▓ ▒ ░ ต้น-สน∞ปาฏิหาริย์รักที่รอคอย ░ ▒ ▓CHAPTER 01: รักแรก แรกรัก
ใครจำความรักครั้งแรกได้บ้าง? หากขอให้ยกมือ เชื่อว่าคงมีหลายคนยกมือตอบ แม้อาจเป็นเพียงความทรงจำสีจางๆ และลางเลือน แต่เรามักจำครั้งแรกได้เสมอ แล้วถ้าถามสืบไปว่าความรักครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของใครเป็นความรักเดียวกันบ้าง คนที่ยังยกมืออยู่อาจไม่เหลือเลย แม้รักแรกน่าประทับใจสักแค่ไหน แต่มักไม่คงทนผ่านกาลเวลาที่นำพาเรื่องราวร้อยพันและใครต่อใครเข้ามาในชีวิต ท้ายที่สุดจึงเหลือแค่ความทรงจำรักแรกของต้นเกิดขึ้นตอนไหน ต้นจำได้ดีทีเดียว ที่สำคัญไปกว่านั้น ต้นอยากขอเป็นหนึ่งคนบนโลกใบนี้ที่ยังยกมือตอบคำถามข้อที่สองอยู่ ต่อให้ยากเพียงใดก็ตามเย็นวันธรรมดาๆ วันหนึ่ง เมื่อเสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ต้นรีบเก็บของแล้ววิ่งตัวปลิวออกไปจากห้อง เขามีการบ้านอยู่ชิ้นหนึ่งที่จะต้องทำให้เสร็จพร้อมส่งภายในวันพรุ่งนี้ จึงต้องรีบกลับบ้านเร็วกว่าปกติ ต้นไม่ค่อยมีหัวทำของเล่นประดิษฐ์เท่าไหร่ เวลามีการบ้านอย่างนี้ทีไร คนแรกที่มักจะนึกถึงเสมอคือ "สน" เพื่อนรักนั่นเอง
สนเรียนอยู่ถัดไปอีกห้อง เมื่อต้นมาถึงหน้าห้องของเพื่อนรักจึงพบว่าครูห้อง ม. 1/2 ยังคงสอนอยู่ สงสัยวันนี้สนคงได้กลับบ้านช้าแน่ๆ สนมองออกมาเจอต้นพอดีจึงปัดมือส่งสัญญาณให้ต้นกลับไปก่อน ต้นส่งสัญญาณมือตอบว่า "โอเค" ก่อนเดินแกมวิ่งลงบันไดอาคารเรียนไปยังบริเวณที่จอดจักรยานด้านหลัง คว้าจักรยานได้แล้วปั่นฉิวออกไปพร้อมกับเด็กๆ อีกหลายคน
เมื่อพ้นประตูโรงเรียนออกมาก็เห็นคลองส่งน้ำที่ทอดตัวยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ช่วงหน้าฝนต้นข้าวเขียวชอุ่มช่วยให้อากาศสดชื่น น้ำในคลองมีระดับสูงขึ้นจากฝนที่ตกลงมาในช่วงต้นหน้าฝนที่เพิ่งมาถึง เด็กๆ ที่เลิกเรียนแล้วขี่จักรยานคุยกันไปตามทาง มีเสียงหัวเราะดังเป็นระยะๆ ส่วนเด็กที่โตหน่อยมักขี่มอเตอร์ไซค์ เป็นภาพที่ต้นเห็นจนชินตาตั้งแต่เกิดจนโต แม้คลองส่งน้ำบริเวณโรงเรียนและหมู่บ้านจะไม่กว้างและลึกมากแต่อันตราย เคยมีเด็กจมน้ำตายหลายคนแล้ว เวลาออกจากบ้านทีไรพ่อแม่ของเด็กๆ จึงต้องกำชับให้ระวังเสมอ
ต้นมาถึงบ้านแล้วรีบเอากระเป๋าไปเก็บบนห้อง ก่อนรีบลงมาหลังบ้านเพื่อจัดเตรียมไม้ กาว เลื่อยขนาดเล็ก แล็กเกอร์และสีทาบ้านที่เหลือๆ ไว้ให้สน ต้นใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียวกว่าจะหามาได้ครบ วันนี้กะว่าจะทำบ้านนกที่มีหลังคาเป็นสามเหลี่ยมทรงสูง มีช่องกลมๆ ตรงหน้าบ้านให้นกเข้าออกได้ แล้วทาสีให้สวยงาม ความจริงใช้เวลาทำไม่นานหรอก แต่พอทำเองทีไรมักช้าและไม่สวยเหมือนที่สนทำให้
