ตอนที่ 32
ถ้าคิดว่าพอหลังเสียตัวครั้งแรกแล้ว จะเป็นฟิลลิ่งคืนเข้าหอละก็...บอกเลยว่าคิดผิดแล้วครับ! ผมขอแนะนำทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายที่ต้องเป็นฝ่ายเสียตัว (?) อย่าไปตั้งความหวังว่าหลังจากเขาได้เราแล้ว จะเป็นฟิลลิ่งคู่แต่งงานใหม่ครับ นอนเปลือยใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน คุยกันหวานแหวว มันไม่จริงครับ!
ผมขอย้อนไปเมื่อตอนเจ็ดโมงถึงเจ็ดโมงครึ่งโดยประมาณ พี่ตุลย์ก็ลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำตามปกติ ใส่เสื้อผ้าตามปกติ ไล่ผมไปอาบน้ำเตรียมไปเรียนตามปกติ ไปปลุกที่หนึ่งตามปกติ ไปหาป้าสร้อยตามปกติ จุ๊บผมที่นอนเป็นผักอยู่บนเตียงสักแอ๊ะก็ไม่มี อย่าว่าแต่จุ๊บเลย แค่ไม่ใช้เท้าปลุกผมเหมือนทุกทีก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
“เอส วันนี้มีเรียนไหม?”
"มี” ผมที่นอนคว่ำตะแคงหน้ามาหาพี่ตุลย์ที่เดินเข้ามาในห้องนอนอุ้มตอนต้นที่เริ่มงอแงออกจากคอกข้างเตียง
“กี่โมง?”
“เรียนเช้าอ่ะ ตอน 8 โมงครึ่ง”
“งั้นลุกไปอาบน้ำไป”
“ไม่เอา วันนี้จะโดด” ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง เสื้อผ้านี่เต็มยศ ถ้าไม่มีอาการปวดตุ๊บๆ ตรงสะโพกนี่ผมนึกว่าเมื่อคืนเป็นเรื่องฝันเปียกไปแล้วเนี่ย
“โดดเรียนได้ไง เดี๋ยวก็เรียนตามเพื่อนไม่ทันหรอก เขาให้มีเรียนก็เรียนไปเถอะหน่า ความรู้ตอนนี้ต้องเอาไปใช้ในอนาคต” พี่ตุลย์ขมวดคิ้วใส่
“ห่วงอนาคตผม ผมก็ขอบคุณมาก แต่ห่วงร่างกายผมด้วยครัช” ผมจงใจเน้นเสียง ‘ช ช้าง’ “บอกเพื่อนให้เช็คชื่อให้แล้ว เดี๋ยวค่อยไปยืมวิดิโอที่เขาอัดไว้มาดูทีหลัง ไม่ต้องห่วงว่าจะเสียการเรียนหรอกครับพ่อ”
“ถ้าเสีย พ่อคงต้องอัญเชิญออกจากที่นี่”
พูดเล่นกลับมา แต่หน้านี่อย่างดุ
ผมขอย้ำอีกที เมื่อคืนครับ ไม่เกินเจ็ดชั่วโมงก่อนหน้านี้ เราได้กันครับ
ผมไม่ได้อยากให้มาประคบประหงมร้องห่มร้องไห้อยู่บนเตียงหรอกครับ เมื่อคืนถึงจะเจ็บไป (ไม่) หน่อย แต่ก็รู้สึกดีอยู่แหละ (อันนี้ไม่ค่อยอยากยอมรับเลย สึดเอ๊ย) แล้วก็เป็นความเต็มใจของผมเอง ที่สุดท้ายก็ยอมอยู่ล่างก็ได้วะ แต่คือผมก็อยากจะกุ๊กกิ๊กๆ บ้างไง นิดนึงอะ นิดนึง เข้าใจวัยรุ่นหน่อยดิเฮ้ย!
