กัณตินันท์เบือนหน้าหนีจากภาพในจอโทรทัศน์ตรงหน้าที่ฉายอยู่ ไม่ต่างจากเตชสิทธิ์ที่ตัดสินใจเดินไปปิดสวิทซ์จนหน้าจอดับไป
“แล้วคิดว่าเขาจะยอมหยุดเหรอ ทำแบบนี้ ผมว่าเขาน่าจะบ้ามากกว่าเดิมนะ”เด็กหนุ่มเอ่ยออกความเห็นกับคนที่เขายอมให้ก้าวเข้ามาในบ้านเป็นครั้งแรก
“อันนั้นพี่ก็ไม่รู้หรอก แต่พี่ว่าเขาคงไม่กล้าทำอะไรบ้าบิ่นแล้วล่ะ เพราะคงต้องโดนที่บ้านจับพฤติกรรมเป็นแน่”ภูมิเอ่ยตอบ รู้สึกประหม่าอยู่บ้างเหมือนกันที่ได้เข้ามาในบ้านหนุ่มน้อยที่ตนเคยหลงรัก แต่ดันเคยทำพฤติกรรมให้เจ้าตัวนึกรังเกียจ
“ภูมิก็เล่นแรงไปนะ สงสารเขาออก”กัณตินันท์ออกความเห็นบ้าง
“ภูมิก็ทำเพื่อตฤณไง”ภูมิหันไปเอ่ยตอบ ก่อนจะสะดุ้งหน่อยๆ เมื่อมีเสียงกระแอมดังขึ้นจากคนที่อายุน้อยที่สุด
“ก้างติดคอหรือไงเรา”ตฤณเอ่ยปรามลูกศิษย์ล้อๆ ก่อนจะมองค้อนเจ้าตัวหน่อยๆเมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าตัวเอ่ยตอบว่า
“ความหึงต่างหากล่ะที่มันขวางคอผม”
“ทะลึ่งอีกแล้วนะนายนี่ ไปเลยไป ไปอ่านหนังสือโน่น ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”ชายหนุ่มเอ่ยว่าขึ้นให้พร้อมกับออกปากไล่ แต่คนโดนไล่กลับไม่ยอมทำตามโดยเอาข้ออ้างที่ว่าอยากจะอยู่ปรับความเข้าใจกับแขกที่มาใหม่
“เฮ้ย จะมาปรับความเข้าใจอะไรกับพี่”ภูมิรีบเอ่ยขึ้นอย่างตกใจเมื่อได้ยินเสร็จ
“ก็ทุกเรื่องแหละพี่ ทั้งที่ผมด่าทอพี่ และที่พี่เคยงี่เง่ากับผม เอาเป็นว่าเจ๊ากันไปแล้วกันนะครับ ถือว่าเราเลิกแล้วต่อกันแล้วกัน โอเคมั๊ยครับ”เตชสิทธิ์เอ่ยบอก คนได้ยินรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างประหลาด ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำบอกนั่น ก่อนจะหันหน้าไปมองอีกคนที่นั่งยิ้มให้รออยู่
“ขอบใจมากนะตฤณ ที่ทำให้ภูมิไม่ต้องโดนนายไต๋รังเกียจไปจนตาย”ชายหนุ่มเอ่ยบอกอย่างรู้ทันว่าส่วนหนึ่งที่เด็กหนุ่มอย่างเตชสิทธิ์ยอมญาติดีด้วยคือฝ่ายนั้น
“ก็เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนี่”กัณตินันท์เอ่ยรับยิ้มๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือฝ่ายที่ยิ้มให้กับตนเช่นกัน แต่ต้องรีบปล่อยเมื่อได้ยินเสียงกระแอมอีกเป็นรอบที่สอง
“คราวนี้ก้างมันติดคอจริงๆ เปล่าหึงใครซะหน่อย หลงตัวเองนะเราน่ะ”คนกระแอมเอ่ยออกมาล้อๆ พลางมองหน้าคนที่ทำให้รู้ว่าแคร์ตนมากมายอย่างทะเล้น
“ไอ้เด็กบ้า ไปอ่านหนังสือได้แล้วไป”กัณตินันท์เอ่ยไล่หนุ่มน้อยแก้เขิน ก่อนจะหันไปสนทนากับคนรักเก่า เมื่อคนที่ตนไล่ยอมถอยฉากออกไป
.
.
.
.
.
