ตอนที่ 10ที่โต๊ะกินข้าวในเช้าวันต่อมาเกิดบรรยากาศมาคุแปลกๆ คงเพราะพี่เกมกับพี่เอไม่กล้าพูดคุยกับผมและพี่พ่ายเลย ส่วนไอ้ยิวกับพี่ทัศน์ออกไปตั้งแต่เมื่อเช้ามืดแล้ว ยังไม่กลับกรุงเทพหรอกครับ มันเอารถผมไปบ้านแม่มัน แล้วตอนเย็นๆ ก็จะกลับมาให้ผมไปส่งที่สนามบินอีกที
“เอ่อ...เพี้ยน โอเคไหมน้อง” พี่เกมกระซิบถาม “ป๋าไม่ได้ทำอะไรใช่ไหม”
“ครับ ไม่ได้ทำอะไร” ผมกระซิบตอบกลับไป
“แต่ทำไมปากบวมอ่ะ ไม่ใช่โดนตบเหรอ”
ผมหน้าร้อนขึ้นมานิดๆ เหลือบมองพี่พ่ายที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วก็ไม่รู้จะตอบพี่เกมว่ายังไง เพราะมันบวมด้วยสาเหตุอื่นต่างหาก เล่นจูบไปสองสามชั่วโมงจนปากจะเปื่อย ไม่บวมก็ไม่รู้จะพูดว่าไง คือไม่ได้จูบนานแบบไม่พักนะครับ แต่จูบทีนึงก็นานอ่ะ (ยังไงแน่) แถมยังพักแค่ไม่กี่นาทีด้วย คือแค่มองหน้าพี่พ่ายก็จัดการปิดปากผมด้วยปากของตัวเองแล้ว จากในห้องน้ำก็ไปต่อในห้องนอนของเขา แต่ไม่ได้มีอะไรมากเกินกว่าจูบหรอกครับ ผมให้ท่ายังไงเขาก็ไม่เอา ราวกับว่าถ้าพ่ายแพ้ต่อความต้องการของตัวเองแล้วจะทำให้ชื่อไร้พ่ายของเขาแปดเปื้อน แม่งก็เลยเป็นสาเหตุให้เช้านี้ผมไม่สบตากับเขา แม้จะแอบมองบ้างก็ตามที
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“พวกมึงกระซิบกระซาบอะไรกันวะ” พี่เอเสือกถามขึ้นมา ผมกับพี่เกมก็เลยต้องจบบทสนทนาไปโดยปริยาย
“ป๋า เมื่อคืนไม่ได้ทำอะไรไอ้เพี้ยนมันใช่ไหม” พอไม่ได้คำตอบพี่เอก็เบนเข็มไปถามพี่พ่ายทันที
“เห็นหน้ามันช้ำไหมล่ะ” พี่พ่ายย้อนถาม เขากำลังบรรจงทาแยมบนขนมปัง แต่ตั้งอกตั้งใจประหนึ่งสร้างบ้าน คือไม่ได้ทาแล้วกินแบบไม่สนใจอย่างผมนะครับ พี่ท่านเล่นกะเกณฑ์ความหนาบางของแยมให้เท่ากันทุกส่วนบนหน้าขนมปัง แถมยังระวังไม่ให้มันเลอะขอบขนมปังออกมาอีก เพราะหนุ่มแว่นเรื่องมากคนนี้เกลียดการที่มือเลอะมากที่สุด ผมรู้สิ ในเมื่อถูกบ่นทุกทีเวลาทำมือเขาเปื้อนน่ะ
“อาจจะช้ำในก็ได้นะเว้ย กูไม่เชื่อหรอกว่ามึงล็อคประตูขนาดนั้น จะไม่เตะไม่ต่อยไอ้เพี้ยนมันเลย ต่อไปมีอะไรก็คุยกันดีๆ พวกกูแม่งใจหายใจคว่ำ น้องมันก็ยังเด็ก จะมาตายก่อนอายุสามสิบก็น่าสงสาร”
“เตือนไอ้เด็กนั่นไม่ใช่กู”
เขาเตือนพี่น่ะถูกแล้ว เพราะพี่อายุเยอะกว่าไง จะมาทะเลาะกับเด็กอย่างผมทำไมล่ะ
“เออ ไอ้เพี้ยน มึงก็อย่าไปกวนโมโหมันมากละกัน ป๋ายิ่งเป็นพวกไม่ยั้งมืออยู่” พี่เอหันมาหาผมบ้าง
“เตือนเพื่อนพี่เถอะครับ”
“พอๆ กันแหละพวกมึงอ่ะ คราวก่อนก็เห็นนอนหนุนตักอย่างกะคู่รัก มาคราวนี้จะตีกันอีก นี่เป็นช่วงหมดโปรหลังแต่งงานไงวะ” พี่เอบ่นไปเรื่อย แต่ทำเอาผมชะงักค้าง ในขณะที่พี่พ่ายขว้างขนมปังที่ทาแยมเสร็จแล้วไปโดนหน้าพี่เอ
“ไอ้เหี้ยยยพ่ายยยยยยยยยยยยยย หน้ากู! เสื้อกู!”
