Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-34-
หลังจากอาละวาดแบบสติหลุดที่โรงพยาบาล แม่และพี่เปรมก็พาผมกลับบ้านทันที เมื่อถึงบ้านไอ้ดีนกับน้องปิ่นยกกล่องกระดาษกล่องหนึ่งมาให้ผม มันดูธรรมดาเหมือนกล่องทั่วไป แต่สันชาตญาณของผมกลับบอกว่ามันเป็นของขวัญที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบเจอ
ภายในกล่องกระดาษสีขาวสะอาด มีผ้านวมนุ่มรองรับร่างน้อยเอาไว้อย่างถนอมและบนร่างนั้นก็มีผ้าห่มผืนเล็กคลุมปิดไว้ ใบหน้าน่าเอ็นดูและดวงตากลมโตที่มักจะมองมาที่ผมเสมอบัดนี้ถูกปิดสนิทเรียบนิ่งราวกับว่าเจ้าของร่างกำลังหลับสบายอยู่ในห้วงนิทราอันยาวนานแสนนาน
ผมพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นและไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ผมกำลังลูบหัวและยิ้มให้กับน้องชายตัวน้อยที่กำลังนอนหลับอย่างสบายเหมือนเช่นทุกค่ำคืน
“น้องเปี๊ยกรีบตื่นมาเล่นกับพี่ไอนะ” พี่ไอจะรอ..
พี่เปรมบอกกับผมว่าน้องเปี๊ยกนอนหลับเพราะกะโหลกแตกร้าวและกระดูกซี่โครงหักจากแรงกระแทกอย่างรุนแรง สาเหตุทั้งหมดเกิดจากน้องเปี๊ยกพยายามปกป้องผมจากไอ้พวกคนเลว แม้จะตัวเล็กเท่ากำปั้นรู้ว่าสู้ไม่ได้แต่ก็ไม่เคยถอย ทั้งๆ ที่อยู่ด้วยกันแต่ผมกลับช่วยเหลือหรือปกป้องน้องเปี๊ยกไม่ได้สักนิด ช่วงเวลานั้นน้องเปี๊ยกคงจะทรมานและเจ็บปวดน่าดู แต่ก็ไม่สามารถที่จะบอกหรือร้องขอชีวิตจากใครได้ เพราะเห็นว่าเป็นแค่หมาและคิดว่าเป็นแค่สัตว์ตัวหนึ่งจึงสามารถกระทำสิ่งใดลงไปก็ได้โดยไม่รู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี สมควรแล้วล่ะครับที่ไอ้คนสารเลวนั่นตายแบบทรมานยิ่งกว่าสิ่งที่พวกมันเคยกระทำเอาไว้เป็นร้อยเท่าพันเท่า
“ไอ... รู้สึกง่วง” ผมบอกกับทุกคนที่กำลังยืนมองผมอยู่ด้วยสายตาห่วงใย
ถ้าหากสลับกันเป็นผมที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องไม้สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่กว่านี้ แม่คงจะร้องไห้หนักมาก ไอ้ดีน พี่ดิน คุณลุงและคุณป้าก็คงจะเสียใจมากเช่นกันแต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ส่วนพี่เปรมผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าผมไม่อยู่ด้วยแล้วพี่เปรมจะเป็นยังไงบางทีอาจจะหาเมียสักคนมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองใช้ชีวิตที่มีความสุขกับครอบครัวอย่างปกติก็เป็นไปได้ แต่ในเวลานี้ผมยังอยู่ และอาจจะมีแค่ผมเท่านั้นที่ในอกมันเสียดแสบจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แบบนี้
