Sweet Sin
บาปหวาน
ออม
ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
บ้านไม้กึ่งปูนหลังเล็ก ๆ รายล้อมไปด้วยสวนเงาะ และทุเรียน สวนที่เคยมีความสุข เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ถึงแม้จะมีเสียงบ่นของผู้เป็นแม่บ้างบางคราว แต่ก็นับว่ามันเป็นความสุข
ผู้คนมากหน้าหลายตา บางคนก็คุ้นเคย บางคนก็เป็นคนแปลกหน้าเดินกันไปมาเต็มบ้านผมไปหมด ผมมองผู้คนเหล่านั้นพูดคุยถามไถ่ แสดงความสนิทสนมเป็นภาพที่ดูน่าประทับใจ แต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์นั้น
สายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ผม มันเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ สงสารและเศร้าสร้อย
“ออม พระมาแล้วลูก” ผมเงยหน้ามองลุงธรด้วยความสงสัย พระมาแล้วยังไงกัน ด้านหลังลุงธรเป็นมะยมลูกชายคนโตที่หน้าตาหล่อเหลาถอดแบบพ่อมาไม่มีผิด และถัดจากมะยมไปด้านหลังเป็นขบวนพระสงฆ์
“ไม่เป็นไร” ลุงธรยิ้มให้ผมอย่างใจดีที่เห็นท่าทางเงอะงะของผม ก่อนจะหันกลับไปจัดการธุระด้วยตนเอง “มนต์ทางพี้คับ”
สำเนียงภาษาถิ่นที่ออกจากปากลุงธรช่างขัดกับหน้าตาของเจ้า ตัวแต่ผมไม่คิดจะบอกให้ลุงธรรู้ว่าผมชอบเวลาลุงธรพูดอีสาน
“ทำอะไรเป็นบ้างเนี่ย” มะยมชักสีหน้าใส่ ก่อนจะเดินตามพ่อตัวเองเข้าไปในตัวบ้าน ผมถอนหายใจกับคำตำหนิของมะยม
แม้ฝ่ายนั้นจะเด็กกว่าผมตั้ง 5 ปี แต่ก็ดูโตเกินไว จริง ๆ มะยมก็ดูโตสมวัยเขานั้นแหละ มีแต่ผมเองที่ยังคิดอะไรเป็นเด็ก ๆ แต่มันก็ใช่ความผิดผมที่ไหนล่ะ เพราะพ่อกับแม่ เลี้ยงผมมาแบบนี้
ตามใจและไม่ยอมให้ยุ่งกับงานในสวน
“เข้าไปนั่งฟังพะเพิ่นสวดแมะหล้า” ผมพยักหน้ารับ ยิ้มให้ฝ่ายนั้น ที่ผมเองก็ไม่รู้จัก คุ้นหน้าว่าเป็นเพื่อน ๆ ของพ่อ ก่อนจะเดินตามเพื่อนบ้านเข้าไปในบ้านตัวเอง
บ้านที่ความหมายมันฟังดูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ไฟประดับกระพริบให้แสงสว่างดวงเล็ก ที่ประดับโยงโลงศพกลางบ้าน สวยงามเหมือนไฟประดับต้นคริสมาสต์ แต่มันช่างดูหดหู่ เมื่อคิดว่าร่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ในนั่นเป็นคนที่เรารู้จัก เป็นใครสักคนที่เรารัก หรือคนในครอบครัว
ผมในวัยเพียง 25 ปีต้องมาเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่
รถกะบะที่พ่อขับ มีแม่และน้องชายเป็นผู้โดยสาร ทั้งหมดเพิ่งกลับมาจากส่งผลไม้ลอตแรกของปีที่ตลาดขายส่งในเมือง คนขับรถบรรทุกที่เสพยาเสพติดเกิดอาการเมายาจนควบคุมรถไม่ได้ ทำให้รถพุ่งข้ามเลนมาชนกับรถพ่อของผม และเหตุการณ์นั้นส่งผลให้ครอบครัวของผมทั้งหมดเสียชีวิตคาที่
ผมได้แต่คิดว่าก่อนตาย พวกเขาจะทรมานหรือเปล่า หรืออาจจะสิ้นใจโดยที่ไม่รู้สึกเจ็บปวด ผมได้แต่ภาวนาให้เป็นอย่างหลัง
เพราะความเจ็บปวดมันทรมาน เหมือนผมที่มันเจ็บในอก
