ตอนที่ 34คืนนั้น...พี่พ่ายอาจจะเมาจริงๆ แต่เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่ผมใจเต้นแรง ทำให้ผ่านมาตั้งสิบกว่าวันแล้วก็ยังลืมไม่ลง ซึ่งคนที่ทำให้เป็นแบบนี้เขาก็ไม่ได้มารับผิดชอบอะไรหรอกครับ เขาเงียบหายไปราวกับเราไม่เคยมาเจอกันที่เชียงใหม่ ไม่เคยวิดีโอคอลหรือไลน์คุยกัน
“คุณเพี้ยนคะ พี่วางข้าวไว้ตรงนี้นะ อย่าทำงานจนลืมพักกินข้าวนะคะ!” พี่แยมตะโกนมาจากเพิงพักแดดที่แม่อุตส่าห์ให้คนงานมาทำให้ เป็นเพิงเล็กๆ ที่มีไว้พักกินข้าวเที่ยงเท่านั้น
คือตั้งแต่ที่แม่ให้ผมมาช่วยงานแม่ ผมก็คิดนะว่าคงต้องมานั่งทำบัญชีของไร่อะไรเทือกๆ นั้น แต่มันไม่ใช่ แม่บอกว่าสำหรับลูกชายที่หายออกจากบ้านไปหลายปี ทิ้งให้แม่ต้องสู้งานหนักอยู่กับพ่อเลี้ยงอยู่สองคนนั้น จะมาหวังงานสบายนั่งห้องแอร์ก็คงยาก
นั่นแหละครับ...ผมถึงต้องมาไถนากับควายคู่ใจของสามีพี่แยมอยู่กันตามลำพัง จนตอนนี้คิดว่าอาจจะสนิทกับเจ้าบุญทึ่งถึงขั้นคบหาอยู่กินด้วยกันเลยก็ว่าได้
“ครับพี่! ขอบคุณครับ!” ผมตะโกนตอบกลับไป ขาก็ลากตามเจ้าบุญทึ่งที่ยังคงเดินแบบชิวๆ ประหนึ่งเดินแคทวอล์คไปด้วย
“บุญทึ่ง แกเดินช้าๆ หน่อย จะรีบไปตามควายที่ไหนเนี่ย” บุญทึ่งมีท่อนขาแข็งแรง แม้จะวิ่งได้ไม่เร็วเท่าควายเหล็กคูโบต้าที่พี่ๆ คนงานคนอื่นๆ เขาขับกันอยู่ไร่ข้างๆ แต่กำลังวังชาของมันก็ไม่แพ้ควายจักรกลพวกนั้นเลย
ทำไมแม่ทำกับลูกชายแท้ๆ ของตัวเองอย่างนี้ผมก็เคยคิดสงสัย แต่ก็เลิกถามเมื่อเห็นแม่เช็ดถูปืนลูกซองอยู่เป็นประจำ
ผมกับบุญทึ่งร่วมแรงร่วมใจกันทำงานไปได้อีกครึ่งชั่วโมงก็พักกินข้าว
“พ่ายอปป้านี่ไม่เคยคิดจะติดต่อมาบ้างเลยรึไงน้าบุญทึ่ง เขาหล่อกว่าแกนะ แต่เหมือนจะไม่มีสมองอ่ะ แกยังดูฉลาดกว่าเขาอีก” ผมมักจะบ่นให้บุญทึ่งฟังประจำ ซึ่งมันก็จะทำแค่กระดิกหูมองมาทางผมด้วยใบหน้างงๆ ซื่อๆ ของมันเท่านั้น
“ถ้าเก็บเงินได้มากๆ แล้วจะพาแกไปเที่ยวเกาหลีด้วยละกัน แต่แกต้องไปทำพาสปอร์ตด้วยนะ ว่าแต่จะมีสายการบินไหนอนุญาตให้แกขึ้นเครื่องไปด้วยบ้างเนี่ย หือ แกไม่อยากไปเหรอ ควายสาวๆ ที่เกาหลีน่ะหน้าตาดีนะ ดูอย่างชอนซงอีสิ นั่นก็สวย”
บุญทึ่งรู้จักชอนซงอีนะ เพราะผมให้มันนั่งดูซีรีย์เป็นเพื่อนบ่อยๆ ก็มีซีรีย์เรื่องใหม่ๆ ที่พี่เกมแนะนำมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ดูโทเมเนเจอร์วนไปหลายรอบนั่นแหละครับ ระหว่างทำงานเราก็จะมีเพลง k-pop ให้ฟังปลุกใจไปด้วย เพราะถ้าให้ผมฟังเพลงจากวิทยุของพี่ๆ คนงานไร่ข้างๆ นั่นผมคงหลับกลางอากาศหน้าจุ่มโคลนแน่
“ร้อน”
กำลังฟังเพลงเคลิ้มหลับอยู่ดีๆ เสียงทุ้มๆ ที่คุ้นหูก็ทำเอารีบเด้งตัวลุกขึ้น
“บุญทึ่ง! แกพูดได้!” ผมรีบหันไปทางบุญทึ่ง ก่อนหัวจะโดนมือใหญ่ๆ ของใครบางคนจับให้หันไปหา
“เฮ้ยยยย! มาได้ไง!”