แม่บอกให้ผมขึ้นไปพักผ่อนบนห้องนอนก่อน ตอนเย็นจะได้ลงมาทานข้าว ผมพยักหน้ารับ และก่อนจะเดินออกมาผมส่งยิ้มให้น้องเปี๊ยกอีกครั้ง ผมรู้ดีว่าหลังจากที่ผมขึ้นไปแล้วไอ้ดีนกับน้องปิ่นคงจะพาน้องเปี๊ยกไปที่ไหนสักแห่ง ที่ๆ น้องเปี๊ยกจะได้นอนหลับอย่างสงบเพียงลำพัง
พี่เปรมเดินตามผมขึ้นมาบนห้องนอนเงียบๆ ไม่มีคำพูดใดๆ ซึ่งผมคิดว่าการเงียบในช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอแต่ขอแค่ยังอยู่ข้างๆ กัน สำหรับผมแล้วถือเป็นการปลอบใจที่ดีที่สุด ผมล้างหน้าล้างตา ใบหน้าบวมช้ำเลือดตัดกับผิวสีซีดที่ยังไม่ทันจะได้ฟื้นตัวจากโรคเนื้องอกในสมองทำให้ร่องรอยการถูกทำร้ายเด่นชัดขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะเครียดจนแทบบ้ากับหน้าตายับเยินของตัวเองแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองเลิกยึดติดกับรูปร่างหน้าตาตั้งแต่เมื่อไหร่ คิดแค่ว่ามีแผลเดี๋ยวมันก็หาย ทรุดโทรมก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ก็เท่านั้น
ผมล้มตัวลงนอนบนเตียง มองรูปภาพของพ่อ
“พี่เปรม ถ้าคนที่จากไปคือไอ แล้วน้องเปี๊ยกรอด พี่เปรมจะดูแลน้องเปี๊ยกอย่างดีแทนไอมั๊ย?” ผมแค่อยากจะรู้ว่าจะมีใครห่วงใยน้องเปี๊ยกบ้างก็เท่านั้น
“มึงเป็นคนเจอไอ้เปี๊ยกก็จริง แต่กูเป็นคนเลี้ยงมันมาก่อนมึงซะอีก”
คำตอบที่ได้รับทำให้ผมละสายตาจากพ่อหันไปมองพี่เปรม ดวงตาคู่คมนั้นกำลังจ้องมองผมมาโดยตรง มันเป็นสายตาที่นิ่งและจริงจัง และมันก็ทำให้ผมอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ
นั่นสินะ.. ผมลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง เพราะไม่ใช่พี่เปรมหรอกเหรอผมและน้องเปี๊ยกถึงได้มาเจอกันอีกครั้ง พี่เปรมเลี้ยงน้องเปี๊ยกมาอย่างดีแค่ไหนผมนี่แหละที่รู้ดีที่สุดและรู้ดีกว่าใครทั้งหมด แล้วมีเหรอที่พี่เปรมจะไม่เสียใจกับการจากไปของน้องเปี๊ยกในครั้งนี้
พี่เปรมหลบสายตากับผมแต่ในเศษเสี้ยววินาทีผมก็ทันที่จะเห็นแววตาสั่นไหวนั่น
“เสาร์นี้ไออยากจะไปทำบุญให้พ่อ” ผมบอกพี่เปรมที่เสแกล้งทำเป็นเลือกหนังสือในกล่องกระดาษ วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้พี่เปรมก็ต้องไปรับราชการอย่างเต็มตัวแล้วล่ะครับ
“อืม” เสียงทุ้มตอบกลับมาโดยไม่ได้หันมามอง
ผมหันกลับมามองรูปของพ่ออีกครั้ง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดคลุมแล้วหลับตาลงพร้อมความอัดอั้นทั้งหมดที่เก็บกดไว้ถูกปล่อยออกมาเป็นหยดน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม ผมจะร้องไห้แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น
แค่วันนี้เท่านั้นจริงๆ.
.
.
.