ความไม่ยุติธรรมในครั้งนั้นก็คือ คนขับรถคันนั้นกลับรอด พวกเขาผิดอะไร พ่อแม่และน้องชายผมผิดอะไร ทำไมถึงใจร้ายพรากเขาไปจากผม ทำไมคนที่ตายไม่ใช่คนขับรถบรรทุกนั่น
“ไม่เป็นไร ลุงจะอยู่ข้าง ๆ ออมเอง” ลุงธรกระซิบเสียงเบา ท่ามกลางเสียงสวดของพระสงฆ์ตรงหน้า พร้อม ๆ กับที่มะยมเป็นผู้ทำพิธีแทนผมทั้งหมด
ถ้าไม่มีลุงธรกับมะยม ผมเองก็ไม่รู้จะเริ่มสะสางเรื่องราวตรงหน้านี้ด้วยตัวเองยังไง
ผมมองช่องบรรจุอัฐิใต้โบสถ์ที่เรียงรายโดยรอบ มันเป็นบ้านหลังสุดท้าย เป็นที่ ๆ สักวันหนึ่งคนในหมู่บ้านก็ต้องมาอยู่กันตรงนี้ มันเป็นช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าใหญ่กว่าฝ่ามือผมนิดเดียว
มะยมกับลุงธรช่วยกันฉาบปูนปิดช่องนั้น ก่อนจะตามด้วยหินอ่อนแกะสลักเป็นรายละเอียดของผู้ที่หลับไหลอยู่ในนั้น ช่องสี่เหลียมแคบ ๆ หวังว่าพ่อกับแม่และน้องของผมคงจะไม่อึดอัดกันนะ ผมอยากพาทุกคนกลับบ้าน แต่เหมือนจะไม่มีใครเห็นด้วยกับความคิดของผมเท่าไหร่นัก
“ให้เพิ่นอยู่นี้ละโยม ในวัดในวา สงบสุขร่มเย็น คั่นคึดฮอดเพิ่นกะจั่งมายาม เฮ็ดบุญให้เพิ่นเอา”
หลวงตาว่ามาแบบนี้ ผมที่ไม่ค่อยถูกโรคกับพระก็ไม่รู้จะขัดใจยังไร อีกอย่างในหมู่บ้านก็ไม่มีใครเขาทำ ไม่มีการเอาเถ้ากระดูกกลับบ้าน ไม่มีลอยอังคาร เผาเสร็จเก็บกระดูกเข้าช่องใต้โบสถ์เป็นอันเสร็จพิธีศพ
พิธีช่างเรียบง่ายและสงบ ทุกอย่างเสร็จสิ้นภายใน 3 วัน เร็วจนผมใจหายแต่ก็ดีอีกนั่นแหละ ผมเองก็จะได้ไม่จมอยู่กับความเศร้านาน ๆ
“ฮ้อน” มะยมบ่นอุบหลังจากก้มหน้าก้มตาเช็ดทำความสะอาดคราบปูบออกจากแผ่นหินอ่อนเสร็จ ผมเลยส่งน้ำดื่มเย็น ๆ ที่ติดมือมาจากบ้านให้น้อง
อันที่จริงผมจะทำเองก็ได้แหละ ถึงจะโบกปูนไม่เป็นแต่งานเก็บกวาดเล็ก ๆ น้อย ๆ คนไม่เอาไหนอย่างผมมันก็พอจะทำได้ แต่ลุงธรสั่งให้มะยมทำแทน ให้เหตุผลว่ากลัวผมเลอะ
“กลับไปเก็บของแล้วเย็นนี้ไปนอนบ้านลุง” ไม่รู้ว่าเป็นประโยคแสดงน้ำใจหรือคำสั่งกันแน่ แต่ผมดูจากสีหน้าแล้ว น่าจะเป็นอย่างหลัง
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยผมก็ทิ้งบ้านทิ้งชีวิตที่นี่ไปอยู่กรุงเทพฯ พ่อมักจะพูดเสมอว่าไม่อยากให้ผมทำไร่ทำสวน มันลำบาก ให้ผมเรียนสูง ๆ จบมาจับปากกา ทำงานในห้องแอร์ จะได้ไม่ต้องตากแดดทำงานหนักเหมือนพ่อแม่
เพราะแบบนี้ผมเลยเป็นลูกชาวสวนที่ทำสวนไม่เป็นเลย
แล้วมรดกสวนผลไม้ของผมนี่แหละที่ทำเอาผมหนักใจ
“มาอยู่กับลุงนะ” ลุงธรเอ่ยปากหลังจากที่ลุงเพิ่งจุดไฟเผาครอบครัวผม
เปลวไฟลุกไหม้เผาพ่อแม่และน้องผม แต่ลุงธรผู้แสนใจดีชวนผมไปอยู่ด้วยกัน ผมยังไม่ได้ตอบตกลง เพราะยังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับชีวิตตัวเองดี จ้างคนดูแลสวน ซึ่งก็คงไม่พ้นลุงธร หรือไม่ก็ลาออกจากงานที่กรุงเทพ แล้วกลับมาใช้ชีวิตชาวสวนที่นี่