ก่อนที่พี่เอจะเปิดศึกกับพี่พ่าย พี่เกมก็รีบลุกไปดึงพี่เอเข้าไปในห้องน้ำทันที ทั้งโต๊ะก็เลยเหลือผมกับพี่พ่ายสองคน
“กิน” ผมบอกสั้นๆ แล้วก็ยื่นขนมปังที่ทาแยมเสร็จแล้วไปให้เขา สงสารครับ ตั้งแต่พี่แกมานั่งนี่ ยังไม่ได้กินเลยสักแผ่น
“ยอมพูดแล้วไง”
“ไม่ได้พูดกับพี่”
“เหรอ”
“ใช่ ผมพูดกับขวดแยม”
“หึ มึงนี่ชอบโกรธอะไรไร้สาระ”
“ไม่ไร้สาระสักนิด”
“แค่กูไม่ยอมเอาก็โกรธเป็นเด็กๆ”
“ไอ้เชี่ย พูดอะไรออกมา เดี๋ยวพี่เกมพี่เอก็ได้ยินหรอก”
“มึงเรียกกูดีๆ ดิ๊ เดี๋ยวนี้ไม่ลงไม้ลงมือแล้วชักเอาใหญ่”
“ขอโทษครับ แต่ก็จริงหนิ พี่บอกไม่อยากให้คนอื่นรู้แท้ๆ” สั่งผมให้เก็บเป็นความลับ แต่ตัวเองนี่ประเจิดประเจ้อมากๆ
“นั่นเป็นเงื่อนไขสำหรับมึง แต่ไม่ใช่สำหรับกู”
“ตัวเองจะทำอะไรก็ได้งั้นเหอะ” ยุติธรรมชิบหาย ดีที่แม่งจบวิศวะไม่ได้จบนิติ ไม่งั้นละเธอเอ้ย บ้านเมืองจะไปไหนรอด มีไอ้คนตัดสินนิสัยแบบนี้
“ใช่”
ผมขี้เกียจเถียงกับเขาแล้ว ก็เลยสะพายกระเป๋าเป้ออกจากครัว ไปทำงานดีกว่าครับ ขืนอยู่นานกว่านี้จะได้ไปเสียตังค์ที่โรงพักซะก่อน ข้อหาต่อยคนจนหน้าเบี้ยว
“เพี้ยน” ยังจะเรียกอีก ถ้ามาง้อ บอกเลยว่ายาก ผมไม่หายโกรธง่ายๆ หรอก
“มีอะไรครับ” ผมหันกลับไปถามด้วยเสียงเหวี่ยงๆ
“มึงแน่ใจนะว่าจะไม่ใส่รองเท้าไปทำงาน”
พอได้ยินพี่พ่ายพูดอย่างนั้น ผมก็เลยต้องก้มมองเท้าตัวเอง แล้วก็...โป๊ะเชะ กูเดินออกมาทั้งๆ ที่ไม่มีรองเท้าได้ยังไง ถุงเท้าเปื้อนๆ ดำๆ นี่มันซักยากนะเว้ย!
