๓๒“ทานเยอะๆนะ อาหารพอทานได้มั๊ย” แม่ภู ถาม ตั้ม ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“รายนี้อะไรก็อร่อยไปหมดแหละแม่” ภู ตอบยิ้มๆ ทำเอา ตั้ม ที่นั่งอยู่ข้างๆแทบสำลัก หันมาทำหน้านิ่วใส่
“หาว่าเราตะกละเหรอไง” พูดด้วยเสียงเบาๆ พลางทำจมูกย่นใส่
“เปล่า” ภู มองคนข้างๆด้วยความเอ็นดู “เราแค่อยากบอกว่าลูกหมาน้อยตัวนี้กินง่ายตะหากล่ะ”
พ่อและแม่ของภู มองดูคนทั้งสองด้วยความเอ็นดู คืนนี้เป็นคืนส่งท้ายปีเก่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงวันขึ้นปีใหม่ งานฉลองเล็กๆจัดขึ้นที่บ้านในหมู่บ้านจัดสรรค์ ที่พ่อของภูซื้อเก็บไว้ ในงานก็มีญาติสนิทสิบกว่าคน มาทานอาหารกันตรงบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน มีการปิ้งบาร์บีคิวและอาหารทะเลหลายอย่าง รวมทั้งอาหารที่เน้นไปทางกับแกล้มและของกินเล่นเป็นส่วนใหญ่ มุมหนึ่งของสนามก็มีญาติของ ภู ๓-๔ คนนั่งเล่นกีตาร์และร้องเพลงกันอยู่อย่างสนุกสนาน เมื่อทานอาหารกันอิ่มหนำแล้ว ภู ก็ชวน ตั้ม ไปรวมกลุ่มกับญาติๆที่ร้องเพลงกันอยู่
“ส่งกีตาร์มาหน่อยดิ๊” ภู พูดกับญาติที่เล่นกี่ตาร์อยู่ หลังจากที่ร้องเพลงกันไปได้สักครู่
“เล่นเป็นกับเค้าด้วยเหรอพี่” ญาติคนนั้นพูดพลางหัวเราะดัง แต่ก็ยังยื่นกีตาร์ให้ ภู ด้วยความยินดี
“เดี๋ยวรู้ อุตส่าห์ซุ่มหัดเชียวนะเว๊ย” พูดแล้วก็จับกีตาร์ ด้วยท่าทาเก้ๆกังๆพอสมควรกว่าจะเข้าที แล้วก็เริ่มตีคอร์ดและร้องเพลงออกมา
Puff, the magic dragon lived by the sea
And frolicked in the autumn mist in a land called honah lee,พัฟ เจ้ามังกรกายสิทธิ์ ... ตั้ม ตกใจเล็กน้อยที่ ภู ร้องเพลงนี้ แต่เสียงร้องที่เปล่งออกมา เป็นเสียงที่ร่าเริงเสียเหลือเกิน แม้แต่ท่อนที่ ตั้ม รู้สึกว่ามันแสนจะเศร้า ภู ก็ร้องออกมาด้วยสำเนียงแห่งความรื่นเริง ตั้ม ได้แต่ฟังด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสัย ... ทำไมถึงร้องเพลงนี้ …
“ว่าไง เพราะจนตะลึงเลยเหรอ” ภู หันหน้าไปถาม ตั้ม ยิ้มๆ “เพลงโปรดของ ตั้ม ไง เราร้องเพราะมั๊ย อุตส่าห์หัดแทบแย่นะเนี่ย”
... เพื่อเราเหรอ นายร้องเพลงนี้เพื่อเราเหรอ ... ตั้ม คิดพลางมองหน้า ภู ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความรัก เขายังจำได้ในสิ่งที่ ภู เคยพูดกับเขาในโรงแรมชายทะเล คืนที่เขาร้องไห้เพราะเพลงนี้
“อ๊ะ ตานายมั่ง” ภู ยื่นกีตาร์ส่งให้ ตั้ม “ขอเพลงเพราะๆนะ เพลงประหลาดๆไม่อาววว”
ตั้ม ถึงกับหัวเราะคิ๊กออกมา พลางรับกีตาร์มา คิดอยู่สักครู่ก็เริ่มเกากีตาร์พร้อมกับร้องเพลงออกมา
