<<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>  (อ่าน 129533 ครั้ง)

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                            บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                                     บทที่ 2


               สายตาคมที่จ้องมองยามชิดใกล้เมื่อกลางป่าติดตามมากวนพระหทัยของเจ้าชายอินทัชแม้ว่าเวลาจะล่วงเลย

มาถึงยามรัตติกาล วรกายสูงโปร่งสวมอาภรณ์เบาบางพลิกกายไปมาอยู่บนแท่นพระบรรทมอย่างหงุดหงิด ทอดพระเนตร

เพดานตำหนักที่ตกแต่งเป็นลวดลายฉลุอันงดงามแต่ความคิดกลับวนเวียนอยู่กับสัมผัสเมื่อยามบ่าย แม้จุมพิตนั่นจะถูก

กางกั้นด้วยผืนผ้าหยาบดำแต่มันกับทำให้ดวงหทัยร้อนรุ่มเหลือเกิน


               “บ้าที่สุด จะมัวแต่คิดถึงไอ้โจรป่าคนนั้นทำไมนะ”


               ขบเม้มพระโอษฐ์จนแดงเรื่ออย่างขุ่นเคืองเมื่อคิดถึงดวงตาวามวาวราวสิงห์หนุ่ม อยากจะกระชากผืนผ้าที่

ปิดบังใบหน้านั้นออกให้ได้ยลสักครั้งจะได้รู้ว่าคนเลวเยี่ยงนั้นจะอัปลักษณ์สักเพียงใด

               พระดำริสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงต้นห้องภายนอกขานร้องพระนามของพระมารดาก่อนที่ประตูห้องบานหนา

หนักจะถูกผลักออกเพื่อให้สตรีสูงศักดิ์ย่างกรายเข้ามา เจ้าชายอินทัชธราธิปรีบผุดลุกขึ้นมาพลางแย้มพระสรวลรับเจ้า

นางปะวะหล่ำเพื่อประทับเคียงกันบนแท่นพระบรรทม


                “นอนดึกจริงๆอินทัชลูกแม่”


               เจ้านางปะวะหล่ำยังคงมีสิริโฉมงดงามแม้พระชนม์จะล่วงเข้าใกล้สี่สิบชันษาเต็มที ทรงเอื้อมหัตถ์ลูบไล้เกศา

เจ้าชายอินทัชที่โน้มกายลงเกลือกกลิ้งที่พระเพลาราวกับยังเป็นเจ้าชายน้อย


               “ลูกยังไม่ง่วงนี่พระมารดา”


               เจ้านางปะวะหล่ำส่ายพักตร์อย่างระอาแกมเอ็นดูกับกริยาของเจ้าชายอินทัช


               “แล้วทำไมไม่ให้แม่พวกสาวๆเข้ามาดูแลล่ะ แม่ส่งมาตั้งหลายคน”


               เจ้าชายอินทัชเบ้พระโอษฐ์อย่างทรงรำคาญ


               “ลูกไม่ชอบสาวๆของพระมารดาแต่ละคนจริตมากมายเสียเหลือเกิน ว่าแต่พระมารดาทำไมยังไม่นอนพะย่ะค่ะ

แล้วไม่ต้องอยู่ดูแลพระบิดาหรือ”


               “พ่อเจ้าน่ะหรือ ป่านนี้คงมัวแต่อ่านหนังสืออยู่แต่ให้ห้อง”


               ดวงเนตรที่ตกแต่งงดงามของเจ้านางปะวะหล่ำมีร่องรอยเบื่อหน่ายเจืออยู่ หากแต่ทรงเงยพักตร์ขึ้นเพื่อซ่อน

พระราชโอรสมิให้มองเห็น จะให้เจ้าชายอินทัชรู้ไม่ได้ว่าเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กับพระองค์นั้นมิใคร่ได้สมานฉันท์กันนานแล้ว


               “พระมารดาน่าจะยินดีที่พระบิดามิได้ทรงข้องแวะกับนางสนมกำนัลคนใดมากไปกว่าทรงตั้งใจบริหารราชการ

แผ่นดิน ลูกเองยังภูมิใจในพระบิดามายมายนัก”


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงถอนพระอัสสาสะออกมาพลางดึงให้เจ้าชายอินทัชลุกขึ้นมาจากพระเพลา


               “ช่างเถอะ มันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่เจ้ายังไม่เข้าใจ”


               “ลูกอายุสิบแปดปีแล้วนะพระมารดา”


               ทรงย่นนาสิกใส่พระมารดาที่ยังคิดว่าพระองค์ยังเป็นเด็กไร้เดียงสา เจ้านางปะวะหล่ำส่ายพักตร์อย่างระอา


               “ถ้าเจ้าอายุสิบแปดจริงดังปากว่า เจ้าควรจะฝึกปรือเรื่องบนเตียงให้เก่งกาจได้แล้วแทนที่จะมัวแต่ไปท่อง

เที่ยวยิงนกตกปลาอย่างที่ทำอยู่ อย่าให้แม่ได้ขายขี้หน้าเวลาสาวๆมันเอาไปนินทาว่าเจ้าชายอินทัชบรรทมเพียงเดียว

ดายในทุกค่ำคืน แม่ไปละ วันรุ่งจะไปหาแม่ย่าเฟื่องรุ้งเสียหน่อย”


               “แม่ย่าเฟื่องรุ้งมิอะไรดีพะย่ะค่ะ พระมารดาจึงได้เสด็จไปหาบ่อยครั้งเหลือเกิน”


               ตรัสอย่างสงสัยเมื่อทรงทราบว่าเจ้านางปะวะหล่ำจะเสด็จไปหาแม่ย่าเฟื่องรุ้งนักบวชหญิงวัยชราที่ยากจะมี

ใครได้พบเห็น ด้วยชื่อเสียงด้านการพยากรณ์และมนตราทำให้ใครๆก็ต้องการพบปะ หากมีเพียงไม่กี่คนที่ได้แม่ย่าเฟื่อง

รุ้งยินยอมให้พบรวมถึงเจ้านางปะวะหล่ำด้วย แต่เมื่อได้ยินคำพูดจากพระราชโอรสเจ้านางปะวะหล่ำถึงกับขมวดพระขนง


                “อย่าได้พูดถึงแม่ย่าด้วยน้ำเสียงดูแคลนเยี่ยงนั้นอินทัช เจ้าไม่รู้หรอกว่าแม่ย่ามีพระคุณกับแม่แค่ไหนกว่าจะมี

วันนี้ เอาเถอะ แม่ไม่พูดด้วยแล้วนอนเสียเถิดอินทัช”


                เจ้านางปะวะหล่ำดำเนินออกจากห้องพระบรรทมไปแล้วเจ้าชายอินทัชยังทรงครุ่นคิดไม่เลิกรา พระมารดา

ของพระองค์ตั้งแต่เดิมเป็นถึงพระธิดาองค์เล็กแห่งเมืองเขมราชและยกให้อภิเษกกับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์เพื่อสาน

สัมพันธไมตรี แล้วเหตุอันใดพระมารดาของเจ้าชายอินทัชต้องไปพึ่งใบบุญนักบวชหญิงลึกลับผู้นั้นด้วยเล่า













                ร่างสูงในอาภรณ์ชุดดำเร้นกายเข้าสู่ที่ราบกว้างที่มีภูเขาสูงทะมึนโอบล้อมเป็นปราการอยู่โดยรอบ ทางเข้า

ทางออกมีเพียงทางเดียวที่ต้องทะลุผ่านเวิ้งถ้ำเข้ามาด้านในซึ่งมีแต่ฝูงโจรเลื่องชื่อเท่านั้นที่รู้หนทางเข้าสู่ “หุบผากาฬ”

แห่งนี้ รวมทั้งเขาชายหนุ่มที่ชื่ออัคคี

               อัคคีเดินตรงไปยังกระท่อมไม้หลังใหญ่ที่สุดที่อยู่บนเนินสูงสุดของที่ราบ จากตำแหน่งนี้มองลงไปจะเห็น

กระท่อมที่สร้างกระจัดกระจายกันอยู่ของสมาชิกที่อาศัยอยู่ในหุบผากาฬแห่งนี้ เบื้องหน้าของกระท่อมอัคคีมองเห็นร่าง

กำยำของชายวัยกลางคนที่กำลังออกแรงตีเหล็กที่เผาไฟจนร้อน อัคคียกยิ้มพลางย่างสามขุมเข้าด้านหลังและจู่โจมเข้า

ใส่ด้วยความเร็ว

                     ชายผู้นั้นหันกลับมาตอบโต้ด้วยความเร็วไม่แพ้กัน การต่อสู้เกิดขึ้นอยู่กลางลานดินหน้ากระท่อมอย่างสูสี

จนกระทั่งอัคคีถูกรัดรอบลำคอ ทั้งคู่มองหน้าและหัวเราะใส่กันก่อนที่อัคคีจะถูกปล่อยให้เป็นอิสระ