ต้นขนอุปกรณ์ทั้งหมดมากองรวมกันไว้บนโต๊ะเก่าๆ ตัวหนึ่ง หาเก้าอี้ตัวเล็กๆ สำหรับนั่งมาเตรียมไว้ให้สนด้วย สักครู่ใหญ่มีเสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้าน พ่อกับแม่คงกลับมาจากทำงานแล้วนั่นเอง ต้นละมือแล้วเดินแกมวิ่งออกไปหาพ่อกับแม่ที่หน้าบ้าน ยิ้มดีใจเมื่อเห็นว่าเป็นบุพการี วันนี้เงินเดือนออก ต้นคงได้กินอะไรอร่อยๆ อีกแล้ว
"ทำไมวันนี้ซื้อของมาเยอะจังครับแม่ โห...มีขนมด้วย น่ากินจัง"
ต้นทำท่าตื่นเต้นพลางกุลีกุจอช่วยแบ่งถุงที่พ่อกับแม่ถือไว้มาจำนวนหนึ่ง
"วันนี้เงินเดือนออกน่ะลูก อ้อ แล้ววันนี้สนจะมาช่วยต้นทำของเล่นหรือเปล่าล่ะ จะได้กินข้าวเย็นด้วยกัน"
แม่ของต้นถามพลางมองหาเพื่อนสนิทของลูกชายที่มักปรากฎตัวให้เห็นในบ้านนี้อยู่บ่อยๆ
"กำลังมาครับ พอดีวันนี้ต้นเลิกเร็วเลยมาก่อน แล้วพ่อกับแม่สนจะมากินข้าวเย็นด้วยกันไหมครับวันนี้"
"พ่อแวะบอกเมื่อกี้แล้วลูก เดี๋ยวคงมา" พ่อของต้นบอกพลางตบไหล่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเบาๆ
"ดีจังเลยครับ ไม่ได้กินข้าวกับที่บ้านสนนานแล้ว"
ต้นยิ้มดีใจ พอช่วยเอาของไปเก็บในครัวเสร็จจึงออกมานั่งรอสนที่หลังบ้านตามเดิม
"ต้นอยู่หลังบ้านนะครับ"
ต้นไม่ลืมที่จะตะโกนบอกพ่อกับแม่ให้รู้ว่าอยู่ตรงไหน เผื่อท่านทั้งสองจะไหว้วานให้ทำงาน แม้ว่าต้นเป็นลูกชายคนเดียว แต่พ่อแม่สอนให้ต้นรู้จักช่วยงานบ้าน ไม่นิ่งดูดาย ต้นจึงไม่ใช่ลูกคนเดียวที่เอาแต่ใจ ที่น่าแปลกคือสนเป็นลูกคนเดียวเหมือนกัน เมื่อสองครอบครัวมาเป็นเพื่อนบ้านและสนิทกัน ต้นกับสนจึงเปรียบเหมือนเป็นลูกชายที่น่ารักของทั้งสองบ้านไปเลย
"ต้น เรามาแล้ว โทษทีที่ให้รอนาน พร้อมยัง"
เสียงที่ต้นคุ้นเคยดังมาจากหน้าบ้าน ต้นเงยหน้าจากการนับชิ้นไม้ที่มีแล้วยิ้มกว้างด้วยความดีใจให้กับคนที่เพิ่งมาถึง
"ไม่นานหรอก พร้อมแล้ว เนี่ยะ เตรียมของไว้ให้หมดแล้ว" ต้นบอกพลางชี้ให้เพื่อนดูของที่เตรียมไว้ทั้งหมด
"อ้อ วันนี้กินข้าวเย็นด้วยกันนะ แม่เราจะเลี้ยง ชวนพ่อกับแม่นายมาด้วย"
"ดีเลย ไม่ได้กินข้าวฝีมือแม่นายมาหลายวันแล้ว" สนบอกพลางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ไม่มีพนักที่ต้นจัดเตรียมไว้ให้
"นายดูแบบก่อนนะ เราจะทำเป็นบ้านแบบนี้" ต้นบอกพลางส่งกระดาษที่เขาร่างแบบของเล่นให้เพื่อนดู
"สบายมาก แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว ลงมือเลยนะ"
ต้นพยักหน้า แม้ไม่ได้เป็นคนทำเอง อย่างน้อยก็พอช่วยอำนวยความสะดวกให้เพื่อนด้วยการหยิบจับของส่งให้ หรือไม่ก็ช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ขัดไม้ด้วยกระดาษทรายหรือติดกาว
ทำไปสักพักพลันได้ยินเสียงผู้ใหญ่คุยกันในบ้าน พ่อกับแม่ของสนคงมาถึงแล้ว แม่ของสนทำอาหารเก่งจึงมักมาช่วยแม่ของต้นทำครัว บางทีครอบครัวของต้นไปกินข้าวที่บ้านสนบ้าง สลับกันไปมาตามแต่บ้านไหนจะนึกครึ้ม ต้นชอบไปกินข้าวบ้านสนมาก ติดใจแกงผักกาดจอฝีมือแม่ของสนจนต้องขอให้ทำให้กินบ่อยๆ
สนทำงานอย่างขะมักเขม้น เลื่อยไม้ออกเป็นรูปทรงตามที่ต้นออกแบบไว้แล้วส่งให้ต้นขัดจนผิวเรียบเนียน ต่างคนต่างช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อให้งานเสร็จก่อนอาหารเย็นจะมาถึง
