ความทรงจำที่ 17
อาการแสบแปล๊บในกะโหลกยังวนเวียนอยู่แม้จะกลับมาให้ขนมเก๋ากี้จนมันหลับปุ๋ยไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม หลงนอนหงายอยู่บนโซฟาตัวเดิมฟังเสียงเข็มนาฬิกาเดิน ไม่ได้เวียนหัวแบบโลกเขย่า แต่เป็นอาการเจ็บวาบเข้ามา
“อื้อ” หลงครางหงุดหงิดในลำคอ ตั้งแต่อยู่มาร่วมสองเดือนกว่าไม่มีครั้งไหนที่อาการกำเริบแรงเท่าครั้งนี้ ราวกับเนื้อสมองถูกเหล็กปลายแหลมสะกิด หลงพยายามข่มตาหลับมาร่วมสิบนาทีก็ไม่เป็นผล เม็ดเหงื่อผุดขึ้นข้างขมับซึมออกมาตามเสื้อยืด แม้แต่แขนโซฟายังเปียกชุ่ม
เขาพอจะจับใจความตอนพบคุณหมอประวิทย์ได้ หากมีสิ่งเร้ามากระตุ้นความทรงจำสมองจะมีปฏิกิริยา ใครจะคิดว่ามันจะบีบจนกะโหลกแทบแตกแบบนี้ หลงพลิกมาขดตัว พรั่งพรูลมหายใจออกมา
ถ้าปวดขนาดนี้พยายามคิดไปก็เปล่าประโยชน์ สู้ข่มตาหลับเสียยังดีกว่า
ห้องสี่เหลี่ยมค่อย ๆ เงียบลงช้า ๆ เสียงหอบหายใจเบาลงหลงเหลือไว้เพียงการหายใจในระดับปกติเท่านั้น เป็นสัญญาณว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองได้เข้าเฝ้าพระอินทร์เป็นที่เรียบร้อย ตะวันเหนือหัวค่อย ๆ คล้อยต่ำลงช้า ๆ โชคดีที่หน้าต่างอยู่ทางทิศตะวันออกจึงไม่มีแสงร้อน ๆ มารบกวนการนอน
เก๋ากี้ตื่นแล้วคลานต้วมเตี้ยมไปรอบห้อง มันไม่กระตือรือร้นจะเล่นกับหลงก็จริง แต่ก็ยังเล่นฝนเล็บตามประสาแมวทั่วไป เสียงเล็บเสียดเส้นเชือกดังไม่หยุด
กระนั้นหลงก็ยังไม่ตื่น
ตะวันคล้อยจนลับเส้นขอบฟ้า ไม่สิ ในเมืองหลวงเช่นนี้ควรเรียกว่าเส้นขอบตึก และเมื่อดวงไฟยักษ์หายไปท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำ
กระนั้นหลงก็ยังไม่ตื่น
เสียงโลหะกระทบดังจากกลอนเล็ก ๆ ลั่นเอี๊ยดอ๊าดเป็นสัญญาณให้แมวอ้วนพุ่งตัวเข้าไปรอหน้าประตูในทันที ไม่กี่วินาทีต่อมาบานประตูก็ถูกผลักออก
กระนั้นหลงก็ยังไม่ตื่น
ถุงเท้าลากเอื่อยตามจังหวะการเดินของผู้มาเยือน หลังทักทายแมวแสนรู้เรียบร้อยอโณชาก็มองหาสัตว์เลี้ยงอีกตัวที่ปกติมักจะมาป้วนเปี้ยนก่อนแมวเสมอ ไม่ต้องใช้เวลานานก็เห็นปลายเท้าที่ยื่นเลยจากความยาวโซฟา อโณชาส่ายหน้าพลางพึมพำว่า ‘ไม่ไหวเลยน้า’ ก่อนจะเยื้องย่างเข้าหาเป้าหมาย มือซ้ายเอื้อมไปแตะบนหน้าผาก
แทบไม่มีอุณหภูมิความร้อนออกมาจากผิว อโณชาไม่ชอบขัดจังหวะคนหลับลึกนักแต่คราวนี้มันจำเป็นจริง ๆ เขารีบเขย่าตัวคนบนนั้น “หลง! หลงตื่น”
กล้ามเนื้อที่แขนไม่มีการตอบสนองประกอบกับร่างเย็นชืดทำเอานั่งไม่ติด เขาเขย่าตัวด้วยแรงที่มากขึ้นพร้อมส่งเสียง “หลง!”