กลับมาเริ่มต้นชีวิตด้วยตัวเอง
อันที่จริงผมไม่เคยบอกพ่อกับแม่เลย ว่างานห้องแอร์ที่พ่อเป่าหูผมนักหนาว่ามันสบาย มันไม่ได้สบายอย่างที่พ่อแม่คิด
ทุกครั้งที่ผมถ่ายรูปตัวเองแล้วส่งไปให้น้องชายดู ผมตั้งใจจะบ่นงานให้ไอ้น้องชายตัวแสบฟัง แต่พอพ่อเห็นผมใส่เชิ้ตนั่งทำงานหน้าคอม พ่อจะยิ้มแล้วพูดอย่างภูมิใจว่า ‘ออมมันเรียนเก่ง ตั้งใจเรียนมาตั้งแต่เด็ก ๆ พอจบมาก็ได้งานทำดี ๆ ในกรุงเทพฯนู้น ไม่ต้องตากแดดทำสวน เอ็มต้องตั้งใจเรียนแบบพี่ออมนะลูก’
แล้วเอ็มก็จะมาบ่นให้ผมฟังตลอดว่าพ่อรักผมมากกว่ามัน
“ออม” ลุงธรแตะที่แขนผม “เหม่ออะไร ลุงเรียกตั้งนานก็ไม่ได้ยิน” สีหน้ากังวลของลุงธรทำผมรู้สึกผิด
“ออมคิดถึงพ่อ”
“แล้วไม่คิดถึงแม่กับเจ้าเอ็มเหรอ” ลุงธรถาม
“คิดถึงสิ ออมคิดถึงทุกคน” ก็นั่นมันครอบครัวของผมนะ
“แบบนี้ลุงจะกล้าปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ยังไง ถ้าไม่ไปนอนบ้านลุง เดี๋ยวลุงไปเก็บของมานอนบ้านออมเอง”
ผมที่ยังงง ๆ จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ชินกับความเอาใจใส่ของคนอื่นแบบนี้
อันที่จริงลุงธรไม่ใช่ญาติ ผมรู้จักลุงธรเพราะแม่บอกให้รู้จัก เคยคุยกันแค่ 2-3 ครั้งในตอนที่ลุงธรเอาลำไยที่สวนของลุงมาฝาก ลุงธรเลิกกับเมียไปหลายปีแล้ว เพราะเธอหนีตามผู้ชายไป ทิ้งมะยมให้ลุงธรเลี้ยงคนเดียว
“ออมโตแล้วนะ เบญจเพสแล้วเนี่ย” ลุงธรยิ้ม ยกมือลูบหัวผมไปมา แววตาเอ็นดูที่ลุงธรมีให้ ทำให้ผมรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“งั้นให้น้องมานอนเป็นเพื่อน เอาตามนี้ ไปกลับบ้านพักผ่อน”
สรุปเสร็จเจ้าตัวก็เดินดุ่ม ๆ ไปยังรถกระบะที่จอดอยู่ ตามไปติด ๆ เป็นเจ้ามะยมลูกชายที่เหมือนจะโวยวายกับพ่อ จับใจความได้ว่าทำไมต้องบังคับให้มันไปค้างบ้านคนอื่น
แล้วไอ้คนอื่นที่ว่านี่มันคือผมไง ไอ้มะยม!
ชีวิตความเป็นอยู่ของผมในบ้านเกิดตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตในบ้านหลังนั้น
นับจากวันสูญเสียครอบครัวไปผมได้นอนที่บ้านหลังนั้นแค่ 2 คืน เช้าวันถัดมาลุงธรก็มาหอบข้าวของของผมมาไว้บ้านตัวเอง ยกห้องนอนของตัวลุงธรเองให้ผม ส่วนเจ้าของบ้านต้องหอบที่นอนหมอนมุ้งมากางนอนกลางบ้าน เพราะบ้านมีแค่ 2 ห้องนอน
“อาการหนักอยู่” มะยมมันบ่นพ่อตัวเอง เพราะอีกอาทิตย์ถัดมาทั้งมะยมและลุงธรก็ขับรถมาขนของของผมที่กรุงเทพฯ โดยอ้างเหตุผลว่า
“ลุงเป็นห่วง ไม่อยากให้อยู่ไกลหูไกลตา”
นับจากวันนั้น รวม ๆ ก็เกือบ 3 เดือนแล้ว ที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในบ้านลุงธรให้แกเลี้ยง
ลุงธรบอกจะสอนงานในไร่ให้ แต่จนแล้วจนรอดงานที่ผมทำก็มีแค่ดูบัญชี จัดการค่าแรงคนงานบ้าง ในวันที่เก็บผลผลิต ที่เหลือก็เหมือนจะเป็นคนใช้เสียมากกว่า เพราะผมต้องคอยเก็บกวาดบ้าน ทำกับข้าว ดูแลงานบ้านทั้งหมด