http://media.imeem.com/m/v9bfWxxB_M/aus=false/หลับตาในใจนึกถึงเธอ และคิดว่าเธอนั้นยืนอยู่ข้างฉัน
สบตากุมมือกันและกัน ให้เหมือนในวันที่เคยอยู่เคียงข้างกาย
ปล่อยให้ใจมันลอยไปหาเธอ อยากจะเจอแววตาที่สดใส
ได้มองเห็นรอยยิ้ม ได้อยู่ใกล้ๆเธออีกครั้งหนึ่ง
จะไกลเพียงใดไม่สำคัญ ได้คิดถึงคืนและวันที่มีเธอ
จะนานเพียงใดไม่พบเจอ ก็เหมือนว่าเธอนั้นยังอยู่เคียงข้างกาย
ปล่อยให้ใจมันลอยไปหาเธอ อยากจะเจอแววตาที่สดใส
ได้มองเห็นรอยยิ้ม ได้อยู่ใกล้ใกล้เธออย่างที่เคย
ได้แต่คิดว่าอยู่ใกล้กัน แค่เท่านั้นก็สุขใจพอแล้วแววตาของคนร้องที่มองมายังเขา เนื้อเพลงที่อ่อนหวาน เหมือนบอกว่า ถึงแม้ตัวจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน แต่ดวงใจผูกพันคิดถึงกันเสมอ ใจหนึ่ง ภู คิดว่า ตั้ม อาจจะบอกเขาเช่นนั้น แต่อีกใจหนึ่ง กลับคิดว่าคนที่ ตั้ม คิดถึงอาจจะเป็นคนที่จากไป ... คนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
“พ่อ” แม่ของภูหันไปถามคนข้างๆ พลางมองดู ตั้ม ที่กำลังร้องเพลงอยู่ “พ่อว่า ตั้ม นี่คุ้นๆมั๊ย แม่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน”
“อ้าว พ่อนึกว่าแม่รู้แล้ว”
“พ่อรู้เหรอ” พูดแล้วก็หันไปมองอีกฝ่ายหนึ่ง พร้อมกับส่งสายตาว่า ... บอกมานะ
“ก็เหมือนกับเด็กในรูปที่เจ้า ภู มันวาดตอนที่มันเรียนอยู่มัธยมปลายไง ตอนปิดเทอมมันยังหยิบออกมานั่งดูอยู่เลย”
“ตายจริง” อุทานแล้วก็เอามือมาทาบอก “แล้วพ่อรู้ได้ยังไงว่าคนเดียวกัน ตาภู บอกคุณเหรอ”
“เปล่า มันไม่ได้บอกหรอก พ่อสังเกตเอา แล้วเจ้ายะ นั่นแหละที่นึกขึ้นได้ แล้วมาบอกกับพ่อ”
ผู้เป็นแม่หันกลับไปมองคนที่กำลังพูดถึง เธอเองก็พอจะดูออกว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะความสุขของลูกคือความสุขของเธอเช่นกัน แล้วเด็กที่ชื่อ ตั้ม คนนี้ก็ดูจะเป็นคนดีพอสมควร คงไม่ชักจูงลูกของเธอไปในทางที่ผิด และเธอก็คิดว่าความคิดของคนที่เป็นคู่ชีวิตของเธอ คงจะไม่ต่างจากเธอนัก เพียงแต่ตอนนี้เธออดคิดไม่ได้ มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ ที่เด็กคนนี้หน้าตาไปคล้ายกับเด็กชายที่ลูกชายของตน มักจะฝันถึงบ่อยๆ หลังจากการผ่าตัดดวงตา หลังอุบัติเหตุเมื่อครั้งนั้น คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็นคนเดียวกัน หากว่ามีโอกาสเมื่อไร เธอคงจะต้องถามความจริงจากลูกของเธอ
..........................................................................
.......................................
“อะ นี่ให้” ตั้ม ยื่นห่อกระดาษสีน้ำตาล ที่หยิบออกมาจากกระเป๋าเดินทางให้ ภู เมื่อกลับมาถึงบ้านที่เป็นตึกแถวในตัวเมือง
“อะไรน่ะ” ภู รับมาหมุนไปหมุนมา ห่อกระดาษน้ำหนักเบา ดูจะเล็กไปหน่อยถ้าเป็นผ้าขนหนู แต่ก็หนาเกินไปที่จะเป็นเสื้อ “แกะนะ” พูดแล้วก็แกะห่อกระดาษออก
เสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมสีน้ำเงินเข้ม มีลวดลายเล็กน้อย
“สวยนี่ ซื้อมาจากไหนเนี่ย” ภู มองเสื้อสเวตเตอร์ด้วยสายตาชื่นชม พลางพยายามมองหาป้ายยี่ห้อ
“เปล่าซื้อ เราทำเอง” ตั้ม ตอบเบาๆ
“หา” ภู พูดแล้วมองหน้า ตั้ม สลับกับเสื้อไปมา
“ลองใส่สิ พอดีมั๊ย” พูดพลางมอง ภู ด้วยแววตาแวววาว
ภู ลองสวมดู ขนาดพอดีตัว ตั้มเดินเข้ามาขยับส่วนไหล่กับชายเสื้อให้เข้าที่
“เดี๋ยวซักแล้วมันจะยืดอีกนิดนึง” ตั้ม พูดพลางมองไปตามส่วนต่างๆของเสื้อที่สวมอยู่บนร่าง ภู
“คิดยังไงทำเสื้อให้เรา” ภู ถามพลางจ้องหน้านิ่ง ตั้ม เปลี่ยนสายมามามองที่ ภู แล้วหน้าแดงขึ้น พูดอะไรออกมาเบาๆ แล้วก้มหน้าลง
“อะไรนะ” ภู ขยับหน้าเข้าไปใกล้ๆ ตั้ม ยังคงพูดอะไรเบาๆเช่นเคย
“พูดอะไรน่ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ภู พูดพลางเอามือเชยคาง ตั้ม ขึ้นมา
ตั้ม สบตา ภู แน่วนิ่ง สายตาบ่งบอกความในใจเปี่ยมล้น และโดยที่ ภู ไม่ทันคาดคิด ตั้ม ก็ ประกบปากจูบ ภู อย่างแนบแน่น
ภู ตกใจนิดหน่อย เพราะปรกติเขาต่างหากที่จะเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน นึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมวันนี้ ตั้ม ถึงได้กล้านัก สัมผัสของจูบอันอ่อนโยนของ ตั้ม ทำให้เขาเริ่มมีความรู้สึกพลุ่งพล่าน ก่อนที่เขาจะทำอะไร ตั้ม ก็เปลี่ยนมาขบเม้มที่มุมปากเขาเบาๆ แล้วเลื่อนริมฝีปากมากระซิบที่ข้างหู
“เรารักนายนะ ภู”
ภู เอามือจับไหล่ ตั้ม พลางขยับตัวออกจ้องมองหน้า ตั้ม นิ่ง
“อะไรนะ” เขาทำหน้าสงสัย
“เรารักภู” ตั้ม พูดอีกครั้ง พลางยิ้มให้ด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
ภู เอามือลูบที่แก้มของ ตั้ม เบาๆ ใจของเขารู้สึกพองโต เปี่ยมไปด้วยความสุข ดึงร่างบางเข้ามากอดไว้แนบแน่น พลางฝังจมูกลงบนศรีษะ พลางพูดกระซิบเบาๆ
“เราก็รัก ตั้ม นะ รักมาก รักมานานแล้ว นานจนคิดไม่ถึงเลยหล่ะ”