เฮือก! เจ้าของชื่อปลอม ๆ เบิกตาโพลงพร้อมร่างกายที่กระเด้งขึ้นมาจากโซฟา วูบเหมือนคนตกจากที่สูง หลงรีบหันไปหาคนข้าง ๆ ด้วยแววตาสับสน
เรียวคิ้วขมวดเข้าหากัน “เป็นอะไร...”
“คุณอโณ!”
“......”
“ทิว คืออะไรครับ!”
“หา!?” นี่มันคำถามประเภทไหนกัน! อโณชามึนตื๊บ
“ตอนไปตลาดพอได้ยินคนตะโกนคำนี้เจ็บหัวแปล๊บ ๆ เลยครับ” ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นกุมศีรษะ “ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แต่เมื่อเย็นผมปวดจนทนไม่ไหวเลย”
“หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับหลง?” มือเรียวยกขึ้นทาบบนหน้าผากคนป่วย เมื่อตรวจสอบอุณหภูมิว่าไม่มีไข้แล้วอโณชาก็เริ่มตั้งสมมติฐาน “ฉันพูดว่า ‘ทิว’ แบบนี้ยังปวดอยู่ไหม”
“ไม่แล้วครับ” มันส่ายหน้า
“งั้น ทิว ทิว ทิว ทิว ทิว ทิว ทิว แบบนี้ล่ะ”
เอ่อ...คุณอโณไม่ได้กำลังอยากให้หลงหัวระเบิดใช่ไหม ท่องเป็นคอมโบขนาดนี้
“มะ...ไม่ปวดครับ”
“อยากพบคุณหมออีกรอบไหม?”
“วันอาทิตย์นี้ก็เจอแล้วนี่ครับ ไม่ต้องลำบากไปก่อนหรอก” หลงรู้ทันอาการคลั่งโรงพยาบาลของอโณชาดี เจ็บนิดเจ็บหน่อยก็จะลากไปแล้ว
“ถ้าหลงว่าอย่างนั้นก็ตามใจ” เจ้าบ้านยอมรับด้วยสีหน้าไม่คลายกังวล “ว่าแต่ ‘ทิว’ นี่มันไม่กว้างไปหน่อยเหรอ? ทิวอะไรดีล่ะ? ทิวเขา ทิวทัศน์ ทิวลิป ทิวลี่” อีกนิดอาจลามไปถึง ‘ทิวไผ่งาม’ ก็เป็นได้ แต่ยกมาหลายทิวขนาดนี้หลงไม่ยักกะมีอาการอะไรเลยสักนิด แถมยังนั่งเกาหัวแกรก ๆ อีก “แล้วใครเป็นคนตะโกนคำนี้”
“ผมรีบข้ามถนนเลยไม่ทันเห็น แต่พอหันกลับไปก็ไม่เจอใครมีท่าทีว่าเรียกผมเลยนะครับ รอจนอีกกลุ่มข้ามมาก็ยังไม่เจอ”
“ถ้าเป็นคนรู้จักก็น่าจะเข้ามาทักสักหน่อยนะ” อโณชาลูบปลายคาง ให้อาแสงตามเรื่องให้อยู่ ตอนนี้ยังไม่มีวี่แววเลย แย่ชะมัด
แย่ที่รู้สึกโล่งใจ
เงามืดครอบคลุมในใจมากขึ้นทุกทีจนนึกเกลียดตัวเอง อโณชาพยายามคลายปมที่คิ้วออก แสร้งยิ้มให้หลง “ไม่เป็นไรนะหลง แค่รู้สึกว่าจำขึ้นมาได้นิดหน่อยก็ดีแล้ว”
“ครับ”
“ฉัน...ไปเตรียมอาหารเย็นก่อนนะ” กลายเป็นเขาเสียเองที่ตัดบทแล้วรีบผละออกมาก่อน ไม่อยากรู้สึกแย่กับตัวเองไปมากกว่านี้ ไหนจะรู้สึกผิดต่อหลงอีก
สองขาก้าวเข้าไปในโซนทำครัวพยายามจดจ่อกับกระทะในมือ ทว่าสมองเจ้ากรรมก็ไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย ปลายตะหลิวเขี่ยก้นกระทะไปมาขณะที่สมองพ่นเรื่องราวแย่ ๆ มากมาย ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ความจริงเท่าไรอโณชายิ่งรู้สึกห่างจากหลงออกไปทุกที
“เฮ้อ~”
เส้นที่ขีดไว้เขาไม่กล้าข้ามไปหรอก
.............................................................