ผมทำหน้ามุ่ยใส่พี่พ่ายแล้วเดินกลับมาที่ตู้รองเท้า
“มีสติหน่อย”
“ครับๆ ทราบแล้วครับ”
“ตั้งใจทำงาน”
“ครับ”
“หึ หน้ามุ่ยดีจริงๆ”
“ไม่ต้องมาดึงแก้ม”
ปั่นหัวผมให้พอใจเลยสิ คนอย่างพี่มันลมเพลมพัดอยู่แล้วนี่ นึกจะดีก็ดี นึกจะถีบก็ถีบ ไม่สนใจความรู้สึกผมเลย
“เข้ามาใกล้ๆ”
“ไม่”
“บอกให้เข้ามา”
เพราะเขาทำเสียงแข็งแถมสีหน้าที่เคยเรียบๆ มันเข้มขึ้นมา ผมก็เลยต้องขยับเข้าไปใกล้
“คืนนี้จะรอไหม”
“ทำไม พี่จะไปไหนอีกล่ะ แล้วเพิ่งมาบอกตอนนี้นี่นะ ทำไม #@$%@#%^#”
“ตั้งสติเดี๋ยวนี้!”
คำสั่งของพี่พ่ายทำให้ผมหยุดพ่นความขับข้องใจออกไป เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นโอบแก้มผมไว้ ก่อนจะก้มลงมาแล้ว...จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากที่กำลังยู่ออกมาเพราะแรงบีบจากมือทั้งสองข้างของเขา
“กูต้องเคลียร์งาน ถ้าจะรอ ก็ซื้อถุงยางมาด้วย เอากลิ่นที่มึงชอบ”
“อิงอะ” พี่พ่ายคงพอฟังออกว่าผมจะพูดอะไร เขาพยักหน้าแล้วยักคิ้วส่งมาให้
“รู้ขนาดใช่ไหม”
“อือ”
“งั้น...เจอกันคืนนี้”
“อื้อ”
เขาจูบผมอีกครั้ง ก่อนจะยอมปล่อย “รอกินข้าวด้วยนะ”
ผมค่อยๆ คลี่ยิ้มมากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้น มากขึ้น จนตอนนี้ยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยจำความได้ พี่พ่าย...เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกรอยยิ้มจากผมได้มากจริงๆ
“อะแฮ่ม! กูว่าเราคงมีเรื่องต้องพูดคุยกันแล้วล่ะป๋า”
ผมรีบวิ่งมาควบมอเตอร์ไซค์ทันทีเมื่อเห็นพี่เกมกับพี่เอยืนออกันอยู่ที่ประตูครัว ปล่อยให้พี่พ่ายจัดการไปคนเดียวก็แล้วกันครับ ผมเชื่อว่าเขาเอาอยู่
แม้ผมจะไม่ใช่พนักงานดีเด่นเพราะเวลามาทำงานก็อยากเลิกงานไวๆ แต่วันนี้เป็นวันที่ผมอยากโดดงานมากที่สุด อยากเลื่อนเวลาให้ถึงตอนเย็นเร็วๆ ความอยากรู้อยากเห็น ความต้องการและอยากครอบครองในตัวของพี่พ่ายทำเอาผมใจเต้นแรงไม่หยุด นี่คงจะเป็นครั้งแรกล่ะมั้งที่ผมจะได้สุขใจไปกับเรื่องบนเตียง ไม่ใช่แค่ความสุขทางกายเพราะอารมณ์พาไป
ผมนั่งทำงานเต็มที่แค่สองชั่วโมง นอกนั้นก็เสิร์จข้อมูลในอินเตอร์เน็ตหาวิธีทำอาหาร ผมอยากทำอาหารให้เขาทานตอนเย็น จิบไวน์ด้วยกันสักหน่อย แล้วค่อยมีความสุขด้วยกัน เห็นในซีรีย์เขาทำกันบ่อยๆ ครับ ถึงส่วนใหญ่แล้วพระเอกนางเอกจะไม่ได้จบลงบนเตียงเหมือนอย่างที่ผมกับพี่พ่ายจะทำกันก็เถอะ ก็นั่นมันความรักสวยๆ ใสๆ นี่นา เทียบกับผมคนในโลกสีเทาแล้ว...มันคนละแนวกันเลย
ใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะเจอเมนูที่พอจะทำได้ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เพราะสกิลทำอาหารของผมต่ำมาก อาศัยไอ้ยิวทำให้มาตลอด ถึงคราวที่คิดทำเองก็เลยต้องเริ่มจากอะไรง่ายๆ ไว้ก่อน ผมจัดการลิสท์รายการว่าจะต้องซื้อวัตถุดิบอะไรบ้าง นั่งจด นั่งคิด นั่งจิ้นไปเพลินๆ ก็เกือบถึงเวลาเลิกงานแล้ว
อีกเกือบสิบนาที แต่ผมออกไปตอนนี้เลยดีกว่า ผมรีบเก็บกระเป๋า ไม่สนใจสายตาเพื่อนร่วมงานแผนกอื่นที่มองมา เพราะปกติผมก็ไม่ได้พูดคุยสุงสิงอะไรด้วยอยู่แล้ว จะนินทาหรือจะเอาไปฟ้องใครก็ช่างเถอะครับ ผมไม่แคร์หรอก อีกอย่างวันนี้พี่พ่าย พี่เอ และพี่เกมไม่เข้าออฟฟิศ ไปคุมไซต์ก่อสร้างที่ฝั่งพม่า ออกก่อนเวลาได้สบายอยู่แล้ว อิอิ
ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่ตลาด ซื้อของเสร็จก็กลับบ้าน ไม่ลืมที่จะแวะเซเว่นเพื่อซื้อของสำคัญที่จะเป็นพระเอกในคืนนี้มาด้วย อ้า ใช่แล้ว Durex ของพี่พ่ายต้องขนาดนี้ และกลิ่นนี้ผมก็ชอบมาก อีกอย่าง...บางเบาเหมือนไม่ได้ใส่ ...งืออ คิดแล้วก็เขิน
ตอนนี้ผมกำลังลงมือทำอาหารตามวิธีที่ปริ้นมา เมนูที่เลือกทำก็คือ ข้าวผัด คือมันง่ายที่สุดแล้วครับ ถึงผมจะรู้ว่ามันไม่เหมาะจะกินกับไวน์เลยก็เถอะ แต่แค่ใส่ใจลงไปในอาหารที่ทำ ผมเชื่อแน่ว่าคนที่ได้กินมันจะต้องมีความสุขแน่ๆ
“เรานี่ก็มีพรสวรรค์ใช่เล่น น่ากินอย่างนี้เปิดร้านอาหารได้เลยนะเนี่ย” อดภูมิใจกับตัวเองไม่ได้ เพราะข้าวผัดออกมาน่ากินมากกกกกก เติม ก ไก่ไปอีกแปดร้อยล้านตัวเพื่อยืนยัน ผมสาบานได้ว่านี่เพิ่งทำครั้งแรกนะครับ
ยืนภูมิใจกับผลงานของตัวเองอยู่สักพัก ก็คิดได้ว่าต้องเปลี่ยนโต๊ะกินข้าวที่สุดแสนธรรมดาในห้องครัวนี้ ให้เหมาะกับเป็นโต๊ะสำหรับดินเนอร์ใต้แสงเทียน
อื้ม ผ้าปูโอเคแล้ว แจกันโอเคแล้ว เทียนก็เลิศมาก
ว่าแต่ว่า...ที่ผมทำทั้งหมดนี้ พี่เอกับพี่เกมล่ะ จะเอาสองคนนี้ไปยัดไว้ที่ส่วนไหนของบ้านดี จะได้ไม่เกะกะ... อ่า ไม่สิครับ พวกเขาเป็นพี่ที่ดีกับผมนะ...ก็ดินเนอร์ด้วยกันสี่คนเลยก็ได้มั้ง...
ผมทำทุกอย่างเสร็จสิ้นก็มานั่งดูทีวีรอพวกพี่ๆ อยู่ที่โถงรับแขก ผ่านไปเกือบสามทุ่ม พี่เกมก็ไลน์มาบอกว่าจะเข้าไปหาช่างแกะสลักไม้กับพี่เอในเมือง ซึ่งนั่นทำให้ผมร้อง เยส ออกมาอย่างอดไม่อยู่ หื้มมม ทำไมวันนี้อะไรก็เป็นใจให้หมดเลยนะ ดีจัง...