เช้าวันเสาร์ ผมตื่นมาช่วยแม่กับคุณป้าพิมพ์ทำกับข้าวไปวัดตั้งแต่ตีสี่ กว่าทุกอย่างจะเสร็จอย่างพร้อมเพรียงก็เกือบเจ็ดโมงเช้า
เมื่อวานผมได้มีโอกาสนั่งคุยกับแม่ คุณลุงเด่นและคุณป้าพิมพ์แบบเปิดอกเป็นครั้งแรก มันทำให้ผมเพิ่งได้รู้ว่าชีวิตของแม่แข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็กๆ คุณปู่กับคุณย่าให้แม่เรียนทั้งเคนโด้ เทคควันโด้ และยิงปืน ไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ตามวิถีของกุลสตรีญี่ปุ่น แม่ยิงปืนแม่นกว่าพี่น้องที่เป็นผู้ชายซะอีก และตอนสาวๆ ก่อนจะมาเจอพ่อ แม่ตามพี่ชายไปทวงหนี้อยู่บ่อยครั้ง ได้ลงไม้ลงมือบ่อย แม่บอกว่ามันสนุกดีแล้วก็หัวเราะคิกคักกับคุณลุงเด่นและคุณป้าพิมพ์กันยกใหญ่ เหมือนว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่เอาจริงๆ ผมนึกภาพของแม่ในแบบโหดไม่ออกสักนิด ถ้าภาพแม่ควงตะหลิว จับไม้กวาด จ่ายตลาด หรือทำงานบ้านสารพัดแบบนั้นต่างหากคือแม่ที่ผมรู้จัก แต่ยังไงก็ช่างเถอะครับ สำหรับผมแล้วผู้ใหญ่สามคนนี้แม้จะน่ากลัวสักแค่ไหน ผมก็รักหมดใจครับ
เดินทางมาถึงวัดบรรยากาศเดิมๆ จึงกลับมาอีกครั้ง พี่ดินที่เพิ่งออกเวรก็ยังอุตส่าห์ขับรถมาสมทบครบองค์ประชุม เราทุกคนทำตามขั้นตอนทางศาสนา และรอจนพระฉันท์เพลเสร็จทุกคนก็ล้อมวงทานข้าวพูดคุยกันสัพเพเหระ ในขณะที่ผมและแม่ขอแยกกันออกมาหาพ่อที่ด้านหลังวัด
“อานะตะ...” แม่รินสาเกใส่แก้วแล้ววางหน้าโกศของพ่อ พร้อมกับเลื่อนจานขนมโมจิขนมโปรดของพ่อไปใกล้แก้วสาเก
แม่นั่งมองรูปของพ่ออยู่นิ่งๆ อย่างนั้น รอยยิ้มและสายตาที่เต็มไปด้วยความสุขที่ส่งผ่านถึงกันนั้นเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ของความรัก เมื่อก่อนผมรู้แค่ว่าพ่อกับแม่รักกันมากแค่ไหน แต่ตั้งแต่เรื่องเลวร้ายที่เพิ่งผ่านพ้นไปทำให้ผมรู้ว่าความรักที่พ่อและแม่มีให้แก่กันนั้นมันยิ่งใหญ่จนสามารถทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งแกร่งถึงขนาดที่ยอมเอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพันเพื่อคำว่า ‘รัก’ นั้นได้ และเชื่อว่าหลายคนอาจจะมองว่าสิ่งแม่ทำดูเป็นเรื่องโง่ แต่สำหรับผมแล้วความรักที่บริสุทธิ์ใจนั้นมันเป็นเหมือนพลังผลักดันให้ชีวิตของเราก้าวเดินต่อไป นอกจากแม่จะทำเพื่อพ่อ แม่ยังทำเพื่อพี่ชายที่เสียชีวิตไปและทำเพื่อครอบครัวของแม่เอง คุณตากับคุณยายก็คงจะภูมิใจในตัวแม่ไม่น้อย และผมก็มีลางสังหรณ์ว่าในเร็ววันนี้ผมคงจะได้เจอกับพวกท่านแน่ๆ
“คุณคะ วันนี้ฉันมีความสุขจังเลยน๊า.. อุเรชิ โอ โมทเตะ อิมาสุ ก๊ะ?” แม่ถามพ่อว่ามีความสุขเหมือนกันมั๊ย?