.......................................
..............
.....
“หา!?” หลงหวีดเสียงหลง
“มะ...ไม่จริงใช่ไหมครับ” คนตกกระตัวสั่นเป็นลูกนก “ไหนว่าจะอยู่กับผมไง”
“ผม...” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเอื้อก “ทำตัวไม่ดีเหรอครับ ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
“เพราะว่าผมแอบกอดคุณอโณทุกเช้า ระ..หรือว่าที่แอบเอากางเกงในไปซัก หรือว่า...”
“ยู้ดดดดดดดดด!!” อโณชาพลิกตัว มือคว้าป้าบบีบเข้าที่ปากเจื้อยแจ้วนั่นก่อนมันจะแฉวีรกรรมลับ ๆ ของตัวเองต่อ ถ้ารู้มากกว่านี้เขาคงข่มตานอนข้างมันไม่หลับเป็นแน่แท้ “ฉันไปสัมมนา”
ตึ่ง! ไอ้หมาหลงที่กำลังน้ำตาคลอกลืนกลับลงไปแทบไม่ทัน มันส่งสายตาแบบ ‘จริงเหรอครับ?’ ให้เจ้าของ
“จะดูอีเมลไหมล่ะ?”
“ไม่เป็นไรครับ” มันถูหลังมือกับปากที่เพิ่งได้รับอิสระ มือคุณอโณนิ่มดีแท้หนอ “ว่าแต่สัมมนานี่มันคืออะไรครับ?”
“เอาเป็นว่าประชุมนอกสถานที่ก็แล้วกัน” วันนี้ครูสอนภาษาขี้เกียจอธิบายยืดยาว นี่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้วเขาควรจะนอนสักที ไม่ใช่มานั่งเถียงกับเด็กเอ๋อนี่ “ปกติบริษัทฉันไปทุกปีน่ะ สามวันสองคืน”
“อะไรนะครับ!”
“ฉันบอกว่าไปทุกปี...”
“สามวันสองคืน!” หลงโพล่งขึ้นมา “นานขนาดนั้นเชียว!”
“มันรวมทริปเที่ยวของบริษัทไว้ด้วยน่ะ ไปแค่ตรงเขาใหญ่นี่เอง” โธ่! ไปตรงไหนมันใช่ที่ไหนล่ะคุณอโณ ประเด็นคือมันนานเกินกว่าไอ้หมาติดเจ้าของจะรับไหวน่ะสิ
“คุณอโณคงไม่คิดว่าผม...” เสียงของชายหนุ่มอ่อนแรง ดวงตาทอความเศร้า “จะอยู่คนเดียวได้”
“ก็ไม่ได้น่ะสิ” พอเห็นแบบนี้อโณชาก็เริ่มอ่อนลงตาม เขาพึมพำ “หลงอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก”
“ถ้าอย่างนั้น....” ให้ผมไปด้วย....
“แต่อยู่กับเก๋ากี้นี่นา”
สิ้นประโยคราวกับหลงเห็นหน้ากลม ๆ ดำ ๆ ลอยว่อนอยู่บนเพดานแสยะยิ้มพร้อมกับร้องว่า ‘ม้าวววววววว’ ตอกใส่หน้า ฮือออออออออ คุณอโณคร้าบบบบบ เก๋ากี้ไม่นับเป็นคนสักหน่อย เลิกยกย่องลูกสาวให้มีสถานะเท่ากับผมได้แล้วครับ!