ยิ้มยังไม่ทันหุบ ก็ได้ยินเสียงรถยนต์ขับเข้ามา ผมรีบวิ่งออกไปต้อนรับ เพราะรู้ยังไงก็ต้องเป็นพี่พ่ายแน่นอน
แต่ทว่า...ผมกลับต้องยิ้มค้างและหยุดเดินฉับพลัน รถของพี่พ่ายก็จริง และเขาก็กำลังลงจากรถ แต่ที่ทำให้ผมต้องเกือบลืมหายใจ ก็คือผู้หญิงที่กำลังลงมาจากรถด้วย
ไม่รู้ว่าเป็นใคร...แต่ก็ดูสวยใสในชุดนักศึกษา
“สวัสดีค่ะ” น้องผู้หญิงหน้าหวานยกมือไหว้ผม พร้อมกับยิ้มให้อย่างน่ารัก “ป๋าคะ...นี่...”
“พนักงานที่พักอยู่ด้วย” พี่พ่ายตอบ สบตากับผมที่ในตอนนี้...บรรยายความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก รู้แต่ว่ามันจุกไปหมด “ชื่อเพี้ยน เป็นสถาปนิก”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะพี่เพี้ยน หนูชื่อเดียร์ค่ะ ว่าแต่พี่เกมกับพี่เอล่ะคะป๋า”
น้องเดียร์ที่พี่พ่ายกำลังเลี้ยงดูอยู่อย่างงั้นเหรอ...ก็สวยดีนะครับ แต่พี่กิ๊ฟยังดูดีกว่านี้เป็นร้อยเท่า สเปคผู้หญิงของพี่พ่ายนี่ต้องดูโง่ๆ ใสๆ แต่งหน้าบางๆ สมองประถมนมมหาลัยแน่ๆ หึ
“ติดงานน่ะ”
“อ๋อ ค่ะ พี่เพี้ยนคะ คืนนี้เดียร์ขอมานอนที่นี่ด้วยคนนะคะ” น้องเดียร์ยิ้มสวย เอ่ยปากขออนุญาตผมด้วยน้ำเสียงน่ารัก แต่ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ เพราะกำลังมองพี่พ่ายเพื่อขอคำอธิบาย
“เอ่อ...พี่เพี้ยน”
“ที่นี่ผมเป็นเจ้าของ หนูนอนที่นี่ได้โดยไม่ต้องถามความเห็นใคร” พี่พ่ายพูดเสียงเรียบ “ยังไงก็ต้องนอนห้องผม”
“ป๋าพูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้อยู่กันสองคนนะคะ”
อืม...ผมพอเข้าใจแล้ว ผมก็แค่...ถูกเขาปั่นหัวเล่นนี่เอง ฮ่าๆๆ ดันเผลอคิดไปว่าจะเลิกคิดว่ามันเป็นเกมและจริงจังกับเขาด้วยซ้ำ แต่มันก็เท่านั้น...คนอย่างผมไม่เคยมีโชคกับความรักอยู่แล้ว
รอกินข้าวงั้นเหรอ...ถุงยางกลิ่นที่ผมชอบงั้นเหรอ...ก็แค่เรื่องตลกของเขา เป็นแค่เรื่องที่เขาจะทำกับคนอื่น ไม่ใช่คนที่เขาขยะแขยงอย่างผม
“ผมทำข้าวผัดไว้น่ะครับ แล้วของที่พี่บอกให้ซื้อ ผมก็ซื้อมาให้แล้ว ใช้ได้เต็มที่เลยนะครับ ขอตัวก่อนนะน้องเดียร์ พอดีพี่มีธุระต้องไปทำ”
ผมรู้ว่าตอนไหนที่ตัวผมควรถอยไปตั้งหลัก ขืนผมยังฝืนต่อ ผมคงจะสมเพชตัวเองมากกว่านี้... เกมบ้าบออะไร...ตั้งท่าจะแพ้เขามาหลายครั้งแล้วยังจะโง่เล่นต่อ ผมมันก็เป็นแบบนี้แหละครับ ไม่เคยเข็ดไม่เคยจำ
ผมเดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อเอากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าตังค์ คืนนี้ผมต้องหาที่นอนที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านหลังนี้...