ต่อให้ไม่ต้องตอบผมก็รู้ว่าพ่อเองก็กำลังมีความสุขเหมือนกัน พ่อกำลังยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับแม่เป็นยิ้มที่มีความสุขที่สุดเท่าที่ผมสัมผัสได้ในตลอดสิบปีที่ผ่านมา แต่ต่างกันตรงที่ผมรู้สึกคล้ายกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พ่อจะอยู่กับพวกเรา
ผมนั่งฟังแม่เล่าเรื่องมากมายให้พ่อฟังอยู่เงียบๆ เสียงสายลมเย็นในยามบ่ายพัดหอบเอาความร้อนอบอ้าวให้ผ่อนคลายลง เสียงกระดิ่งจากมุมหนึ่งมุมใดของวัดลอยมาตามลม แม่ฮัมเพลงเบาๆ ซึ่งผมจำได้ดีว่าเป็นเพลงที่พ่อกับแม่ชอบร้องให้แก่กัน เมื่อก่อนพ่อกับแม่จะร้องเพลงจีบกันลั่นบ้านโดยมีผมนั่งเขินอยู่ตรงกลาง ความรู้สึกของผมตอนนี้ก็เหมือนกับตอนนั้น มันทำให้ผมอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ แม่ร้องไปสักพักก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แก้มของแม่ขึ้นสีจางๆ บอกให้รู้ว่ากำลังเขิน
“อานะตะ.. อาอิ ชิเตรุ.. ” คำบอกรักของแม่มีให้พ่อเสมอครับ
“น้องไอก็รักพ่อนะ” นั่งเงียบมานานก็ขอแทรกบ้างอะไรบ้าง
แม่หันมามองหน้าผมแล้วหัวเราะออกมาเสียงดัง นั่นไงผมกะไว้แล้วเชียวว่าแม่ลืมไปแน่ๆ ว่ามีลูกชายนั่งหล่ออยู่อีกคน แม้หน้าจะยังมีรอยบวมช้ำแต่ผมก็ไม่สามารถบดบังเบ้าหน้าดีเลิศของผมไปได้หรอกนะครับ
“แม่กับพ่อก็รักน้องไอที่สุด และพ่อก็ภูมิใจในตัวน้องไอมากๆ น๊า” บุพการีอาโนเนะดึงผมเข้าไปกอดแล้วจูบหนักๆ ลงบนแก้มที่ไม่มีรอยช้ำของผม ผมจึงหันไปหอมแก้มแม่กลับไปหลายฟอด
“บอกลาพ่อสิน้องไอ.. คุณพ่อจะกลับขึ้นเทนโกกุแล้วน๊า” เทนโกกุคือสวรรค์ครับ แม่คงนึกคำไทยไม่ทันเลยใช้ศัพท์บ้านเกิดซะเลย
“พ่อจะอยู่ตรงนี้ของน้องไอและแม่เสมอ น้องไอจะดำเนินชีวิตในทุกวันให้ดีที่สุดและจะดูแลแม่ไม่ให้ใครมาแย่งไปอีกเด็ดขาด เพราะฉะนั้นพ่อไม่ต้องห่วงทางนี้แล้วนะครับ” ทุกอย่างมันจบและมันผ่านไปแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงร่องรอยของวันวานที่เราจะฝังมันไว้ในก้นเหวลึกที่จะไม่มีวันโผล่ขึ้นมาได้อีก
เสียงหัวเราะของแม่ดังขึ้นมาเบาๆ จะว่าไปก็นานแล้วที่ผมไม่เห็นแม่ยิ้มและหัวเราะอย่างจริงจังทั้งใบหน้าและดวงตาแบบนี้
“ขอบคุณครับพ่อ” ผมพนมมือแล้วก้มกราบพ่อ ขอบคุณที่มอบชีวิตนี้ให้กับผม ขอบคุณสำหรับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ทำเพื่อผมมาโดยตลอด และทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับผมเป็นครั้งสุดท้าย
พ่อไม่เคยผิดสัญญากับผม..นั่นคือสิ่งที่ผมมั่นใจและผมก็เชื่อว่าสิ่งที่แม่ทำเพื่อพ่อในครั้งนี้จะสามารถปลดปล่อยห่วงที่ยึดติดพ่อเอาไว้ให้หลุดพ้นได้ขึ้นไปอยู่บนฟ้ามองผมและแม่อย่างมีความสุขเสียที
.
.
.
.
ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันพิเศษและถือเป็นการเลี้ยงส่งนายแพทย์เปรมนทีป์ ดังนั้นคุณลุงเด่นจึงพาทุกคนมากินมื้อเย็นที่ร้านอาหารชื่อดังแถวชานเมือง กินกันอย่างเอร็ดอร่อย เมาท์กันมันส์ ผมกินจนท้องตึงไปหมดเลยล่ะครับ เพราะต้องกินในส่วนของตัวเองและของน้องเปี๊ยกเข้าไปด้วยกัน
ก่อนจะกลับผมขอตัวไปถ่ายของเหลวออกจากร่างกายสักหน่อย พี่เปรมกับไอ้ดีนก็ตามมาด้วย ส่วนพี่ดินต้องรีบกลับครับเพราะคืนนี้ต้องอยู่เวรแทนหมออีกคน ช่วงนี้ผมกับพี่ดินไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ คงยุ่งตามประสาคุณหมอนั่นแหละครับ ใครมีแฟนทำอาชีพนี้คงต้องทำใจ ว่าแล้วก็เหล่มองผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ฝั่งขวามือก่อนจะไล่สายตาลงต่ำ
“อิจฉาอะดิมึง” เสียงมาจากฝั่งซ้ายครับ
ถ้าไม่ติดว่ากำลังสะบัดน้องหนอนอยู่ ผมจะยกขาขึ้นจระเข้ฟาดหางไอ้เพื่อนปากมอมไปให้เต็มรัก ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องอิจฉาเลย เล็กๆ แบบนี้ผมก็ภูมิใจในประสิทธิภาพของมันนะเฟ้ยยย! ไม่เชื่อถามพี่เปรมดูก็ได้ ผมหันไปหาพี่เปรมเพื่อขอเสียงสนับสนุน และสิ่งที่ผมเจอก็คือ เสียงหัวเราะ
‘หึ’ กับรอยยิ้มกระตุกมุมปาก ให้มันได้แบบนี้สิครับทั้งเพื่อนทั้งผัว ดีเลิศประเสริฐศรีกันซะจริง
ผมเดินฟึดฟัดออกจากห้องน้ำเป็นคนสุดท้าย พี่เปรมกับไอ้ดีนเดินกลับไปที่โต๊ะเพื่อช่วยแม่กับคุณป้าพิมพ์หิ้วกระเป๋าคุณนาย ผมจึงไปที่ลานจอดรถก่อน และผมก็เห็นพี่ดินกำลังเดินหน้าบึ้งไปที่รถพอดี แปลกใจเล็กน้อยครับเพราะพี่ดินออกมาก่อนหน้าผมตั้งครู่ใหญ่แล้ว ผมคิดว่าพี่ดินจะออกไปแล้วซะอีกหรือว่าลืมอะไรรึเปล่านะ? ผมอ้าปากจะเรียกพี่ชาย แต่ก็ต้องหุบลงอย่างฉับพลันแล้วสไลค์ตัวหลบเข้าซอกหลืบมุมมืดที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็จ้องมองจนลูกกะตาแทบจะหลุดออกจากเบ้าไปยังร่างผอมบางที่ยืนยิ้มร่าอยู่ข้างรถของพี่ดิน ต่อให้แสงไฟตรงลานจอดรถจะสลัวสักแค่ไหนแต่ผมก็จำได้อย่างแม่นยำ
พี่ดินกดรีโมททั้งๆ ที่ยังอีกตั้งหลายเมตรกว่าจะถึงรถ ทั้งนี้เพื่อให้คนที่ยืนรออยู่ที่รถเปิดประตูเข้าไปนั่งประจำที่ข้างคนขับ จากนั้นพี่ดินจึงตามขึ้นไปแล้วสี่ล้อก็ทะยานออกจากร้านอาหารอย่างเร็ว ทิ้งให้ผมยืนมองด้วยความสับสนปนตกใจอยู่เพียงลำพังในเงามืด
“ทำอะไรของมึง?”
“สัส!” ตกใจขี้แทบไหลเลยครับ
ดวงตาคู่คมหรี่มองผม
“พี่เปรมมาทำไมเงียบๆ ถ้าไอตกใจจนขี้ไหลจะทำไง”
ไม่มีคำตอบครับ จะมีก็แค่เพียงสายตาที่บ่งบอกถึงการดูถูก เหยียดหยาม รังเกียจ เหน็บแนม ซึ่งทำเอาผมซึ้งใจจนน้ำตาแทบร่วงกันทีเดียว
“กูตามมึงออกมาก่อน แล้วมายืนแห้งตายอะไรตรงนี้”
แห้งตาย?? ช่างเป็นคำศัพท์ที่เชือดเฉือนใจผมมากเลยครับ เรื่องในห้องน้ำยังไม่ชำระ มาเรื่องนี้อีกดีจริงๆ เลย ผมสะบัดหน้ากลับ กอดอกแล้วเชิดหน้าหายใจฟึดๆ
“น่าแปลกจริงๆ ที่เด็กในบ้านชนะวิรุณพลหนีออกจากบ้านไปตั้งนานทำไมไม่มีใครตามตัวได้ อย่าให้รู้นะว่ามาวุ่นวายวอกแว่กให้คนในครอบครัวของไอต้องลำบาก ไม่งั้นอย่าหาว่าไอไม่เตือน” เหวี่ยงหางตาไปมองร่างสูงนิดๆ
“มึงหมายความว่าไง?”