หลังจากที่ออกจากบ้านของเตชสิทธิ์ภูมิจึงแวะไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปดูอาการของกฤตภาษ เขาเป็นคนพาเจ้าตัวไปที่นั่นเองตอนที่เจ้าตัวสลบไปในห้องของเขา
“ต๊าย!! มันยังมีหน้ามาอีก พวกเรา ลุย”เสียงเพื่อนหนึ่งคนในห้องเยี่ยมเอ่ยขึ้นดังลั่นในตอนที่ชายหนุ่มเปิดประตูห้องเข้าไป เจ้าของเสียงนั่นกำลังเดินนำเพื่อนตรงมาที่ร่างคนเข้ามาใหม่ แต่ต้องชะงักเมื่อโดนร้องทักเอาไว้จากคนที่นอนอยู่บนเตียง
“พวกแกจะทำอะไรน่ะ”
“ก็จัดการอีแอบนี่แทนแกไง ดูมันทำกับแกสิ”เพื่อนคนเดิมหันตอบ
“ไม่ต้อง นี่มันโรงพยาบาลนะ พวกแกออกไปข้างนอกก่อนไป เขาคงไม่เข้ามาฆ่ากูหรอก”กฤตภาษเอ่ยสั่งเพื่อน พลางหันหน้าไปมองคนที่ยืนนิ่งฟังการสนทนาอยู่ซึ่งก็บังเอิญประสานสายตากันเข้าพอดี
“โอ้ยย!! กูจะเป็นลม อย่าบอกนะว่ามึงจะญาติดีกับคนที่ตบมึงจนต้องมานอนหยอดน้ำข้าวต้มแบบนี้”เสียงเพื่อนคนเดิมเอ่ยขึ้นอีก เมื่อบังเอิญมองเห็นสายตาสองคนที่กำลังจ้องประสานกันอยู่ กฤตภาษรู้สึกตัว จึงรีบละสายตาหนีจากคนที่จ้องตนไม่เลิกเช่นกัน เด็กหนุ่มออกปากไล่เพื่อนใหม่ โดยอ้างว่าต้องการที่จะเคลียร์ปัญหาตรงนี้เอง นั่นล่ะ เพื่อนๆถึงยอมออกไปกัน
“เป็นไงบ้าง”ภูมิเอ่ยถามคนที่พยายามยันกายลุกขึ้น หลังจากที่ทั้งห้องมีเพียงเขากับฝ่ายนั้น
“ยังไม่ตายง่ายๆหรอก”กฤตภาษเอ่ยตอบ หลังจากที่ลุกนั่งได้สำเร็จ เด็กหนุ่มมองสบตาคนที่เดินเข้าหาตนใหม่ รู้สึกได้ถึงคล้ายว่าแววตาที่ส่งมาให้นั่นมันไม่ได้เจือมาด้วยความเกลียดชังเหยาะหยันอย่างที่น่าจะเป็น
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย”ภูมิเอ่ยตอบ เขาได้อยู่พูดคุยกับกัณตินันท์ในตอนที่เตชสิทธิ์หลบหน้าไปจนได้ข้อคิดหลายอย่าง ฝ่ายนั้นบอกให้เขายุติความเกลียดชังทั้งหมดซะ เพราะยิ่งเกลียดใคร ยิ่งแค้นใคร คนที่ทุกข์ใจไม่หายก็เป็นตัวเองไม่ใช่ใคร
“ไม่ได้หมายความแบบนั้นแล้วหมายความว่ายังไง เล่นงานผมขนาดนี้”กฤตภาษตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพขึ้น เด็กหนุ่มผ่านความเจ็บปวดร้าวร้านมาทั้งกายและใจ จนได้คิดทบทวนตามคำพูดของคนอยู่ตรงหน้า ว่าทุกอย่างมันก็ล้วนเกิดจากการกระทำของเขาเอง ที่ตามระรานใครคนอื่นเขาไม่เลิก
“ก็คุณบังคับผมเองนี่”ภูมิตอบกลับบ้าง รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยๆ ที่ไม่ได้เห็นภาพแรงๆของคนที่เอ่ยสุภาพขึ้น ก็เพราะภาพแบบนี้สินะที่ทำให้เขาเคยถูกชะตากับคนๆนี้
“เออ ผมมันไม่ได้ดีเลิศอย่างคุณครูกัณตินันท์นี่ ดีเสียจนใครก็ทำอะไรไม่ได้ แถมยังดีซะจนได้ใจชาวบ้านเขาไปทั่ว”กฤตภาษเอ่ยด้วยคำพูดอดประชดประชันไม่ได้ แต่ในส่วนลึกก็ยอมรับแล้วล่ะว่าคนทำดี คิดดีโดยตลอด ผลตอบแทนย้อนกลับก็มักจะดีด้วย เมื่อก่อนเขาไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้ จึงให้วิญญาณความร้ายกาจเข้าสิงภายในใจมาโดยตลอด แต่ตอนนี้ทุกสิ่งมันประจักษ์ชัดต่อสายตา เขาก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาค้านได้ กัณตินันท์เคยโดนเตชสิทธิ์เกลียดเข้าไส้ แต่สุดท้ายเป็นไงล่ะ นายนั่นก็ได้ใจเด็กคนนั้นไปเต็มๆ หรือแม้แต่คนที่ยืนอยู่ในห้องเขาตอนนี้ ที่เคยออกปากว่าเบื่อคนนั้น แต่สุดท้าย ก็ยอมยกให้เจ้าตัวเป็นคนดีที่สุดคนหนึ่งในสายตาไปจนได้ แล้วนี่มันถึงเวลาหรือยังนะ ที่เขาจะยอมเปิดตา เปิดใจ ยอมรับตัวตนที่ไม่เคยร้ายให้ใครก่อนของอาจารย์คนนั้นบ้าง