                 “สู้พ่อสมิงไม่เคยได้เลย”


                “สมิง” หรือฉายา “โจรป่าสมิงไพร” หัวหน้ากองโจรแห่งหุบผากาฬหัวเราะลั่นพลางโยกหัวอัคคีอย่างเอ็นดู


                 “ใครบอก ฝีมือเจ้าดีขึ้นมากนะอัคคี พ่อเกือบจะเพลี่ยงพล้ำเสียหลายทีแล้ว ขนาดเจ้าอายุแค่สิบแปดยังเก่ง

ขนาดนี้ ต่อไปพ่อคงตายตาหลับหากได้เจ้าขึ้นมาเป็นหัวหน้าหุบผากาฬแทนพ่อ”


                  “คงอีกนานกว่าจะถึงวันนั้น ตอนนี้ทุกคนยังกลัวพ่อสมิงกันทุกหัวระแหงข้าคงไม่บังอาจที่จะเทียบชั้นพ่อได้

หรอก อืม...แล้วนี่พ่อบัวไปไหนเสียล่ะพ่อสมิง”


                สมิงชี้มือไปทางด้านหลังของกระท่อม


               “โน่น พ่อบัวกำลังตากปลาที่ข้าไปจับมา นี่ข้าบอกให้นำมาทำกับข้าวเลยก็ไม่เชื่อ เห็นบอกว่าจะตากปลาให้

แห้งจะเก็บไว้ได้นานๆ เจ้าไปหาพ่อบัวสิ”


               อัคคีเดินอ้อมไปด้านหลังเขาจ้องมองแผ่นหลังของผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งที่กำลังเรียงตัวปลาอยู่บนกระจาดเพื่อ

ตากแดดด้วยความรัก อัคคีมีพ่อสองคนคือพ่อสมิงและพ่อบัวโดยที่ไม่มีแม่ ในยามเด็กเขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุในจึงเป็นเช่น

นั้นแต่เมื่อโตขึ้นมาเขาก็เลิกคิดเพราะทั้งคู่ก็เลี้ยงดูอัคคีเป็นอย่างดี


               พ่อบัวหันมามองเขา อัคคียิ้มให้พ่อบัวที่มีผ้าคาดปิดบังดวงตาที่บอดเสียข้างหนึ่งหากกระนั้นพ่อบัวของเขาก็

ยังจัดว่าเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาผิวพรรณผุดผ่องกว่าพวกลุงๆอาๆลูกน้องของพ่อเป็นไหนๆ แต่เพราะพ่อบัวที่มักจะทำหน้า

ดุเขาจึงเกรงพ่อบัวมากกว่าพ่อสมิงที่เป็นหัวหน้าโจรเสียอีก


               “พ่อบัว”


               “มัวแต่เที่ยวเล่น เหลวไหลเสียจริงอัคคี”


               อัคคีเงียบกริบเมื่อบัวดุเสียงเข้ม นึกน้อยใจครามครันที่ถูกมองว่าทำตัวเหลวไหล


               “ข้าไปช่วยพวกพี่ๆวางกับดักรอบหุบเขาไม่ได้เที่ยวเล่นนะพ่อบัว และที่สำคัญข้าได้เจอคนใครคนหนึ่งที่พ่อ

บัวต้องยินดี”


               “ใครกัน” บัวขมวดคิ้วอย่างสงสัย


               “เจ้าชายอินทัชธราธิป”


               ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวเบิกกว้าง นัยน์ตาคมฉายแสงโชนถึงความเคียดแค้นที่สุมอยู่ในใจ


               “มันหน้าตาเยี่ยงไร”


               “เหมือนข้าไม่มีผิดเพี้ยน” อัคคีเอ่ยอย่างข้องใจ “ทำไมเป็นเช่นนั้น”


               “เพราะชะตากรรมไงล่ะ ชะตากรรมที่เจ้าจะต้องทำลายพวกมันอย่างที่ข้าเคยบอกเจ้าตั้งแต่ยังเล็ก”


               สายตาของบัวทำให้อัคคีขบกรามกรอด



               “ข้าจำได้แม่นยำ เพราะพวกมันทำให้ครอบครัวของพ่อบัวต้องตายจากและทำให้พ่อบัวบาดเจ็บเจียนตายจน

ต้องเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง ข้าไม่มีวันลืมเลือน”


               “ดีมากอัคคี”


               บัวตบไหล่อัคคีหนักแน่นเพื่อตอกย้ำให้ฝังลึกเข้าไปในหัวใจของอัคคี


               “จงจำไว้ว่าเจ้าเกิดมาเพื่อทำลายพวกชั่วช้าเหล่านั้นให้สิ้นซาก”







               “เจ้านี่ชอบดุลูกจนมันหงอ”


               สมิงบ่นพึมพำเมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับบัวภายกระท่อมไม้หลังใหญ่ เขาสร้างกระท่อมหลังเล็กให้อัคคี

เยื้องไปทางด้านหลังเมื่อบุตรชายเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม

              บัวที่นั่งเพ่งสายตาอ่านหนังสือภายใต้ตะเกียงไฟยังคงไม่สนใจคำบ่นของสมิงจนกระทั่งสมิงต้องเข้ามาโอบ

เอวจากด้านหลังและดึงให้บัวมานั่งอยู่บนตักตัวเอง เขามองบัวด้วยความรักเต็มหัวใจ

               หลงรักตั้งแต่เขาพบร่างบาดเจ็บเจียนตายที่อุ้มทารกคนหนึ่งไว้แนบอก สมิงพาร่างอันบอบช้ำของทั้งคู่มา

รักษาตัวอยู่ในกระท่อม ส่วนทารกน้อยเขาก็ต้องให้เมียของลูกน้องที่เป็นแม่ลูกอ่อนช่วยแบ่งปันน้ำนมปะทังความหิวโหย

เขาเฝ้าดูแลจนชายแปลกหน้าอาการดีขึ้นแม้จะรักษาดวงตาข้างหนึ่งไว้ไม่ได้ ชายที่ได้รับบาดเจ็บบอกกับสมิงว่าเขาชื่อ

บัว สมิงเฝ้าประคบประหงมบัวอยู่นานและไม่ได้หักหาญน้ำใจเขารอจนกระทั่งบัวพร้อมและยินยอมที่จะเป็นของเขาโดย

แลกเปลี่ยนกับการที่สมิงจะต้องเลี้ยงดูและฝืกปรือวิชาการต่อสู้ให้ทารกที่บัวตั้งชื่อว่าอัคคี สมิงเต็มใจอยู่แล้วและในที่สุด

บัวก็ยินยอมที่จะใช้ชีวิตอยู่ในหุบผากาฬแห่งนี้ในฐานะเมียของสมิงไพรที่ลูกน้องของสมิงต่างรู้กันดีว่าหัวหน้าโจรชื่อดัง

กลัวเมียแค่ไหน


                 “เจ้าเองก็มัวแต่ตามใจลูก”


                   สมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยิ้มกริ่มพลางวางร่างโปร่งของบัวให้นอนลงไปบนฟูกนุ่นแล้วหันไปปิดไฟ

ที่ตะเกียงจนมืดมิด


                 “สมิง ข้ายังอ่านหนังสือไม่จบ”


                 บัวทักท้วงแต่ก็ไม่สามารถห้ามปรามมือสากที่เริ่มซนอยู่กับร่างกายของเขาได้


                “อ่านแต่หนังสือนะพ่อบัว ทำไมไม่อ่านใจข้าบ้างล่ะว่าข้ารักพ่อบัวแค่ไหน”


                  “สมิง อื้อ...”


                 เสียงทุ้มของบัวถูกปิดทันทีด้วยปากของสมิง เขาจูบกลีบปากนุ่มของบัวพลางปลดผ้าฝ้ายเนื้อนุ่มที่บัวสวม

ใส่ออกพัลวัน ส่วนเขาที่มีเพียงผ้ายกรั้งท่อนล่างนั้นมันหลุดออกนานแล้ว สมิงทาบร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและ

ท่อนเนื้อพร้อมรบลงกับร่างกายขาวผ่องที่อวดกายอยู่ในความมืด

             เขาฟอนเฟ้นร่างกายของบัวด้วยปากและลิ้นอย่างเช่นทุกครั้ง บัวสยิวกายไปตามแรงอารมณ์จนเผลอครางเป็นระ

ยะ หนวดเคราของมหาโจรเสียดสีอยู่ตามเนื้อตัวเร่งเร้าให้เขาเบียดกายเข้าหา และแอ่นอกให้สมิงเชยชม


                “หวานเหลือเกินพ่อบัว”


                สมิงคำรามอย่างถูกใจเมื่อได้กลืนกินจุดซ่อนเร้นของบัวให้พองฟูอยู่ในปากก่อนที่จะคายออกมาเมื่อบัว

พ่นพิษใส่เขาจนฉ่ำชื้น สมิงคายมันออกมาใส่อุ้งมือแล้วป้ายไปรอบช่องทางด้านล่างแล้วจึงสอดกายตนเข้าไปอย่างคุ้น

เคย


                 “หนทางของพ่อบัวยังเบียดรัดข้าไม่เคยเปลี่ยนเลย”


                  “อะ อึก สมิง เบาหน่อย อะ เสียว”


                สมิงเงยหน้าครางลึก เขากอบโกยเนื้อหนั่นแน่นไว้ในอุ้งมือเพื่อเปิดทางสวรรค์ เอวแกร่งของเขามีพลัง

เหลือเฟือที่จะทำให้บัวดิ้นพล่านไม่ยอมหยุด บัวได้แต่กัดริมฝีปากกลั้นเสียงครางอยู่ในลำคอไม่ให้มันเล็ดลอดออกไป


                 “อาทิตย์ อา...”