ถ้าผมกรี๊ดได้ตอนนี้ก็คงกรี๊ดใส่หน้าพี่พ่ายไปแล้ว! อารมณ์ยิ่งกว่าได้มีตแอนด์กรีตอปป้าซะอีก แล้วนี่อะไร ใส่สูทผูกไท รองเท้าหนังขัดขึ้นเงา แถมผมที่เซ็ตให้เสยไปข้างหลัง สภาพเหมือนกำลังจะไปประชุมบอร์ดบริหารแต่ดันมาโผล่เอากลางทุ่งกลางนาที่มีผมกับไอ้บุญทึ่งนั่งทำหน้างงอยู่ซะอีก แล้วดูสภาพผม เสื้อเชิ้ตเก่าๆ หน้าดำๆ มันๆ กับหมวกฟางสานเปื้อนโคลน ครึ่งล่างไม่ต้องพูดถึง...
“มาได้ไงอ่ะ” พอรู้ตัวก็ยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองทันที ผิวหน้าผมขึ้นฝ้าเพราะโดนแดดติดต่อกันมาหลายวัน ไม่อยากให้พี่พ่ายเห็นเลย
“ปิดหน้าทำไม” นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้วยังมาถามกลับด้วย! คนบ้าอะไร จะมาก็ไม่บอกกล่าว! “ไหน ขอดูหน้าหน่อย”
“ไม่เอา พี่พ่าย ปล่อยเลย” เขาพยายามดึงมือผมออก แต่ผมก็ยื้อไว้สุดชีวิต ไม่อยากให้เห็น ไม่อยากให้เห็นนนนน!
“อย่าทำงี้ดิ อุตส่าห์เคลียร์งานมาหา”
“ไม่จริง...อะไรจะตามมาหลอนกระทั่งกลางวันแสกๆ วะ”
ผมต้องฝันอยู่แน่ๆ ต้องคิดถึงจนหลอนมากเกินไป นี่มันต้องเป็นบุญทึ่งแปลงกายมา ไม่มีวันที่จะเป็นพี่พ่ายในโหมดปกติได้
“หนู”
“ไม่ๆ ไอ้บุญทึ่ง แกเลิกล้อเล่นได้แล้ว!”
“เพี้ยน!”
แต่ไอ้บุญทึ่งมันไม่กล้าตะคอกผมอย่างงี้อ่ะ ผมเป็นลูกพี่มันนะ งั้นก็...
“พี่พ่ายจริงๆ เหรอ”
“เออ” ทำหน้าหงุดหงิดแบบนี้ใช่เลยอ่ะ!
“มาดูหมีแพนด้าอีกแล้วเหรอ”
“เปล่า”
“อ๋อ แฮ่ๆ”
มือไม้ผมเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะวางตรงไหน แต่พอพี่พ่ายเอาผ้าขาวม้าที่พาดอยู่บนไหล่ผมเช็ดแก้มให้ มือของผมก็ยกขึ้นกุมมือเขาอัตโนมัติ
“พี่...”