แต่ก็เท่านั้นครับ สิ่งที่อยู่ในใจก็อยู่ในใจต่อไป เดี๋ยวรอกลับมาก่อนค่อยจัดเองก็ได้วะ
ก๊อก ก๊อก
หลังจากที่พี่ตุลย์ออกไปทำงานแล้ว ที่ประตูห้องนอนก็มีเสียงเคาะดังขึ้น ไม่ต้องเดาให้มากความก็คิดว่าคงเป็นป้าสร้อยนั่นแหละ
“เข้ามาได้เลยครับ ประตูไม่ได้ล็อค” ผมตะโกนบอก
อยากจะเป็นฝ่ายลุกขึ้นไปเปิดประตูเองให้อยู่นะครับ แต่ตอนเดินนี่มันรวดร้าวจริงๆ ตอนตีสอง หนาว เลยลุกขึ้นมาเอาเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้ขึ้นมาใส่ ทันทีที่เท้าแตะพื้น ขานี่ฮวบเลย ดีนะที่ไม่ได้ลุกขึ้นยืนพรวดพราดไม่งั้น ได้มีเดี้ยง ไม่ก็หน้าเสียโฉมบ้างแหละงานนี้
“ตุลย์บอกว่าเอสป่วย ป้าก็เลยแวะเข้ามาดูน่ะ ติดหวัดจากที่หนึ่งหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ” ผมปฏิเสธพร้อมกับส่งยิ้ม สายตาเหลือบเห็นที่หนึ่งที่ยืนอยู่หน้าทีวีแอบมองผมกับป้าสร้อยที่กำลังคุยกันอยู่
“ดีแล้วล่ะ ที่หนึ่งเขากลัวว่าเอสจะไปติดหวัดจากเขา”
หื้ม? ไอ้เด็กแสบนั่นเป็นห่วงด้วยหรอเนี่ย
“ไม่ใช่หรอกครับ บอกที่หนึ่งได้เลยว่าผมไม่ได้ติดหวัดจากเขา”
“จ๊า เดี๋ยวบอกให้นะ ถ้างั้นเอสอยากได้อะไรก็เรียกป้าได้ตลอดนะ อยู่ข้างนอกกับที่หนึ่งแล้วก็ตอนต้นเนี่ยแหละ แล้วตอนนี้ปวดหัวไหม? ป้ากำลังจะทำอาหารเช้าให้เด็กๆ จะได้ให้เอสด้วยแล้วก็กินยาพร้อมเลย”
“เอ่อ...คือผมไม่ได้ป่วยอะไรเลยครับ สบายดี ตัวไม่ร้อน ไม่เป็นหวัด ไม่เป็นไข้ พลังแรงม้าเหมือนเดิม”
“อะ อ้าว แต่ตุลย์บอกว่าเอสไม่สบาย เนี่ยก่อนไปทำงานยังวานป้าให้เข้ามาดูเอสบ่อยๆ เลย แล้วยังกำชับอีกว่าถ้าเอสเป็นอะไรหนักขึ้นมาให้รีบโทรหา”
“...” ผมอ้าปาก ตั้งท่าจะตอบกลับไป แต่กลับไม่มีเสียงอะไรหลุดออกจากปากทั้งสิ้น มีเพียงรอยยิ้มโง่ๆ ที่ออกมาผมจึงต้องรีบก้มหน้าหลบอย่างไว ยกมือจับท้ายทอยของตัวเองด้วยความรู้สึกดีแปลกๆ
ไอ้พี่ตุลย์เอ๊ย
...แบบนี้ ก็...ได้อยู่
“กลับมาไวจัง?” ในขณะที่ตุลย์กำลังเดินเข้ามาในสำนักพิมพ์ ก็จังหวะเดียวกับที่หัวหน้าในฝ่ายของตนเองกำลังเดินออกมาจากตึก เขาทักลูกน้องคนสนิทพลางกอดคอหมุนเปลี่ยนทิศทางให้ตุลย์เดินออกจากตึกสำนักพิมพ์อีกรอบ
“วันนี้รถไม่ติดเลยครับ ก็เลยเดินทางสะดวกหน่อย แล้วเมื่อวานก่อนกลับบ้านผมได้โทรไปบอกร้านหนังสือที่จะไปดูไว้แล้วให้สรุปแนวโน้มยอดขายหนังสือเรื่องใหม่น่ะครับ ก็เลยไม่ได้ใช้เวลานานอะไร”
“รอบคอบจริงๆ ทำงานเร็วแบบนี้ พักหายใจก่อนแล้วค่อยไปทำงานต่อก็ได้”
“แต่...”