                อัคคีกัดปากตัวเองเมื่อเสียงร่วมรักของสมิงกับบัวดังแว่วมาจากกระท่อมหลังใหญ่ ร่างกายในวัยหนุ่มกำลัง

เดือดพล่านไปด้วยเลือดลมจนท่อนเนื้อแข็งขืนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ และในหัวของเขามีแต่ภาพของเจ้าชายที่มีใบหน้า

พิมพ์เดียวกับเขาล่องลอยอยู่เต็มไปหมดจนอัคคีโมโหตัวเอง


             “ไม่ได้ นั่นคือศัตรู”


              เอื้อมมือไปกอบกุมจุดอ่อนไหวไว้ในอุ้งมือแล้วใช้ปลายนิ้วบีบนวด หูสดับฟังเสียงครางจากพ่อทั้งสองและ

หลับตาเพื่อจินตนาการถึงใบหน้าเนียนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก อัคคีหอบหายใจลึกอยู่เพียงลำพัง


               “อินทัช อึก...”


               รู้สึกถึงความเปียกชื้นอยู่ในร่มผ้า อัคคีสบถเบาๆเมื่อเขาเฝ้าแต่คิดถึงเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนคร


             ------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------------------               



อธิบายคำราชาศัพท์

แท่นพระบรรทม คือ ที่นอน
แย้มพระสรวล คือ ยิ้ม
พระเพลา คือ ตัก หน้าขา
พระอัสสาสะ คือ ลมหายใจออก
นาสิก คือ จมูก
ขนง คือ คิ้ว




คำอธิบายจากผู้แต่ง

เรื่องนี้มีสองช่วงนะคะ รุ่นพ่อ อาทิตยวงศ์ –บัว(โกมุท)-สมิง แล้วถึงจะมาเป็นรุ่นลูกที่เป็นฝาแฝด อัคคี-อินทัช เดี๋ยวจะมี

ช่วงอดีตเล่าแทรกมาด้วยจะได้รู้สาเหตุกันจ้า คำราชาศัพท์คำไหนไม่เข้าใจบอกได้นะคะ



Belove
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2015 13:12:35 โดย Belove »

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
คู่พ่อนี่ร้อนแรงจัง -.,-
อย่าสามพีน้า T^T
รอตอนต่อไปจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2015 18:07:38 โดย boboman »

ออฟไลน์ SOO2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รุ่นพ่อนี่รักสามเส้าหรอเนี่ย
แล้วอัคคีกับอินทัชนี่ลูกใครอ่ะ

มาต่อๆ ปัญหาเยอะดี ชอบ :hao7:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
พอจะเดาได้ลางๆ ละ งื้อออ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :-[   แค้นกันไปทำไมน้อ
ต่างฝ่ายต่างโหยหากันเนอะ น่าสงสาร
แม่คงเครียดแหละกลัวลูกเป็นเกย์ล่ะสิเห็นลูกไม่เอาผู้หญิง 555 หรือว่าพ่อก็เป็นเนาะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
ความแค้นของรุ่นพ่อรุ่นแม่ลามมาสู่ลูกใช่มั้ยเนี่ย :katai1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อืม... เหมือนมองเห็นภาพ ความแค้นส่งต่อมาที่ลูกแทน

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
รุ่นใหญ่ไปแตะขอบฟ้าแล้วนิ    สงสัยเจ้านางใช้มนต์-กลจากแม่ย่าสินะถึงได้ท่านอาทิตย์มาครอง   เป็นเรานะรักพ่อสมิงตายเลยอยู่กันมาได้ตั้งหลายปีขนาดครางออกมาเป็นชื่อคนอื่นก็ยังรักอยู่

นึกตะหงิดๆอยู่นะว่าทำไมแม่ถึงได้เจ้ากี้เจ้าการเรื่องให้ลูกชายนอนกับพวกนางห้ามนัก  ท่าเชื้อรุ่นพ่อจะแรง

ปิดไฟ - น่าจะเป็นดับไฟจากตะเกียงหรือเปล่าคะ     

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กรี๊ดดดดดดด  :haun4: :haun4:
^//////^

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                   บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                           บทที่ 3


               บานประตูห้องทรงพระอักษรถูกผลักเข้ามา เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ศตรัศม์ ผู้ครองเมืองรัตนปุระนครชำเลืองสาย

พระเนตรขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าเป็นเจ้านางปะวะหล่ำพระชายาก้าวพระบาทเข้ามาจึงได้เบนพระเนตรกลับมายังหนังสือหนา

หนักที่อยู่ตรงหน้า


               “หนังสือฝรั่งนั่นน่ามองกว่าใบหน้าของหม่อมฉันหรือเพคะ”


               กระแสเสียงค่อนแคะจากผู้ที่ได้ชื่อว่า “เมีย” และ “แม่ของลูก” ทำให้เจ้าฟ้าผู้ครองนครสำคัญอันเป็นที่

ต้องการของหัวเมืองใหญ่ต่างแคว้นลอบถอนพระอัสสาสะแผ่วเบาก่อนจะปิดหนังสือเล่มใหญ่ในพระหัตถ์ลง


               “มีอะไรก็ว่ามา ปะวะหล่ำ”


               เจ้านางปะวะหล่ำทอดพระเนตรเจ้าเหนือหัวที่กำลังลุกจากเก้าอี้ประทับแล้วหยัดยืนเต็มความสูงของพระ

วรกาย สะท้อนในพระหทัยนักหากผู้ชายตรงหน้าจะแสดงความรักความเอาใจใส่พระองค์ให้มากกว่านี้สักนิด ความน้อย

เนื้อต่ำใจคงจะไม่ทบทวีกันจนกลายเป็นความหมางเมินเช่นนี้


               “หม่อมฉันมาเพื่อกราบบังคมทูล ในวันรุ่งขึ้นหม่อมฉันจะไปหาแม่ย่าเพื่องรุ้ง”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงขมวดพระขนงเมื่อทอดพระเนตรพระชายา


               “เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน อย่าให้ใครเขาพูดได้ว่าเชื่อถือในโชคลางเกินเหตุ”


               “เจ้าพี่กำลังว่ากล่าวหม่อมฉันอยู่ใช่ไหมเพคะ”


               ทรงเม้มพระโอษฐ์เคลือบสีชาดด้วยความเคืองขุ่นเมื่อได้ยินคำตรัสนั้น เจ้านางปะวะหล่ำเชิดพระพักตร์ขึ้นสูง

ด้วย ขัตติยทิฐิ


               “หม่อมฉันรู้ดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”


               “เราก็แค่เตือนเจ้าปะวะหล่ำ” ทรงลอบถอนพระอัสสาสะอีกครั้งอย่างอ่อนพระทัย


              “ในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้านางของรัตนปุระนคร”


               “ก็ยังดีที่พระองค์ยังทรงจำได้ว่าหม่อมฉันเป็นเจ้านางของพระองค์ และอย่าทรงลืมว่าหากไม่ได้หม่อมฉันป่าน

นี้รัตนปุระนครคงกลายเป็นเมืองประเทศราชของแคว้นอื่นไปนานแล้ว”


               หมุนพระวรกายก้าวออกไปจากห้องทรงอักษรด้วยความเคืองขุ่น เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทอดพระเนตรจนร่างของ

พระชายาลับสายพระเนตรแล้วจึงทิ้งกายกลับไปยังเก้าอี้ประทับพลางยกพระหัตถ์นวดพระนลาฏ


               การเป็นเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าชีวิตผู้คนทั่วทั้งนครแต่หาได้เป็นเจ้าชีวิตของตนเอง

               แต่หากแค่ใครบางคนจะอยู่เคียงข้างทั้งกายและใจ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์คงจะไม่เดียวดายขนาดนี้


               “โกมุท”


               รอยยิ้มอ่อนโยนที่คอยให้กำลังใจยามเหนื่อยล้ายังคงตรึงตาและตรึงอยู่ในหัวใจแม้แต่วินาทีนี้ ทรงรำพึงชื่อ