ไม่ต้องมาทำหน้าขรึมหล่อไม่บันยะบันยังใส่ผมจนน่าหมั่นไส้ ไม่ทำให้หายงอนหรอกนะ
“ก็ไม่รู้สินะ.. ก็แค่เห็นเด็กคนนั้นนั่งรถออกไปกับพี่ดินก็แค่นั้นเอง” ผมยักไหล่ตอบแล้วรีบตั้งท่าชิ่งหนีแบบเนียนๆ แต่ไม่รู้เพราะร่างกายยังไม่เต็มร้อยหรือเพราะกินอิ่มจนเกินไปผมจึงโดนแขนแกร่งคว้าคอไว้ได้ทัน
“พี่หมอดินกับใคร?”
ไม่ต้องมาทำเสียงเข้มหน้าโหดโฉดหล่อใส่ผมหรอกครับ อย่าคิดว่าจะบอกกันง่ายๆ ระดับพบรักที่ผ่านสมรภูมิยมฑูตมาแล้วหลายครั้งเพราะฉะนั้นแค่นี้ไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย ผมจ้องตาพี่เปรมแบบไม่ยอมแพ้ในขณะที่ดวงตาคู่คมค่อยๆ หรี่ตาลงทีละนิด นี่มันซาตานชัดๆ
“ไอเห็นพี่ดินเดินมาจากตรงนั้น แล้วเด็กเขื่อนรออยู่ที่รถ จากนั้นก็นั่งรถออกกันไปด้วยกัน แต่พี่ดินไม่เห็นไอหรอกนะ ไอยืนแอบอยู่ตรงนี้” ทุกคนอย่ามองผมแบบนั้นสิครับ ผมไม่ได้กลัวพี่เปรมนะ แค่เกรงใจผู้ใหญ่นิดหน่อยเท่านั้น จริงๆ นะ เชื่อผมนะครับ
คิ้วเข้มขมวดกันแทบจะผูกเป็นโบว์ และเงียบไปหลายนาที กว่าใบหน้าหล่อคมจะกลับมาเรียบนิ่งเป็นปกติ
“กลับกันเถอะ” มือใหญ่กุมมือผมไว้แล้วพาเดินไปที่รถ และพี่เปรมก็ไม่ได้พูดหรือถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกเลย
และเป็นอีกครั้งที่ผมไม่สามารถความหมายจากแววตาและสีหน้าของพี่เปรมได้ พี่เปรมกำลังคิดอะไรอยู่ผมไม่รู้และเดาไม่ได้จริงๆ แต่ที่ไม่ต้องเดาก็คือคืนนี้ผมจะไปนอนกับแม่ครับ!
.
.
.
.
เช้าวันที่พี่เปรมจะต้องเดินทางไปเริ่มงานใหม่ในฐานะ นายแพทย์เปรมนทีป์ อัศววิรุณฉาย แบบเต็มตัวมาถึงพร้อมกับฝนที่เทกระหน่ำลงมาจากฟ้า ทำให้จากแผนการเดิมที่จะออกเดินทางกันในตอนเช้าตรู่ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าฝนจะซาลง
ผมตื่นตั้งแต่ตีสี่เหมือนเมื่อวาน ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปส่งพี่เปรมในฐานะ ‘เมียหมอ’ อย่างที่ไอ้ดีนปากมอมมันชอบแซวและไม่ใช่เพราะอยากจะไปดักรอกินเผือกเรื่องเมื่อวานกับพี่ดินที่เพิ่งออกเวรกลับมาบ้านหรอกนะครับ แต่เพราะผมมีบางอย่างที่กำลังรออยู่ ผมนั่งมองออกไปยังสนามหน้าบ้านสายตากวาดมองไปทุกมุมท่ามกลางเม็ดฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย หูก็ฟังเสียงแม่บ่นเป็นกังวลเรื่องฝนไม่ยอมหยุดตกสักทีจนสายขนาดนี้ลูกเขยก็ยังไม่ได้ออกเดินทาง กลัวจะไปถึงค่ำมืดดึกดื่น ไม่คุ้นชิน ไม่คุ้นทาง ซึ่งนานๆ แม่จะบ่นยาวแบบนี้สักทีผมกับพี่เปรมจึงไม่ห้าม
เวลาผ่านไปจนใกล้เที่ยงฝนจึงซาลง ผมกับพี่เปรมจึงทานมื้อเที่ยงกับแม่ก่อนออกเดินทาง ซึ่งผมไปแค่อาทิตย์เดียวแล้วเดี๋ยวก็ต้องกลับมาฝึกงานต่อ และขณะที่ออดี้คันหรูขับผ่านสวนสาธารณะของหมู่บ้าน หูของผมก็แว่วเหมือนได้ยินใครบางคนกำลังขอความช่วยเหลือ
“พี่เปรมจอดรถก่อน”
“อะไร?”