“เปื้อน” จำเป็นต้องละมุนขนาดนี้ไหม อยากถาม...
“อือ แล้วมาทำไมอ่ะ”
“มาหามึง” เป็นคำตอบที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยิน และถ้านี่ไม่ใช่ความฝัน “ได้ไหม”
“อื้อ”
หลังจากคำตอบของผม เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ส่วนผมก็เอาแต่เงียบ ลมเย็นๆ จากท้องนาพัดผ่านมาให้รู้สึกสบายใจ กลิ่นดินกลิ่นโคลนก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆ แต่ผมไม่รู้ว่าพี่พ่ายจะคิดเหมือนกันไหม...เขาเหมือนมาอยู่ผิดที่ผิดทาง
“พี่...แปลกไปนะ” ความจริงผมก็กลัวว่าหากทักเรื่องนี้ออกไป เขาจะรู้สึกตัวว่ากำลังทำอะไร แล้วจะไม่มีเรื่องน่าดีใจอย่างนี้เกิดขึ้นอีก...แต่ผมก็อดถามไม่ได้...เพราะผมก็แค่อยากรู้ว่า...ที่เขาทำอย่างนี้เพราะอะไร
“ยังไง”
“พี่เหมือนกำลังจีบผม แต่พอมาคิดดูอีกที ก็เหมือนจะไม่ใช่ นึกจะมาก็มา นึกจะหายก็หาย เอาจริงๆ นะ งงอ่ะ”
“ไม่ได้หาย”
“ที่ผ่านมาไม่เรียกว่าหายแล้วเรียกว่าอะไร” ทั้งๆ ที่ไม่มีการติดต่อมาหาผมตั้งแต่วันนั้น เงียบหายราวกับไม่เคยพบไม่เคยรู้จัก แต่ดันมาบอกว่า ไม่ได้หาย...เขาคงอยากลองวัดพลังกับบุญทึ่งมากใช่ไหม...
“เรียกว่า...ทำให้คิดถึง”
ผมผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้าเขาเหมือนกับเห็นผี คนหน้ามึนๆ นิ่งๆ พูดน้อยอย่างเขานี่นะ!
“พี่แม่งบ้าว่ะ จีบผมอยู่ใช่ไหม พูดมาตรงๆ”
พี่พ่ายไม่พูดอะไรทั้งนั้น แถมยังเคาะหน้าผากผมไปหลายทีด้วย
“ไม่พูดก็ได้ ผมก็ไม่ได้อยากรู้หรอก แล้วมาที่นี่ พาเด็กๆ มาด้วยป่ะ”
“...”
“นี่!”
เขาอมยิ้มแล้วหันมามอง “ก็บอกว่าไม่พูดก็ได้ไง”
“กวนอ่ะ”
“หึหึ”
“กินข้าวมายังอ่ะ”
“ยัง”
“กินไหม” ผมยกปิ่นโตออกมาวางตรงหน้าเขา “ผมกินไปแล้วนะ แต่กินไปนิดเดียว ยังเหลืออีกเยอะ”
“ของเหลือ”
“ไม่เหลือ คือผมกินไปนิดเดียวไง ไม่เรียกว่าของเหลือหรอก”
พี่พ่ายหรี่ตามองมา ก่อนจะถามว่า “ตอนไถนานี่มึงเดินนำหน้าหรือตามหลังควาย”
“พี่ถามอย่างนี้หมายความว่ายังไงเนี่ย! จะหาว่าผมเป็นควายเหรอ”
“ยังไม่ได้พูด” แต่คือหน้าตาบ่งบอกมากว่าต้องว่าผมในใจแน่ๆ
