…ฝากเอาไปคืนเขาที…
ผมเป็นเฟรชชี่ น้องใหม่ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดที่อยู่ระหว่างภาคเหนือตอนล่างกับภาคกลางตอนบน ซึ่งถามคนที่นั่น เขาก็บอกไม่ได้ครับว่าสรุปมันจะภาคเหนือหรือมันจะภาคกลางดี...แต่เอาเถิด เพราะยังไงหากมีคนมาถามว่าผมเรียนอยู่ที่ไหน ผมคงไม่ตอบเขาไปแบบนี้แน่ๆ บอกชื่อจังหวัดไปไม่ง่ายกว่าหรือ? จริงไหมครับ
ที่เกริ่นมานี่ไม่มีอะไรหรอก แค่จะบอกว่าวันนี้เป็นวันแรกของการทำกิจกรรมสำหรับน้องใหม่ครับ เราเรียกมันว่าบีกินนิ่งแคมป์
แม้ว่าพวกผมจะเพิ่งหัวถึงหมอนได้ไม่เท่าไร...เพราะรูมเมทของผมมัวแต่ทำกิจกรรมกระชับมิตรกันเนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกที่ย้ายเข้าหอ...พอนาฬิกาบอกเวลาตีสามกว่าๆ เสียงกลองพร้อมกับเสียงร้องเพลงของพวกรุ่นพี่ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ ผมและรูมเมทอีกสามคนที่กำลังเคลิ้มๆ ก็สะดุ้งตื่นแทบจะพร้อมกันทันที และยิ่งสะดุ้งหนักขึ้นไปอีกเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังสนั่นหวั่นไหวรัวมาไม่มีหยุดพัก
“ใครไม่ตื่น เดี๋ยวเจ๊จะไขเข้าไปฮ้าาาา” ผมได้ยินเสียงห้องฝั่งตรงข้ามตะโกนออกมาว่า “อย่าพี่...ผมตื่นกันทั้งหอแล้วเนี่ย”
“แหม...ตั้งใจว่าจะไขเข้าไปอยู่แล้วเชียว เร็วๆ นะตัวเอง จะบอกว่าเจ๊มีกุญแจสำรองทุกห้องนะคะ!”
"โอ๊ยยย กลัวแล้วครับเจ๊! ได้โปรดอย่าใช้มันเลยครับ!" ผมขยี้ตาแล้วแอบขำเบาๆ กับบทสนทนานั้น
“แม่ง...กูยังไม่ทันได้หลับเลย จะอะไรกันนักหนา” บอลรูม เมทเตียงฝั่งตรงข้ามกับผมบ่น หลังจากจบกิจกรรมรูมเมทสัมพันธ์ หมอนี่มันก็มัวแต่นั่งแชทกับสาวต่อครับ เขาปิดไฟนอนกันแล้วแท้ๆ มันยังสามารถ
“สมน้ำหน้า” เอก รูมเมทเตียงฝั่งซ้ายผมว่า บอลมันไม่เถียงแต่กลับเอาหัวซุกหมอน ทำท่าจะนอนหลับต่อ
“แล้วนั่นมึงจะทำอะไร” หลังจากที่เอกมันทำสีหน้าเยาะเย้ยใส่บอลแล้ว มันก็หันมาถามผมที่กำลังเดินเอาผ้าขนหนูพาดบ่าเข้าห้องน้ำ ที่จริงผมกะล้างหน้าให้ตาสว่างเฉยๆ ไม่ได้กะอาบน้ำหรอกครับ บอกตามตรงว่าเพิ่งอาบไปเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี่เอง...
ผมบอกหน้าตาย “อาบน้ำ” เท่านั้นแหละเสียงโห่ร้องก็ดังกระหึ่มขึ้นมา “ไอ้ลูกคุณหนูเอ๊ย...มึงแค่ล้างหน้าแปรงฟันก็พอแล้วมั้ง!” โห่ววว กูก็แกล้งให้พวกมึงด่าไปงั้นเองแหละ!