สตาร์ทเครื่องเสร็จ ไม่ทันจะได้บิดคันเร่ง พี่พ่ายก็มายืนขวางไว้
“จะไปไหน”
ผมมองหน้าเขาแต่ไม่ตอบคำถาม
“รอกินข้าวกับกูไม่ใช่หรือไง”
“...”
“คนหน้าด้านอย่างมึงยอมถอยไปง่ายๆ อย่างนี้ กูไม่อยากเชื่อ”
ผมเม้มปากแน่น มองหน้าเขาด้วยความรู้สึกที่แทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่ ที่ตาก็รู้สึกร้อนไปหมด
“พี่ทำเกินไปแล้ว” ผมเค้นเสียงของตัวเอง ให้มันหนักแน่นเพื่อกลบความสั่น “เกินไปจริงๆ”
“...”
“ต่อให้พี่ตบผม เตะผม หรือทำร้ายร่างกายผมยังไง ผมก็ยังคิดว่าไม่เป็นไร เพราะแผลที่กาย ไม่นานมันก็จะหาย ถ้าผมยังได้อยู่กับพี่ ผมยอมทั้งนั้น”
“...”
“แต่แผลที่เกิดขึ้นตรงนี้...มันเจ็บยิ่งกว่าที่ผมเคยเจอมา ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมแพ้ให้กับตัวเองตอนไหน แต่พี่ครับ พี่จำเป็นต้องเหยียบความรู้สึกของผมขนาดนี้เลยเหรอ”
พี่พ่ายปล่อยมือที่จับตะกร้าหน้ารถมอเตอร์ไซค์ ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในบ้าน ผมไม่ได้มองตาม แต่รีบบิดคันเร่งเพื่อพาตัวเองออกมาให้ไกลจากเขากับเด็กของเขา
ผมไม่รู้หรอกว่าควรยอมแพ้ดีไหม แต่ตอนนี้ผมควรไปตั้งหลักก่อน ไปทำให้หัวเย็นลงแล้วค่อยคิดต่อไป
“ยิว” ผมโทรหาไอ้ยิวเมื่อมาเจอสวนสุขภาพใกล้ๆ สี่แยกไฟแดงที่สุดแสนจะร่มรื่นแห่งนี้ นั่งทอดอารมณ์ได้สักพักก็คิดขึ้นมาได้ว่าผมต้องไปส่งไอ้ยิวขึ้นเครื่อง
“ว่าไงมึง เฮ้ย เป็นไรอ่ะ น้ำเสียงฟังดูไม่ดีเลยนะ” ผมแค่เรียกชื่อมัน แต่มันกลับรู้ได้ทันทีว่าผมกำลังแย่
“กูรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย”
“ทำไมวะ มึงเป็นอะไร เพี้ยน ใจเย็นๆ นะ มึงอยู่ไหนอ่ะ เดี๋ยวกูจะรีบไปหา”เพราะน้ำเสียงที่ร้อนรนของไอ้ยิว ทำให้น้ำตาของผมเริ่มไหลลงมาทีละหยด ทั้งๆ ที่ไม่ได้แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมกำลังเสียใจให้กับอะไร รู้แต่ว่ามันเจ็บมันปวดในอกไปหมด
“กูจะรีบไป รอกูนะเพี้ยน กูจะรีบไปหามึง”“อืม”
ระหว่างรอไอ้ยิว ผมเอาแต่คิดเรื่องต่างๆ วนไปวนมาในหัว เริ่มตั้งแต่ที่ได้เจอและเผลอหลงใหลในแววตาที่เหมือนกันกับพี่ แววตาที่ได้เห็นครั้งแรกก็ขุดความรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดชังขึ้นมาในอกอย่างท่วมท้น หลังจากนั้น...ก็มีแต่เรื่องน่าอายที่ผมได้ทำลงไป ก็ไม่แปลกหรอกที่เขาไม่มีความคิดที่จะชอบคนอย่างผม