เพื่อนรักสองคนทำงานไปคุยกันไปอย่างสนุกสนานและสนิทสนม ปีนี้ต้นกับสนอายุสิบสามปีแล้ว รูปร่างหน้าตาของสนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป พูดง่ายๆ คือเริ่มมีเค้าความเป็นหนุ่มนั่นเอง ผิวขาวละเอียดแบบคนเหนือและทรงผมแบบวัยรุ่นที่สนเพิ่งไปตัดมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ช่วยให้สนดูแปลกตาไปจากที่เคยเห็นมากทีเดียว พูดตรงๆ คือหล่อขึ้น ต้นได้ยินมาว่าสาวๆ มอหนึ่งกรี๊ดกันทั้งโรงเรียนเลย
ต้นเผลอนั่งมองหน้าเพื่อนที่กำลังขะมักเขม้นเลื่อยไม้ชิ้นเล็กๆ โดยไม่รู้ตัว มองไปยิ้มไป ปล่อยให้ความรู้สึกแปลกๆ ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในหัวใจอย่างเงียบๆ ยิ่งเห็นเพื่อนตั้งใจทำงานให้มากแค่ไหน ต้นยิ่งรู้สึกดีกับคนตรงหน้ามากขึ้นและมากขึ้น
"ยิ้มอะไร"
สนถามอย่างแปลกใจเมื่อสังเกตเห็นว่าต้นคอยมองและยิ้มแปลกๆ มาสักพัก รอยยิ้มอย่างนี้สนไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ต้นสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อรู้สึกตัวจึงยิ้มแก้เขิน "อ๋อ...เปล่าหรอก เราว่าทรงผมนายเท่ดีนะ เดี๋ยวเราจะไปตัดแบบนี้มั่ง"
"เอาสิ เนี่ยผมนายใกล้ยาวพอตัดได้แล้ว ไปไหม เดี๋ยวเราพาไปตัดในเมือง"
"เหรอ ดีเหมือนกัน กำลังอยากตัดผมพอดีเลย" ต้นยิ้มกลบเกลื่อนแต่ยังดูประหม่าเล็กน้อย
"ได้เลยเพื่อน เดี๋ยวเราจะพาไปนะ" สนบอกแล้วหันมาทำงานต่อ
ต้นแอบโล่งใจที่หาคำตอบมาแก้ตัวได้ทัน ถึงตอนนี้ต้นพอเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้คืออะไร เด็กวัยสิบสามอย่างต้นพอเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยาก ความรู้สึกอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเด็กที่ย่างเข้าสู่วัยรุ่นหรอก แต่ที่มันแปลกคือต้นกับสนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ความรู้สึกอย่างนี้ไม่ควรเกิดขึ้นระหว่างต้นกับสนเลย
สนช่วยต้นทำบ้านนกเสร็จทันเวลากินข้าวเย็นพอดี บรรยากาศอาหารเย็นวันนี้อบอวลไปด้วยความสุขและความอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง มีเสียงพูดคุยหัวเราะแทบตลอดเวลา บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันมากแค่ไหน
ต้นเกิดและโตที่หมู่บ้านนี้ในอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ส่วนครอบครัวของสนนั้นเพิ่งย้ายจากน่านมาอยู่ที่นี่ได้สามปี สมัยเรียนประถมต้นกับสนเรียนห้องเดียวกัน สองปีสุดท้ายในวัยประถมดูไม่น่าจะทำให้เด็กสองคนนี้สนิทกันได้มาก แต่ต้นกับสนกลับสนิทกันมากกว่าเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลด้วยซ้ำ
