระชากให้ปริแตกด้วยฝีมือของแม่ย่าเฟื่องรุ้ง

               


               “เจ้านาง เกิดเหตุอันใดภายในห้องเพคะ”


               แก้วกุดั่นที่นั่งรอจนแทบหลับคาพื้นรีบยันกายขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นเจ้านายเหนือหัวก้าวกลับออกมาจาก

ห้องมืด หากแต่บัดนี้เจ้านายของตนกลับเปลี่ยนไปจากตอนที่มาราวคนละคน

               แม้จะสวมเสื้อผ้าอย่างสาวชาวบ้านแต่มันก็งดงามด้วยการรีดจนเรียบ แต่เมื่อกลับออกมาเสื้อผ้านั้นยับยู่ยี่และ

พระพักตร์ที่มีแต่ความบึ้งตึงในตอนนี้ช่างอิ่มเอิบราวกับต้นไม้เฉาที่ได้น้ำเลี้ยงรวมทั้งรอยยิ้มสาสมใจเมื่อทรงชูถุงผ้าแสน

เก่าในอุ้งหัตถ์


               “กลับกันเถิดแก้วกุดั่น อีกไม่นานเจ้าพี่อาทิตยวงศ์จะต้องเป็นของเรา”








               วันนี้เป็นวันแรกที่เจ้านางองค์ใหม่แห่งรัตนปุระนครมานั่งอยู่ในที่ประชุมของเสนาธิการด้วยเมื่อหัวข้อการ

ประชุมเกี่ยวข้องกับเขตชายแดนของเหมราชเช่นกัน หางพระเนตรสะบัดใส่โกมุทจนกระทั่งเจ้าตัวต้องยืนนิ่งด้วยความ

อดทน

               ข้อถกเถียงกันเรื่องความต้องการของอุดรรังษีดังอื้ออึงอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งจนกระทั่งเจ้านางปะวะหล่ำตรัส

เสนอออกมา


               “เจ้าฟ้าแห่งอุดรรังษีเต็มไปด้วยความละโมบแม้ว่าจะทรงชรามากแล้ว แต่เจ้าชายวัชรศรอันเป็นรัชทายาทก็

ทรงนิยมในการก่อศึกไม่แตกต่างจากพระบิดาหรอก”


               “แล้วเจ้านางมีความคิดเห็นประการใดพะย่ะค่ะ”


               “ก็ลองถามเขาว่าถ้าเราไม่อยากมีเรื่องจะต้องทำเช่นไรบ้าง แต่ถ้าเราส่งพวกนักการทูติหางแถวไปก็จะเป็นที่

กังขาว่าไม่ให้เกียรติอุดรรังษี ข้าคิดว่าควรจะส่งเสนาบดีที่มีสิทธิ์อำนาจตัดสินใจไปด้วยตัวเอง”


               เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงมองพระชายาอย่างไม่ไว้วางพระทัยนัก


               “ที่เจ้าเสนอมาก็มีส่วนดีอยู่ปะวะหล่ำ แต่ใครเล่าที่จะเป็นผู้เหมาะสมถือสาส์นเจริญสัมพันธไมตรี”


               เจ้านางปะวะหล่ำคลี่ยิ้มพลางตวัดสายพระเนตรไปยังโกมุททันที


               “เสนาบดีโกมุทเช่นไรเล่าเพคะ นอกจากจะเป็นผู้มีความสามารถเรื่องการต่างประเทศแล้วยังเป็นถึงพระ

มาตุลาของเจ้าฟ้าแห่งรัตนปุระนคร”


               “ไม่ได้!”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงตวาดลั่นพลันผุดลุกขึ้นยืนด้วยความเคืองขุ่นในข้อเสนอนั้น


               “งานนี้เสี่ยงอันตรายยิ่งนัก ข้าจะไม่ยอมให้ท่านน้าไปเสี่ยงเด็ดขาด”


               “โถ พระองค์เพคะ เพื่อบ้านเมืองแล้วผู้ใดก็จำต้องเสี่ยงทั้งนั้น แม้แต่หม่อมฉันยังยอมจากบ้านจากเมืองมา

เพื่อทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างรัตนปุระนครกับเหมราช แล้วเหตุใดท่านโกมุทถึงจะเห็นแก่ความสุขความ

ปลอดภัยส่วนตัวจนไม่ยอมเสี่ยงเล่าเพคะ”


               “ปะวะหล่ำ!”


               “กราบทูลฝ่าบาท”


               โกมุทก้าวออกมาและเอ่ยด้วยเสียงเด็ดขาด


               “หม่อมฉันจะเป็นผู้เชิญสาส์นไปยังอุดรรังษีเองพะย่ะค่ะ”




                      ------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------------   

                   ได้โปรดลงคอมเมนท์กันเถิด คนแต่งอยากรู้ว่าคนอ่านคิดอะไรอยู่ นะนะ พลีสสส            
                 

                                                      :o12: :o12: :o12:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2015 11:33:11 โดย Belove »

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
คิดอยู่ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอพ่อสมิง อิอิ
พูดเล่นค่ะ คิดว่าเด๋วต่อไปโกมุทคงจะโดนทำร้ายจนเข้าใจผิดกับเจ้าอาทิตย์
แต่ไม่อยากให้โกมุทกลายเปนคนไม่ดีเลย
ตอนแรกๆนิสัยโกมุทดูยังมีแต่ความแค้น อยากให้มีชีวิตแบบมีความสุข ไหนๆก็มีพ่อสมิงแล้วไรงี้ 555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด