บทที่ 9 เพื่อน
[/b]
Yonah Say
“เดี๋ยว...โย” รอทรั้งผมไว้ก่อนที่จะทันได้ลงรถ แล้วล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อ
“นายยังเก็บไว้อีกหรอ” ผมถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นสร้อยกางเขนหักๆ ในมือรอท
“แค่คิดว่ามันอาจสำคัญกับนายน่ะ”
“มันเป็นของสิ่งเดียวที่พ่อทิ้งไว้ให้น่ะ” ผมว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบแต่รอทกลับดึงมันกลับ
“เดี๋ยวผมใส่ให้...มาใกล้ๆ สิ” มันว่าพร้อมยิ้มแบบมีเลศนัย...อะไรกับผมอีกเนี่ย!
“ตลกละ...เอามา! ใส่เองได้” ผมยื้อยุดกับไอ้แวมไพร์บ้านั้นสุดท้ายก็ต้องยอมแรงมัน “ก็ได้วะแม่ง”
ผมเอี้ยวตัวเข้าไปใกล้ให้มันใส่สร้อยให้ รอทอ้อมมือไปติดตะขอด้านหลังจนดูเหมือนเรากำลังกอดกันอยู่ แล้วมันก็ขโมยหอมแก้มผมไปทีหนึ่ง ทำเอาร้อนไปทั้งหน้าเลยครับ...แม่งเล่นกูแต่เช้าเลย
“เชี่ย!...” ผมสบถออกมาแบบไม่รู้จะพูดอะไรก่อนจะคว้ากระเป๋าพร้อมเฟลมผ้าใบขนาดกลางลงจากรถแล้วปิดประตูแรงๆ เอาแม่งให้พังคามือไปเลยครับหมั่นไส้เจ้าของมัน แต่ประเด็นคือทันทีที่หันไปก็เจอไอ้ข้าวหอมมันยืนยิ้มแป้นให้ผมอยู่ แม่งเห็นอะไรไปบ้างเนี่ย?
“ละทำเป็นปฏิเสธ มึงมีอะไรจะแถกับกูอีกมั้ย” มันว่าพลางลากคอผมขึ้นไปบนตึก “เล่ามาให้หมดเลย ไม่งั้นกูประกาศทั้งภาค” เชี่ย...ดูมันขู่ผมดิ
วันนี้เป็นวิชา composition ต้องพรีเซนท์งานเพ้นท์หน้าห้อง ผมโคตรลุ้นเลยว่าอาจารย์จะว่าอะไรเยอะมั้ย ถ้าว่าผมจะโทษไอ้แวมไพร์หื่นกามนั่นที่มากวนผมตอนทำงาน ตอนส่งงานก็ตื่นเต้นดีอยู่หรอกแต่พอตอนนั่งฟังเพื่อนพรีเซนท์บ้าง บอกเลยว่าโครตง่วงกว่าจะครบทุกคน ไอ้ข้าวมันก็พยายามรบเร้าให้ผมเล่าเรื่องรอทอยู่นั่นละผมเลยบอกเลิกเรียนค่อยเล่า เดี๋ยวคนอื่นมาได้ยินล้อผมกระจุยเลยทีนี้ ยิ่งขี้เสือกกันอยู่
หลังเลิกเรียนผมกับไอ้ข้าวมากินข้าวเย็นที่ร้านข้างมอ วันนี้ไม่เห็นไอ้ธีรเลยครับไม่รู้มันหายหัวไปไหน ผมตั้งใจว่าจะคุยกับมันเรื่องฟาซักหน่อยเพราะยังไงมันก็เป็นเพื่อนผมมานาน ระหว่างที่รอผมก็เล่าคร่าวๆ เรื่องรอทแถไปว่าเป็นพี่ที่เจอในเกมส์พอรู้ว่าอยู่มหาลัยเดียวกันเลยนัดเจอกัน บางทีไปเล่นเกมส์ด้วยกันเอาไปเอามาผมเลยไปสิงอยู่ห้องมันประจะ ฮ่าๆ...ผมตอแหลโคตรเก่งเลย แต่ไม่ได้เล่าเรื่องที่มันเป็นแวมไพร์หรือเรื่องข้อตกลงในการล่าบีสของเราครับ เรื่องแบบนั้นใครมันจะไปเชื่อ
“แล้วสรุปมึงกับพี่เขาก็เป็นแฟนกัน เพราะมึงอกหักต้องการคนดามหัวใจ” ไอ้ข้าวหอมสรุปเสร็จสรรพ เท่าที่เล่ามาไม่มีส่วนไหนที่บอกนะว่ามันเป็นแบบนั้น มันมั่วครับ
“ไม่ได้เป็น” ผมกับรอทไม่ได้เป็นแฟนกันนะ มันไม่เคยบอกนิว่าผมเป็น ถึงเราจะทำอะไรแบบนั้นกันแล้วก็เหอะ แค่นึกก็หน้าแดงแล้ว เหอๆ
“ไม่ได้เป็น แล้วอีรอยแดงๆ ที่คอมึงจะบอกว่ามดกัดงั้นสิ” มันยิ้มกวนตีนให้ผมครับ โอ๊ยยอย่าย้ำอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว “กูรับได้เว้ย ถ้าเพื่อนกูจะเป็นเกย์”
“เออ! เชี่ย”
“เออ!? สรุปคือมึงเสร็จพี่เขาไปแล้วหรอวะ” มันถามตาโตเลยทีนี้ “เมื่อไหร่ตอนไหน”
“ตอนกูเมา” ผมตอบเสียงแผ่ว เอาเถอะยังไงก็ปิดมันไม่ได้อยู่แล้ว
“ใครเริ่มก่อนวะ มึงเสียบหรือพี่เขาเสียบ” เหอๆ ผมไม่ห้ามแม่งถามใหญ่เลยทีนี้
“โอ้ยไอ้เตี้ย! มึงไม่ถามเลยละว่าพวกกูเอากันท่าไหน” ผมด่ามันในที่สุด ตอนนี้รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าเลยครับ ต้องมานั่งยอมรับว่าเสียตัวให้ผู้ชายมันใช่เรื่องหรอ
“ถ้ามึงเล่ากูก็ยินดีฟังวะ ฮ่าๆ” มันหัวเราะสะใจมากก ผมละอยากจะลุกขึ้นไปถีบหน้าตี๋ๆ นั่น
อาหารมาเสริฟแล้วครับผมกับมันสั่งมิโสะราเมงกันคนละชาม ระหว่างที่กินไปคุยไปอยู่นั้นโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น...ใครวะ หยิบมาดูเป็นเบอร์ไอ้ธีรครับ
“ฮัลโล...”
“โย...นี่ฟานะ” ผมไม่แปลกใจเลยที่เสียงคนพูดเป็นฟา ก็เค้าเป็นแฟนกันนิ คิดแล้วมันก็เจ็บ
“มีอะไรหรือเปล่า...?” ผมพยายามคุมเสียงให้นิ่งที่สุด
“ธีรรถล้ม ฟาไม่รู้จะทำยังไงดี” ฟาบอกผมเสียงสั่นเลยครับ
“แล้วเป็นอะไรมั้ย” ผมถามตอนนี้เริ่มใจไม่ดีเลยครับ
“ฟาไม่เป็นเป็นอะไร แต่ธีร...ฮือๆ ธีรนอนนิ่งไปเลย ฟาเรียกยังไงก็ไม่ตอบ” เสียงปลายสายเริ่มร้องไห้พยายามเล่าเหตุการณ์ให้ฟังแต่เอาจริงๆ มันไม่รู้เรื่องเลยครับ
“มีอะไรวะ” ไอ้ข้าวถามขึ้นเมื่อเห็นผมทำหน้าเครียด
“ไอ้ธีรรถล้มวะ...” ผมหันไปตอบมัน “เอางี้ ฟาอยู่ไหน...เดะโยไปหา”
“อยู่ตรงเส้นบางเลนอะโย...ตอนแรกว่าจะเข้ากรุงเทพกัน” ผมเรียกเด็กมาคิดตังก่อนจะรีบโดดขึ้นมอเตอร์ไซของไอ้ข้าวโดยผมเป็นคนขับมันเป็นคนซ้อน คุณคิดว่า Ducati monster สามารถวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่ บอกเลยว่าผมบิดสุดเข็มไมล์ ไอ้ข้าวมันด่าผมด้วยครับว่าจะไปหาไอ้ธีรหรือจะได้เป็นศพกันอยู่บนถนน ไม่รู้หละผมร้อนใจกลัวว่าเพื่อผมจะเป็นอะไรส่วนเรื่องฟาเอาจริงๆ มันไม่ได้อยู่ในหัวผมเลย
พอมาถึงก็เห็นไอ้ธีรนอนนิ่งอยู่ริมถนนมีฟาดูอยู่ไม่ห่าง ใกล้กันมีรถมอเตอร์ไซต์ของมันล้มอยู่ ผมว่ามันอาจไม่เป็นอะไรมากเพราะใส่หมวกกันน็อคแบบเต็มใบแต่อาจลงพื้นแรงไปเลยสลบ แต่แขนมันนี่สิ รอยถลอกรอยข่วนเต็มไปหมดเพราะใส่เสื้อแขนสั้น ส่วนฟาก็มีแผลถลอกตามตัวนิดหน่อยเพราะใส่กางเกงขายาวและเสื้อแขนยาว ถนนเส้นนี้ค่อนข้างเปลี่ยวรถผ่านน้อย พวกผมชอบมาเทสรถกันเพราะสภาพถนนค่อนข้างดี คนส่วนใหญ่มักใช้เลี่ยงทางหลักเฉพาะเทศกาล
“โทรเรียกรถพยาบาลหรือยัง” ฟาส่ายหัว ผมกับไอ้ข้าวสำรวจอาการโดยรวมของเพื่อนผม...พลางถอดหมวกกันน๊อคออกจากหัวมัน โชคดีที่มันยังหายใจอยู่ทำเอาผมเบาใจไปเยอะ
“ข้าวมึงโทเรียกกู้ภัยดิ”
“สัสกูไม่ได้เอาโทรศัพท์มา” ผมโยนไอโฟนผมให้มัน “กูไม่รู้เบอร์ว่ะ” เวรละผมก็ไม่รู้
“งั้นมึงอยู่นี่ละโย เดี๋ยวกูไปตามคนแถวนี้มาช่วย” มันว่าพร้อมคว้ากุญแจจากผมขับรถออกไป พระอาทิตย์เริ่มตกแล้วแถมไฟถนนแถวนี้ก็ติดบ้างไม่ติดบ้าง ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ วะ
“โย...” ฟาเรียกพร้อมจับมือผมไว้ “ฟาขอโทษ”
ปึก!!!ผมรู้สู้สึกเจ็บแปลบที่ท้ายทอยเหมือนโดนของแข็งฟาดก่อนจะหมดสติไป
ข้าวกลับมาพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยแต่กลับไม่เห็นตัวคนทั้งสามมีเพียงรถของธีรที่ล้มอยู่ข้างทางกับโทรศัพท์ของโยที่ตกอยู่บนพื้น ไปไหนของเขาวะ...ดวงตาสีดำมองไปรอบๆ อย่างกังวลรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนทั้งสองจับใจ โทรศัพท์ที่ตกอยู่บนพิ้นดังขึ้น ข้าวจึงหยิบมันขึ้นมาดู ปรากฏสายไม่ได้รับเกือบ 20 สาย จากรอท เขาแล้วกดรับมันอย่างร้อนรน
“ดีครับพี่”
“โยไปไหน!?” เสียงปลายสายถามขึ้นอย่างร้อนใจ ข้าวเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พี่รอทฟัง ไม่นานก็ตามมาที่เกิดเหตุพร้อมกลุ่มคนท่าทางน่ากลัว 4-5 คน สำรวจรอบๆ ซักพัก ก่อนที่ข้าวจะถูกเรียกขึ้นรถไปด้วยกัน ส่วนมอเตอร์ไซต์สองคันมีคนที่พี่รอทพามาขับกลับให้ เขาเองก็ไม่เข้าใจเหตุการณ์เท่าไหร่แต่พอจะเดาได้ว่าต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับโยและธีรแน่ พี่รอทถึงมีสีหน้ากังวลแบบนั้น
......................