.
.
.
.
ตอนนี้เฟรชชี่ปีหนึ่งทุกคนต่างทยอยเดินออกมาจากหอพักเพื่อมารวมกันอยู่หน้าโรงอาหารหอใน บ้างทำหน้าเบื่อหน่าย ง่วงนอน จะมีส่วนน้อยที่ดูสนุกสนาน ย้ำครับว่าน้อย...และอย่างที่คุณรู้ หนึ่งในส่วนน้อยนั้นก็ไม่มีผม...
รุ่นพี่ยังคงร้องเพลงตีกลองกันอย่างเมามันและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ผมนึกทึ่งกับเพลงกางเกงใน แล้วก็ยกทรงเอบีซีอะไรของพวกเขา ยังไม่พอแน่ะ มีแป้ง จอห์นสัน โคโดโมะอะไรอีก พวกเมทสามคนนั้นมันก็แยกย้ายกันไปหาพวกเพื่อนในเอกของมัน แล้วทิ้งผมไว้คนเดียวให้เสียวเล่นๆ...อย่าถามว่าเสียวอะไร ผมก็แต่งให้มันคล้องจองไปเท่านั้นล่ะครับ
‘พวกมึงทิ้งกูวววว’ ผมโวยวาย พวกมันก็โบกหัวผมด้วยความสนิทสนมไปคนละที
‘ไปหาเพื่อนมึงโน่นไป’ ไอ้วินมันไล่ (เมทคนสุดท้ายครับ)
‘ก็กูไม่มีนี่’
‘มึงก็หาซะสิน้องเพชร พวกกูไปล่ะ ถ้าโชคดีอาจได้อยู่บ้านสีเดียวกันนะเว้ย’ หลังจากมันพูดจาโหดร้ายใส่แล้วมันก็ยังอุตส่าห์ปลอบใจ
‘อย่างอแงครับมึง ไปหาเพื่อนคุยไป’ แล้วพวกมันก็พากันลูบหัวผมคนละทีแล้วเดินจากไป...พวกมันแม่ง! คงเห็นผมเป็นลูกหมาสินะ!
นั่นแหละเหตุผลที่ผมต้องมานั่งง่วงเหงาหาวนอนแต่เพียงลำพังอย่างนี้ ผมเป็นคนคุยไม่ค่อยเก่ง ดังนั้นการผูกมิตรกับใครจึงค่อนข้างยากเป็นพิเศษ...แต่กับพวกเมทของผมนั้น ทั้งสามคนสามารถฝอยน้ำลายแตกฟองได้ทั้งวัน ขนาดจับเรื่องนั้นมายำใส่เรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเดียวกันก็ได้อีกด้วย! ผมนี่นั่งฟังจนปวดหูอ่ะครับ
ขณะที่มัวแต่นึกไปถึงเรื่องสัพเพเหระ และเนื้อหาของเพลงสันทนาการซึ่งทะลุผ่านหูซ้ายเข้ามา ก็ทำให้ผมต้องจังงังกับเนื้อเพลงที่ไม่ค่อยจะมีความเกี่ยวข้องกันเท่าใด...จนลืมไปว่าตอนนี้กำลังต่อแถวเอาป้ายชื่ออยู่
“นายๆ ตานายแล้ว” ผู้หญิงที่ต่อหลังผมสะกิดเตือน
“อ้อ...โทษทีนะ” ผมหันไปบอกเธอ เอ้อ...ผู้หญิงเดี๋ยวนี้สูงจังนะ เรื่องนี้แอบทำผมเครียดเบาๆ
“ชื่อไรเราน่ะ” รุ่นพี่ที่นั่งเขียนป้ายรายชื่ออยู่เงยหน้าขึ้นมาถามผม แววตาฉายประกายวาววับประหลาด
“เพชรครับ” พี่แกยิ้ม
“หน้าตาอย่างนี้เอาสีชมพูไปดีกว่า บ้านเดียวกันเดี๋ยวพี่ดูแลเอง อิอิ”
“เอ่อ...”