“ไอบอกให้จอดก่อนไง จอดตรงนั้น”
“มีอะไร?”
ถึงจะถามออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่พี่เปรมก็ยอมจอดรถชิดริมฟุตบาท ผมเปิดกระจกลงแล้วเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแผ่วแว่วผ่านสายฝนที่เริ่มเม็ดหนาขึ้นอีกครั้งจนมั่นใจว่าผมไม่ได้หูฝาดไปเอง ผมหันไปมองพี่เปรมที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดมองมาที่ผม
“เดี๋ยวไอมานะ” บอกเสร็จก็ปลดล็อคเปิดประตูวิ่งฉิวไม่แม้แต่จะรอฟังเสียงตะคอกทุ้มกร้าวที่เรียกห้ามสักนิด
สายฝนตกหนักลงกว่าเดิม ลมโหมพัด ฟ้าคำรามลั่น ทำให้เสียงที่ชัดเจนเมื่อครู่ถูกบดบังด้วยอุปสรรคจากธรรมชาติไปหมดสิ้น แต่ผมก็ไม่คิดจะหยุดความตั้งใจ ผมก้มมองใต้ม้าหินและเครื่องเล่นทุกชนิด แม้แต่ในพุ่มกอไม้ผมก็จะแหวกหาให้เจอ
เสียงฟ้าร้องที่ดังเป็นระยะมันทำให้ผมต้องหยุดชะงักนั่งงอตัวปิดหูทุกครั้ง ต่อให้กลัวจนขาสั่นและบางจังหวะที่ฟ้าแรงจนหัวใจแทบหยุดเต้น ผมก็ได้แต่บอกตัวเองว่าห้ามหยุดเด็ดขาด ยังไงก็ต้องหาให้เจอ ดังนั้นผมจึงต้องข่มความกลัวอย่างสุดชีวิต เพื่อเจ้าของเสียงอันเศร้าสร้อยที่กำลังรอผมอยู่
เปรี้ยง!!“อ๊ากก!” แสงแว่บฟาดลงกลางฟากฟ้าแล้วตามมาด้วยเสียงเปรี้ยงโครมใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านมา ผมยกมือปิดหูหลับตาปี๋แล้วขดตัวลงนั่งอย่างไว ร่างกายของผมสั่นเทิ้ม สติเหมือนกำลังจะขาดหลุดออกจากร่าง วินาทีนี้ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นแม้กระทั่งเสียงเรียกของพี่เปรม
มือใหญ่จับต้นแขนของผมแล้วกระชากขึ้นอย่างแรง พร้อมตวาดเสียงกร้าว ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงจะกลัวพี่เปรมจนต้องวิ่งไปฟ้องแม่ แต่ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเสียงฟ้า ต่อให้ว่าพี่เปรมกำลังโกรธจัดแค่ไหนผมก็ไม่มีแรงจะสู้หรือป้องกันตัวอะไรทั้งนั้น
“วิ่งตากฝนทำเหี้ยไรของมึงเนี่ย! ร่มมีไว้ทำสากกะเบือรึไง!!”