“ดึกแล้ว ฉันนอนนะ” ต้องรีบชิ่งตัดบทตอนนี้แหละ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ต้องฟังเสียงโอดครวญทั้งคืนเป็นแน่ อโณชารีบทิ้งตัวนอนคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมทันที “หลงปิดไฟให้ด้วย”
“คะ...ครับ” แม้ในใจจะอยากเถียงมากมายเพียงใด แต่หลงก็มิอาจขัดอาญาสวรรค์ได้ มันเดินลากขาไปดับดวงไฟบนเพดาน ส่งห้องนอนเข้าสู่ความมืดมิด
เตียงฝั่งซ้ายยวบลงเมื่อหลงทิ้งตัวนอน มันหันขวับตะแคงขวาในทันที และพบวิวยอดนิยมคือแผ่นหลังของคุณอโณ หลังจากร่างกายแข็งแรงควบคุมอารมณ์ทางเพศได้แล้วหลงมักจะแอบมองชื่นชมแผ่นหลังกับต้นคอของอีกฝ่ายยามนอน อโณชาผิวขาวตัดกับสีเส้นผม และมีปมกระดูกที่ชัดเจน สำหรับหลงแล้วมันมองได้ไม่มีเบื่อเลยล่ะ
ลมหายใจเข้าออกยาว ๆ จากอีกฝั่งของเตียงไม่อาจทำให้มันแน่ใจได้ว่าอโณชาเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วหรือเปล่า หลงนอนนิ่ง ๆ อยู่สักพักให้แน่ใจก่อนจะกระดึ๊บ ๆ จากหมอนตัวเองไปหาอีกฝ่าย
ตุบ หมอนฟูนุ่มยวบลงไปด้วยน้ำหนักจากฝั่งซ้าย สันจมูกสูดฟุดฟิดเหมือนตามกลิ่นเข้าไปใกล้เรื่อย ๆ จนหยุดอยู่ที่กลุ่มผมสีดำสนิท ซุกเบา ๆ ราวกับออดอ้อน เห็นอโณชายังนอนนิ่งยิ่งได้ใจ คราวนี้หน้าด้านยกมือขึ้นพาดบนไหล่พลางกระเถิบเข้าไปใกล้อีกนิด ดูเป็นการกอดแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ และผิดต่อสรีระสิ้นดี
ก็คุณอโณไม่ได้ห้ามกอดนี่นา
หลงบ้องตื้น สมองกลวงเกินจะลำดับอะไรให้ซับซ้อน เคยพยายามคิดอยู่เหมือนกันทั้งเรื่องอดีตของตัวเอง ทั้งเรื่องอนาคตต่อจากนี้ แต่จะให้เริ่มจากความว่างเปล่ามันก็ยากเกินไป เคยคิดถึงกระทั่งว่าถ้าตัวเขาในอดีตมีคนรักอยู่แล้วจะทำอย่างไร คำตอบน่ะเหรอ? แค่การที่เขาหายไปแล้วไม่มีใครตามหานี่ยังพิสูจน์อะไรไม่ได้อีกเหรอ
ต่อให้มีคนรักจริง ๆ คนแบบนั้นดีกว่าคุณอโณตรงไหนกัน?
คิดไปก็ปวดหัวชะมัด สมองทึบ ๆ เริ่มล้างทุกอย่างออกช้า ๆ ใช้สัญชาตญาณนำทางเหมือนอย่างตอนนี้
เสียงเสียดสีของผ้าดังขึ้นขณะอโณชาขยับตัวปรับท่านอน หลงสะดุ้งขึ้นมาแว้บหนึ่ง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ว่าอะไรเขาเองก็จะขอนอนแบบนี้ไปก่อน
กอดเผื่อไว้สำหรับช่วงที่คุณอโณไปสัมมนาก็แล้วกัน
...........................................................
......................................
...............
..........
ย่างเข้าเดือนสิงหา ฯ อโณชาเก็บกระเป๋าเดินทางโดยมีเสียงโอดครวญอยู่ด้านหลัง ขนาดลากกระเป๋าออกห้องก็ยังร้องครางหงิง ๆ ไม่หยุด สู้เก๋ากี้ก็ไม่ได้นอนหลับขี้เซาไม่ได้รู้ชะตากรรมว่าถูกปล่อยเกาะกับไอ้หลงสองต่อสอง
หลงที่ได้เงินเดือนก้อนแรกรีบออกปากไม่ให้เขาทิ้งค่าขนมสักแดงเดียว แต่คนขี้กังวลอย่างอโณชาก็ดื้อด้านเอาเงินสำรองวางไว้ให้ที่หัวเตียงอยู่ดี ความคิดวนเวียนไม่หยุดว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ จากประสบการณ์ที่หลงอาบน้ำให้เก๋ากี้นั่นก็เล่นเอาห้องแทบระเบิด แล้วไหนจะตอน...
“พี่อโณ!” ความคิดสะดุด เจ้าของชื่อสะดุ้งเฮือก “มัวแต่ขมวดคิ้วอยู่ได้ แพรถามทำไมไม่ตอบคะ?”
“หือ? แพรถามอะไรพี่เหรอ”
แพรนภัสอยากจะถอนหายใจใส่ โชคดีที่มีมารยาทพอ “แพรถามว่ามียาแก้เมารถหรือเปล่าคะ พราวมันเมาจนจะอ่อกอยู่แล้วค่ะ”
อโณชารีบหันขวับ เซลคู่หูของแพรสิ้นฤทธิ์อยู่ข้างคนขับสภาพจัดว่าร่อแร่พร้อมจะสำรอกของในท้องสาดกระเซ็นไปทั่วทิศทาง ลุงคนขับที่นั่งใกล้เธอก็น่าจะรู้ตัว ขับนิ่มยิ่งกว่าปุยเมฆอีกทั้งที่ตอนแรกเหยียบเอา ๆ ประหนึ่งเป็นสตั๊นแมนจาก fast and furious
“อาการหนักเลยนะนั่น” ชายหนุ่มพึมพำ “พี่ไม่มียาหรอกครับ”
“ไม่ได้ละ แพรต้องให้ลุงแกแวะปั๊มหน้าแล้ว ถึงรีสอร์ทช้ากว่าคนอื่นหน่อยไม่เป็นไรนะคะหัวหน้า”
“ตามสบายเลยครับ” จริง ๆ คือรีบ ๆ แวะเถอะ หน้าสมาชิกร่วมรถตู้นี่ซีดกันไปหมด
หัวหน้าอนุมัติเรียบร้อยแพรก็ชะโงกตัวไปบอก “ลุงคะ! เดี๋ยวเจอปั๊มแล้วแวะเลยนะคะ”
“ครับผม”
บรรยากาศในรถดูอ่อนล้าและเซื่องซึม ถ้าไม่นับเรื่องที่มีคนพร้อมจะอ้วกอยู่ร่วมรถ การมาเที่ยวกับบริษัทอาจไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับทุกคน ทำงานงก ๆ ร่างแทบแหลกทุกวันพอบริษัทจะให้พักผ่อนหย่อนใจก็ดันต้องมาสัมมนาก่อนเสียอีก เนี่ยแหละประเด็นเลย เวลาสามวันสองคืนกับเพื่อนร่วมงานมันมากไป บางคนต้องแบกหัวโขนจนเมื่อยด้วยซ้ำ โชคดีหน่อยที่อโณชาเป็นพวกไม่ยินดียินร้ายกับใครเท่าไร เขาอยู่ที่ไหนก็ได้สบาย ๆ
แต่ปีนี้ดันนึกกังวลขึ้นมา เพราะมีตัวแปรเพิ่มขึ้นในชีวิตน่ะสิ!
“หลงอยู่คนเดียวได้เหรอพี่อโณ” เฮือก! คำถามที่ยิงโป้งมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำอโณชาแทบพ่นอ้วกออกมาก่อนพราวที่หน้ารถ “อะไรเล่าแค่พูดชื่อทำไมต้องตกใจ เอ...หรือว่าที่เหม่อ ๆ เมื่อกี้กำลังคิดถึงอยู่”
“ก็มันน่ากังวลนี่นา”
“โธ่! พี่อโณไม่ใช่คุณพ่อที่มีลูกอยู่อนุบาลนะคะ” แพรไม่รู้อะไร! ระดับความคิดหลงมันเหนือกว่าเด็กแรกเกิดนิดเดียวต่างหาก พูดไปก็เหมือนปรักปรำอโณชาเลยเลือกที่จะเงียบแทน “ยังไงนั่นก็ผู้ชายนะคะ เก๋ากี้ยังน่าเป็นห่วงกว่าอีก”
“เก๋ากี้น่ะอยู่ห้องคนเดียวบ่อยแล้ว ข้าวของเครื่องใช้ก็เป็นแบบอัตโนมัติทั้งหมด แต่หลงนี่สิ...” เขาส่ายหัวปลง ๆ “ไม่รู้จะไปทำอะไรแปลก ๆ อีกหรือเปล่า”
“เป็นห่วงหรือคิดถึงกันแน่ล่ะ"
“มันก็ความหมายเดียวกันไม่ใช่เหรอครับ”
“พี่อโณนี่ไม่โรแมนติกเอาซะเลย” แพรส่ายหัว “เป็นห่วงก็คือเป็นห่วง แต่คิดถึงก็คือคิดถึงสิ”
“หะ!?” ภาษาผู้หญิงเข้าใจยาก แต่ไม่นึกว่ามันจะขนาดนี้
“คิดถึงน่ะต่อให้ไม่มีเรื่องต้องเป็นห่วงก็ยังคิดถึงอยู่ดี อ๊ะ!” ไม่ทันจะคาดคั้นต่อป้ายรูปใบไม้ที่เหนือหัวก็ทำสาวเจ้าชะงักรีบโบกมือโบกไม้ “ลุงคะ ข้างหน้านี่เลยค่ะ เลี้ยวด่วนเลย”
ณ จุดนี้ชีวิตของพราวเพื่อนรักเพื่อนริษยาสำคัญกว่าการเสือกเรื่องพี่อโณ แพรนภัสจึงลามือออกไปช่วยลูบหลังแทน ทิ้งให้อโณชาลอยเคว้งเต้งอยู่กับคำถามนั้น
หลังจากที่บอกว่าต้องไปต่างจังหวัดหลงก็เข้ามากอดเขาตอนนอนทุกคืน ไม่สิ จะเรียกว่ากอดคงไม่ถูกนักเหมือนนอนเอาแขนพาดเอาหน้ามาเกยหมอนมากกว่า ตัวเขาเองก็ไม่ได้อะไร แต่อีกฝ่ายแขนเป็นตะคริวทุกเช้าก็ยังจะดื้อด้านทำอีก เขาเองก็ปล่อยเลยตามเลย หมาที่ไม่ได้รับการฝึกก็ยิ่งเอาแต่ใจไปกันใหญ่
ดวงตาโศกเหม่อมองภาพสองสาวเพื่อนรักพากันจูงออกมาจากห้องน้ำหลังปล่อยอาเจียนระรอกใหญ่ ทั้งที่ควรจะขำแต่ตอนนี้ชักขำไม่ออกแล้ว
เหมือนยืนอยู่บนเส้น จะข้ามไปก็ไม่กล้า จะถอยกลับก็ตัดใจไม่ได้ คำถามมากมายวิ่งชนในหัว หลงอาจจะมีคนรักอยู่แล้ว ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย
หรือจริง ๆ มันเป็นแค่เพราะลืมตาขึ้นมาเห็นเขาเป็นคนแรกกัน?
.......................................................
................................
............
.....
“ดีมากครับ! มีแนวโน้มที่ความทรงจำจะกลับมา ต้องกระตุ้นด้วยการฝึกประสาทบ่อยอย่างที่หมอสั่ง ให้สมองได้ทำงานบ่อย ๆ ครับ อะไรที่คิดว่าคุ้นเคยหรือทำได้ดีก็ควรทำย้ำ ๆ เหมือนขยี้ให้ตรงจุด”
เหมือนโดนหลอกด่าว่าไม่ค่อยได้ใช้สมองอย่างไรชอบกล กระนั้นคุณอโณก็ตั้งใจจดคำแนะนำจากคุณหมอลงสมุดบันทึก ขากลับยังไม่วายซื้อหนังสือไขปัญหาลับสมองมาให้เล่นด้วย หลงลองเอามาเปิด ๆ ดูระหว่างรออโณชากลับบ้านดูจะเน้นไปที่ฝึกการอ่านของเจ้าตัวเสียมากกว่า เกมส่วนใหญ่ที่เล่นได้ก็เป็นพวกคณิตศาสตร์หรือเกมจับผิดภาพ ส่วนพวกเติมคำศัพท์หรือสุภาษิตไทยเขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากอ่านคำสั่ง
ความกระตือรือร้นในการฟื้นความทรงจำดูจะน้อยเกินไป บางทีหลงยังคิดเล่น ๆ ว่าอยู่แบบนี้ตลอดไปก็ดีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าถ้าพูดออกไปจะถูกคุณอโณดุหรือเปล่านะ?