“เป็นอันว่าตกลง...น้องเพชร...สีชมพู อิอิ” พูดจบก็ก้มลงไปเขียน แต่ยังไม่วายหัวเราะเสียงประหลาดๆ ให้ผมได้ยิน...เอ่อ ผมชักเริ่มกลัวเขาเสียแล้วสิ
รุ่นพี่คนที่ว่าส่งยิ้มประหลาดให้พร้อมทั้งยื่นป้ายด้านที่ว่างเปล่าให้
พอผมพลิกดูป้ายชื่อเท่านั้นแหละ เอิ่ม...N’ เพชราภา
คืออะไรครับ? ชื่อป้าๆ แบบนี้คือใคร...มันไม่ใช่ป้ายชื่อผมใช่ไหม?
ครั้นจะกลับไปให้เขาแก้ให้ก็สายไปเสียแล้ว…เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่รุมล้อมเขาจนผมแทรกตัวเข้าไปหาไม่ได้ ก็เลยต้องจำใจแบกรับชื่อนี้ต่อไป...
N’ เพชราภา.
.
.
.
“นี่”
“นี่...ตื่นเถอะ”
“อืม...ขอนอนอีกแป๊บนึง” ผมบอก เพราะรู้สึกว่ายังนอนไม่เต็มอิ่มเลย คล้ายว่าเสียงกลองเพิ่งจะเงียบไปด้วยซ้ำ
“เขาให้เรากินข้าวเช้าแล้วนะ เสร็จแล้วจะพาเข้าโดม” เสียงนั้นบอก...เสียงใคร? ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นโคโลญจน์เย็นๆ ที่ลอยมาแตะจมูก
หือ...? แผ่นหลังของใคร?
ผมค่อยๆ นั่งตัวตรงหลังจากสำนึกได้ว่า ความง่วงนอนช่างทำงานประสานกับแรงโน้มถ่วงได้อย่างดีเยี่ยมและมันกระตุ้นให้ผมต้องแนบใบหน้าอิงซบกับแผ่นหลังของใครบางคนเข้า
“อะ....เอ่อ ขอโทษทีนะครับ” โอ๊ย...น่าอายเป็นบ้า!
อีกฝ่ายหันหน้ามาพร้อมกับฉีกยิ้มส่งให้ผม..."ไม่เป็นไรครับ”
ลักยิ้มบุ๋มที่แก้มซ้ายกับแว่นสายตาไร้กรอบนั้น ทำให้ผมแทบจะเป็นลม รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จนอยากบอกเขาเหลือเกินว่า...อย่ามองด้วยสายตาล้อเลียนแปลกๆ แบบนี้สิ...ผมใจไม่ดี
คุณเชื่อเถอะ ว่าไม่มีใครอยากจะนอนหลับพิงแผ่นหลังผู้ชายด้วยกันหรอกครับเพราะมัน...
น่าอายเป็นบ้าเลย...
.
.
.
.