นั้นออกมาจากโอษฐ์เมื่อทรงปิดพระเนตรลงและปล่อยใจให้ล่องลอยถึงอดีต


               “ง้างคันศรแล้วเล็งให้แม่นพะย่ะค่ะ”


               ใบหน้านั้นอยู่ใกล้จนรับรู้ลมหายใจซึ่งกันเมื่อเจ้าชายอาทิตยวงศ์ในวัยเยาว์โก่งคันศรเป็นครั้งแรก คนใจเย็น

กว่าคอยแนะนำไม่ห่างเมื่อรู้ว่าเจ้าชายรัชทายาทนั้นพระทัยร้อนเพียงใด เจ้าชายอาทิตยวงศ์ปล่อยให้ลูกธนูลอยละลิ่ว

ออกไปปักพื้นดินโดยห่างไกลเป้าหมายนัก


               “โธ่โว้ย ทำไมยิงธนูมันยากเย็นแบบนี้นะ”


               สบถออกมาเพราะความไม่พึงพระประสงค์ การที่ต้องใช้สมาธิอยู่นิ่งมันช่างยากกว่าการให้พระองค์ออกแรง

ซ้อมเพลงดาบเป็นไหนๆ


               “พระทัยร้อนเกินไปต่างหากพะย่ะค่ะ”


               ร่างที่สูงทัดเทียมพระองค์หากแต่อายุมากกว่ากันสามขวบปีเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็นพลางส่งลูกศรอันใหม่ให้


               “เราไม่ได้ใจเย็นเป็นน้ำแข็งอย่างเจ้านี่โกมุท”


               รับลูกศรพลางตรัสบ่นพึมพำ ชายที่ถูกเรียกขานว่าโกมุทส่ายหน้าอย่างระอาแต่ถึงกระนั้นใบหน้าก็ยังอ่อนโยน

และมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ


               “ยิงธนูต้องใช้สมาธิ หากพระองค์รีบร้อนเหยื่อจะหนีหาย”


               สอนอย่างที่เคยกระทำมาตั้งแต่เจ้าชายอาทิตยวงศ์ประสูติ โกมุทในวัยสามขวบประคบประหงมดูแลเจ้าชาย

น้อยแม้กระทั่งยามหัดเดิน ชื่อโกมุทเป็นคำติดปากยามที่เจ้าชายรัชทายาทต้องการสิ่งใด


               โกมุทก้าวเข้าไปใกล้ยกแขนวางแนบไปกับเจ้าชายรัชทายาท


               “อาทิตย์เก่งอยู่แล้ว ท่านต้องทำได้เชื่อเรา”


               เสียงกระซิบแผ่วเบาเรียกชื่อพระองค์เพียงพระนามทำให้เจ้าชายอาทิตยวงศ์ลอบแย้มสรวล พระหัตถ์ที่โก่ง

คันธนูตรึงนิ่งก่อนจะปล่อยให้ลูกศรแหวกอากาศเข้าสู่เป้าหมาย


               เสียงนุ่มของโกมุทมีผลต่อพระองค์เสมอ มันคล้ายกับน้ำอันชุ่มฉ่ำที่คอยรินรดยามพระองค์ร้อนรนหรือ

เหนื่อยล้า


               “เจ้าช่างใจเย็นเหมือนชื่อของเจ้า โกมุทแปลว่าเกิดจากน้ำซึ่งมันก็คือดอกบัวใช่ไหม”


               ทรงตระกองกอดในวันที่พระองค์ล่วงรู้ว่ารู้สึกเช่นไรกับผู้ชายในอ้อมแขน เมื่อพ้นจากวัยเยาว์ร่างกายของ

โกมุทช่างบอบบางเหลือเกินในอ้อมกอด ร่างที่เคยสูงทัดเทียมกันกลับกลายเป็นสูงเสมอแค่พระกรรณของเจ้าฟ้าองค์

ใหม่แห่งรัตนปุระนคร


               “ดอกบัวเกิดแต่ตม หากแต่มันกลับรักแสงแดดจากดวงอาทิตย์ยิ่งชีพ หากวันไหนไร้แสงวันนั้นดอกบัวก็จะ

เหี่ยวเฉาและตายอย่างไร้คุณค่าพะย่ะค่ะ”


               มือนุ่มที่จับแต่กองหนังสือตำราเป็นหลักยกขึ้นมาลูบพระพักตร์คมของเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ สายตาที่จับจ้อง

บอกถึงความรักและภักดีแม้แต่ยอมทอดกายให้พระองค์ในสนามรบเช่นยามนั้น


               “ไม่มีวันที่เราจะทอดทิ้งเจ้า โกมุท”


               ดึงกายนุ่มนั้นเข้ามาเบียดชิดอยู่บนตั่งแข็งภายในกระโจมพัก เจ้าชายอาทิตยวงศ์ทรงประทานจุมพิตแสน

หวานจนโกมุทสั่นสะท้าน สองแขนคล้องไปรอบพระศอพลางโอบรั้งร่างกายจนร้อนผะผ่าว กายเปลือยเปล่าชื้นเหงื่อยาม

เจ้าเหนือหัวบดบี้ขยี้พระหัตถ์ลงกับยอดอกจนเป็นตุ่มไต


               “หวานเหลือเกินโกมุท ขอให้เราเป็นเจ้าของเจ้าทั้งตัวและหัวใจเถิด”


               “อา...พระองค์”


               “อาทิตย์” เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงตรัสแก้เสียงสั่นพร่า “เรียกเราว่าอาทิตย์อย่างที่เจ้าชอบทำเวลาเราดื้อ”


               ทั้งเนื้อทั้งตัวที่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์สัมผัสช่างนุ่มเนียนมือเหลือเกิน โกมุทครางฮือไม่หยุดหย่อนแม้แต่ตอนที่

พระองค์ชำแรกแทรกกายเข้าหาเป็นคราแรก เสียงจากความเจ็บปวดถูกกลบมิดด้วยจุมพิตเร่าร้อนจนกระทั่งกลายเป็น

ความต้องการด้วยเสน่หา


               เสียดายที่มีเพียงตั่งเล็กรองนอนในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน หากเป็นพระแท่นบรรทมอย่างในวังใหญ่เจ้าฟ้า

อาทิตยวงศ์คงจะพระราชทานความสุขสมให้มากกว่านี้


               “เท่านี้ก็ดีแล้วพะย่ะค่ะ”


               เสียงสั่นหวิวราวกับจะขาดใจกระซิบตอบขณะที่เจ้าชีวิตเคลื่อนวรกายอยู่เบื้องบน โกมุททอดสายตาฉ่ำหวาน

พลางยกขาตั้งชันเพื่อให้ร่างกายสอดประสานได้มากขึ้น วงพระพักตร์ชื้นเหงื่อคำรามลึกเมื่อช่องทางเร้นรักบีบอัดจนพา

กันเสียวซ่านสะท้านกอดก่ายเมื่อพากันสุขสมเสียทั้งคู่


               ทรงจำได้แม้กระทั่งเสียงหอบหายใจหนักหน่วงที่เป่ารดซึ่งกันแม้กระทั่งบัดนี้ เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์กัดพระทนต์

ด้วยความเจ็บช้ำ


               “โกมุท หากเจ้าอยู่เคียงข้างเรา หากแม้เจ้าไม่คิดทรยศเป็นไส้ศึกกับศัตรู วันนี้เราคงมีเจ้าอยู่เคียงข้างกาย”







               เสียงของบิดาทั้งสองจากกระท่อมหลังใหญ่เงียบลงแล้วแต่อัคคียังข่มตาหลับไม่ลง แม้ความต้องการของ

ร่างกายจะระบายออกไปบ้างด้วยน้ำมือตน แต่เมื่อหลับตาครั้งใดใบหน้าที่เหมือนตัวเองไม่มีผิดเพี้ยนกลับตามมาย้ำเตือน

ความต้องการอย่างน่าหงุดหงิด


               คนหนึ่งเป็นเจ้าชาย แต่อีกคนกลับเป็นโจร อัคคีไม่นึกว่าชะตาฟ้าจะเล่นตลกเช่นนี้


               เสียงฝีเท้าแสนเบาแว่วมาจากด้านนอกของประตู อัคคีใช้มือหนุนหัวนิ่งฟังอย่างใจเย็นจนกระทั่งประตูไม้แง้ม

เปิดช้าๆพร้อมกับเงาตะคุ่มที่ย่องเข้ามาด้านใน เจ้าของเงาก้าวเดินอยู่ในกระท่อมเล็กอย่างคุ้นทางก่อนจะทรุดลงนั่งบน

ฟูกที่อัคคีนอนอยุ่


               “ยังไม่นอนอีกรึ ฟ้าฟื้น”