“ช่างเถอะๆ พี่ลองกินนี่ดูนะ แม่ทำอร่อยมาก” ผมกำลังจัดแจงกับข้าวแต่ละอย่างให้กับพี่พ่าย เขามองอย่างสนใจ ก่อนจะชี้นิ้วถาม
“นี่อะไร”
“น้ำพริกอ่อง”
“นี่ล่ะ”
“ตุ๋นไข่ใส่ไข่มดแดง”
“อร่อยเหรอ”
“อือ มากๆ ของโปรดผมเลย”
พี่พ่ายถอดสูทออกวางข้างๆ ตัวอย่างไม่กลัวเปื้อน ทั้งๆ ที่ราคาของมันมากกว่าตัวไอ้บุญทึ่งซะด้วยซ้ำ เขาพับแขนเสื้อเชิ้ตถึงข้อสอง ก่อนจะนั่งขัดสมาธิแล้วลงมือกินทีละอย่าง
“อร่อยไหม”
“อืม”
“เนอะ พี่กินอีกเยอะๆ เลยนะ เดี๋ยวผมไปทำงานต่อ”
“ตั้งใจ”
“คร้าบบบ”
ผมกลับมาลุยงานต่อกับบุญทึ่งที่ยังคงขยันขันแข็งแรงเยอะเช่นเดิม แต่ตอนนี้ผมก็ไม่น้อยหน้ามันหรอก เพราะผมมีกำลังใจที่ดีที่กำลังนั่งหลบแดดสบายๆ อยู่ในร่มแล้ว
“พี่พ่ายยยย อยากขี่บุญทึ่งไหมมมม” ผมตะโกนถามเมื่อเห็นว่าเขากินข้าวเสร็จและกำลังมองมาทางผมอย่างสนอกสนใจอยู่ ผมรีบพาบุญทึ่งเข้าไปริมคันนา ส่วนพี่พ่ายก็ทำหน้างงหนัก
“บุญทึ่งคือ?”
“นี่ไงบุญทึ่ง เพื่อนซี้ผม”
“อืม หน้าเหมือนมึงดี ไม่บอกว่าเพื่อนกูก็นึกว่าพี่น้อง”
“ปากพี่นี่เนอะ น่าตบด้วยปากอ่ะ” พูดเองก็เขินเอง “แล้วตกลงอยากขี่ไหม”
“ไม่ แต่ถ้าเป็นเพื่อนบุญทึ่งก็น่าลอง”
“ผม?”
“อืม”
“ผมไม่ใช่ควายนะพี่”
“ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นควาย”
คำตอบพร้อมกับรอยยิ้มทำให้หน้าผมรู้สึกร้อนๆ ขึ้นมา ไหนจะแววตาเจ้าชู้นั่นอีก ...เขาต้องจีบผมอยู่แน่ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย!
“ว่าไง...ขี่ได้ไหม”
“มะ...ไม่ได้”
“อืม แล้วแต่”
อะไรคือแล้วแต่...อะไรคือไม่ง้อ...อะไรคือไม่ตื้อต่อ ผมแค่เล่นตัวนิดๆ หน่อยๆ เขาก็ถอดใจแล้วเหรอ โธ่เอ้ย แล้วถ่อมาถึงเชียงใหม่เพื่ออะไร เพื่อมาพูดคำว่าแล้วแต่ใส่ผมเหรอ พี่พ่ายนี่ทำตัวงงๆ เนอะ
“ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่อ่ะ”
“แม่มึงบอก”
“พี่คุยกับแม่ตอนไหน”
“ก็คุยกันตลอด”
“อย่าบอกนะว่าพี่กิ๊กกับแม่ผม”
“อยากเอาหน้ามาวัดเบอร์รองเท้าให้กูไหม”
“โหดอ่ะ แค่ล้อเล่นเอง แฮ่ๆ”
ล้อเล่นด้วยก็ไม่ได้ ทำโหดใส่ตลอดเลย เดี๋ยวก็สั่งให้บุญทึ่งปล้ำซะหรอก หล่ออย่างนี้ หุ่นน่ากินอย่างนี้ สเปคบุญทึ่งเลย!
“รีบทำงานให้เสร็จ เดี๋ยวหลับรอ”
“ครับๆ”
แค่อยากถาม...ว่าพี่มาหาผมทำไม คิดถึงหรืออะไรกันแน่ ...ไม่ได้อยากจะคิดหรือสงสัย...แต่ผมคลางแคลงใจ ผมอยากรู้ว่าเขาให้อภัยกับสิ่งที่ผมได้ทำกับเขาและครอบครัวไปแล้วอย่างนั้นเหรอ เขา...ไม่ได้โกรธที่ผมหลอกลวงเขาแล้วหรือไง ไอ้ดีใจมันก็ดีใจที่เขามาหา...ทว่า...เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ แล้ว...ผมก็รู้สึกหนักใจ
วันนี้ไถคราดไปได้แค่ไม่เท่าไหร่ผมก็หมดแรง อีกทั้งมันเย็นมากแล้วด้วย พี่พ่ายก็หลับรอจริงๆ เขาดูเหนื่อยๆ มากด้วย คงโหมงานหนักอีกตามเคย ผมล้างเนื้อล้างตัวในร่องน้ำใกล้ๆ ก็เดินมาปลุกเขา
“พี่ ถามจริงๆ มาคราวนี้พี่มีธุระอะไรที่เชียงใหม่อ่ะ” พี่พ่ายกำลังบิดขี้เกียจแล้วจัดแว่นตากรอบดำของเขาให้เข้าที่
“ไม่มี”
“เอาจริงๆ” ผมเก็บปิ่นโตเสร็จแล้ว ก็จูงเชือกลากให้บุญทึ่งเดินตาม พี่พ่ายก็เดินเก๊กอยู่ข้างๆ เสื้อเชิ้ตขาวมีรอยเปื้อนหลายรอย ซึ่งเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เห็นคนรักสะอาดอย่างเขามอมแมมอย่างนี้
“ไม่มี”
“พี่กำลังทำให้ผมมีความหวังนะ รู้ตัวไหม”
“หวังไปดิ”
“หมายความว่าไง”
“กูมาหาถึงที่ ยังต้องให้อธิบายอะไรอีก”
“ต้องอธิบายสิว่าพี่คิดยังไง แล้วตอนนี้กำลังเล่นอะไรอยู่ ตั้งแต่คืนนั้นแล้วนะ...”
“กูไม่ได้เล่น”
“ไม่ได้เล่นแล้วพี่ทำอย่างนี้ทำไมอ่ะ”
“เพราะกูจริงจัง”
เจอคำตอบแบบนี้ผมก็ไปไม่เป็นแล้วล่ะ...
“มึงไม่จำเป็นต้องเข้าใจก็ได้...แค่ไม่วิ่งหนีกูก็พอ”
“แต่พี่ก็รู้...ระหว่างผมกับพี่...มันเป็นไปไม่ได้”
“มีแต่มึงที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้”
“...”
“อย่าสร้างกำแพงสูงจนกูปีนข้ามไม่ไหว”
“...”
“กูแก่แล้ว กระดูกไม่แข็ง แรงไม่ค่อยมี”
“พี่ไม่แก่ซะหน่อย ยังมีแรงอีกเยอะ”
“มีแรงก็เก็บไว้ทำอย่างอื่นไหม”
“พยายามหน่อยดิ เพราะเมื่อก่อนผมก็ทำตั้งเยอะ กว่าพี่จะรักผม”
“อ้าว...กูบอกว่ารักมึงเหรอ เมื่อไหร่?”
เอาล่ะบุญทึ่ง เอ็งได้ยินเสียงจากกระแสจิตลูกพี่เอ็งไหม ถ้าได้ยิน! ขวิดผู้ชายคนนี้ซะ!!!
“หึหึ กูเปิดห้องที่โรงแรมในตัวเมือง ห้อง 7809”
“บอกทำไมอ่ะ”
“อยากได้ยินก็มาหา”
“ล่อลวงกันเห็นๆ หลอกให้ไปเสียตัวสิท่า”
“จะไปไหมล่ะ”
“ไม่ ผมไม่ได้ง่ายนะครับ”
“อืม โทษทีละกัน เห็นเมื่อก่อนได้ง่าย”
“พี่จะมาจีบผมหรือจะมาทำผมโมโหเนี่ย! ห้ะ!”