หลังจากรุ่นพี่แจกข้าวกล่องให้ ผมก็ลงมือทานทันทีด้วยความหิวโหย...ผมไม่เข้าใจว่าจะรีบปลุกพวกผมขึ้นมาทำไมกัน ทั้งๆ ที่เวลาทำกิจกรรมหลักก็ตอนฟ้าสว่างแล้วแท้ๆ
หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกพี่ๆ ก็พาปีหนึ่งเดินจากหน้าหอในไปยังอาคารอเนกประสงค์หรือที่พวกเขาเรียกกันว่าโดม ซึ่งก็ไกลพอสมควรและยังร้อนมากอย่างไม่น่าให้อภัยอีกต่างหาก ผมคิดว่าระยะทางไม่ใช่ปัญหา ความร้อนของอากาศก็ไม่ใช่เช่นกัน...ที่มันเป็นปัญหาน่ะ...คือคนข้างหลังผมต่างหากครับ
“ไม่ต้องพัดให้ผมก็ได้ ผมทนได้ครับ นายพัดของนายไปเถอะ” ผมหันไปบอกคนที่เดินอยู่ด้านหลังผม ซึ่งกำลังถือพัดยี่ห้อบริษัทประกันชีวิตบริษัทหนึ่ง พัดให้ผมอยู่ขณะนี้...ครับ ผมกับเขาอยู่บ้านสีเดียวกัน...สีชมพู คนเดียวกันกับที่ผมนอนหลับพิงหลังเขานั่นแหละ...คนนั้นเลยครับ
เขาส่งยิ้มสว่างไสว หยุดมือที่พัดให้ผมก่อนจะดันไหล่ผมให้เดินหน้าต่อไป เมื่อเห็นว่าผมหยุดเดิน แล้วทำให้เพื่อนๆ ที่เดินตามหลังมาต้องหยุดชะงักไปด้วย “ผมเห็นคุณร้อน เหงื่อออกเยอะขนาดนี้” ที่นี่อากาศร้อนจริงๆ ครับขนาดว่ายังอยู่ในช่วงเช้าแท้ๆ แดดแรงเหมือนว่านี่ตอนเที่ยงหรือบ่ายโมงตรง
“เอ่อ...ผมไม่เป็นไรจริงๆ แค่ร้อนนิดหน่อยเองครับ” ทางเดียวที่จะทำให้รอดพ้นจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนเช่นนี้ก็คือต้องโป้ปดไปครับ บอกตรงๆ แม้ว่าผมจะร้อนมาก แต่ผมอายคนเขามากกว่า...มีแต่คนมองแล้วหันหน้าไปซุบซิบกัน...เป็นคุณคุณจะทำยังไงล่ะ?
“ไม่เป็นไร...ผมอยากทำให้น่ะ” เอ่อ...นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้ชายเขาทำกันใช่ไหมครับ?
ไม่รู้ทำไมดันรู้สึกว่าอุณหภูมิบนใบหน้าผมมันร้อนขึ้นแปลกๆ หากก็ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่เดินเว้นระยะห่างจากเขาออกมาเท่านั้น พร้อมกับได้ยินเสียงหัวเราะหึหึในลำคอของเขาลอยตามลมมาเบาๆ...
แปลก...ที่ดันรู้สึกว่าภายในใจมันสั่นไหวอย่างไรชอบกล
.
.
.
.
พิธีบายศรีสู่ขวัญทำให้ผมเคลิ้ม...หลังจากเข้าโดมมาได้ไม่ทันไร เมื่ออธิการฯ และรองอธิการฯ กล่าวอะไรสักอย่างผมก็เริ่มรู้สึกว่าโลกนี้ชักไม่มั่นคง หัวผมเหมือนถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงให้หมุนไปมา จึงได้แต่พยายามต้านทานแรงดึงรั้งอันหนักหน่วงนั้นอย่างเต็มกำลัง หากความพยายามของผมคงจะมีไม่มากพอ ถึงได้รู้สึกว่าทุกอย่างมันวูบลงไป ก่อนจะสัมผัสได้ถึงความมั่นคง เมื่อศีรษะไปแปะเข้ากับอะไรบางอย่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ผมก็ตัดสินใจได้แล้วว่าคงต้องเป็นไงเป็นกัน ครั้งนี้ผมคงต้องขอยอมแพ้...แต่ครั้งหน้าผมไม่มีทางจะพ่ายแพ้เด็ดขาด!
“หึหึ” คล้ายจะได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอคุ้นๆ มาจากไหนสักแห่ง แต่ผมก็เลิกสนใจมันไป แล้วทำตามความตั้งใจดั้งเดิม...นอนหลับครับ
แรงสะกิดที่แขนทำให้ผมรู้สึกตัว ในหัวยังมึนๆ เพราะนอนไม่เต็มอิ่ม
“ขี้เซาจังนะครับ” ผมเงยหน้าจากไหล่ที่ซบ มองหน้าคนใจดีที่ให้ผมยืมไหล่ แล้วก็ต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง...เอาอีกแล้ว...ผมทำเรื่องน่าอายอีกแล้ว
“เขาจะเริ่มทำพิธีบายศรีสู่ขวัญแล้วนะครับ ต้องขอโทษด้วยที่ผมปลุกคุณในระหว่างที่กำลังหลับสบาย” เขาบอกเสียงนุ่ม แต่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ทันที ว่าเขากำลังขำผมอยู่…ไม่ดีเลยแบบนี้...เพราะหัวใจผมคงต้องทำงานหนักอีกแล้ว
.
.
.
.
ตลอดวันนั้นทั้งวันผมไม่ได้คุยอะไรกับใคร...นอกจากเขา เพราะผมได้ที่นั่งติดทางเดิน ส่วนเขา....ก็นั่งถัดจากผม น่าแปลกที่ผมและเขาต่างก็ไม่ได้ถามชื่อกัน ผมไม่เคยคิดจะถาม เขาเองก็อาจจะด้วย
มันจะแปลกหรือเปล่านะ...ถ้าเราคุยกันโดยไม่รู้จักชื่อของกันและกัน...ผมละความพยายามที่จะถามชื่อเขาหลังจากที่ความรู้สึกแปลกๆ ตีรวนขึ้นมาจากภายในใจ
แค่คิดจะถามชื่อเขา...ผมก็ไม่กล้าแล้ว ไม่แน่ใจว่ามันจะผิดจุดประสงค์จากค่ายรับน้องของมอไปมากน้อยเพียงใด...แต่อย่างน้อยผมก็ยังได้รู้นะว่ามีเพื่อนร่วมมอแบบนี้อยู่...
แค่นี้ก็ดีแล้ว...
ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คนใจดีที่นั่งข้างๆ กัน
.
.
.
.
หลังจากผ่านค่ายสองวันนั้นไป ทุกอย่างก็เป็นปกติ ผมใช้ชีวิตของผมไป ส่วนเขาก็คงไม่ได้ต่างกัน...และที่น่าประหลาดใจ แม้จะเรียนอยู่มอเดียวกัน แต่ผมก็ไม่เคยได้เจอเขาอีกเลย
จนเวลาล่วงเลยมาสองเดือนแล้วหลังจากวันนั้น จะว่าเป็นเรื่องราวอันน่าอับอายของผมก็ได้ แต่แปลกที่ผมกลับนับว่ามันเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีเช่นกัน วันนั้นแม้ผมจะหลับๆ ตื่นๆ เพราะมีคนคอยสะกิดเตือนทุกพิธีการสำคัญๆ ตลอด หากก็รู้สึกได้ถึงความขลังของพิธีจนทำให้ผมต้องขนลุกซู่และรู้สึกดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้ สถานที่ที่จะเป็นเสมือนบ้านอีกหลังหนึ่งที่ทำให้ผมได้รู้จัก ได้รัก และได้เรียนรู้ ที่แห่งนี้ที่ผมจะได้ใช้ชีวิตตลอดระยะเวลาสี่ปีของผม...
.
.
.
.