“ออม” ลุงธรที่โผล่หน้าเข้ามาในบ้านเรียกหา พร้อมกับเงินในมือ “ลุงฝากหน่อย เดี๋ยวเย็นนี้ลุงต้องบ้านผู้ช่วย”
ไม่พ้นไปกินเหล้ากันตามประสาคนแก่เหมือนเดิม
ผมพยักหน้ารับรู้เป็นอันว่าเย็นนี้ไม่ต้องทำกับข้าวเผื่อลุงธร ผมนับเงินในมือเสร็จก็เดินไปกางสมุดบัญชีเล่มหนาแล้วจัดการแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าแรงคนงานที่มาช่วยเก็บเงาะของงวดนี้ ค่าใช้จ่ายของสัปดาห์นี้ แล้วส่วนที่เหลือก็ให้ลุงธรเก็บไปฝากธนาคาร ไม่ได้มีอะไรยุงยากซับซ้อน
หลังออกไปจัดการค่าแรงของคนงานเสร็จกลับเข้ามาในบ้านก็เจอลุงธรนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ยืนหันรีหันขวางไปมาอวดหุ่นอยู่กลางบ้าน จนผมใจคอไม่ดี เผลอดคิดไปว่าในผ้าขนหนูผืนนั้นลุงธรจะใส่อะไรไหม หรือเจ้าตัวจะโป๊
“ออมเห็นเสื้อลุงไหม” เจ้าของบ้านเอ่ยถามในที่สุด “ตัวที่ลุงใส่บ่อย ๆ”
“ออมเพิ่งซักไปเมื่อเช้า” เจ้าของเสื้อทำตาละห้อย ที่อดใส่เสื้อตัวเก่ง ดูแล้วน่าสงสารจนผมอดขำไม่ได้
“ก็ลุงใส่ซ้ำมา 3-4 ครั้งแล้ว ไม่เอามาให้ออมซักเสียที ออมเลยจัดการขนไปซักให้หมด”
“ลุงใส่แป็บเดียวก็ถอดผึ่ง ยังไม่เหม็นเลย ออมซักผ้าหอมจะตาย ใส่ซ้ำก็ยังหอม”
คำชมจากปากของลุงธรทำผมเขิน ผมดีใจที่ลุงธรชอบกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ผมเลือก มันเป็นกลิ่นประจำของแม่ พ่อเองก็ชอบ ไม่นึกว่าลุงธรจะชอบด้วย
ผมมองราวเสื้อผ้ามุมบ้าน เพราะเจ้าตัวสละห้องให้ผม ของทุกอย่างเลยต้องเอามากองไว้แบบนี้
“มีตั้งหลายตัว ลุงก็เลือกใส่ไปสักตัวสิ หล่อ ๆ แบบนี้ใส่อะไรก็ดูดี” ผมเผลอชมลุงธรว่าหล่อไปในที่สุด กลัวลุงธรจะรู้ว่าผมคิดอกุศลกับร่างกายลุง ถ้าลุงรู้ความจริงเข้า จะยังเอ็นดูผมแบบนี้ต่อไปไหม
แต่ดูเหมือนว่าคนแก่ที่โดนชมว่าหล่อจะออกอาการเขิน ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลย ลุงธรในวัย 45 ยังหล่อไม่สร่าง แถมยังหุ่นดี ไม่ถึงกับมีกล้ามหรือซิกแพ็ค แต่ก็ไม่ได้อ้วนลงพุงเหมือนคนวัยเดียวกันในหมู่บ้าน น่าแปลกที่ลุงไม่คิดจะแต่งงานใหม่
“พวกนี้มันไม่หอมเหมือนที่ออมซักให้ ลุงไม่อยากใส่”
ผมใจแกว่งไปกับคำสารภาพของลุง ว่าไม่อยากใส่เสื้อที่ผมไม่ได้เป็นคนซักให้
ถึงจะบ่นแต่สุดท้ายลุงธรก็เลือกเสื้อยืดพอดีตัวสีดำขึ้นสวม ก่อนจะปลดผ้าขนหนูที่พันเอวลง กึ่งกลางลำตัวที่นูนตุงกางเกงในออกมา บ่งบอกถึงขนาดที่ไม่ธรรมดา ผมพยายามหักห้ามใจไม่ให้ตัวเองเสียมารยาท จ้องอวัยวะส่วนนั้นของเจ้าของบ้านไปมากกว่านี้ แต่ก็ละลายตาไปไหนไม่ได้จริง ๆ ลุงธรหันหลังให้แล้วหยิบกางเกงขาสั้นทีเขียวขี้ม้ามาใส่
“เอ่อเดียวเย็น ๆ มะยมจะกลับมานะ ทำกับข้าวเผื่อน้องไว้หน่อยก็ดี” ผมพยักหน้ารับ เพราะในหัวมันมีแต่ภาพของลุงธรในกางเกงในสีดำรัดเป้า
ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตอนไหน
อาจจะเป็นเพราะความใกล้ชิดที่ผมต้องดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของลุง หรือเพราะความใจดีที่เจ้าตัวหยิบยื่นให้จะทำผมเผลอคิดไปไกล หรือจริง ๆ แล้วมันคือความเลวของผม ที่คิดเกินเลยกับลุงธร
ตลอดเวลาเกือบสามเดือนผมมันจะแอบมองดูลุงธรเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบนี้บ่อย ๆ มันไม่ใช่ความผิดของลุงที่ลุงต้องเปลี่ยนเสื้อผ้ากลางบ้าน ลุงธรไม่มีห้องส่วนตัว มันผิดที่ผมแอบมอง ผิดที่ผมอยากลองสัมผัส อยากจะกลืนกินลุงธร
ผมจะโทษว่ามันเป็นเพราะผมห่างหายจากการทีเซ็กส์ไปนาน แฟนคนสุดท้ายที่ผมคบก็ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แน่นอนว่าแฟนผมเป็นผู้ชายเหมือนกัน
คล้อยหลังลุงธร ผมต้องหอบใจเกเรดวงนี้ พร้อมกับภาพสุดท้ายที่เจ้าของบ้านทิ้งไว้เดินกลับเข้าไปในห้องที่เจ้าตัวยกให้ผม และไม่ลืมหยิบผ้าขนหนูที่ลุงธรทิ้งไว้ติดมือไปด้วย
ผมล้มตัวลงนอนราบไปกับที่นอน ยกผ้าขนหนูที่เคยอยู่บนตัวเจ้าของมันขึ้นมาดม ความเย็นชื้นของเนื้อผ้าบวกกับกลิ่นขืน ๆ ของความเป็นผู้ชายผสมกับกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่เจ้าตัวชอบทำผมขนลุกซู่ไปทั้งตัว
มือข้างที่ว่างล้วงลงไปในกางเกง บีบเค้นมันสักพักก่อนจะควักความอึดอัดให้ออกมาสูดอากาศข้างนอก จมูกผมสูดกลิ่นหอมของลุงธร ในหัวจินตนาการว่ากำลังไล่จมูกไปตามความตุงแน่นที่ยังจดจำได้ไม่ลืม ลิ้นตวัดดูดรอยชื้นจากผ้าขนหนู กลืนกินกลิ่นตัวที่ผมกับน้ำลายตัวเองลงคอ มือขยับนวดความแข็งชูชันในมือ ส่วนอีกข้างที่ว่างยกขึ้นมาบดขยี้หน้าอกตัวเอง
ตั้งแต่ผมมาอยู่บ้านหลังนี้ ไม่เคยเห็นลุงธรติดต่อกับผู้หญิงที่ไหน จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าเจ้าของบ้านหน้าหล่อแถมยังหนุ่มขนาดนั้น จะไม่คิดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เลยหรือ
แล้วเวลามีอารมณ์ขึ้นมา ลุงธรจะช่วยตัวเองไหม มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ใคร ๆ ก็ต้องเคย ถึงแม้จะอยากรู้แต่ผมก็ไม่ได้โรคจิตถึงขั้นไปแอบดูลุงธรเวลาอาบน้ำแกจะช่วยตัวเองหรือเปล่าหรอกนะ
เพราะแค่แอบมองเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้านี่ก็ดูโรคจิตหนักอยู่
เสียงครางกระเซ่าเล็ดลอดจากลำคอตามจังหวะของมือที่เริ่มรัวเร็ว แม้จะรู้สึกผิดที่เอาผู้มีพระคุณมาคิดถึงในทางแบบนี้ แต่ความตื่นเต้นที่ได้จินตนาการถึงลุงธรตอนกำลังช่วยตัวเองตอนนี้มันมีมากกว่า ความสำนึกผิดเลยถูกเขี่ยทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
พายุอารมณ์ผ่านพ้น ที่หลงเหลืออยู่คือความสับสนกับความรู้สึกผิดตีกันวุ่นในหัว
รุนแรงเกินไป ครั้งนี้มันมากเกิน แม้จะแอบมองลุงธรเปลี่ยนเสิ้อผ้าบ่อย ๆ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เก็บเอามาใช้จินตนาการเวลาช่วยตัวเอง
ผมใช้ผ้าขนหนูของลุงธรซับคราบเหนียวข้นตามหน้าท้อง ขาหนีบความเย็นจากเนื้อผ้าที่ยังไม่แห้งเพราะเพิ่งผ่านการใช้งาน ทำเอาน้องชายที่เพิ่งสงบไปของผมตื่นตัวอีกครั้ง
ลุงธรนี่มันเซ็กซี่โคตร ๆ
ผมหลับหลังจากที่เสร็จไปสองรอบติด รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มะยมกลับมาถึงบ้าน แล้วเรียกหาคนในบ้านเสียงดัง พอไม่เจอใครน้องเลยโผล่เข้ามาในห้อง ผมเองก็ไม่ได้ล็อคห้องด้วยแหละ
“ขี้เซาว่ะ” ลูกชายเจ้าของบ้านบ่น
ผมที่ยังสลึมสลือบนหน้ายังมีผ้าขนหนูชื้น ๆ ของลุงธรปิดอยู่
หลักฐานคาหนังคาเขาแบบนี้ถ้าเป็นลุงธรมาเจอ ไอ้ออมตายโหง
“มะยมมีอะไร” ผมเอ่ยถามคนที่ยืนพิงประตูห้องนอนที่ถูกเปิดอ้าซ่าไว้ พร้อม ๆ กับยัดผ้าขนหนูของลุงธรลงในผ้าห่มแบบเนียน ๆ
รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย
“พี่ออมเถอะ ดูตื่น ๆ เป็นอะไร” ผมชะงัก คำพูดติดอยู่ในปาก
“ตกใจไง คนหลับอยู่ โดนปลุกก็สะดุ้งตกใจ” ดีว่าฉลาดอยู่บ้าง แม้จะทำสวนไม่เป็น แต่ผมโกหกเป็น
มะยมในชุดนักศึกษาขำ เลิกเรียนแล้วก็คงจะตรงดิ่งกลับมาบ้านเลยทันที ปกติมะยมจะกลับบ้านทุกเย็นวันศุกร์ น้องตัองขับมอไซค์ไกลตั้งร้อยโลจากมหาลัยในเมืองกลับบ้าน เพราะต้องคอยช่วยพ่อทำงานในวันหยุด
ชีวิตเกษตรกรก็แบบนี้ ฟังจากที่ลุงธรเล่าให้ฟัง ถ้าช่วงไหนมีงานหรือการบ้านเยอะ ก็จะไม่กลับ ผมเคยบอกลุงธรไปแล้วว่าไม่อยากให้มะยมขับรถไกล ๆ แบบนี้เพราะมันอันตราย ผมไม่อยากให้ใครต้องจากไปเพราะอุบัติเหตุอีกแล้ว แต่เจ้าตัวกลับบอกว่าถ้าไม่กลับมาช่วยพ่อ ใครจะช่วย ‘พี่ทำอะไรได้บ้างละ ยกลังเงาะได้ไหม ย้ายหัวสปริงเกอร์เป็นไหม ลากสายยางใหญ่ ๆ ในสวนไหวรึเปล่า ถ้าทำได้ ผมจะได้ไม่ต้องกลับไปกลับมา’ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นผมทำไม่ได้ มะยมเลยยังคงต้องกลับบ้านทุกวันเย็นศุกร์
ส่วนวันนี้เพิ่งจะวันพุธเองมะยมกลับบ้านเร็วกว่าปกติ 2 วัน
“ไม่มีเรียนเหรอ” ผมถามก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ใช้เท้าเขี่ยฟูกพับเก็บ เราไม่ได้นอนเตียงมีเพียงแค่ที่นอนยัดนุ่นคนละหลังปูกับพื้น
“มีแต่ขี้เกียจ แล้วนั่นใช้เท้าเขี่ยที่นอนอีก มันบาป” มะยมบ่นผมต่อ แต่ผมขี้เกียจฟังเดินไปผลักเจ้าตัวที่ยืนขวางเต็มประตู
เห็นแบบนี้แน่นเหมือนกันแฮะ ตัวแข็งยังกะก้อนหิน
ผมเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำที่อยู่ติดกับครัวหลังบ้านกลับออกมามะยมก็อยู่ในชุดใหม่แล้ว
“จะไปไหนนะ”
“ทำงานสิ” งานอะไรของเขา “ไปเปิดน้ำรดเงาะให้ใครบ้างคน เป็นเจ้าของแต่ไม่ทำอะไร”
อ่อที่แท้ก็ต้องดูแลสวนเงาะให้ผมนี่เอง ปกติจะเป็นหน้าที่ลุงธรที่เป็นคนวิ่งดูสวนเงาะของผม จริง ๆ งานมันเบาลงแล้วแหละ เพราะผลผลิตเงาะรอบสุดท้ายกำลังจะสุกแล้ว ลูกไม่ดกเหมือนรอบแรก ๆ แถมผลยังเล็กกว่ามาก
“อยากทำใจจะขาดแต่มีคนอาสาทำให้หมด”
“ปล่อยให้ทำเองเงาะเน่าตายหมดทำไง”
“ไอ้มะยม!” มันชักจะเกินไปแล้ว กะอีแค่หมุนวาล์วน้ำ แล้วเปิดเครื่องสูบน้ำ น้ำมันก็ไหลของมันเองไปตามท่อของมันเอง ไม่ได้ถือสายยางเดินรดไปทีละต้น
“เย็นนี้ไม่ต้องกินข้าว” ขู่ไปงั้นแหละ มะยมอารมณ์ดี ขับมอไซค์ออกจากบ้าน จุดหมายปลายทางก็บ้านของผมนั่นแหละ
ผมตัดสินใจเข้าครัวทำกระเพราให้คนที่เพิ่งออกไปทำงาน เพราะนี่ก็ใกล้มืดแล้ว เสร็จจากทำกับข้าวผมก็ว่างแล้ว อาศัยช่วงที่คนไม่อยู่บ้านทำลายหลักฐาน เอาผ้าขนหนูของลุงธรมาซัก แต่มันจะดูมีพิรุธผมเลยต้องขนเสื้อผ้าของมะยมรวมกับของผมอีก
ครึ่งชั่วโมงต่อมามะยมก็กลับมากินข้าวเย็น
“ซักผ้าให้ด้วยดีว่ะ” ลูกเจ้าของบ้านตัวจริงเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ย นั่งดูทีวีข้าง ๆ ผม ที่ดูทีวี ที่กินข้าว ก็ที่เดียวกันกับที่นอนลุงธรนั้นแหละ ก็บ้านมันทีที่แค่นี้ ไม่ได้คับแคบอะไรนะ แต่บ้านนอกเรา ก็ทำบ้านแบบนี้แหละ ไม่ได้แยกส่วนอะไรชัดเจน ทั้งที่เนื้อที่จะสร้างบ้านมีเหลือเฟือ
“กินดี ๆ ทำตัวเหมือนเด็ก” ผมดุที่มะยมยังเคียวข้าวในปากไปด้วยพูดไปด้วย
“โตเป็นหนุ่มแล้วเหอะ” คนที่บอกว่าตัวเองเป็นหนุ่มมีสีหน้าไม่พอใจที่โดนดุ “มีเมียได้แล้ว”
“แล้วมีหรือยังล่ะ เมียนะ” ผมถาม พ่อเป็นยังไง ลูกก็เป็นอย่างนั้น ตลอดช่วงวันหยุดอยู่บ้าน ไม่เคยเห็นมะยมติดต่อกับใคร น้องเป็นเด็กไม่ติดมือถือ เลยเดาว่าน่าจะยังไม่มีแฟนแน่ ๆ
“มีคนมาให้เอาเยอะแยะ แต่ไม่สนใจ” โอ้โห้ ถ้าไม่ติดว่าหน้าตาดีเหมือนพ่อนะ จะตบให้คว่ำ หลงตัวเองชิบหาย
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย” ผมแหย่ต่อ เด็กน้อยอึกอัก
“ผู้หญิงสิ”
“หญิงแท้หรือเปล่า” มะยมตาโตจนผมหัวเราะขำออกมาเสียงดัง
“พูดอะไรเนี่ยเดี๋ยวต่อยปากแตก”
“ถ้ายังไม่เคยลองอย่าเพิ่งตัดสินว่าอะไรมันดีไม่ดีนะ” แกล้งเด็กแล้วสนุกดี
“ถ้ายังไม่หยุดพูดต่อยจริงนะเว้ย แล้วเคยลองกับผู้ชายเหรอถึงรู้”
“เคยสิ” มะยมตาโต อ้าปากค้าง ส่วนผมเดินกลับออกไปหลังบ้าน เอาผ้าที่ปั่นไว้ออกมาตาก
“จะออกไปย้ายน้ำแล้วนะ” มะยมเดินมาบอกผมที่หลังบ้าน
“เอาน้ำติดมือไปด้วยนะ ไม่รู้ที่บ้านนู้นมีไหม” ปกติลุงธรก็จะถือติดมือไปเหมือนกัน ผมเคยบอกให้ลุงธรเสียบปลั๊กตู้เย็นบ้านผมเอาไว้ จะได้แช่น้ำเย็น ๆ ไว้กิน แต่ลุงบ่นว่าเปลืองไฟเปล่า ๆ แค่น้ำเย็นถือไปจากบ้านเราก็ได้ ของที่บ้านผมเลยปล่อยทิ้งไว้เปล่า ๆ นาน ๆ ทีผมถึงตามไปทำความสะอาดบ้านบ้างพร้อมกับลุงธรดูแลสวนให้
น้องขานรับได้ยินเสียงเปิดปิดตู้เย็นในครัว ตามด้วยเสียงมอไซค์จากหน้าบ้านวิ่งไกลออกไป