“พูดตอนไหนว่าจีบ”
ผมรีบจูงบุญทึ่งเดินหนีพี่พ่ายอย่างเร็ว กลัวว่าถ้าอยู่ใกล้ไปมากกว่านี้จะฆ่ากันตายได้ เขาเป็นคนกวนตีนมากนะ ยิ่งตีหน้ามึนแล้วพูดกวนนี่มันน่าโมโหเป็นร้อยเท่าพันเท่า
Short special: ไร้พ่าย
ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำให้โมโหอะไรหรอก แต่เห็นหน้าแล้วก็อยากแกล้ง มันเป็นคนซื่อ ผมถึงได้อ่านออกหมดว่ามันคิดและรู้สึกยังไง แม้จะทำปากเก่งไปแต่ในใจของมัน...ก็ยังคงมีแค่ผมอยู่ในนั้น
ผมไม่ได้หลงตัวเอง ผมมั่นใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่ากิ๊ฟไม่มีวันได้มันกลับคืนไป มันเป็นเด็กน้อยที่มักเดินเป๋ไปเป๋มาตามแรงเหวี่ยงของคนรอบข้าง และเมื่อหลายเดือนก่อนที่เกิดเรื่อง...ความรู้สึกที่มันมีต่อกิ๊ฟก็เหวี่ยงมันออกมา ทำให้มันเลือกเดินออกจากเส้นทางที่มุ่งตรงมายังผม ซึ่งผมปล่อยให้มันทำตามความต้องการของตัวเอง แต่ตอนนี้...ผมคิดว่าผมให้เวลามันมามากพอแล้ว...
ไม่เกี่ยวหรอกว่ามันจะเลือกกิ๊ฟหรือเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่ผม...เพราะความจริงที่ผมเป็นเจ้าของหัวใจของมัน...ก็ไม่มีวันเปลี่ยน
ถึงอย่างนั้น...ก็ไม่คิดว่าจะดื้อดึงขนาดนี้
“พี่พ่าย!”
“หืม”
“เดินตามมาทำไม กลับไปดิ”
“แม่ชวนทานข้าว” โชคดีที่แม่ของเพี้ยนถูกใจผมเป็นพิเศษ เป็นคุณแม่ที่บางทีก็น่ากลัวใช่เล่น แต่ก็รักลูกมาก
“ทำไมแม่ทำอะไรไม่เคยปรึกษาลูกตัวเองเลยเนี่ย นี่พี่กิ๊กกับแม่ผมจริงๆ ใช่ไหม!”
“หึงไง”
“จิ๊ พี่รออยู่ตรงนี้แหละ พาบุญทึ่งไปส่งก่อน”
“อืม”
เด็กน้อยกับควายมองดูดีๆ ก็น่าเอ็นดู เพี้ยนมันเป็นมิตรกับสัตว์โลกแทบทุกชนิด ชวนคุยได้เป็นวรรคเป็นเวรผมก็เห็นมาแล้ว แต่ที่เห็นมันซี้ปึ้กขนาดนี้ก็เป็นครั้งแรก... คงคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน...