วันนี้หลังจากซ้อมบูมของเอกเสร็จ ผมก็ตรงดิ่งหาร้านข้าวที่โรงอาหารหน้าหอในทันที ร้านข้าวทุกร้านปิดเกือบหมดแล้ว ผมถอนหายใจเฮือก นั่นสินะ ตอนนี้สามทุ่มแล้วนี่นา ขณะที่ถอนสายตาจากนาฬิกาเรือนโปรด หางตาผมก็เหลือบไปเห็นร้านข้าวร้านหนึ่งซึ่งเปิดอยู่ ขอบคุณสวรรค์! ปกติผมจะออกไปหาข้าวกินที่หลังมอหรือซื้อบะหมี่มาต้มกินที่หอโดยแบ่งกันกินกับรูมเมทผู้หิวโหยนามว่าวิน ทว่าวันนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะขี่รถออกไปหาข้าวกินที่หลังมอจริงๆ
ผมเดินไปที่หน้าร้าน ล็อก F11 ซึ่งขายข้าวมันไก่ ไก่อบ หมูอบและข้าวหมูแดง
“วันนี้เลิกดึกเลยนะจ๊ะ เอาอะไรเอ่ย” ป้าคนขายชวนคุย
“ครับ...ผมเอาข้าวหมูอบ” ผมยิ้มให้ป้าเขา...จริงๆ แล้วผมก็เลิกเวลานี้ทุกวันนะครับป้า...
“ได้แล้วจ้า”
“ขอบคุณครับ” ผมจ่ายเงินแล้วก็รับจานข้าวมา เดินไปลวกช้อนแล้วตรงไปหาที่นั่งที่อยู่ติดระเบียงซึ่งมองเห็นอ่างน้ำขนาดใหญ่ แม้จะมืดหากก็ระยิบระยับด้วยแสงไฟยามค่ำคืน ตรงนี้ลมเย็นดี...ผมชอบครับ แม้ว่าผมจะต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้คนเดียวก็ตามเถอะ
ต้องขอโทษไอ้วินรูมเมทด้วยจริงๆ ที่วันนี้มันจะเกาะผมกินอีกไม่ได้แล้ว
ผมนั่งกินไปเรื่อยๆ พร้อมกับชมบรรยากาศยามค่ำคืนไป...ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ระบมน่ะแข้งขาปวดเมื่อยไปหมด ยิ่งเวลาต้องไปเรียนที่อาคารเรียนรวมแล้วมีตัวที่เรียนชั้นสี่ ผมนี่แทบคลานเข่า...คาดว่าอีกไม่นานก็คงชินครับ กับความร้าวระบมนี้
“ขอผมนั่งด้วยคนนะครับ” ...เสียงทุ้มดังขึ้นในระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมเงยหน้ามองเขา...ใส่แว่นแบบนี้
รอยยิ้มเหลือร้ายพร้อมกับลักยิ้มบุ๋มที่แก้มซ้ายแบบนี้...เป็นเขา...
เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
“ได้ไหมครับ” เขาถามย้ำอีกครั้ง พร้อมกับวางจานข้าวลงที่ฝั่งตรงข้ามผม แล้วนั่งลงโดยไม่รอฟังคำอนุญาตจากผม
“ครับ” ผมไม่รู้ว่าเขาจะมองหน้าผมไปอีกนานเท่าไร เลยได้แต่นั่งก้มหน้ามองข้าวในจาน แล้วก็รู้สึกว่าชักจะอิ่มขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่เพชร...นายไม่รู้สาเหตุจริงๆ หรือ? ผมได้แต่ถามตัวเองในใจ
หากก็ชักเริ่มหน้าร้อนไม่ไหวแล้ว...สุดท้ายผมก็เลยบอกเขาแบบอ้อมแอ้มๆ ไปว่า ผมต้องรีบกลับไปทำการบ้านก่อน จากนั้นก็รีบถือจานข้าววิ่งออกมาทันทีเลย
ผมรีบ...ถึงขนาดไม่ได้มองหน้าเขาด้วยซ้ำไป
.
.
.
.
“คุณครับ...เดี๋ยวครับ” ในขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าหอไปเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าเขาได้เรียกผมไหม ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป
“คุณ...เดี๋ยวก่อน คุณลืมป้ายชื่อไว้หรือเปล่าครับ” เสียงนั้นหายใจปนหอบ ดูท่าทางแล้วคงรีบวิ่งตามใครออกมา
“...” ผมหยุดเดินแล้วก้มลงมองที่อกเสื้อ ก่อนจะนึกได้ว่าตอนไปซ้อมบูมผมไม่ได้คล้องป้ายไปนี่นา งั้นคนที่เขาเรียกคงไม่ใช่ผมหรอก แอบรู้สึกผิดหวังเล็กๆ แต่ก็เท่านั้นแหละ...