วันนี้งานของผมเสร็จแล้ว ผมไม่ดูทีวี พอตกค่ำบ้านนอกแบบนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำ ถ้าไม่ลงสวนตอนกลางคืน ชาวบ้านก็เข้านอนตั้งแต่หนึ่งทุ่ม ผมเองก็เริ่มชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้ไปแล้ว
ผมสะดุ้งตื่นตอนตอนสี่ทุ่มกว่า เพราะตัวหนัก ๆ ของลุงธร ล้มทับผมเต็มแรง กลิ่นเหล้าโชยหึ่งออกมา
“ใครมานอนแถวนี้ว่ะ” เสียงอ้อแอ้ของคนเมาบ่น มือก็ควานจับตัวผมไปมา
“ลุงเมาเหรอ” ผมถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าลุงธรเมาหนัก ผมไม่เคยเห็นลุงธรเมาแบบนี้สักครั้ง นี่เป็นครั้งแรก
ผมเดินไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง คนเมาหยี๋ตายกมือบังแสงน่าเอ็นดูเหมือนเด็ก ๆ
“ออมเหรอ”
“ก็ออมนะสิ เมาแล้วเลอะเทอะ”
“ออมมาแย่งที่นอนลุง”
“ลุงยกห้องนี่ให้ออมแล้วไง ออมไม่ได้แย่ง” ลุงธรสะอึก ล้มตัวลงนอนราบไปกับที่นอนของผม
“หิวน้ำ” คนเมาบ่นทั้งที่ยังคว่ำหน้านอน ผมถอนหายใจเดินไปหยิบน้ำเย็น ๆ ในครัวออกมาป้อนให้คนเมา
“จะนอนไหน เมาแล้ววุ่นวาย” คนเมาลืมตามองผมตาปรือ ใบหน้าแดงจัด
“ข้างนอกยุงกัด ให้ลุงนอนด้วยคน”
“กางมุ้งสิ”
“ลุงเมากางไม่ไหวหรอก” ว่าแล้วก็ฟุบลงกับที่นอนหลับตาสนิท แต่ยังมีเสียงครางหึ่ง ๆ เบา ๆ คงจะไม่สบายตัวนั่นแหละ
“ถอดเสื้อไหม” คนเมาไม่ตอบผมเลยจัดการดึงเสื้อออกจากตัวลุงธร นั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าคิดผิดที่ทำแบบนั้น
กล้าเนื้อแข็งแรงแน่นตึงลื่นมือ ผมเผลอบีบเบา ๆ ที่กล้ามแขน ตามองหน้าท้องแน่น ๆ กับไรขนใต้สะดือที่หายเข้าไปในการเกง
อยากล้วงใจจะขาด
“ลุง เช็ดตัวไหม ออมทำให้” ด้านมืดในจิตใจชนะศีลธรรมของผม ลุงธรไม่ตอบอะไรคงจะหลับไปแล้ว ผมหยิบเสื้อยืดในตู้ของตัวเองเทน้ำเย็น ๆ ในขวดจนชุ่ม ก่อนจะเช็ดใบหน้าที่ยังหล่อเหลาของลุงธร
“เย็นแถะ” คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วลืมตาขึ้นมอง จะขยับตัวหนี แต่ผมคว้าไว้
“จะได้สร่างเมา” ผมให้เหตุผล เช็ดไปตามซอกคอหัวไหล่ ไล่ไปตามแขนใหญ่ ๆ ลุงธรลืมตามองหน้าผม ผมชอบตาลุงธรตอนนี้ ดูเหมือนตาเด็ก ๆ
“นอนไปสิเดี๋ยวก็เสร็จ หลับตาด้วย” ผมสั่ง อันที่จริงแค่เขินที่ถูกลุงธรมอง ลุงธรเป็นเด็กดีวันนี้ ผมยอกอะไรก็เชื่อไปหมด
ผมเทน้ำลงบนเสื้อตัวเดิมอีกรอบ ค่อยไล่เช็ดหน้าอกลูบขึ้นลง ลุงธรเกร็งตัวตามจังหวะจนผมต้องพยายามข่มใจไม่ใช้มือเปล่า ๆ ลูบหน้าท้องลุงแทนเสื้อชุบน้ำของผม
จังหวะที่ผมเช็ดหน้าท้องลุงแบบอ้อยอิ่งไปมา หน้าท้องแข็ง ๆ ก็หดเกร็งทำให้มีช่องว่างระหว่างขอบกางเกงกับพุงแข็ง ๆ ผมเหลือบมองก่อนจะใช้นิ้วก้อยสอดเข้าไปแตะส่วนนุ่มนิ่มที่ขดตัวอยู่ข้างใน
ใหญ่ว่ะ
ถ้าแอบจับลุงธรจะรู้ตัวไหม ผมช่างใจเพิ่มนิ้วนางเข้าไปอีก ทำเป็นขยับเช็ดตัวไปมา สองนิ้วที่สอดเข้าไปก็ปัดป่ายน้องชายลุงธรแบบไม่ได้ตั้งใจ
“พ่อเป็นไร”
.
.
.
มีต่อด้านล่าง