“เถอะหน่า หัวหน้าอยู่นี่จะกลัวใครด่า ฮ่าๆ ตอนนี้ฉันกำลังจะไปซื้อกาแฟที่ร้านที่อยู่ซอยถัดจากสำนักพิมพ์เราไง”
“อ๋อ ร้านที่หัวหน้าซื้อกาแฟเลี้ยงพวกผมเมื่อวันก่อนน่ะหรอครับ?”
“ใช่ๆ นายก็มาด้วยกันสิ เมื่อวานฉันก็แวะไปมา แคชเชียร์บอกว่าช่วงนี้เจ้าของร้านเข้าทุกวัน นายจะได้เห็นว่าสวยระดับนางฟ้าแค่ไหน ฉันตั้งใจจะถ่ายรูปคู่ด้วย เอาไปให้ไอ้พวกนั้นดู จะได้รู้ว่าสวยจริง!”
ตุลย์หัวเราะ ถึงแม้ตนจะปฏิเสธแต่หัวหน้าฝ่ายขายก็เดินกอดคอพามาจนเกือบจะถึงปากซอยถัดจากสำนักพิมพ์อยู่แล้ว
“เดี๋ยวพวกนั่นจะเอาไปฟ้องภรรยาหัวหน้ามากกว่าน่ะสิครับ”
“ถ้าใครกล้าฟ้องเมียจ๋าของฉันนะ งดโบนัส ตัดเงินเดือนแม่ง!”
“ทำงั้นก็แย่สิครับ”
กริ๊ง...
“สวัสดีค่ะ” หลังจากที่ประตูกระใจใสของร้านกาแฟร้านโปรดของ ‘ศิลา’ หัวหน้าฝ่ายขายถูกเปิดออก เสียงของพนักงานสาวก็ประสานดังขึ้นต้อนรับ สำหรับตุลย์ที่มาเป็นครั้งแรกแม้เขาจะเก็บสีหน้าได้ดีคงความใจเย็นเอาไว้ได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาตกใจไปกับเสียงต้อนรับที่ดังลั่นร้านนั่น ผิดกับหัวหน้าของตนที่ดูเหมือนจะชินเสียแล้ว นอกจากจะไม่ตกใจยังมีการทักทายกลับไปอีกต่างหาก
“วันนี้เจ้าของร้านเข้ามาหรือยังครับ?” ศิลาเอ่ยถามแคชเชียร์สาว โดยมีตุลย์เดินมาสมทบภายหลัง
“เข้าแล้วค่ะ แต่อยู่หลังร้าน จะให้เรียกผู้จัดการให้ดีไหมคะ? คุณศิลาอุตสาห์มาหาผู้จัดการทุกวัน”
“แหม พูดอย่างนี้ฉันรู้สึกต่อเมียที่บ้านเลย ฮ่าๆ ใช้คำว่ามาของสวยของงามดีกว่า” ศิลาพูดหยอกแคชเชียร์สาว ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มของตนเอง “ตุลย์เอาอะไร?”
“ผมขอเอสเปรสโซแล้วกันครับ” ชายหนุ่มอีกคนบอกกับแคชเชียร์สาว
“เมื่อตอนเช้าก็กินไปแล้วไม่ใช่หรอ กินเข้มขนาดนี้อีกแก้วเดี๋ยวก็ตาค้างหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าไม่หลับก็ทำงานต่อไงครับ ทำผลงานเยอะๆ เผื่อหัวหน้าจะได้เพิ่มโบนัสบ้าง ตอนนี้ผมมีรถยนต์แล้ว ต้องหาค่าน้ำมันนะครับ”
“ไม่มีเงินไหนจะเพิ่มให้นายทั้งนั้นแล้วละ ตอนนี้”
“เดี๋ยวเครื่องดื่มจะไปส่งที่โต๊ะนะคะ” แคชเชียร์สาวพูดแทรกขึ้น พร้อมกับยื่นใบเสร็จที่ให้นำมาชำระเงินทีหลังกับลูกค้าผู้มาใหม่ทั้งสอง ก่อนที่ศิลาและตุลย์จะเดินไปยังโต๊ะนั่งที่ว่าง ชิดกับกำแพงกระจกใสมองเห็นนอกร้านที่เป็นถนนและสวนเล็กๆ ที่ถูกจัดเอาไว้
“หัวหน้าครับ ระหว่างรอดูสรุปก่อนไหมครับ? เผื่อจะได้ประชุมเรื่องยอดตีพิมพ์ครั้งที่สองไว้ขึ้นหน่อย”
“...เฮ้อ ยังไงก็จะทำงานสินะ ชีวิตจริงจังตลอดเลยใช่ไหมเนี่ย?” ศิลา ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขายวิจารณ์ลูกน้องคนสนิทเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับใบสรุปแนวโน้มมาดู “หื้ม? แวะไปร้าน ‘หนังสือดี’ อีกแล้วหรอ?”
“ก็ผมยังคาใจอยู่นี่ครับ ว่าทำไมยอดของร้านนี้มันถึงสูงจัง แต่ผมว่าร้านนี้สูงโดดอยู่ร้านเดียว เวลาหาว่าโดยเฉลี่ยแล้วควรจะส่งไปที่ร้านไหน เท่าไหร่มันคิดยากนะครับเนี่ย”
“ร้านนี้ลองสมมุติดูก็ได้ ประมาณว่าถ้าขายเท่ากับร้านอื่นๆ แล้วยอดหนังสือเล่มใหม่จะยังไง ค้างสต็อกไหม หรือต้องพิมพ์เพิ่ม ฝ่ายบรรณาธิการก็มาโวยจังเลยว่าจะให้พิมพ์เพิ่ม จะให้พิมพ์เพิ่ม”
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องมั่นใจสินะครับ ว่าผลงานของนักเขียนคนนี้ต้องขายได้”
“ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ามีเหตุผลก็คุยในที่ประชุม แต่ถ้าเป็นความรู้สึกส่วนตัวเราก็เอามาใช้กำหยดยอดพิมพ์ไม่ได้หรอกนะ”
“ขอโทษนะคะ ของที่สั่งได้แล้วค่ะ”
“โอ๊ะ ขอบคุณมากครับ” ศิลา ช่วยรับเครื่องดื่มทั้งสองแก้วที่ถูกยื่นมาให้ ตั้งใจจะส่งยิ้มอย่างคนมีมิตรไมตรีแต่ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่าคนที่เสริฟเครื่องดื่มให้นั้นเป็นใคร ความตกใจก็ทำให้เขาส่งเสียงดังจนลูกค้าใกล้ๆ หันมาส่งสายตาตำหนิ! “คุณทอฟ้า!”
“สวัสดีค่ะ คุณศิลา เจอกันอีกแล้ว เห็นน้องพนักงานบอกว่า คุณศิลาถามหาฟ้าบ่อยๆ”
“ก็นิดหน่อยครับ อยากรู้ว่าคุณทอฟ้ามาวันไหนบ้าง ผมจะได้ขนพวกลูกน้องมาได้รู้จักกับคุณทอฟ้าบ้างไงครับ”
“มารู้จักแล้วก็ต้องอุดหนุนด้วยนะคะ” เธอยิ้มหวาน
“แน่นอนอยู่แล้วครับ” ศิลายิ้มหวานให้กับผู้เป็นเจ้าของร้านสาวสวยตรงหน้า พลันสายตาเหลือบเห็นตุลย์ที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาไม่มองผู้ที่เข้ามาเดินมาทักเลยแม้แต่น้อย ด้วยความอยากจะนำเสนอเขากลับไม่สนใจท่าทางแปลกๆ นั่นแล้วสะกิดให้ตุลย์ได้ทำความรู้จักเจ้าของร้านกาแฟ ที่ชื่อ ‘ทอฟ้า’
ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่า สองคนนั้น รู้จักกันมากพอจนแทบจะเกิน...ไปแล้ว
“สวัสดี” เสียงทุ้มพูดทักทาย พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าสวยที่เปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง
“พี่...ตุลย์!”
50%
บอกว่าจะมาวันพฤหัสก็มาวันพฤหัสดิ ~ แต่มาก่อน 50 แล้ววันอาทิตย์ไม่มีเรียน เจออีก 50 นะครัชช
#daddybeloverสปอย
' เขาเป็น....แม่ของลูกผมครับ '
' แล้วกับคนนั้นยังดีอยู่ไหม? '