ผมยืนรอเพี้ยนอยู่สักพัก มันก็เดินกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มแป้นแล้น
“พี่แยมให้ขนมมาด้วย แต่ผมไม่แบ่งให้พี่กินหรอก อิอิ”
“แล้วแต่”
มันทำท่าฮึดฮัดขัดใจที่ยั่วให้ผมอิจฉาไม่สำเร็จ จากนั้นก็หันมาบ่นงุ้งงิ้งใส่แทน บ่นปวดบ้างเมื่อยบ้างไปตามประสา แต่ที่ชอบกว่านั้นคือมันชอบอ้อน ปากเล็กๆ บนหน้าดำๆ ของมันตอนนี้ก็เจื้อยแจ้วไปตามเรื่องตามราว เอาจริงๆ ผมก็รำคาญนะ อยากถามว่าทำไมต้องพูดมากขนาดนี้...แต่หลายเดือนที่ผ่านมานั้น...พอไม่ได้ยิน ก็โคตรเหงา
“พี่พ่าย โรงแรมอยู่ไกลมากไหมอ่ะ” พอบ่นนั่นบ่นนี่เสร็จ ก็ถามเสียงอ่อยถึงที่ตั้งโรงแรม ผมอมยิ้มอย่างรู้ทัน
“ไกล”
“เหรอ ขับรถไปใช้เวลานานป่ะ”
“อืม”
“แล้ว...พี่จะอยู่ที่เชียงใหม่อีกกี่วันอ่ะ”
“สองวัน กลับวันจันทร์”
“กลับเร็วอ่ะ”
“มีประชุม”
ตอนนี้สุขภาพของพ่อไม่ค่อยสู้ดี งานที่บริษัททั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่ผม ผมอยู่ในตำแหน่งรักษาการแทน แต่คาดว่าอีกไม่นาน...พ่อก็คงจะทำงานต่อไม่ไหว ป่วยทางกายยังพอรักษาได้ แต่ป่วยทางใจนั้นคงยากที่จะทำให้หายดี ผมทำได้เพียงยอมรับกับผลลัพธ์ เพราะนั่นเป็นทางที่พ่อเลือก ไม่ว่าทุกข์หรือสุขผมก็จะไม่ไปก้าวก่าย ผมแค่ห่วงและดูแลท่านเท่าที่ผมจะทำได้เท่านั้น ...และผมก็ทำมันอย่างเต็มที่แล้ว
“แล้วจะมาอีกไหม”
“อืม”
เพี้ยนยิ้มกว้างขึ้นทันที แต่พอรู้ตัวว่าถูกผมมองก็แกล้งทำหน้าเฉย ถึงอย่างนั้นก็แค่ไม่กี่วินาทีมันก็กลับมายิ้มกว้างอีก
“พ่อพี่เป็นไงบ้างอ่ะ”
“ไม่ค่อยดี”
“เมียพี่อ่ะ”
“เหมือนเดิม”
“ลูกอ่ะ”
“สบายดี”
“แล้ว...คืนนี้จะกลับกี่โมงอ่ะ กลับดึกไม่ดีนะ ขับรถคนเดียวกลับเข้าตัวเมืองมันอันตรายอ่ะ ทางมันมืดด้วย”
ถ้าผมตอบกลับไปว่ารถยนต์ที่ผมขับมีไฟส่องทาง เด็กนี่ก็จะหน้างอแล้วโวยวายอีก
“ให้กลับเลยไหมล่ะ” แต่ขนาดถามกลับอย่างนี้ก็ยังหน้างอ บางทีพวกความคิดไม่ซับซ้อนอย่างมันก็เข้าใจยากจริงๆ นะ
“แม่ชวนกินข้าวไม่ใช่เหรอ พี่จะไม่กินหรือไง”
“...” ผมเงียบ เพราะไม่รู้จะตอบยังไงให้ถูกใจ
“เอางี้ไหมล่ะ พี่ก็กินข้าวกับแม่ก่อน แล้วพอกินเสร็จ ผมนั่งรถกลับไปด้วยก็ได้”
“...” ผมอยากจะดึงมันเข้ามากอด แต่ติดว่าเนื้อตัวมันมีแต่โคลน แถมยังหูตั้งหางกระดิกจนน่าแกล้งอีก
“คือนั่งรถไปเป็นเพื่อน แล้วก็จะนั่งรถสองแถวกลับบ้าน ไม่ได้คิดจะไปอยู่ด้วยหรอกนะ คือไม่ได้มีอะไรที่อยากฟังอ่ะ เข้าใจป่ะ”
ที่จริงมันก็ไม่ได้เข้าใจยากครับ ไม่ได้ซับซ้อน แค่เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจแล้วชอบพูดวนให้งง
“ต้องขอบใจใช่ไหม”
“ใช่แล้ว อิอิ”
อืม...นี่แหละมั้งที่ทำให้ผม...ลืมมันไม่ลง ผมคิดนะว่า...ถ้าเป็นคนปกติทั่วไป ลองมาเจอกับเรื่องเลวร้ายที่ผ่านมา จะยังคงยิ้มได้เหมือนอย่างเพี้ยนไหม ...จะใช้ชีวิตโดยคงความมีสติต่อไปได้หรือเปล่า แล้วผมก็ได้คำตอบ...คงเพราะมันไม่มีสติมาตั้งแต่แรกแล้ว ชีวิตของมันถึงไม่ได้ดูผิดเพี้ยนไปมากกว่านี้ เป็นคนแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมหานิยามมาจำกัดให้ไม่ถูก โง่ หรือแกล้งโง่ บ้า...หรือแค่ไม่ชอบคิดมากอะไร...