               ฟ้าฟื้น บุตรชายนางอิ่มแม่นมของเขา ลูกชายเสือผาดขุนโจรคนสนิทของสมิงที่สมิงฝากให้ช่วยดูแลเมื่อยาม

เขาแบเบาะ ฟ้าฟื้นอายุมากกว่าอัคคีแค่ปีเดียวเมื่อยามที่อัคคีมาอาศัยน้ำนมของนางอิ่ม อัคคีและฟ้าฟื้นโตมาด้วยกันฝึก

ปรือการต่อสู้มาด้วยกันจนกระทั่งบัดนี้


               คืนเดือนเพ็ญที่แสงจันทร์นวลส่องสว่างทำให้ภายในกระท่อมยังพอมองเห็นโดยไม่ต้องใช้แสงไฟจากตะเกียง

ฟ้าฟื้นทิ้งกายลงนอนเคียงข้างอัคคีอยู่บนฟูกเล็ก


               “นอนไม่หลับ”


               ฟ้าฟื้นตอบอย่างเบื่อหน่าย เขาหันไปสบตากับอัคคีในความมืดแล้วยิ้มขำ


               “เจ้าเองก็นอนไม่หลับเหมือนกันล่ะสิอัคคี ก็เล่นนอนฟังเสียงพ่อทั้งสองของเจ้าเล่นรักกันขนาดนั้น”


               ...นั่นไม่เท่าไหร่ แต่ใบหน้าของใครคนหนึ่งที่มากวนใจนั่นหนักกว่า...


               ตอบอยู่ภายในใจแต่ก็เผลอไผลถอนหายใจออกมา ทำให้ฟ้าฟื้นเข้าใจว่าสิ่งที่พูดมาถูกต้อง


               “ไหนดูทีรึ ผลมันออกมาเป็นเช่นไรบ้าง”


               ผ้านุ่งตัวหลวมที่อัคคีสวมใส่เพียงอย่างเดียวถูกดึงให้ส่วนแข็งขืนอวดกายอยู่ต่อหน้า อัคคีส่ายหน้ายิ้มขำ

เพราะฟ้าฟื้นชอบแกล้งเขาแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่วันนี้ฟ้าฟื้นไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นเขากลับเลื่อนกายลงไปแล้วตั้งใจมองมัน

จนอัคคีชักจะสงสัย


               “มองทำไม ฟ้าฟื้น ของเจ้าก็มีเหมือนข้า”


               มือหยาบของฟ้าฟื้นลูบไล้ไปรอบโคนที่ยังเปียกชื้นคราบน้ำคาวที่อัคคีเพิ่งรีดพิษ ดวงตาเบิกกว้างอยู่ในความ

มืดเขาขยับไปนั่งอยู่ระหว่างต้นขาแกร่งของอัคคี


               “เจ้ายังต้องการอยู่ ข้ารู้”


               อัคคีผงกหัวขึ้นมองอย่างแปลกใจเมื่อฟ้าฟื้นท่าทางแปลกไปกว่าทุกครั้ง ฟ้าฟื้นใช้นิ้วประคองรัดจุดกึ่งกลาง

ลำตัวของเขาไว้ในอุ้งมือแล้วจึงแตะปลายลิ้นลงไปตรงปลายยอด


               “จะทำอะไรกันแน่ฟ้าฟื้น”


               อัคคีสูบลมหายใจเข้าลึกเมื่อฟ้าฟื้นกำลังกระทำกับท่อนเนื้อของเขาด้วยโพรงปากลึก ความต้องการของ

ร่างกายพุ่งสูงจนใกล้จะถึงจุดหมาย ฟ้าฟื้นกลืนกินมันเข้าไปอย่างติดใจพลางโลมเลียพัลวันปลุกเร้าให้อัคคีเริ่มหอบ

หายใจหนักหนาและเด้งเอวเข้าใส่อย่างลืมตัว


               “ทำให้เจ้ามีความสุข”


               ฟ้าฟื้นพึมพำ


               “ใครๆก็ต้องปลดปล่อยกันทั้งนั้น”


               อัคคีสวนเอวเข้าใส่เมื่อน้ำคาวพุ่งอยู่ในปากของฟ้าฟื้นที่ค่อยๆคายมันออกทีละน้อย ก่อนจะชันขานั่งถอดเสื้อ

ทอสีเข้มออกต่อหน้าอัคคี เขาใช้ปลายนิ้วกวาดน้ำคาวของอัคคีที่อยู่รอบปากออกพลางจ้องหน้าอัคครีประกายตาวาววาม


               “แม้แต่พ่อของเจ้า พ่อและแม่ของข้า”


               อัคคีที่ยังหอบหนักเพ่งมองฟ้าฟื้นอย่างไม่เข้าใจ


              “นั่นพวกเขาเป็นผัวเมียกัน”



                “อัคคี เราโตมาด้วยกัน กินนมเต้าเดียวกันมา เราเป็นยิ่งกว่าเพื่อนยิ่งกว่าพี่น้อง ข้ารักเจ้าสุดหัวใจแล้วเจ้าล่ะ

ไม่คิดอย่างเดียวกันกับข้ารึ”


               ฟ้าฟื้นถอดผ้าทิ้งจนหมด ร่างกายล่ำสันไปด้วยกล้ามอย่างคนชอบต่อสู้ลูบไล้ตนเองอวดสายตาอัคคี ฟ้าฟื้นนั่ง

คร่อมอยู่ตรงเอวของอัคคีพลางนวดเฟ้นแก่นกายตนเองให้อีกฝ่ายปะทุแรงพิศวาสอีกครั้ง

               ฟ้าฟื้นดึงมือของอัคคีให้เขาเอื้อมมือมาแล้วดันนิ้วสอดลึกเข้าไปในช่องทางของตน ฟ้าฟื้นปรือตาครางออกมา

จนอัคคีเองก็เริ่มจะยั้งอารมณ์ไม่อยู่ เขากัดฟันแน่นเมือช่องทางของฟ้าฟื้นตอดรัดนิ้วของเขาเหลือเกิน


               “เจ้ากำลังจะทำให้ข้าต้องกระทำให้เจ้าอยู่นะฟ้าฟื้น”


               “นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ อัคคี ระบายลงมาบนร่างกายข้าสิ ข้าพร้อมจะเป็นของเจ้ามานานแล้ว”


               อัคคีคำรามลึก อารมณ์วัยหนุ่มกระเจิดกระเจิงจนกู่ไม่กลับ เขาดันไหล่ฟ้าฟื้นให้พลิกกลับมานอนหงายหลังติด

ฟูกและสำรวจร่างกายของฟ้าฟื้นด้วยดวงตาราวกับสิงห์หนุ่มกลัดมัน อัคคีอ้าปากงับลานนมพลางขยี้ปลายนิ้วลงอีกฝั่ง ฟ้า

ฟื้นแอ่นกายตอบรับอย่างยินดี

               ต้นขาของฟ้าฟื้นถูกดันลอยจนปลายต้นขาแทบจะแนบกับใบหน้า สะโพกยกสูงมองเห็นรอยจีบพับล่อตาให้

อัคคีจ่อแท่งเนื้อร้อนเข้าไปเขาสะดุ้งกับความคับแคบตอดรัด เสียงร้องดังมาจากฟ้าฟื้นที่นิ่วหน้าเมื่อถูกสอดใส่


               “เจ้าเจ็บมากนะฟ้าฟื้น ข้าจะหยุด”


               “ยะ อย่า ข้าทนได้อัคคี ได้โปรดใส่มันเข้ามา”


               เสียงครวญทดแทนจากฟ้าฟื้นเมื่อเขาโน้มตัวไปรัวลิ้นอยู่ตรงยอดอก และในที่สุดเขาก็ดันท่อนเนื้อเข้าไปจน

มิดลำ อัคคียันมือคร่อมกายของฟ้าฟื้นพลางขยับร่างเร่งเร้าด้วยพายุอารมณ์ อัคคีได้แต่หลับตาลงเมื่อร่างกายที่เขากำลัง

ระบายออกกลายเป็นเจ้าชายรัชทายาทของรัตนปุระนครในจินตนาการของเขา



                              -------------------โปรดติดตามตอนต่อไป-----------------------         



ขายของจ้า
เกมพิศวาสซาตานร้าย
กำลังเปิดให้สั่งซื้อนะ ไปอ่านตอนจบและตอนพิเศษก่อนได้นะสำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านค่ะ

      :mew1: :mew1:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2015 19:44:01 โดย Belove »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้ม เชิ้บๆ
เวรกรรม
ตัวละครเริ่มโผล่มาพร้อมกับความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง -*-
แล้วตกลงโกมุทชอบใครเนี่ย เจ้าอาทิตย์เหรอ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2015 20:09:00 โดย boboman »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
อื้อหือ. ความสัมพันธ์ซับซ้อนตั้งแต่รุ้นพ่อแม่ยันลูกๆ
แต่แบบว่าสงสารท่านแม่นะเนี่ย. จำใจแต่งงานเพราะหน้าที่ในการสืบทอดทายาท
แต่เห็นทีคงจะจบแค่รุ่นลูกแล้วล่ะมั้ง
ขอบคุณจ้า รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
มาเจิมก่อนค่ะ เด๋วอ่านย้อนหลังก่อน ^_^