ผมค่อยลืมตาขึ้นแบบมึนๆ ปรับสายตาซักพักจึงเข้ากับแสงสลัวจากหลอดไฟเก่าๆ ภายในห้องที่มีประตูเหล็กเก่าๆ อยู่ด้านหนึ่ง กับหน้าต่างพังๆ ข้างกันเป็นเป็นไอ้ธีรที่นั่งหลับพิงกำแพงอยู่ มือของมันโดนจับไขว้หลังพร้อมใส่กุญแจมือ ผมก็เช่นกัน ผมรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอของพวกอมนุษย์อยู่ไม่ไกลและมันก็มีหลายตัวเสียด้วย
“ธีร...เชี่ยธรี” ผมเรียกพร้อมเอาตีนเขี่ยมัน มันขยับตัวก่อนจะลืมตาขึ้นแบบงงๆ สารรูปมันดูแย่ครับ
“กูมาอยู่ที่นีได้ไงวะ” มันถาม “แล้วมึง....ไอ้โย” มันดูแปลกใจที่เห็นผม
“ฟาโทรมาบอกกูว่ามึงรถล้ม กูกับไอ้ข้าวเลยไปหา ระหว่างรอไอ้ข้าวไปเรียกคนมาช่วย ใครไม่รู้ฟาดหัวกู รู้ตัวอีกทีก็ถูกมัดอยู่ที่นี่แหละ” ผมอธิบายเท่าที่ผมจำได้ ไอ้ธีรยิ่งทำหน้างงเข้าไปใหญ่
“รถล้มเชี่ยไรล่ะ เมื่อคืนกูจำได้ว่ากูออกไปกินเหล้ากับฟา...หรือว่า...อีห่านั่นแม่งหลอกพวกเรามา” ผมฟังสรรพนามที่มันเรียกฟาแล้วตกใจเลยครับ คนเราเรียกแฟนตัวเองแบบนั้นด้วยหรอ
“มึงไม่ได้เป็นแฟนกับฟาหรอวะ” ผมถามอย่างแปลกใจ
“ไม่อะ กูแค่เล่นๆ” ฟังมันพูดละขึ้นครับ แย่งแฟนเพื่อนเล่นๆ เนี่ยนะ หมั่นไส้ เอาตีนถีบมันไปทีหนึ่ง
“สัส! ฟังให้จบก่อนดิวะ” มันว่าพร้อมถีบผมคืน ถ้าไม่ติดกุญแจมือผมว่าคงมีต่อยกันละ “คือกูรู้จักฟามาก่อนที่มันจะมาเจอมึง อีนี่แม่งร่าน ตอนแรกที่มึงพามันมาให้กูรู้จัก กูก็ตกใจหน่อยๆ นั่นละ”
“ไม่เห็นมึงจะเคยบอกกูเลย” ผมว่ามัน
“ก็กูอยากให้โอกาสคน เผื่อมันจะจริงใจกับมึง” มันอธิบาย “แต่เปล่าเลย ลับหลังมือกูก็ยังเจอมันที่ผับบ่อยๆ ไปกับคนโน้นคนนี้ ก็เลยคิดว่าปล่อยไว้ไม่ได้ เลยลองๆ จีบมันดู ตั้งใจจะดึงมันออกจากชีวิตมึง จีบติดค่อยทิ้ง” ฟังดูเป็นแผนการที่ชั่วดีครับ
“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูตรงๆ วะ”
“มึงรักแฟนมึงซะขนาดนั้น มึงคิดว่ากูพูดอะไรไปมึงจะฟังกูมั้ย” มันก็จริงขนาดผมเองตอนนี้ยังไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่มันพูดเลย แต่ไอ้ธีรไม่เคยโกหก อย่างมากมันแค่ไม่พูดถ้ามันอยากปิดบัง “ถึงมึงจะถนอมมัน ไม่แตะต้องมัน แม่งก็ไปนอนกับคนอื่นอยู่ดี” ธีรว่าอย่างเจ็บแค้น
“แล้วมันคุ้มหรอวะ ที่มึงต้องมาผิดใจกับกูเรื่องนี้อะ” ผมว่าแผนมันโคตรควาย ทำเอาผมเมาจะเป็นจะตาย แถมต้องต่อยกันกับมันเละเทะ “ไอ้ข้าวรู้เรื่องนี้เปล่าวะ”
“กูมั่นใจว่าเคลียกับมึงได้ ไอ้ข้าวบอกจะช่วยพูดอีกแรง” มันว่าพร้อมจ้องหน้าผมจริงจัง “เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช้หรอวะ อยากมากมึงก็ไม่ฆ่ากูทิ้งหรอก” ผมถอนหายใจกับแผนการโง่ของพวกมันสองคน เอาจริงๆ คือโกรธแม่งไม่ลงเพราะทั้งหมดคือมันทำเพื่อผม
“แล้วจะทำยังไงกันต่อวะ” เรื่องอื่นค่อยเคลียร์ ตอนนี้ผมว่าหาทางหนีจะดีกว่า
“ใจเย็นดิวะ” ไอ้ธีรว่าพลางทำอะไรกร๊อกๆ แกร๊กๆ กับกุญแจมือของตัวเอง หน้ามันดูตั้งใจมากกริ๊ก! กุญแจมือข้างหนึ่งเด้งออก ก่อนที่แขนทั้งสองมันจะเป็นอิสระเผยให้เห็นลวดเส้นเล็กๆ ในมือมัน มันจัดการไขอีกข้างออกพร้อมโยนทิ้งไป
“ไปฝึกมาจากไหนวะ” ผมถามอย่างแปลกใจ
“เคยฝึกสมัยเป็นแดกแว้นซ์” ปัจจุบันมันก็แว้นซ์ครับ แต่เป็นบิ๊กไบท์ ธีรหันมาไขกุญแจให้ผมออกให้ผม ผมเดินสำรวจรอบห้องอย่างหาทางหนี ประตูล๊อคจากด้านนอกคงมีแค่หน้าต่างเท่านั้นแหละ ผมชะโงกหน้าออกไปดูข้างนอก แสงจันทร์ที่ให้จะเต็มดวงทำให้พอมองเห็นข้างล่างมันไม่สูงเท่าไหร่ พวกผมน่าจะอยู่ที่ชั้นสองของตึก
“ต้องโดดวะ” ผมหันไปบอกเพื่อน ก่อนจะปีนขอบหน้าต่างแล้วกระโดดลงไปพร้อมไอ้ธีรที่โดดตามมาติดๆ ไม่จำเป็นต้องย่องหรืออะไรเลยเพราะพวกอมนุษย์พวกนั้นมันประสาทสัมผัสดี ผมดึงแขนไอ้ธีรวิ่งออกไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายคิดแต่ว่า ไปให้พ้นๆ พวกมันก็พอ เสียงตระโกนตามหลังมาไม่ไกลเดาว่าพวกมันกำลังตามมา
ปัง ปัง ปัง!! เสียงปืนดังไล่หลังเราทั้งคู่ ก่อนจะมีพวกมันคนหนึ่งห้ามว่าอย่ายิงต้องจับตัวเป็นๆ ไม่รู้ว่าวิ่งมาไกลแค่ไหนแต่ผมสัมผัสกลิ่นไอของพวกมันไม่ได้แล้ว รู้สึกได้ถึงแรงรั้งจากแขนไอ้ธีรก่อนที่ตัวมันจะล้มลงแล้วดึงผมล้มไปด้วย หันไปมองมันแล้วก็ตกใจหน้ามันซีดมากๆ ผมพยายามพยุงมันขึ้นแต่ตัวมันหนักมาก รู้สึกชื้นๆ ที่เสื้อมัน
เลือด...ผมมองของเหลวสีแดงที่เลอะเต็มมือผม เลือดมันออกเยอะมากเหมือนะโดนไปหลายนัด นั่นยิ่งทำให้ผมร้อนใจ
“มึงหนีไปเหอะ...กูไม่ไหววะ” ไอ้ธีรมองหน้าผม มันดูเหนื่อยมากๆ ผมเริ่มใจไม่ดี
“หนีเชี่ยอะไร กูไม่ทิ้งมึงไว้หรอก” เสียงผมเริ่มสั่น “ลุกเลย กูจะพามึงไปหาหมอ” ผมพยายามรั้งมันขึ้น แต่ไม่เป็นผล
“มึงเกลียดกูหรือเปล่า” มันถามขึ้น
“กูไม่เคยเกลียดมึง ไม่มีวัน” มันยิ้มให้ผม
“ก็ดีแล้ว...โยกูง่วงวะ” มันพูดเสียงแผ่ว รู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจ ดวงตาผมพร่าไปด้วยน้ำตาที่เริ่มเอ่อ
“ง่วงเชี่ยอะไรตอนนี้...ฮึก” ผมร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เลือดมันไหลเต็มพื้นเลย มันกำลังจะตาย...ไอ้ธีรกำลังจะตาย...ผมต้องทำยังไง
“กูว่ากูไม่รอดหวะ...ฮ่าๆ” มันหัวเราะขาดๆ หายๆ มันใช่เวลามั้ย
“ไอ้ธีร...มึงอย่ามาล้อกูเล่นนะ” ผมตะโกนใส่มันทั้งน้ำตา
“โย...” มันพยายามเอื้อมมือที่อ่อนแรงนั้นมาเช็ดน้ำตาให้ผมแล้วก็ร่วงหล่นไปพร้อมลมหายใจของมัน
ผมปล่อยโฮออกมาพร้อมกอดมันแน่น เขย่าตัวมันเรียกมันแต่มันก็ไม่ตอบผม...ผมกอดมันอย่างสิ้นหวัง นี่ผมเสียมันไปแล้วจริงๆ มันเป็นเพื่อนที่ผมรัก มันยอมเป็นคนชั่วเพื่อเอาฟาไปจากชีวิตผม ยอมให้ผมโกรธ ยอมให้ผมด่า..ต่อยมัน...ตวาดมัน...ตะคอกใส่มัน แต่ทุกอย่างเพื่อตัวผม ผมยังไม่ได้ขอโทษมันซักคำทั้งที่เราก็พึ่งเข้าใจกัน...ธีร กูขอโทษ ขอร้องละกลับมา กลับมา มึงจะต่อยกูก็ได้...ผมพร่ำเพ้อยู่ในใจกอดร่างไร้วิญญาณของมันร้องไห้อยู่อย่างนั้น ไม่สนแม้แต่พวกอมนุษย์ที่ตามผมมาทัน
“ไอ้พวกเชี่ย ปล่อยกู” ผมตระโกนลั่นพร้อมดิ้นพล่านเมื่อพวกมันพยายามดึงผมออกจากร่างของธีร “กูจะฆ่าพวกมึง พวกมึงทุกคน”
ร่างของผมถูกพวกมันลากออกมาในที่สุด ผมมองดูศพของเพื่อนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น ไกลออกไป...ไกลออกไป ในใจเคียดแค้น ชิงชัง และสาปส่ง ผมจะฆ่ามันทุกคนให้สมกับที่มันทำกับเพื่อนผม
...............................................
Tee Say
ตอนม.4 เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับโย มันย้ายเข้ามาเป็นนักเรียนใหม่ในห้องผม บอกตามตรงโคตรหมั่นไส้มัน หน้าตาลูกครึ่งสาวติดตรึม เรียนก็ดี กีฬาก็เก่ง รู้สึกต่อมที่ตีนมันกระตุกอยากเตะคน แต่ความคิดทุกอย่างมันเปลี่ยนไป ตอนที่ผมถูกเด็กช่างไล่กระทืบเพราะไอ้ข้าวหอมดันไปอ้อนตีนเขา เพื่อนในกลุ่มแม่งวิ่งหนีให้หมด ปล่อยพวกผมโดนรุมตีน ไอ้โยมันผ่านมาพอดีเลยเข้ามาช่วยพวกผมทั้งที่รู้ว่าเสียเปรียบ ถึงพวกผมจะพอสู้ได้แต่ 3-10 มันก็เกินกำลัง พวกผมนั่งพิงกำแพงเรียงกันสามคนในสภาพสะบักสะบอมแต่ไอ้พวกเด็กช่างดูจะเจ็บหนักกว่า...ยอมรับเลยว่ามันต่อยคนเก่ง น่าจะโดนตีนมาโชกโชนพอตัว
“ทำไมมึงช่วยพวกกูวะ” ผมถาม
“มึงเป็นเพื่อนกูนิ” มันตอบพร้อมยิ้มให้ผม
“มึงมันบ้า”
จากนั้นเราสามคนเลยสนิทกัน กลายเป็นเพื่อนรัก ถึงไลฟ์สไตล์จะต่างกันบ้าง ผมชอบเที่ยวกลางคืน ไอ้ข้าวก็พอกัน ส่วนไอ้โยมันไปบ้างไม่ไปบ้างเพราะมันติดเกมส์ แล้ววันหนึ่งโยก็พาแฟนมันมาให้รู้จักชื่อฟา หน้าตาน่ารักดูเป็นลูกคุณหนูดี แต่ผมจำผู้หญิงคนนี้ได้ถึงผมจะไม่ค่อยใส่ใจกับผู้หญิงที่ผมนอนด้วยก็เถอะ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะคิดว่าคิดเราล้วนมีอดีตและฟาคงจะจริงจังกับเพื่อนผม แต่เปล่าเลยลับหลังไอ้โย แฟนมันก็มั่วไปเรื่อยถึงขนาด อ่อยทั้งผมทั้งไอ้ข้าว ผมกับไอ้ข้าวเลยวางแผนชั่วนี้ขึ้น เพื่อเอาฟาไปจากชีวิตไอ้โย
ตอนนี้ ผมมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของโย ผมโดนยิงหลายนัดแต่ก็พยายามฝืนวิ่งมากับมัน สุดท้ายก็ทนได้แค่นี้ ผมดีใจที่คนโดนยิงไม่ใช่มัน ผมรักมันมาก ห่วงมันมาก ไม่รู้ทำไม แต่สำหรับเพื่อนคนนี้ผมตายแทนมันได้
เหนื่อย...เรียวแรงมันเหมือนจะหมดไปพร้อมๆ กับเลือดที่ไหลออกมา
“มึงเกลียดกูหรือเปล่า” ผมถามมัน
“กูไม่เคยเกลียดมึง ไม่มีวัน” คำตอบมันทำให้ผมยิ้ม ผมมีความสุขที่มันไม่เกลียดผม ที่มันร้องไห้เพื่อผม
ผมอยากจะอยู่ดูแลมันไปนานๆกว่านี้ แต่คงไม่ได้แล้ว แค่หายใจยังลำบาก ผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้มัน ได้แต่ภาวนาว่ามันจะรอดไปได้และปลอดภัย เวลาของผมใกล้หมดเต็มที หูผมไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว มีเพียงใบหน้าที่พร่าเลือนของมันที่ผมพยายามจะรับรู้และจดจำ ถ้าเทวดาฟ้าดินมีจริง ได้โปรดปกป้องมันเพราะผมคงทำได้เพียงเท่านี้...ลาก่อน โยนาห์
Talk Talk
[/b]
-เป็นบทที่ทำสภาพจิดใจเราย่ำแย่มากในตอนที่พิมพ์ เราว่าเราอินเกินไป พาลให้อะไรๆ มันก็หดหู่ไปหมด
-เนื้อหาหนักไปหน่อยนะบทนี้ ต้องขอประทานอภัย เขียนเองยังสงสารเลย แต่ไม่ต้องตกใจ ถึงเนื้อเรื่องจะเข้มข้นเพียงใด บอกเลยว่า ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องแน่นอน จะอยู่กดดันทุกท่านไปนานๆ
-ภาพประกอบอาจจะมีตามมาเพราะเรารู้สึกว่าอยากวาดภาพให้บทนี้มากๆ ตั้งใจจะวาดจริงๆ จังด้วยๆ
-ขอบคุณกำลังใจจากทุกท่าน เข้ามาอ่านไปก็ยิ้มไป รู้สึกชื่นใจและ มีกำลังใจมากๆ ในการเขียน ขอบคุณจริง