นอนคิดอะไรเพ้อเจ้อมาเป็นชั่วโมงแล้ว เป้าหมายของชีวิตที่ต้องรอคุณอโณกลับห้องมาทำข้าวเย็นให้หายวับไปทันที ตาเหลือบมองอาหารในกล่องทัพเพอร์แวร์บนโต๊ะอย่างเอื่อยเฉื่อย พอรู้ว่าคุณอโณไม่อยู่ลุงสมานก็ยัดเยียดข้าวเย็นแกมาให้ด้วย เห็นว่า ‘เก็บไว้ในตู้เย็นนานแล้วพรุ่งนี้คงเน่ารีบ ๆ เอาไปแดกเถอะ’ มันเองก็ขี้เกียจเถียงเลยรับ ๆ มาซะ
คิดถึงข้าวฝีมือคุณอโณจังเลยน้า~
แกร๊ก...
ไม่! ไม่ใช่เสียงไขประตูเข้ามาแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงจากเครื่องให้อาหารอัตโนมัติของเก๋ากี้ มันส่งเสียงอย่างนี้ทุกหกโมงเย็นและอาหารจะหายไปในพริบตาไม่ถึงสิบวินาที หลงเคยคิดว่าถ้าไอ้เครื่องนี่เจ๊งบ้งไปสักวันสองวันกลับมาอีกทีเก๋ากี้อาจจะแดกห้องเข้าไปก็เป็นได้ ทางที่ดีควรจับตาดูว่ามันทำงานทุกวันไหม
หกโมงแมวกินแล้วคนก็ควรจะกินเช่นกัน หลงพลิกตัวอย่างเกียจคร้านแล้วลุกไปที่โต๊ะอาหารเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างอ้วน ๆ ดำ ๆ เดินต้วมเตี้ยมไปที่จานข้าว อะไรกันแม้แต่เก๋ากี้ก็ขี้เกียจกินเหมือนกันเหรอเนี่ย ปกติแค่ได้ยินเสียงเครื่องทำงานก็วิ่งแทบไม่คิดชีวิตแท้ ๆ
ครืด มือสากลากเก้าอี้ออกแล้วยัดตัวลงบนนั้น คว้ากล่องข้าวจากลุงมาเปิดออก มีข้าวผัดหมูกับไข่เจียวเหี่ยว ๆ อีกแผ่น ดูอย่างไรก็ไม่ใช่ของใกล้เน่าเลย แถมยังอุ่นให้ก่อนเอาใส่กล่องอีกลุงช่างใจดีกับเขาซะจริง มันยกมือไหว้ในใจก่อนจะเริ่มจ้วงช้อนเข้าปาก
มื้ออาหารค่อนข้างจืดชืดเมื่อไม่มีเสียงคุยจากฝั่งตรงข้าม หลงหมกมุ่นกับคุณอโณมาตลอดพอไม่มีเลยโหวงในอกเป็นบ้า มันรวบภาชนะไปล้างในซิงค์จนเรียบร้อยพลางนึกว่าคืนนี้เข้านอนเร็ว ๆ ดีกว่า ไม่มีภารกิจวอแววคุณอโณแล้วนี่นา
สองเท้าลากเตาะแตะกลับมาจากระเบียงพร้อมผ้าเช็ดตัว ว่าแล้วก็แอบส่งดูรูมเมทอีกคนสักนิดหนึ่ง และก็เป็นไปตามคาดเก๋ากี้ไม่แดกก็นอนเท่านั้น ตอนนี้มันขดตัวเป็นก้อนอยู่บนเบาะเรียบร้อยแล้ว
“แมวอ้วนเอ๊ย” หลงพึมพำขณะเดินไปเสียบปลั๊กพัดลมจิ๋วแล้วเอานิ้วโป้งตีนสะกิดเปิดให้ ไอ้ก้อนขนซุกตัวลงกับผ้าเน่าเดาว่าคงหลับสบายเชียว
ไอ้ขี้ข้าส่ายหัวปลงๆ กับพฤติกรรมเลี้ยงง่ายจนเกินพอดีของมัน เก๋ากี้หนอ ไม่นอนก็กิน....
“เอ๊ะ!?” หลงอุทาน แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ
มันขมวดคิ้วขณะก้มดูที่เครื่องให้อาหาร
“เก๋ากี้กินข้าวเหลือ?”
โลกคงใกล้แตกแล้วจริง ๆ
...............................................................
.....................................
..................
........