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
อารมณ์หื่นมาเต็ม :z1:

ออฟไลน์ ooomukooo

  • AngieAngel
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
    • AngieAngel

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
เดาว่าท่านแม่ต้องมีส่วนทำให้เจ้าอาทิตย์กับโกมุทเข้าใจผิดกันแน่ๆ
แต่สงสัยว่าทำไมพ่อบัวถึงต้องแค้นจนเอาความแค้นของตัวเองมาฝังหัวลูกของอาทิตย์ด้วยอ่ะ (ถ้าเป็นลูกของอาทิตย์จริงๆอ่ะนะ)

ออฟไลน์ SOO2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อะหือ นี่แค่ตอนที่3เองนะเนี่ย นี่ก็คิดไปไกลละ :m25:

ออฟไลน์ Veesi3

  • coHon3 {ต้นฝ้าย}
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
เนื้อเรื่องซับซ้อนมาก ตอนนี้อัคคีกำลังเรียนรู้เพื่อจะได้ไปปั่มปั๊มอินทัชใช่มั้ยเนี่ยนยยน

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
โอ้ยยยยยยยย ทำไมอัคคีไปมีอะไรกับฟ้าฟื้นเนี่ยยยยยย :katai1:
แล้วเรื่องราวจะเป็นยังง๊ายยยยยย อัคคีกับอินทัช คู่กันใช่ป่าววววว :hao5:
 o18 o18 :m31:

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
สนุกมากเลยค๊าาาาา
คู่คุณพ่อท่าจะแซ่บบบบบบบบบบบ
จะสามพีมั้ยเนี้ยยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                              บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                      บทที่ 4

               เจ้านางปะวะหล่ำเสด็จสู่เรือนไม้สักที่ตั้งอยู่ท้ายนครก่อนเข้าสู่เขตป่าใหญ่ในรุ่งเช้า มีเพียงนายทหารคนสนิท

ไม่กี่คนติดตามอารักขารถม้ารวมทั้งพระพี่เลี้ยงวัยสาวใหญ่นามว่าแก้วกุดั่นที่หอบหิ้วดูแลกันมาตั้งแต่ยังเป็นเจ้าหญิงจาก

เมืองเขมราช เมื่อมากถึงขอบเขตกำแพงดินก่อตัวยกสูงป้องกันสายตาผู้คน เจ้านางปะวะหล่ำทรงดำเนินลงจากรถม้า

เข้าไปสู่ภายในกับแก้วกุดั่นเพียงลำพังปล่อยให้นายทหารรอคอยอยู่ภายนอก ทรงก้าวพระบาทเข้าไปสู่ตัวบ้านยกพื้นสูง

ตามแบบบ้านพื้นเมืองอย่างคุ้นเคย


               “เงียบเชียบเหลือเกิน แม่ย่าจะอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้”


               แก้วกุดั่นบ่นพึมพำเมื่อก้าวพ้นบันไดขึ้นมา พลางสอดส่ายสายตามองหาเจ้าของเรือนที่มิได้เปิดรับให้ใคร

เข้าหาได้โดยง่าย เจ้านางปะวะหล่ำก้าวตามหลังมาหยุดยืนด้วยอาภรณ์เรียบง่ายราวกับไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ถึงฐานะเจ้า

นางอันสูงส่ง


               “อยู่สิ แม่ย่าต้องรู้ว่าเราจะมา”


               ตรัสอย่างมั่นพระทัยพร้อมดำเนินผ่านหน้าโต๊ะหมู่ที่มีวัตถุมงคลวางอยู่มากมายตรงห้องโถงด้านหน้าเข้าสู่ห้อง

หับภายในอย่างไม่กลัวเจ้าของเรือนจะโกรธเคืองก่อนจะหยุดยืนหน้าประตูไม้บานหนึ่งแล้วจึงทรงผลักมันเข้าไป


               “แม่ย่าเฟื่องรุ้ง!”


               สายพระเนตรที่จ้องมองภาพเบื้องหน้าลุกวาบราวกับไฟ แก้วกุดั่นยกมือทาบอกพลันอุทานออกมา


               “แม่ย่า เหตุใดถึงทำเช่นนี้ แล้วอีแพศยานี่เป็นผู้ใด”


               เสียงร้องหวีดดังอย่างตกใจจากแม่สาวชาวบ้านหน้าตาหมดจดที่กำลังกอดก่ายกับเจ้าของเรือนเมื่อเห็นผู้คน

แปลกหน้าและรีบผละออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความอับอาย แก้วกุดั่นคว้าเส้นผมขยุ้มอยู่ในกำมือแล้วตบใบหน้าดังฉาด


               “นี่แน่ะ อีตอแหล บังอาจมายุ่งกับแม่ย่า”


               “แก้วกุดั่นพอแล้ว พานังสารเลวออกไปเดี๋ยวนี้”


               น้ำเสียงเด็ดขาดและพระพักตร์เครียดขึ้งยิ่งทำให้หญิงสาวเนื้อตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แก้วกุดั่นยิ้มเยาะใส่

หน้าพลางรับคำสั่ง


               “เจ้าค่ะ ออกไปได้แล้วอีนี่”


               จิกผมลากออกไปด้วยแรงกายก่อนจะหันมาปิดประตูห้องให้เจ้านายอยู่เพียงลำพังกับเจ้าของเรือนที่ยังนั่งนิ่ง

อยู่บนเตียงเล็กภายในห้อง เจ้านางปะวะหล่ำเม้มพระโอษฐ์อย่างขัดเคืองโดยไม่สนพระทัยเสียงตบตีนอกห้องที่แก้วกุดั่น

กำลังลงมือกับหญิงสาวที่เพิ่งจะคลอเคลียกับเจ้าของนามแม่ย่าเฟื่องรุ้ง


               “ทำไมแม่ย่าทำเช่นนี้”


               กระแสเสียงผิดหวังเคืองขุ่นพร้อมกำพระหัตถ์แน่นทำให้เจ้าของเรือนชำเลืองสายตามองอย่างนึกรำคาญ


               “อย่าส่งเสียงดังในเรือนของข้า ปะวะหล่ำ เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบ”


               แม้จะเป็นสตรีสูงส่งเหนือผู้คนทั้งปวงในรัตนปุระนคร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงนุ่งห่มชุดสีเข้มหุ่นผอมเกร็ง

ใบหน้าดุผมตัดสั้นมีสีดอกเลาแซมอยู่ประปรายเจ้านางปะวะหล่ำกลับต้องเงียบลงทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงนั่น เจ้านางปะวะ

หล่ำกระแทกพระบาทมาประทับนั่งใกล้กับแม่ย่าเฟื่องรุ้งพลางสบตาอย่างน้อยพระทัย


               “แม่ย่าควรจะมีแต่ข้าเพียงผู้เดียว หาใช่ไปเกลือกกลั้วกับหญิงแพศยาเช่นนั้น”


               “อย่าทำตัวน่าเบื่อหน่ายหน่อยเลยปะวะหล่ำ”


               แม่ย่าเฟื่องรุ้งในวัยย่างเข้าหกสิบ กิริยาท่าทางเฉยเมยใบหน้าแข็งกระด้างปราศจากรอยยิ้ม ดวงตาดุยามจ้อง

มองผู้คนจนใครที่สบตาด้วยก็พากันหวาดหวั่น ริ้วรอยรอบดวงตายิ่งทำให้เกรงขามเมื่อมันช่างรับกับคิ้วที่ขมวดเป็นปมอยู่

ตลอดเวลา แต่เฟื่องรุ้งกลับดูแข็งแรงจนเดาอายุจริงไม่ถูก


               “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบผู้หญิงน่ารำคาญ”


               สงบพระโอษฐ์ทันใดเมื่อได้ฟังเสียงดุจากแม่ย่า เจ้านางปะวะหล่ำทำได้เพียงตวัดสายพระเนตรค้อนควักด้วย

กิริยาที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็น


               “ว่าธุระของเจ้ามาปะวะหล่ำ”


               เจ้านางปะวะหล่ำกลับจริงจังขึ้นเมื่อหันไปทอดพระเนตรเฟื่องรุ้งอีกครั้ง


               “ข้ากลุ้มใจเรื่องอินทัช เมื่อไหร่ที่โอรสของข้าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียที”


               ร่องรอยหนักใจพาดผ่านดวงตาสีเหล็กของแม่ย่าเฟื่องรุ้งวูบหนึ่ง ใบหน้าดุเชิดสูงขณะกำลังใช้สมาธิเพ่งอะไร