ผมยอมรับนะครับว่าผมยึดติดกับเขา ตอนแรกที่อยากจะครอบครองเขาไว้...ก็เพราะดวงตาคู่สวยที่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ให้ความรู้สึกแปลกๆ แต่ตอนนี้...ผมไม่ได้ต้องการแค่นั้น ผมโลภอยากจะได้ทั้งหมด มันก็เลยเป็นปัญหากับตัวผมเอง
ไร้พ่ายไม่ได้หล่ออย่างหาที่ติไม่ได้ ยังมีดาราหรือผู้ชายอีกหลายล้านคนบนโลกที่หล่อมากกว่าเขา ไม่ได้เป็นคนอบอุ่น โรแมนติกเหมือนโทเมเนเจ้อที่ผมคลั่งไคล้ เขาน่ะ...เรื่องมาก ปากร้าย ชอบใช้กำลัง วิธีพูดก็กระด้างกระเดื่อง ไม่รักษาน้ำใจใคร กินเผ็ดก็ไม่ได้ ข้อเสียเป็นกระบุง แต่ผมกลับ...ชอบในข้อเสียเหล่านั้น ผมรู้ว่าผมอาจจะมีความผิดปกติทางรสนิยมก็ได้ แต่เพราะมันยากที่จะได้มานั่นแหละ ถึงทำให้ผมสนใจจนเผลอปล่อยความรู้สึกไปมากขนาดนี้...
“ไอ้เพี้ยน เป็นไง โอเคยัง” ไอ้ยิวขับรถเก๋งของผมมาจอดอยู่เทียบเคียงมอเตอร์ไซค์ มีพี่ทัศน์ที่ถือหนังสือสวดมนต์วิ่งตามลงมาด้วย เห็นหน้าซีดๆ ของพี่เขาแล้ว ผมก็รู้ได้ว่าไอ้ยิวแม่งเหยียบมิดตีนมาแหงๆ ไม่งั้นพี่ทัศน์คงไม่กำลังทำท่าสวดภาวนาอย่างนี้หรอก
“ไม่ว่ะ”
“มึง...อกหักเหรอวะ”
“ก็...ทำนองนั้น” ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ แต่ถ้าผู้เชี่ยวชาญอย่างไอ้ยิวทักมาอย่างนี้ อาการเจ็บแปลบๆ น้ำตาไหลนี่คงหมายความว่าผมกำลังอกหักล่ะครับ
“จากใคร” ไอ้ยิวหน้าเครียดเสียงเครียดขึ้นมาทันที “ไอ้หมอนั่นใช่ไหม”
“อืม มันพาเด็กมันมานอนที่บ้าน”
“กูถึงได้บอกไง ว่าอย่าไปยุ่งกับมัน แล้วมึงเคยฟังไหม โง่จริงๆ ไอ้เลวนี่” มันบ่น แต่พอเห็นหน้าหงอยๆ ของผมก็ดึงเข้าไปกอด ผมมองไปทางพี่ทัศน์อย่างเกรงใจ แต่พี่เขาก็ส่งยิ้มมาให้แล้วยกมือขึ้นโบก เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
ไอ้ยิว...ได้แฟนที่ดีนะ...นึกถึงความเหี้ยที่ผมเคยทำแล้ว...รู้สึกละอายใจ
“โง่จริงๆ รักเขาไปแล้วใช่ไหม ตอนพี่มึงตายยังไม่ร้องไห้อย่างนี้”
ก็ตอนที่พี่สาวผมตาย...ผมยังงงๆ อยู่เลยว่าเป็นความฝันหรือความจริงกันแน่ ถึงได้ไม่มีน้ำตาสักหยด อารมณ์ในตอนนั้นคืองงปนความหวาดกลัว เพราะพี่สาวของผม...ตายในหอพักที่ผมกับเธอเช่าอยู่ด้วยกัน เธอแขวนคออยู่ตรงหน้าเตียงที่ผมนอน...ดวงตาที่เบิกโพลงนั้นจ้องผมเขม็ง ผมยังจำภาพนั้นได้ดี มันติดตามาจนถึงทุกวันนี้ ผมจำรายละเอียดอย่างอื่นเกี่ยวกับพี่ไม่ได้เพราะไม่อยากจะจำ แต่ที่จำได้แม้จะพยายามลืมยังไงก็ลืมไม่ได้นั่นก็คือดวงตาที่จ้องมองผม
ในวันนั้นกว่าผมจะตั้งสติได้...ตำรวจกับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลก็มาถึงที่หอแล้ว ผมไม่ได้มีโอกาสได้มองดูศพพี่อย่างเต็มตาด้วยซ้ำไป เพราะพี่บริจาคดวงตาให้กับทางโรงพยาบาล ศพของพี่ถึงได้ถูกพาไปที่โรงพยาบาลก่อน ทางเจ้าหน้าที่บอกว่าโชคดีที่ยังตายได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่นั่น...คือความโชคดีอย่างนั้นเหรอ หลังจากนั้นผมก็ถูกสอบปากคำจากตำรวจ แม้จะยังสงสัยอยู่ว่า...ตำรวจกับเจ้าหน้าที่โผล่มาที่หอพักผมได้ยังไงทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้แจ้งว่ามีคนตายไปเลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจถามอะไร งานศพของพี่ถูกจัดขึ้นเงียบๆ โดยมีทางโรงพยาบาลกับครอบครัวของคนไข้ที่ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาของพี่ไปร่วมเป็นเจ้าภาพ แต่เพราะเขาไม่ประสงค์ออกนามว่าเป็นใคร ประกอบกับผมไม่ได้ใส่ใจจะรู้จักถึงได้ปล่อยเลยตามเลย ตอนนั้นไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรหรอกครับ ผมเกือบลาออกจากโรงเรียนเพราะเป็นโรคซึมเศร้า นอนคนเดียวก็ไม่ได้ ฝันร้ายและตกใจตื่นแค่มีเสียงดังเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้...ผมทำให้ไอ้ยิวลำบากมากเหมือนกัน
“กูโง่มาตั้งแต่เด็กแล้ว มึงก็รู้”
“อืม มึงมันโง่...
โง่ที่ไม่รู้จักเลือกรักคนที่รักมึง”
“กูขอโทษ”
“ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้...มึงก็ไม่เคยเลือก”
“ขอโทษครับ”
“เออๆ เวลาทำหน้าหงอยแล้วโคตรไม่เข้ากับมึง” ไอ้ยิวเบ้ปากใส่
“น้องเพี้ยนน้องยิวครับ พี่ว่าตอนนี้เราควรไปที่สนามบินได้แล้วล่ะ ไม่งั้นจะไม่ทัน”
จริงด้วยครับ เกือบลืมไปเลย
“แล้วมอเตอร์ไซค์นี่ล่ะ” ไอ้ยิวถาม “มึงต้องขับรถไปส่งกูกับพี่ทัศน์นะ”
“เออน่า เดี๋ยวกูเอาไปเก็บที่บ้านก่อน”
“เอาจริงน่ะ มึงพร้อมจะไปเจอไอ้เหี้ยนั่นแล้วรึไง”
“มึงก็รู้ว่าคนอย่างกูสลดได้แค่ไม่กี่นาทีหรอก”
“กูลืมไปว่าคนโง่ๆ อย่างมึงจำอะไรได้ไม่นาน แต่ถ้าเขาทำให้เจ็บแล้วไม่จำ แถมยังไม่เข็ด คราวหน้าห้ามโทรมาหากูนะมึง!”
ผมหัวเราะแล้วมองท่าทีปั้นปึ่งของไอ้ยิว ...สมกับที่เป็นเพื่อนผมมานาน ถึงได้รู้ว่าผมน่ะ...มันเจ็บไม่จำ แถมยังไม่เข็ด...
.......................................................TBC..................................................................
เจอกันอีกทีวันอังคารนะคะ
แล้วมาดูว่าตอนหน้า ไร้พ่ายจะทำยังไงต่อไปกับน้องเพี้ยน หรือน้องเพี้ยนจะทำยังไงต่อไปกับหัวใจตัวเอง

อยากพูดคุยให้มากกว่านี้แต่ก็กลัวจะยาวไป ยังไงก็ดูแลตัวเองนะคะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เป็นห่วง