“พี่พ่าย ผมไปอยู่ด้วยเฉยๆ นะ ไม่ทำอะไร 18+ นะพี่”
“30+ ได้ใช่ไหม”
“ม่ายยยยยยยย เขาเป็นลูกมีพ่อมีแม่ ทำไม่ได้หรอก ผิดผี”
“ผิดกันมาหลายท่าแล้ว ทันไหมตอนนี้”
“อดีตก็คืออดีตสิ ไม่นับ ตอนนี้ผมเป็นคนใสๆ ไร้มือชายใดมาจับต้อง”
“เออ เอาที่สบายใจ”
บางทีมันก็เป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองอายุสักหกสิบปี คือคุยแล้วเหนื่อยใจ
“พี่พ่าย”
“อะไร มัวแต่ถาม เดินๆ หยุดๆ จะถึงบ้านก่อนสามทุ่มไหม”
“ทำไมต้องดุ” เห็นมันทำหน้าหงอยแล้วผมรู้สึกผิดนิดๆ แต่มันก็ควรถามรึเปล่า เดินกันมาเกือบชั่วโมงแล้วมั้ง ยังไม่ถึงตัวบ้านเลย มัวแต่ฟังไอ้เด็กนี่จ้อ บางทีก็มาวิ่งวนรอบตัวให้เวียนหัวเล่น ถามมาทีก็ให้หยุดตอบคำถามมันที
“กูหิวข้าว”
“พูดเพราะๆ เหมือนตอนเมาได้ไหมเนี่ย คืนนั้นยังป๋าๆ หนูๆ กับเค้าอยู่เลยอ่ะ”
“อดีตก็คืออดีต ตอนนี้กูฮาร์ดคอร์”
“เพี้ยนล่ะเกลียดดดดดดด”
มันทำหน้าตลกใส่ จนผมอดไม่ไหวต้องดึงมาล็อคคอแล้วตบหัวเล่น จะเปื้อนก็ช่างแล้ว แถมไอ้เด็กนี่ยังมาดิ้นดุ๊กดิ๊กหัวซุกอกให้เคลิ้มอีก
“ป๋า พาไปเกาหลีหน่อย ไม่อยากไถนาแล้ว เหนื่อย”
“แค่นี้บ่น”
“แล้วแค่ไหนถึงจะบ่นได้”
เป็นเด็กที่งอแงเก่งเหมือนอย่างที่คุณแม่บอกจริงๆ ทำหน้างอก็เก่งด้วย
“โอเค ถ้าทำตัวดีจะพิจารณา”
“ขอพ็อคเก็ตมันนี่ด้วยนะ”
“อยากได้เท่าไหร่ป๋าจะประเคนให้ แค่ไม่ดื้อก็พอ”
“จีบจริงๆ ด้วย”
“เออๆ จีบนั่นแหละ”
สุดท้ายก็ต้องยอมรับนั่นแหละครับ เพื่อให้เด็กมันเงียบปาก ความจริงก็มีวิธีปิดปากที่ดีกว่านี้เหมือนกัน...แต่ยังไม่ทำ ให้เด็กมันดิ้นมากกว่านี้หน่อย...หึหึ
.................................................TBC........................................
พี่พ่ายพี่เข้าไหม ถามใจตัวเองดู
ขอบคุณมากๆ เลยค่ะสำหรับความคิดเห็น แหม เอ็นดูพี่พ่ายกันจริงๆ นะ อิอิ

ปล. ขอโทษที่ทำให้รอนานนะคะ ช่วงนี้ติดงานค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักคงดีขึ้นแล้ว โปรเจ็คคราวนี้ใหญ่หน่อย เลยกินเวลานาน