บางอย่างครู่ใหญ่


               “อย่าเพิ่งหวาดหวั่นเรื่องบุตรให้มากนักระวังเรื่องของเจ้าเองดีกว่า ระยะนี้ดวงของเจ้ากำลังเข้าสู่จุดอับแสงจง

ระวังภยันตรายจะเกิดขึ้นแก่ตัวเจ้าเอง”


               เจ้านางปะวะหล่ำตระหนกขึ้นกับคำทัก สีพระพักตร์เผือดลงทันที


               “รุนแรงหรือไม่แม่ย่า จะเกิดเหตุอันใดกับข้ากันแน่”


               เฟื่องรุ้งมองท่าทางของเจ้านางสูงส่งพลางยกปลายนิ้วลูบไล้พระพักตร์ที่ตกแต่งสิริโฉมด้วยเครื่องประทินผิว

จนงดงามอ่อนกว่าวัยด้วยดวงตาวาววาม


               “เจ้าก็รู้ว่าข้าจะไม่ปล่อยให้คนของข้าได้รับเหตุอันใด”


               เจ้านางปะวะหล่ำทอดพระเนตรใบหน้าดุ ใบหน้าเผือดเปล่งสีฝาดพลางขยับกายเข้าใกล้และเอนซบพักตร์ไป

กับบ่าของเฟื่องรุ้ง


               “ข้ามั่นใจ แม่ย่าจะช่วยข้าอย่างเช่นทุกครั้งที่ข้าแก้ปัญหาไม่ตก”


               เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังจากลำคอลึก เฟื่องรุ้งยกยิ้มขณะเลื่อนมือโอบวรกายอวบอัดของเจ้านางปะวะหล่ำเข้า

มาชิดใกล้ ปลายนิ้วเหี่ยวย่นขยับปลดอาภรณ์โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เอ่ยปากห้าม


               “พร้อมจะจ่ายค่าตอบแทนให้ข้าหรือยังล่ะเจ้านาง”


               เจ้านางปะวะหล่ำดึงเสื้อผ้าอาภรณ์ออกจากกายเผยเรือนร่างขาวเนียนอวดสายตาวาววามพลางเบียดอกคู่ที่

ยังอวบอิ่มแม้วัยจะย่างกรายสี่สิบชันษาเข้าหาเจ้าของเรือนอย่างไม่อิดเอื้อน


               “ถึงแม้ไม่มีสิ่งต่างตอบแทน แม่ย่าก็รู้อยู่แล้วว่าข้าเต็มใจ”


               แม้ร่างกายจะผอมจนแทบปลิวลมแต่ยามนี้แม่ย่าเฟื่องรุ้งกลับมีกำลังวังชาเกินกว่าคาดเมื่อผลักให้วรกายอวบ

สล้างของเจ้านางปะวะหล่ำหงายหลังไปยังที่นอนแข็งกระด้าง ตาดุมองร่างหญิงสูงศักดิ์ที่นอนทอดกายให้อย่างคุ้นเคย

เฉกเช่นทุกครั้งที่มาเยือน ริมฝีปากแห้งผากจนต้องใช้ลิ้นแตะก่อนจะโน้มกายลงมากลืนกินพระถันจนกระเพื่อมตามแรง

ดีดดิ้นสยิวกายของเจ้านางปะวะหล่ำ พระพักตร์แดงซ่านปรือตาหวามไหวขณะแยกท่อนพระเพลาอวดจุดอ่อนไหวให้

นักบวชหญิงวัยชราได้เชยชมด้วยปลายนิ้วสัมผัสและแทรกมันเข้าไปในร่องหลืบจนเสียวสะท้าน


               “อา... แม่ย่า ข้าเสียวเหลือเกิน”


               เสียงครวญครางดังเร่าร้อน เจ้านางปะวะหล่ำปลดปล่อยอารมณ์ให้แม่ย่าเฟื่องรุ้งปรนเปรอและตักตวงตามใจ

ชอบ มันเป็นความสุขสมทางกามาที่หาไม่ได้จากผู้ใดแม้แต่เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ผู้เป็นพระสวามี



               เจ้านางปะวะหล่ำขยับอาภรณ์เข้าที่ขณะประทับนั่งอยู่ด้านในรถม้าเมื่อบ่ายคล้อย แก้วกุดั่นมองพักตร์อิ่มเอม

ของเจ้านายพลางขยับยิ้มอย่างรู้ใจ


               “มาหาแม่ย่าคราวนี้ เจ้านางคงตักตวงความสุขไปได้อีกหลายเพลานะเพคะ”


               “อย่าสู่รู้นักเลยแก้วกุดั่น”


              ตวัดพระเนตรปรามอย่างไม่จริงจังนัก


               “เจ้าก็รู้ว่าถ้าไม่มีแม่ย่า เราก็คงอัดอั้นตันใจ”


               “นั่นสิเพคะ หม่อมฉันเองยังอิจฉา นั่งรอเจ้านางอยู่หน้าห้องได้ยินแต่เสียงสุขสมจนอยากจะเข้าไปร่วมวงด้วย”


               “อยากหัวขาดเหมือนนังพวกร่านทั้งหลายที่มายุ่งกับแม่ย่าก็ลองดูสิแก้วกุดั่น แม้แต่เจ้าข้าก็ไม่เว้นโทษ”


               แก้วกุดั่นยิ้มแหยพลางลูบพระเพลาของเจ้านางปะวะหล่ำอย่างประจบ


               “โถ ทูนหัวของบ่าว หม่อมฉันมิกล้าดอกเพคะ หม่อมฉันรู้ดีว่าพระองค์กับแม่ย่าเป็นอะไรกัน”


               เจ้านางปะวะหล่ำเหยียดโอษฐ์อย่างสมเพชตนเอง คนเราก็ต้องแสวงหาความสุขด้วยกันทั้งนั้น และในเมื่อ

ความสัมพันธ์กับเจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ไม่ได้ดีเหมือนในสายตาชาวเมือง พระองค์ก็จำต้องหาความสุขใส่ตนเฉกเช่นคนทั่วไป

และแม่ย่าเฟื่องรุ้งก็มีสิ่งเหล่านั้นมอบให้จนล้นปรี่ แต่มันก็เป็นความลับสุดยอดที่มีเพียงแก้วกุดั่นเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้


               “ใช่แล้วแก้วกุดั่น แม่ย่าช่วยเหลือข้ามาหลายเรื่อง แม้แต่เรื่องที่ข้ามีลูกกับเจ้าพี่และกำจัดคนที่ขัดขวางการ

ขึ้นเป็นใหญ่ของข้า”


               ทั้งเกรงขามและหลงใหลไปกับนักบวชหญิง เจ้านางปะวะหล่ำยอมพลีกายให้แม่ย่าเฟื่องรุ้งแลกกับอำนาจ

และเกียรติยศที่ได้มาในวันนี้








               สุรเสียงของพระราชบิดาที่ว่าราชการอยู่กับเหล่าเสนาธิบดีทำให้เจ้าชายรัชทายาทอย่างเจ้าชายอินทัชธราธิป

ต้องขมวดพระขนงขบคิดตาม

               ทรงรู้ดีว่าด้วยวัยสิบแปดชันษาจะทำตัวเป็นเด็กไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเห็นพระเจ้าแผ่นดินที่แก้ไขปัญหาให้ชาว

บ้านอย่างห่วงใยพสกนิกร เจ้าชายอินทัชจึงอยากจะยึดเป็นแบบอย่าง แต่ด้วยปัญหาบ้านเมืองที่มีมากมายยากที่เจ้าชาย

อินทัชจะช่วยแก้ไข มีเพียงเรื่องเดียวที่พอจะเข้าท่าในความคิดของพระองค์


               “เราอยากช่วยเสด็จพ่อเรื่องโจรป่า มันเป็นเรื่องเดียวที่เราพอจะช่วยได้”


               ตรัสกับเพชรกล้านายทหารคนสนิทที่นึกยินดีเมื่อเจ้าชายอินทัชเริ่มสนพระทัยในงานแทนการเสด็จประพาส

ตามแต่พระทัย


               “อย่างที่หม่อมฉันเคยกราบทูล พวกมันอยู่ในหุบผากาฬสุดเขตชายแดน ไอ้พวกโจรเหล่านี้มันคอยปล้น

พ่อค้าวาณิชที่เดินทางสัญจรค้าขายต่างเมืองพะย่ะค่ะ”


               “เราอยากไปแถวนั้นอีกครั้ง ถ้าเราหาหุบผากาฬเจอเราจะกำจัดพวกมันได้อย่างราบคาบ”


               “เคยส่งทหารไปแล้วพะย่ะค่ะ แต่ไม่มีรอดกลับมา”