“คุณเพชราภา” ผมรีบหันขวับ!
“ผมไม่ได้ชื่อเพชราภา!!” อา...ปากไวไปแล้วเรา
เขาวิ่งมาดักหน้าผมไว้ แล้วยื่นของที่อยู่ในมือของเขาให้ผมที่ขณะนี้กำลังยืนงงว่าเขาเล่นอะไรของเขา
“คุณลืมไว้น่ะครับ” เขาบอก...ผมจึงจำต้องเพ่งมองสิ่งนั้นดีๆ อีกครั้ง มันเป็นป้ายเด็กคณะแพทย์
“ไม่ใช่ของผมครับ ผมไม่ได้พกป้ายไป อีกอย่างผมไม่ได้เรียนแพทย์ด้วย”
“อ้าวเหรอครับ...งั้นผมฝากไปคืนเจ้าของเขาที” อีกฝ่ายยัดป้ายใส่มือผมเป็นการมัดมือชก
“เอ่อ...คือผม” ทำไมคุณไม่เอาไปคืนเขาเอง...
“นะครับ” น้ำเสียงที่ใช้บอกกับผม เหมือนเขาจะอ้อนยังไงไม่รู้ หรือผมคงรู้สึกไปเอง
“เฮ้อ แล้วผมจะหาเขาเจอได้ยังไงกัน”
“ต้องเจอแน่ๆ” เขาบอกแค่นั้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มเจิดจ้ามาให้ผม
“แล้วเจอกันนะครับ” ทั้งๆ ที่คำพูดก็ออกจะธรรมดาเช่นตอนที่ไอ้วินพูดกับผมก่อนมันจะกลับบ้านทุกวันอาทิตย์ แต่ทำไมผมถึงต้องแอบลอบยิ้มกับตัวเองด้วยนะ แถมยังใจสั่นไหวแปลกๆ อีกต่างหาก...ไม่ค่อยเข้าใจเลย
“อืม...” โบกมือลาเขาแล้วกลับมามองป้ายชื่อในมือ ‘ N’เอส ’ พอพลิกดูข้างหลังป้ายคล้องคออันนั้นกลับมีข้อความเล็กๆ เขียนว่า
08x-xxx-xxxx คืนเจ้าของรบกวนโทรฯ กลับที่เบอร์นี้นะครับ : ) อา...แบบนี้ผมควรโทรฯ ไปหาเจ้าของป้ายนี้ดีหรือเปล่า...?
เขียนมันขึ้นมาได้หลังจากที่เรื่องอื่นๆ ตื้อๆ ค่ะ ไม่แน่ใจว่าจะมีคนอ่านหรือเปล่าเนอะ รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนรับน้อง
จำรายละเอียดอะไรไม่ค่อยได้แล้วเพราะผ่านมาหลายปีแต่ความรู้สึกขลังนั้นยังจำได้ดี อิอิ
จำได้ว่าตอนนั้น เรานั่งดูเด็กแพทย์ที่นั่งทำกิจกรรมข้างๆ กัน นั่งคุยกันมุ้งมิ้งกรุ้งกริ้งแล้วมันกร๊าวใจพิลึก
อยากเอากล้องขึ้นมาถ่ายแต่กลัวเขาหาว่าบ้า ก็เลยได้แต่จำไว้เพียงในใจ
อย่างให้มันเป็นอะไรที่ละมุนละไมนะแต่ทำไมมันแบปกๆ แทนล่ะ = =
ขอบคุณที่สละเวลาค่ะ (หรือจะไม่มี 555)