“อย่าไปว่าตฤณเขาเลย ผมว่าคุณควรเลิกแล้วต่อเขาไปเถอะนะ เพราะเขาเองก็ไม่ติดใจอะไรกับคุณเท่าไหร่ หนำซ้ำยังไล่ให้ผมมาเยี่ยมคุณไม่เห็นเหรอ”ภูมิเอ่ยบอก ด้วยหวังว่าการพูดจากันดีๆด้วยเหตุผลแบบนี้ จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น อย่างที่กัณตินันท์เคยทำกับตน
“อ๋อ นี่ที่คุณมาเยี่ยมผม เพราะคนรักเก่าบอกให้มาเองเหรอ”กฤตภาษเผลอประชดออกไปโดยไม่รู้ตัว ภูมิที่ยืนฟังอยู่ลอบยิ้มนิดหน่อยที่เห็นว่าน้ำเสียงคนเอ่ยจะคล้ายๆออกอาการงอนมากกว่าวีน
“จริงๆผมก็อยากมา คุณอย่าคิดไปแบบนั้นสิ ที่พูดให้ฟังคือ คุณควรเปิดใจยอมรับความจริงซะทีว่าตฤณไม่ได้มองเห็นคุณเป็นศัตรูเลยก็แค่นั้น”กฤตภาษเงียบไปนิดนึง ก่อนจะยอมเอ่ยขึ้นเบาๆว่า
“ข้อนั้นผมรู้แล้ว”
“แสดงว่าคุฯจะยอมรามือจากความแค้นเคืองทั้งหมดเลยสิ”ภูมิบอกออกมาอย่างตื่นเต้น ไม่น่าเชื่อว่าพอคนเราหันหน้ามาพูดจากันดีๆโดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ผลที่ได้มันจะง่ายและดีอย่างที่ต้องการ
“ถึงผมไม่ยอม ผมก็คงทำอะไรใครในประเทศนี้ไม่ได้แล้วล่ะ”กฤตภาษเอ่ยบอกต่อ เขาได้รับรู้บทลงโทษของเขาแล้วในการเป็นลูกที่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ที่บ้านตัดสินใจให้เขาลาออกจากมหาวิทยาลัย แล้วส่งต่อเขาไปเรียนยังต่างประเทศ ฟังดูมันก็อาจจะเป็นการดีสำหรับเขา ที่จะได้ไปเป็นตัวเองอย่างที่ต้องการ แต่ทุกอย่างมันไม่ได้สวยหรูแบบนั้น เมื่อผู้เป็นพ่อประกาศเปรี้ยง ว่าส่งเสียเขาแค่เงินก้อนแรกที่ส่งไปเท่านั้น หลังจากนั้นคือเขาต้องช่วยตัวเองจนเรียนจบมาให้ได้ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้น เขาก็ห้ามกลับมาเหยียบที่บ้านอีก เด็กหนุ่มเกิดใจหวิวขึ้นมาเมื่อนึกวาดอนาคตตัวเองเอาไว้แล้วว่าความอู้ฟู้หรูหราต่างๆที่ตนเคยมีเคยใช้ตอนดำเนินชีวิตอยู่แผ่นดินเกิดจะหายไป กลายเป็นความระกำลำบากที่ต้องกัดฟันต่อสู้ดิ้นรนในต่างแดนเองเพียงลำพัง น้ำใสๆเริ่มไหลออกมาจากตาอย่างเลี่ยงไม่ได้เมื่อนึกถึงข้อนี้ขึ้นมา
“คุณร้องไห้ทำไมเอส แล้วที่คุณพูดเมื่อกี้ มันหมายความว่าไง”ภูมิเอ่ยถามอย่างตกใจ เมื่อเห็นหยดน้ำตาของคนที่ตนไม่ติดใจแค้นเคืองอะไรแล้ว
“ผมต้องไปเรียนต่างประเทศ”คนถูกถามเอ่ยบอก ก่อนจะเปิดใจเล่าถึงสาเหตุที่ตนต้องห้องไห้ให้คนตรงหน้าฟัง
“โธ่ อย่าเพิ่งคิดมากไปเลย บางทีทุกอย่างมันอาจจะไม่ลำบากอย่างที่คุณกลัวก็ได้”ภูมิเอ่ยปลอบโยน พลางตัดสินใจเอื้อมมือไปกุมมือฝ่ายนั้นเอาไว้ เมื่อเห็นเจ้าตัวร้องไห้ไม่หยุด
“ถ้าไม่รังเกียจผมจนเกินไป ผมก็พร้อมที่จะเป็นเพื่อนคู่คิดคุณได้นะ มีอะไรก็ปรึกษาผมได้ตลอด แม้ผมจะไม่ช่ำชองในการใช้ชีวิตในต่างแดนเท่าไหร่ แต่ประสบการณ์ที่มีมา ผมก็ว่าน่าจะช่วยคุณได้ไม่มากก็น้อย”