               เพชรกล้ากล่าวเสียงเครียด เจ้าชายอินทัชทรงนิ่งคิดก่อนจะตรัสออกมา


               “เราไปกันแค่สองคนก็พอเพชรกล้า ยิ่งคนเยอะยิ่งเสียเปรียบเราไปกันเงียบๆแล้วไปสำรวจลู่ทาง เชื่อเถอะว่า

เราต้องหาทางเข้าไปในหุบผากาฬได้”


               ด้วยเหตุนั้นในเช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าชายอินทัชและเพชรกล้าในเสื้อผ้าอย่างชาวพื้นเมืองจึงควบม้าเข้าไปในป่ากัน

เพียงสองคน อาศัยความคุ้นเคยที่ได้เข้ามาล่าสัตว์บ่อยครั้งทำให้เจ้าชายอินทัชไม่ได้นึกกลัวเกรง ทรงหมายมาดอยู่ใน

พระทัยขณะมุ่งหน้าไปยังเขตชายแดน


               “อัคคีแห่งหุบผากาฬ เราจะกำจัดเจ้าให้ได้ โทษฐานที่เจ้าตามมาหลอกหลอนเราแม้แต่ในความฝัน”
               





               ดวงตาคมจับจ้องปลาตัวใหญ่ที่แหวกว่ายอยู่ในกระแสธาร ร่างกายวัยหนุ่มเต็มไปด้วยมัดกล้ามท้าทาย

แสงแดดจนแผ่นหลังชื้นเหงื่อขณะยืนนิ่งรอโอกาส มือแกร่งกำด้ามฉมวกแน่นจนกระทั่งปลาเป้าหมายว่ายเข้าใกล้ อัคคี

จึงกลั้นใจแล้วแทงปลายคมลงไปทันที


               “ไม่พลาดอีกตามเคยนะ”


               ฟ้าฟื้นที่นั่งมองอยู่บนโขดหินไม่ไกลนักกระโดดลงมาเมื่อเห็นอัคคีชูปลายฉมวกที่มีปลาตัวใหญ่ดิ้นไปมา เจ้า

ตัวดึงปลาออกมาแล้วโยนใส่ข้องที่อยู่ริมฝั่ง ฟ้าฟื้นก้าวเข้ามาทรุดนั่งเคียงข้างกับอัคคีที่กำลังปิดฝาข้องเตรียมกลับ


               “ข้าอยากเก่งอย่างเจ้าบ้าง อัคคี”


               ดวงตาของฟ้าฟื้นมองอัคคีอย่างชื่นชมและหลงใหลอย่างไม่บิดบัง รสสวาทของอัคคีในคืนวันเพ็ญยังทำฟ้า

ฟื้นดื่มด่ำและกระหายใคร่ลองอีกไม่รู้เบื่อแม้จะเป็นครั้งแรกแต่อัคคีช่างเต็มไปด้วยพลกำลังและลีลาเร้าใจ เขาวางมือ

แนบไปกับแผ่นหลังคล้ำแดดแล้วลูบไล้ไปมา อัคคีมองอย่างเฉยชาพลางปัดมือของเพื่อนออกอย่างสุภาพ


               “ทำไมล่ะอัคคี”


               ฟ้าฟื้นมองอย่างตัดพ้อ


               “ข้าไม่อยาก เจ้าเป็นเพื่อนข้า”


               น้ำเสียงยิ่งเรียบเฉยสร้างความน้อยใจกับฟ้าฟื้นจนต้องส่งสายตาตัดพ้อ


               “เราเป็นมากกว่าเพื่อนกัน หรือเจ้าลืมไปแล้ว”


               อัคคีถอนหายใจ นึกโทษตัวเองที่ปล่อยให้ความต้องการครอบงำจนกระทำเรื่องเกินเลยกับฟ้าฟื้น เขาไม่

อยากจะโทษว่าเป็นเพราะฟ้าฟื้นเข้ามาปลุกเร้าอารมณ์จนกระทั่งยั้งใจไม่อยู่


               “ครั้งเดียว มันไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก ข้าอยากเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกับเจ้ามากกว่าจะเห็นเจ้าเป็นเครื่องระบาย

อารมณ์”


               ฟ้าฟื้นเตรียมจะโต้แย้งแต่ทั้งคู่ก็ต้องชะงักบทสนทนาเพราะได้ยินเสียงผิดสังเกตแว่วมาแต่ไกล อัคคีรีบผุดลุก

คว้าเสื้อสีดำและผ้าคลุมใบหน้ามาสวมใส่ก่อนกระโจนร่างขึ้นไปยังกิ่งไม้ใหญ่เพื่อใช้เถาวัลย์ช่วยส่งไปยังต้นเสียง

               อัคคีและฟ้าฟื้นหยุดนิ่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ต้นเหตุแห่งเสียงเป็นชายแปลกหน้าสองคนที่บังคับม้าให้

เดินย่างอยู่บนพื้นดินใต้ล่าง ดวงตาของอัคคีลุกวาบเมื่อเห็นหนึ่งในสองแม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในอาภรณ์แปลกตา


               เจ้าชายอินทัชธราธิป!


               ช่างกล้าเหลือเกินที่มาเยือนถึงถิ่น หัวใจของอัคคีกระพือปีกต้อนรับ เขาหันไปหาฟ้าฟื้นทันที


               “ฆ่ามันเลยไหมที่บุกรุก”


               ฟ้าฟื้นถามเสียงกระซิบ อัคคีรีบส่ายหน้า


               “รีบร้อนฆ่าทำไม เล่นสนุกกับพวกมันเสียก่อนสิ”


               “เล่นสนุกอย่างไร”


               ฟ้าฟื้นขมวดคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ


               “ล่อมันไปคนละทาง หลอกให้พวกมันหลงกันแล้วค่อยกำจัด”


               เพื่อนสนิทกรอกตาคิดตามแล้วฟ้าพื้นก็ยักไหล่


               “เอางั้นก็ได้ งั้นเราจะหลอกไอ้คนขี่ม้าขาวเอง”


               “ไม่ได้!”


               อัคคีเสียงเข้มโดยไม่รู้ตัว


               “คนขี่ม้าขาว ข้าจะจัดการเอง”


               ว่าแล้วก็กระโดดลงจากกิ่งไม้อย่างรวดเร็วเมื่ออาชาสีขาวย่างมาใต้ต้นไม้ อัคคีทิ้งร่างลงไปพอเหมาะซ้อน

หลังอยู่บนอาชาตัวเดียวกับเจ้าชายอินทัชที่ยังไม่ทันตั้งตัว เขากระแทกส้นเท้าเข้าใส่สีข้างของม้าขาวปลอดจนมันตกใจ

แล้ววิ่งเตลิด เพชรกล้าตกใจแทบสิ้นสติเขาเตรียมจะบังคับม้าตามไปแต่กลับต้องร่วงลงจากหลังม้ากระแทกพื้นเมื่อมีใคร

อีกคนกระโดดตามลงมาจากต้นไม้
               


                               ------------------ โปรดติดตามตอนต่อไป---------------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-08-2015 17:28:31 โดย Belove »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 o13.  เย้. เจอกันแล้วนะอัคคี
เดาว่าไม่นานจะรู้ว่าเป็นฝาแฝดกัน.
แอบอึ้งกับอายุแม่ย่า.  :hao7: 

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
โอ้ ...มีญ-ญด้วย   ครบทุกรสชาติและอารมณ์เลยค่ะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
สาเหตุความแค้นน่าจะเริ่มมาจากความมักใหญ่ใฝ่สูงของพระมเหสีแม่สองแฝดแน่ๆเลย  :m16: ไหนๆฝาแฝดเค้าก็จะได้กันเองอย่างนั้นก็ให้เพชรกล้าคู่กับฟ้าฟื้นแล้วกันเนาะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โห มีแม่ย่านิยมหญิงด้วยอ่ะ หลากหลายมากจริงๆ
แอบคิดเหมือนกัน ว่าจะได้อีกคู่รึเปล่า

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ยูริก็มา =[]=;
ลักพาตัวไปซึ่งๆ หน้าเลยแฮะ 555

ออฟไลน์ SOO2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อุ้ย เจอกันแล้วอ๊ะ กรี้ดดดด :-[
อัคคีอินทัช ๆๆๆๆ :z1:
มีกี่คู่กันเนี่ย อรั้ย เริ่มฟินเบาๆ 555
มาต่อๆ รออออ o13

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
เมื่อไหร่คู่คุณพ่อจะเจอกันบ้างงงงง

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
รุ่นใหญ่เสียเลือดไปหลายยกแล้ว
คราวนี้ล่ะถึงรุ่นลูกแล้ว อิอิ
รักสามเศร้าทั้งรุ่นใหญ่รุ่นเล็กแน่ๆๆเลย

ออฟไลน์ vamo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกค่ะ..ชอบแนวนี้มาก
 o13 o13 o13
มาต่อเร็วๆนะ
รอค่ะ :katai4: :katai4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด