ตอนที่ 29
ต่อจาก 100%
“ฮ้าวววววว~ ง่วงฉิบ” ผมป้องปากหาวขณะเดินออกมาจากห้องเรียนพร้อมกับธันที่เรียนอยู่ในเซคเดียวกัน
“พอเข้าห้องปุ๊บก็ฟุบหลับปั๊บยังจะง่วงอีกหรอ? คนที่ง่วงควรจะเป็นกูมากกว่าไหมที่นั่งแหกตาเรียนแทนมึงอะ”
“มึงกล้าบ่นกูเนาะ ตอนที่มึงหลับไม่ใช่กูหรือไงที่นั่งแหกตาเรียนแทนมึงด้วยเหมือนกันอะ” ผมส่งสายตาโหดใส่จนไอ้ธันต้องหัวเราะแห้งๆ ทำหน้าอินโนเซ้นใส่ประหนึ่งว่าไม่เคยพูดประโยคก่อนหน้านี้มาก่อน
“แกดูนั่นดิ แกว่าเขามารับใคร?” เสียงของผู้หญิงที่เดินอยู่กับเพื่อนของเธอด้านหน้าของผมดังขึ้น
“ไม่รู้สิ แต่ว่ายังมีพ่อมารับเนี่ยมันดูไม่เป็นลูกแหงไปหน่อยหรอ?” ผู้หญิงอีกคนพูดขบขันหัวเราะคิกคักอยู่กับเพื่อนที่ร่วมนินทาผสมโรงอยู่ด้วยกัน ผมมองดูเธอสองคนอยู่สักพัก พอเห็นว่าพวกเธอกำลังพูดถึงรถสีดำคันหนึ่งที่จอดอยู่หน้าตึก ผมก็ไม่รอช้าที่จะเลื่อนสายตาหันไปมองมัน
!!
ฮอนด้า แอคคอร์ด รุ่น 2.4 EL NAVI! รถรุ่นนี้! ป้ายทะเบียนนี้! ขนาดไม่มองผ่านกระจกดูคนขับยังรู้เลยว่านี่มันรถพี่ตุลย์!
ฉิบหาย
“มึงจะกลับเลยเปล่าธัน?”
“ไม่อะ กูจะไปชมรมการแสดงก่อน แล้วค่อยกลับ”
“งั้นมึงไปคนเดียวนะวันนี้ กูคงไปเป็นเพื่อนไม่ได้แล้ววะ”
“อ้าว ทำไมอะ!?”
“เออหน่า กูบอกว่าไปไม่ได้ก็คือตามนั้น มีธุระว่ะ เดี๋ยวกูขอตัวก่อนนะ” ว่าจบผมก็โบกมือไล่ไอ้ธัน ปลีกตัวออกมาอีกทางที่ห่างผู้คนก่อนจะรีบโทรหาพี่ตุลย์อย่างรวดเร็ว!
/ฮัลโหล/
“เอารถออกไปจากหน้าตึกเรียนผมเลยนะ!”
/ถ้าเห็นรถฉันแล้วทำไมไม่ขึ้นมา/
“ขึ้นให้โดนล้อว่าเป็นลูกแหงหรอ! รีบออกมาก่อนเลยนะ ไปเจอตรงที่พี่มารับผมบ่อยๆ ก็ได้ เดี๋ยวผมจะไปหาเอง”
/ฉันมารับถึงที่แล้ว ทำไมต้องให้ไปที่อื่นอีก ตอนนี้เพิ่งเลิกเรียนใช่ไหมเห็นคนออกมาเยอะ ก็รอให้คนซากว่านี้ก่อนแล้วค่อยรีบขึ้นรถมา/
ผมกรอกตาไปมาอย่างช่างใจก่อนจะพูดเออออไปตัดปัญหา “เอางั้นก็ได้ จบวันนี้ไปพี่เอารถไปติดฟิล์มดำเลยนะ!”
ตี๊ด!
หลังจากกดตัดสายผมก็เคลื่อนตัวกลับมาหน้าตึกอีกครั้ง พยายามทำเป็นมองไม่เห็นรถของพี่ตุลย์ แต่ก็พยายามที่จะอยู่ในที่ที่เราจะมองเห็นกันโดยไม่ผิดสังเกตว่าผมกำลังจ้องจะขึ้นรถคันนั้น ผมรออยู่เกือบยี่สิบนาที จนบริเวณชั้นล่างของตึกคนเริ่มซาจึงค่อยหันมองซ้ายมองขวาหาเวลาเหมาะๆ แล้วพุ่งขึ้นรถสีดำสนิทอย่างรวดเร็วก่อนจะร้องเร่งให้พี่ตุลย์ออกรถทันทีที่ปิดประตูลง
“ฮู่...” ผมพ่นลมหายใจคลายความตึงเครียดเมื่อครู่ลงพลางเอื้อมมือไปปรับช่องแอร์ “พี่มาทำไมเนี่ย เมื่อคืนก็บอกแล้วไม่ใช่หรอว่าเดี๋ยวผมกลับเองค่อยเจอกันตอนเย็น”
“...”
“...”
“...”
“นี่ ได้ยินผมไหมเนี่ย?”
“ได้ยิน”
“ได้ยินก็ตอบผมสิ ว่ามาทำไม” ผมเลิกคิ้วมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนขับรถ ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วใช้นิ้วจิ้มแก้มของอีกฝ่ายอย่างหยอกเอิน “หรือว่าอดทนไม่ไหวอยากเจอหน้าผมเร็วๆ~”
“...ฉันมีเรื่องที่อยากคุยด้วย”
“หื้ม? เรื่องอะไรอะ? เรื่องใหญ่มากจนรอคุยตอนเย็นไม่ได้เลยหรอ? เรื่องของที่หนึ่งกับตอนต้นหรือเปล่า?” ผมเริ่มร้อนใจ แต่พี่ตุลย์ก็ส่ายหัวปฏิเสธว่าไม่ใช่สิ่งที่ผมกังวล
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันก็เป็นเรื่องสำคัญ...
“…?”
“นายรำคาญฉันหรือเปล่า?”
“หา? ไม่นี่ ผมไม่ได้รำคาญพี่ ผมจะรำคาญพี่ทำไม!”
“ก็เมื่อวานนายบอกว่า อยู่ที่ห้องฉันแล้วไม่มีสมาธิ ถ้าไม่ได้รำคาญเสียงทีวี ไม่ได้รำคาญเสียงที่หนึ่งกับตอนต้น ก็เหลือแค่ฉันแล้วที่นายจะรำคาญ”
“ผมไม่ได้รำคาญพี่” ผมพูด พยายามที่จะยิ้มเพื่อให้เขารู้ว่ามันไม่ใช่เป็นอย่างที่เขาคิด แต่เพราะใบหน้านั่นเต็มไปด้วยความกังวล มันกลับทำให้ผมยิ้มไม่ออกและเสียงสั่น
ผู้ชายคนนั้นที่แทบจะไม่ทำสีหน้าอะไรเลยนอกจากรำคาญและตีหน้านิ่งใส่ผม แต่กลับเต็มไปด้วยกังวลเพียงเพราะเขาคิดว่าผมรำคาญเขา
ทำไงดี...ตอนนี้ผมโคตรจะดีใจเลย!
“ผมไม่ได้รำคาญพี่” ผมพูดเสียงเบา เบือนสายตาหนีรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “แต่ที่ผมไปค้างบ้านจริงๆ ก็เพราะพี่นั่นแหละ”
“เพราะฉัน?”
“ใช่สิ เพราะผมคิดเรื่องพี่อยู่เต็มสมองจนทำงานไม่ได้! อยู่ในสมองของผมยังไม่พอ ยังมานั่งหน้าทีวีอยู่ในสายตาผมอีก แล้วเงี่ยจะไม่ให้ผมหนีไปทำงานบ้านเพื่อนได้ไง พี่ยอมหรอให้ผมไม่มีงานส่ง ไม่ได้คะแนน เกรดร่วงแล้วโดนไทร์ในที่สุดน่ะ”
“นาย...!” พี่ตุลย์อึ้งค้างกับประโยคยาวเหยียดที่ผมพูดขึ้น หันมองผมกับถนนสลับกันเป็นระยะ ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงใดหลุดออกมาเลย นอกจากใบหูที่แดงขึ้นเรื่อยๆ จากความเขินอายที่ไม่ได้ต่างอะไรจากผม และนั่นก็ทำให้ผมหัวเราะออกมา
“อะ! พี่จอดรถก่อนเลย จอดรถก่อน!” ผมพูดโพล่งขึ้นมาเสียงดังจนพี่ตุลย์ตกใจเผลอหักชิดเข้าเลนซ้ายแล้วเหยียบเบรกกระทันหันพลอยทำให้รถคันหลังตกใจเหยียบเบรกตามไปด้วยก่อนจะมีเสียงบีบแตรด่าทอออกมาไม่หยุดหย่อน ผมรีบเปิดประตูลงไปพะงกหัวขอโทษขอโพยรถข้างหลังแล้วกวาดสายตามองหาอะไรบางอย่างที่มักจะอยู่ริมทางเท้าสุดขอบถนนเสมอ!
ปึด!
“เอส! ทำอะไรอยู่ รีบขึ้นมาที่รถได้แล้ว”
“ครับๆ” ผมตอบรับอย่างอารมณ์ดี เดินขึ้นรถไปพร้อมกับอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือ
“เด็ดมันมาทำไม?”
ผมยิ้มก่อนจะยื่นดอกไม้สีขาวให้กับคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “เป็นแฟนกันไหม? ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวกลับมาส่ง”
“!...” พี่ตุลย์ไม่ตอบอะไร มีเพียงดวงตาที่เบิกกว้างเพียงเล็กน้อยก่อนจะกลับไปเป็นอย่างเดิมอย่างรวดเร็วและคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากัน
มันทำให้ผมใจเสีย...
ผมลดมือที่ถือดอกไม้ลง แม้จะใจสั่นมากเท่าไหร่แต่ผมก็ยังมองหน้าพี่ตุลย์ มองเข้าไปในสายตานั่น ไม่มีหลบหนี
“พูดอะไรสักอย่างสิ ถ้าผมต้องถูกปฏิเสธ ผมก็อยากได้ยินมันชัดๆ ไม่อยากให้มีอะไรค้าง...อุ๊บ!”
!!
“มาขอคบอะไร นายเป็นของฉันตั้งแต่วันนั้นไม่ใช่แล้วหรอไง? ก็บอกอยู่ว่าฉันรอให้นายรักฉัน มันก็แปลว่าฉันแปะตัวนายเอาไว้แล้ว”
ตอนนี้หัวของผมไม่รับรู้อะไรไปมากกว่ารสจูบที่เข้ามาประทับอย่างรวดเร็วเมื่อครู่ มันเป็นจูบเดียวกับตอนที่พี่ตุลย์จูบคืนผมเมื่อคราวก่อน แต่ครั้งนี้กลับไม่รู้สึกตกใจเลย กลับกันผมกลับรู้สึกดีมาก...มากจนหัวใจแทบจะกระดอนออกมาจากอก
และตอนนี้ผมก็อยากจะถามเรื่องที่ผมคาใจเรื่องสุดท้าย
“พี่ตุลย์”
“หื้ม?”
“เราจูบกันได้แล้วใช่ไหม?”
“ก็คงได้ ก็ฉันจูบนายไปแล้วนี่หน่า” พี่ตุลย์พูดพลางขมวดคิ้วใส่ กดปิดปุ่มหยุดรถฉุกเฉิน ตั้งท่าจะตั้งลำรถขับกลับคอนโดฯ แต่ทุกอย่างก็ต้องชะงักเมื่อผมตวัดแขนคว้าคออีกฝ่ายเอาไว้เสียก่อน
“ถ้างั้นขอจูบอีกทีได้ปะ? ครั้งนู่นก็มัวแต่ตกใจ ครั้งนี้ก็ยังไม่ทันตั้งตัวเลยอะ คราวนี้ขอแบบซีเรียสแอนด์จริงจัง”
“หะ!?”
“เร็วๆ ดิ นี่ให้โอกาสนะเนี่ย ถ้าไม่จูบ ผมจะจูบเอง”
“...เฮ้อ” พี่ตุลย์ถอนหายใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ประคองใบหน้าของผมด้วยมือที่ร้อนผ่าวทั้งสองข้างนั่น “โอเค ถ้างั้นก็ ตั้งใจๆ จะจูบแล้วนะ”
“ครับ~” ผมตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
ใบหน้าของเราสองคนเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดทั้งเขาและผมก็หลับตาลงก่อนที่เราสองคนจะจูบกัน
TBCตาลาย เขียนจนถึงตีสาม ขอโทษที่มาช้า ก็เลยเอามาชดเชยไปเลย 150%
แต่นี่จะตอนที่30แล้ว เพิ่งจะจูบกันเอง น่ารัก กุ๊บกิ๊บ ใสๆไหมละ 555555555555555
#daddybelover