ไม่ได้คิดจะแก้ตัวอะไรทั้งนั้นหรอกครับ แค่กำลังจะอธิบายให้พี่เปรมฟังว่าทำไมผมถึงได้บ้าบิ่นวิ่งเล่นเอ็มวีกลางสายฝนแบบนี้ทั้งที่กลัวฟ้าร้องใจแทบขาด แต่ติดตรงที่พอเจออกแน่นๆ ให้พึ่งพิงของพี่เปรมเข้าเท่านั้น ผู้ชายแมนๆ แบบผมก็หลุดสำออยเป็นตุ๊ดทันที เรื่องแบบนี้มันห้ามตัวเองไม่ได้จริงๆ ครับ
“มึงนี่มันน่านัก!!” ปากก็ตะคอก แต่มือใหญ่ข้างที่ไม่ได้ถือร่มก็โอบลูบหลังปลอบใจผมอยู่
กระแสลมสงบ สายฝนบางลงไปเยอะ และเสียงฟ้าก็หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่มันก็นานหลายนาทีกว่าผมสามารถกลับมามีสติครบถ้วนสมบูรณ์ดังเดิม และเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ผมก็ตั้งสมาธิอีกครั้ง ใช้หัวใจสัมผัสถึงใจอีกดวงที่กำลังร้องหาอย่างน่าสงสาร
“ส เสียง.. พี่เปรมได้ยินเสียงร้องมั๊ย?”
ผมเขย่าแขนพี่เปรมรัวๆ แล้วหันมองรอบตัว เสียงนั้นดังอยู่ใกล้ ใกล้มากๆ
“พี่เปรมได้ยินรึเปล่า? ต้องหา.. ไอต้องหาให้เจอ..”
ดวงตาคู่คมมองผม คิ้วเข้มขมวด จับต้นแขนของผมไว้แน่นไม่ให้ผมขยับออกจากร่มไปไหน และก่อนที่ผมจะอ้าปากเถียงออกไป พี่เปรมก็เอาร่มยัดใส่ในมือผมแล้วย่อตัวลงนั่งยองๆ มองไปใต้ม้าหินที่อยู่ใกล้ที่สุด ทำให้ผมต้องย่อตัวลงนั่งแล้วมองตาม ซึ่งมันทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างอิ่มเอมใจที่สุดในรอบหลายวันที่ผ่านมา
ในที่สุดก็กลับมา.. พี่เปรมค่อยๆ อุ้มสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยเท่ากำปั้นออกมาจากซอกม้าหิน และผมก็รับมันมาด้วยมืออันสั่นเทา ร่างเล็กปกคลุมด้วยขนอ่อนๆ ที่แทบจะมองไม่เห็นเพราะคงพ้นจากท้องแม่มาได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง ดวงตายังปิดสนิท และสั่นระริกเปียกปอนด้วยความหนาวและหวาดกลัว ผมพยายามใช้อุณหภูมิของของร่างกายโอบอุ้มมันไว้ บริเวณหูมีรอยแผลเลือดยังสดๆ จากการโดนกัดทำร้าย พี่เปรมบอกว่าอาจจะโดนหนูแทะ ทุกอย่างเหมือนย้อนเวลากลับไปในวันที่ผมเจอน้องเปี๊ยกไม่มีผิดเพี้ยน
“หงิงงง” เสียงอันน่าสงสารชวนสมเพชเวทนาดังขึ้นแผ่วเบา
ผมเงยหน้ามองพี่เปรม เราสบตากันก่อนจะยิ้มออกมา พี่เปรมยกมือขึ้นลูบหัวผม
“กูกะว่าออกเดินทางตอนตีสามก็ดีเหมือนกันไม่ร้อนและรถไม่ติด” ที่พี่เปรมพูดแบบนี้ก็เพราะต้องพาผมเปียกยันกางเกงในกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่และยังต้องจัดการกับเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนนี่อีกยังไงล่ะครับ
สี่ล้อวนรถกลับบ้านอีกครั้ง และขณะที่ผมลงจากรถเดินเข้าบ้านพร้อมกับเด็กน้อยผู้น่าสงสาร ผมเงยหน้ามองบนท้องฟ้าที่กลับมาเปิดโล่งอย่างอัศจรรย์ ผมส่งยิ้มจากหัวใจไปยังฟ้าไกลสุดตา
ขอบคุณครับพ่อ..บนฟ้านั่นพ่อกำลังยิ้มให้ผมอย่างสุขใจและนี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พ่อได้ทำเพื่อผม แต่ถึงอย่างนั้นเราสามคนพ่อแม่ลูกยังอยู่ด้วยกันเสมอข้างในก้อนเนื้อตรงอกด้านซ้ายที่เรียกว่าหัวใจครับ
.
.
.
.
.
.
TBC... 
อั่ยย่ะ!! ใครมาแอบทุบหม้อมาม่าของรินแตกหมดเลยค่ะเนี่ยยยยย 