ต้นเป็นเพื่อนคนแรกที่คุยกับสนเพราะได้ที่นั่งติดกัน คอยช่วยเหลือสนหลายอย่างจนสนปรับตัวเข้ากับโรงเรียนใหม่ได้ ต้นเป็นคนอาสาช่วยติวการบ้านจนสนสามารถเรียนทันเพื่อนได้ในเวลาไม่นาน รู้จักกันได้ไม่นานเท่าไหร่ เพื่อนๆ ที่โรงเรียนมักเห็นสองคนนี้ตัวติดกันตลอด มีต้นที่ไหน มีสนที่นั่น
นอกจากความสนิทสนมแล้ว สนยังหวงและปกป้องเพื่อนยังกะอะไรดี ครั้งหนึ่งต้นเคยโดนเพื่อนคนหนึ่งแกล้งเอาประทัดโยนใส่ขา แม้ว่าแค่ตกใจและไม่เป็นไรมาก สนกลับโกรธเพื่อนคนนั้นและตามไปต่อยจนปากแตก ผู้ปกครองเด็กคนนั้นรู้เข้าจึงเป็นเรื่อง ดีที่ว่าเจรจายอมความกันได้ นับตั้งแต่นั้นมาจึงไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าแกล้งต้นให้สนเห็นอีกเลย
{-- + --- + -- + --- + --}
นั่นคือครั้งแรกที่ความรักเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นมีหลายๆ เหตุการณ์ที่ทำให้ต้นยิ่งมั่นใจว่าไม่ได้รักสนแค่เพื่อน ย้อนกลับไปปีนั้นที่ต้นกับสนอยู่มอสาม ตอนนั้นเริ่มมีสาวๆ มาชอบสนหลายคน ต้นพอมีเหมือนกันแต่ไม่เคยสานต่อกับใคร ไม่นานต้นจึงรู้มาว่าสนจีบน้องมอสองคนหนึ่งเป็นแฟนและคบกันอยู่พักใหญ่ พอเพื่อนมีแฟน ต้นจึงได้รู้ว่าความเจ็บปวดของการแอบรักเป็นยังไง"ต้น นี่เฟิร์นนะ นายน่าจะเคยเห็นแล้ว เป็นเชียร์ลีดเดอร์งานกีฬาสีครั้งที่แล้วไง"
นั่นคือวันแรกที่สนพาแฟนมาให้ต้นรู้จักขณะที่ต้นกำลังนั่งรอเพื่อนๆ ที่เข้าไปทำธุระในห้องสมุด ต้นถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นว่าคนที่สนิทและยืนอยู่ข้างสนไม่ใช่ต้นเสียแล้ว แม้ไม่อยากคิดมากแต่กลับอดน้อยใจไม่ได้ กระนั้น ต้นควรต้องยิ้มเพื่อแสดงความยินดีที่ได้รู้จักกับแฟนของเพื่อนรักเสียหน่อย
"เฟิร์นรู้จักต้นแล้วใช่ไหม" สนหันไปถามสาวน้อยที่เพิ่งคบกันไม่นาน แม้ไม่ถึงกับจับมือถือแขนกัน แต่รู้สึกได้ถึงความสนิทสนมที่ไม่ใช่เพียงเพื่อนธรรมดา
"รู้จักแล้ว ตอนกีฬาสีอยู่สีเดียวกัน แล้วพี่ทำไมต้นมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะ" เฟิร์นบอกพลางยิ้มให้เพื่อนของแฟน
"พี่รอเพื่อนอยู่" ต้นตอบสั้นๆ รู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่เห็นเพื่อนรักยืนอยู่ข้างสาวน้อยหน้าตาน่ารักสมวัย
"กินข้าวกันแล้วเหรอ" ต้นถามตามมารยาท นึกอยากให้เพื่อนมาถึงไวๆ เสียที
"กินแล้ว กำลังว่าจะไปซื้อไอติมกินที่สหกรณ์ ต้นเอาไอติมไหม เดี๋ยวเราซื้อมาให้" สนถามอย่างกระตือรือร้น
"ไม่เป็นไร นายไปกินกับเฟิร์นเหอะ เดี๋ยวเพื่อนมาเราก็จะไปแล้ว"
"ไม่เอาจริงๆ เหรอ ร้อนๆ แบบนี้กินไอติมก็ดีนะ จะได้เย็นๆ" สนยังรบเร้า
"ไม่เป็นไร อ้อ เพื่อนเรามาแล้ว เราไปก่อนนะ"
สนว่าจะร้องห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ต้นลุกขึ้นแล้วเดินฉับๆ ไปหาเพื่อนสามสี่คนที่กำลังเดินตรงมาหาอย่างรวดเร็ว สนมองตามแผ่นหลังเพื่อนไปอย่างไม่เข้าใจนัก ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่สนรู้สึกว่าต้นไม่อยากคุยด้วย เมื่อไม่รู้สาเหตุจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
แอบรักกับแอบเจ็บมักเป็นของคู่กันเสมอๆ ต้นเข้าใจเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเพราะเริ่มมีเหตุการณ์ให้ต้องคอยแอบเจ็บคนเดียวบ่อยขึ้นวันหนึ่งสนวิ่งเข้ามาหาต้นขณะที่กำลังยกเก้าอี้เก็บบนโต๊ะเรียนในห้องกับเพื่อนๆ ด้วยท่าทางแปลกๆ ดูอึกๆ อักๆ จะพูดก็ไม่กล้าพูด
"สนมีอะไรหรือเปล่า" ต้นเป็นฝ่ายถามเสียเองเมื่อเห็นสนยังไม่กล้าพูด
"ต้น เอ่อ...เย็นนี้เราต้องไปส่งเฟิร์น พอดีมอไซค์เขาเสีย นายกลับกับซีลได้ไหม"
แม้รู้ว่าเพื่อนกำลังเห่อแฟนตามประสา แต่ต้นกลับอดเศร้าใจไม่ได้ ปกติต้นกับสนไปกลับโรงเรียนด้วยกันเสมอ สนมีรถมอเตอร์ไซค์ที่พ่อเพิ่งซื้อให้อยู่คันหนึ่ง ส่วนต้นขับมอเตอร์ไซค์ไม่เป็นจึงอาศัยไปมากับสน ยกเว้นวันไหนสนมีธุระ ต้นถึงจะขอติดรถไปกับเพื่อนคนอื่นๆ ส่วนมากเป็นซีลเพราะเป็นเพื่อนอีกคนที่ต้นสนิทด้วย บางครั้งก็ป้อง หรือถ้าจำเป็นจริงๆ ต้นจะให้พ่อกับแม่แวะมารับส่งที่โรงเรียน
"อ๋อ...ไม่เป็นไร นายไปส่งเฟิร์นเหอะ"
"ขอโทษจริงๆ นะต้น" สนมีท่าทางรู้สึกผิดเพราะกลัวต้นน้อยใจ
"อย่าคิดมากน่า" ต้นตัดบทแล้วหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาถือไว้ ก่อนหันไปบอกเพื่อนที่อยู่ข้างหลัง
"ซีล วันนี้กูกลับด้วยนะเว้ย"
"เออๆ ได้ แหม...ไอ้สน มึงนี่เห่อแฟนจนลืมเพื่อนเลยนะมึง" ซีลไม่วายหันไปแขวะสนจนได้ แม้ไม่จริงจังแต่กลับทำให้สนหน้าเสีย
"เฮ้ยต้น เราไม่ได้..."
"ไม่ต้องคิดมากหรอก ไปเหอะ เดี๋ยวเฟิร์นรอ เราไปก่อนนะ" ต้นฝึนยิ้มยืนยันเพราะกลัวเพื่อนไม่สบายใจ จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้องพร้อมกับซีล
ทันทีที่ต้นนั่งรถมอเตอร์ไซค์กับซีลออกมาข้างหน้าโรงเรียน ภาพบาดตาบาดใจบังเอิญปรากฎให้เห็น สนกับเฟิร์นกำลังเดินซื้อของกินด้วยกันอยู่ ความรู้สึกเสียวแปล๊บแล่นเข้าจับขั้วหัวใจทันที หนุ่มน้อยกับสาวน้อยที่เพิ่งคบกันคุยกันไปยิ้มกันไป ต้นคงได้แต่อิจฉาเพราะชาตินี้คงไม่มีวันได้ทำอย่างนั้นกับสน
สนคงเห่อแฟนตามประสา หลังๆ จึงมักไปรับไปส่งและใช้เวลากับเฟิร์นมากขึ้น ความจริงคงไม่ถึงขั้นลืมเพื่อน แต่ต้นเลือกอยู่ห่างๆ ด้วยเพราะไม่อยากเห็นคนที่ตัวเองแอบรักสวีทหวานแหววกับสาวอื่นให้เจ็บปวดใจ
วันหนึ่งหลังเลิกเรียน ต้นแวะมาหาสนที่มักเล่นเตะบอลกับเพื่อนๆ ก่อนกลับบ้าน ต้นชอบมานั่งดูบ่อยๆ และเตรียมน้ำเย็นๆ ไว้ให้เพื่อนดื่มเสมอ แต่พอเฟิร์นมาทำหน้าที่นี้แทนต้นจึงไม่ค่อยได้มาดูสนเล่นฟุตบอลเลย ในช่วงหลังๆ
เพื่อนรักของต้นถอดเสื้อเล่นเตะบอลอยู่กับเพื่อนผู้ชายด้วยกันอยู่อย่างสนุกสนาน ต้นนั่งรอที่ม้านั่งข้างสนามเงียบๆ บางคราวก็ยิ้มและคอยสังเกตเพื่อน สนเริ่มมีกล้ามเนื้อ อกผาย ไหล่ผึ่ง ดูมีเสน่ห์ต่างจากตอนเด็กๆ มากทีเดียว ทั้งขาว ทั้งหล่อ จึงไม่น่าแปลกใจที่สาวๆ ให้ความสนใจจนกลายเป็นหนุ่มฮ็อตของโรงเรียน ไปแล้ว
สนหันมาเห็นเพื่อนพอดีจึงส่งยิ้มและโบกมือให้ เล่นต่อสักพักจึงถึงช่วงเบรก ต้นหยิบขวดน้ำขึ้นมาเตรียมไว้และยิ้มรอเพื่อนที่กำลังเดินแกมวิ่งมาหาด้วยความดีใจ แต่ก่อนที่จะทันส่งให้เพื่อน ใครบางคนกลับมาตัดหน้าไปเสียก่อน
"พี่สน โทษที เพื่อนเฟิร์นชวนคุยนานไปหน่อยเลยมาช้า"
ต้นจำเสียงนั้นได้ดี สาวน้อยคนนั้นมาพร้อมกับขวดน้ำเหมือนต้น มือที่กำลังยื่นออกไปหดกลับอย่างรวดเร็วแล้วเอามือไพล่หลังซ่อนขวดน้ำไว้ สนยืนหน้าเหลอหลาเพราะไม่รู้ว่าจะรับน้ำจากใครดี ต้นจึงเป็นฝ่ายบุ้ยใบ้ให้เพื่อนรับน้ำจากแฟนแทน
"อ้าวพี่ต้น มาดูพี่สนเล่นบอลเหรอ ทำไมไม่ลงเล่นด้วยล่ะ ไม่เคยเห็นพี่ต้นเตะบอลเลย ไม่ชอบเหรอ"
เฟิร์นหันมาถามเพราะสังเกตเห็นว่าสนมองมาที่ใครอีกคนอยู่
"พี่เล่นไม่ค่อยเป็น ชอบเล่นบาสมากกว่า"
"อ้อ ใช่ๆ เฟิร์นจำได้ กีฬาสีปีที่แล้วพี่ต้นแข่งบาส" เฟิร์นพูดแล้วหันกลับไปหาสน สาวน้อยยิ้มหวานก่อนส่งขวดน้ำให้
"น้ำค่ะ"
สนรับน้ำมาจากเฟิร์นก็จริง แต่สายตากลับมองมาที่ต้นอย่างเป็นห่วง
"เราไปก่อนนะสน"
ต้นบอกแล้วรีบหันหลังเดินออกไป ถ้าขืนอยู่ตรงนี้ต่ออีกแค่วินาทีเดียวคงมีน้ำตาให้เพื่อนเห็นจนได้ ต้นกะพริบตาถี่ๆ ไล่น้ำตาที่เตรียมพร้อมจะไหลลงมาอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า พอเห็นห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ จึงวิ่งเข้าไปในห้องน้ำชายที่ยังว่างอยู่ พอปิดประตูแล้วจึงยืนพิงและปล่อยให้น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมา
ชีวิตของต้นคงไม่ง่ายอีกแล้วเมื่อแอบรักเพื่อน แม้ว่าคนวัยอย่างต้นน่าจะตัดใจได้ง่าย แต่กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้นจะแอบรักเพื่อนอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน นี่ก็สามปีแล้ว จะห้ามสนไม่ให้มีแฟนก็ใช่ที่
ความหวังของต้นดูเลือนลางเหลือเกิน สนไม่ชอบผู้ชายอย่างแน่นอน หรือต่อให้ชอบ พ่อของสนคงไม่ยอมอย่างเด็ดขาด ต้นจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีกลุ่มกะเทยขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาและแซวสนที่นั่งเล่นกับต้นตรงหน้าบ้าน พ่อของสนไม่พอใจมาก ถึงกับคาดโทษกับสนว่า
"อย่าให้พ่อรู้นะว่าสนไปยุ่งกับพวกวิปริตผิดเพศพวกนี้ ต้นคอยดูสนให้พ่อด้วยนะลูก เราสองคนน่ะเป็นผู้ชาย อย่าให้เสียชาติเกิด"
ต้นแอบสะดุ้งในใจเมื่อเห็นสายตารังเกียจเดียดฉันท์ของพ่อสนที่มีต่อกระเทยกลุ่มนั้น ถ้าลองเอ่ยปากแล้วย่อมแปลว่าเป็นเรื่องใหญ่แน่ถ้าสนไม่เชื่อฟัง
ต้นไม่อยากถูกสนรังเกียจอย่างนั้น แต่ให้กลับไปเป็นเพื่อนรักธรรมดาๆ คนหนึ่งคงไม่ง่าย เป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ความรักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วห้ามได้ยากที่สุด โดยเฉพาะ "รักต้องห้าม" ที่ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวจากความสนิทสนมและผูกพันของเพื่อนชายสองคน!
'สน...เราไม่อยากรักนายอย่างนี้หรอก ไม่อยากทำให้นายลำบากใจเลย แต่เรา...ห้ามตัวเองไม่ให้รักนายไม่ได้' ต้นรำพึงรำพันในใจอย่างขื่นขมเพียงคนเดียว
หลังจากนั้น ดูเหมือนว่าต้นพยายามอยู่ห่างจากเพื่อนมากขึ้น อาศัยไปกลับโรงเรียนกับเพื่อนคนอื่นๆ บ้าง ให้พ่อแม่แวะไปรับไปส่งบ้าง แม้ว่าพยายามไม่ให้สนผิดสังเกต แต่คนเป็นเพื่อนรักกันย่อมรู้ดีว่ามีบางอย่างไม่เหมือนเดิม
เย็นวันหนึ่ง ต้นไปนั่งเล่นตรงสะพานเหล็กเล็กๆ เยื้องๆ บ้านของตัวเองหลังจากช่วยทำงานบ้านเสร็จแล้ว ก่อนหน้านี้สะพานนี้มีคนใช้บ่อย แต่ตอนหลังมีสะพานคอนกรีตสร้างใหม่อยู่ใกล้ๆ คนจึงหันไปใช้สะพานนั้นแทน ต้นกับสนมักชอบมานั่งเล่นที่นี่สองคนบ่อยๆ ดูพระอาทิตย์ตกดินและพูดคุยกันตามประสาเพื่อนรู้ใจ
ต้นนั่งคิดและเหม่อมองอย่างเหงาๆ แกว่งขาเตะน้ำเล่นเบาๆ พร้อมกับมองดูดวงตะวันกลมโตสีแดงอมส้มที่กำลังจะหมดหน้าที่ไปอีกวันหนึ่ง ดวงตะวันจะสงสัยหรือเปล่าว่าทำไมวันนี้ต้นถึงมานั่งคนเดียว จะว่าไป พอห่างสนมากเข้าต้นชักคิดถึงเพื่อนเพราะไม่มีเพื่อนคนไหนทดแทนเพื่อนอย่างสนได้เลย
ตอนนี้สนยังไม่กลับบ้าน ป่านนี้คงพาเฟิร์นไปเดินเที่ยวที่ไหนสักแห่ง จากนั้นคงไปส่งที่บ้าน กลับมาอีกทีก็มืด ต้นได้ยินพ่อกับแม่ของสนบ่นบ่อยๆ ว่าหลังๆ สนไม่ค่อยช่วยทำงานบ้านเลยเพราะมัวแต่ติดสาว พ่อกับแม่ของต้นไม่ค่อยเห็นสนมาที่บ้านจึงเริ่มถามหาเหมือนกัน พอต้นบอกว่าสนมีแฟน พ่อกับแม่แค่ร้องอ๋อแล้วหัวเราะขำๆ
"นั่งด้วยคนได้ไหม"
จู่ๆ เสียงที่ต้นคุ้นเคยดังมาจากทางด้านข้าง พอหันไปมองจึงเห็นสนยืนยิ้มอยู่ในชุดนักเรียน รอยยิ้มและแววตาที่แสนพิเศษนี้ต้นจำได้ดีเสมอ ถ้าสนสามารถเห็นแววตาของตัวเองตอนนี้ได้จะรู้ทันทีว่าสนไม่เคยมองใครอย่างนี้เลย
เพื่อนรักจากน่านถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ โดยไม่รอให้ตอบรับ ต้นแอบยิ้มดีใจเพราะเพิ่งแอบน้อยใจว่าเพื่อนรักคงไม่สนใจตัวเองไปแล้ว แต่สุดท้ายสนมาหาต้นจนได้
"คิดถึงต้นน่ะ หายไปไหนมาตั้งหลายวัน เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมาบ้านเราเลย ตอนเย็นๆ ไปหาก็ไม่ค่อยอยู่" สนพูดพลางแกว่งขาเตะน้ำเล่นเบาๆ ด้วย คอยจับจ้องมองดูเพื่อนที่ไม่ยังค่อยกล้าสบตากันเท่าไหร่
"ไปช่วยซีลติวหนังสือไง ใกล้สอบแล้ว" ต้นหันหน้าไปมองเพื่อนแว่บหนึ่งแล้วหันกลับมาตามเดิม
"อ๋อ...ถึงว่าล่ะ แล้วนายไม่คิดถึงเรามั่งเหรอ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นเอาน้ำไปให้เลย เรารออยู่ทุกวันรู้ป่าว"
"มีคนเอาไปให้แล้วนี่" ต้นบอกเสียงมุบมิบ ก้มหน้าดูขาตัวเองที่กำลังตีน้ำเล่นเบาๆ
"นายน้อยใจเราหรือเปล่า" สนถามตรงๆ ด้วยน้ำเสียงห่วงใย
ต้นหันไปส่ายหน้าเดียะ "เปล่าซะหน่อย น้อยใจเรื่องอะไร"
"นายก็รู้นี่ เรารู้สึกแย่มากนะที่..." สนละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วพูดต่อ "เราขอโทษนะต้น"
"ขอโทษเรื่องอะไร นายไม่ได้ทำอะไรผิดซะหน่อย"
"เรื่องที่นายเอาน้ำไปให้เรา แต่เรารับของเฟิร์นมาแทนไง" สนบอกไปตามตรง
ต้นอึ้งไปเล็กน้อย พยายามยิ้มเจื่อนๆ เพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยบางอย่าง "เฮ้ย...ไม่เห็นมีอะไรเลย อย่าคิดมากสิ"
"ไม่รู้สิ ก็นายหลบหน้าเรา เรารู้นะ นายหลบหน้าเราทำไมล่ะต้น"
ต้นอึ้งไปอีกรอบ หันหน้าหนีไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้เพื่อนเห็นความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในแววตาที่มีพิรุธของตัวเอง
"เราบอกนายแล้วไงว่าเราไปติวหนังสือให้ซีล ไม่มีอะไรหรอก"
"ก็รู้ แต่เราว่านายไม่เหมือนเดิมนะ นายเคยไปบ้านเราบ่อยๆ ไปนอนห้องเราบ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ไปเลย เราน้อยใจนายเหมือนกันนะต้น" สนบอกพลางทำท่าทางน้อยใจ
"เราเห็นนายมีแฟนแล้ว เราก็เลยไม่อยากกวนเวลาของนายกับแฟนไง" ต้นตัดสินใจบอกไป
"ทำไมนายคิดอย่างงั้นล่ะต้น แฟนก็ส่วนแฟนสิ นายเป็นเพื่อนรักของเรา ยังไงๆ นายก็สำคัญกับเรานะ"
ต้นเงยหน้ามองดูดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าไปอย่างเศร้าๆ บางทีไม่เข้าใจตัวเองว่าต้องการอะไรกันแน่
"เหรอ...เรานึกว่านายอยากมีเวลาอยู่กับแฟนมากกว่าเราไง เราก็เลย..." ต้นไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
"นายคิดอย่างงี้ใช่ไหมถึงได้หลบหน้าเรา"
ต้นอึ้งเป็นรอบที่สาม ก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะยอมรับแต่โดยดี "ก็...ประมาณนั้น"
สนอึ้งไปเช่นเดียวกัน แต่ไม่นานจึงเอามือโอบไหล่เพื่อนไว้และตบตรงหัวไหล่เบาๆ
"ถึงเราจะมีแฟน เรายังเป็นเพื่อนกับนายเหมือนเดิมไม่ใช่เหรอต้น นายอย่าน้อยใจสิ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน นายก็น่าจะรู้ว่าเราน่ะ...แคร์นายขนาดไหน หรือนายอยากให้เราเลิกกับเฟิร์น"
ต้นตกใจและอึ้งไปเลยทีเดียว ไม่เคยคิดว่าเพื่อนจะยอมทำขนาดนั้น "ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ เฟิร์นเป็นแฟนนายนะ"
"แต่เพื่อนเราสำคัญกว่านี่" สนแย้ง ไม่นานจึงยิ้ม "เราทำได้หมดแหละ ขอแค่...ให้นายกับเราเป็นเหมือนเดิม"
ต้นทำท่าทางเกรงใจระคนรู้สึกผิดเพราะไม่ต้องการให้เพื่อนเสียสละมากขนาดนี้ "อย่าเลย ความจริง...เราแค่...ทำตัวไม่ถูกเวลานายมีแฟนแค่นั้นแหละ เดี๋ยวเราก็ชินแล้ว ต่อไปเราจะไม่ทำอย่างงี้อีก ไม่ต้องห่วงนะ"
"ไม่ห่วงได้ไง ก็เราบอกแล้วไงว่าเราน่ะแคร์ต้นมากที่สุด...รู้ป่าว" สนพูดพลางเอามือลูบผมต้นเบาๆ อย่างเอ็นดู
แม้ปล่อยมือไปแล้วแต่ไออุ่นจากสัมผัสนั้นยังอยู่กับต้น ต้นจำความอบอุ่นนี้ได้เสมอ ความอบอุ่นที่ไม่มีใครให้ได้เหมือนเพื่อนคนนี้ เลย
"ยิ้มหน่อยดิ ไม่ดีใจเหรอที่เรามาหา"
สนชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แววตาเป็นประกายวิบวับ แม้ดูทะเล้นแต่ทำให้ต้นหัวใจพองโต สุดท้ายจึงยิ้มตามจนได้ สนเอามือโอบไหล่ต้นแล้วตบเบาๆ อีกครั้ง
"วันนี้ไปกินข้าวบ้านเรานะ เราเพิ่งบอกให้แม่ทำแกงผักกาดจอของโปรดนาย ถ้าไม่ไป...แม่เราโกรธจริงๆ ด้วย" สนขู่แล้วขำเบาๆ
ต้นพยักหน้าเร็วๆ อย่างดีใจ แม้ว่าจะไม่ชอบกินผักหลายชนิด แต่ต้นกลับชอบแกงผักกาดจอมากทีเดียว นานๆ จะได้กินที
"อ้อ มีน้ำพริกอ่องด้วยนะ นายต้องกินผักเยอะๆ หน่อยนะต้น คนไม่กินผักจะเป็นมะเร็งรู้ป่าว" สนเตือนอย่างรู้ทัน เพราะเตือนเพื่อนอย่างนี้บ่อยๆ
"จะพยายามนะ" ต้นแบ่งรับแบ่งสู้
"อ้อ...วันนี้มานอนที่ห้องเรานะ จะถามวิชาคณิตศาสตร์หน่อย"
"อ๋อ...ที่แท้ก็..."
สองหนุ่มน้อยหัวเราะและยิ้มให้กันเมื่อรู้ว่าทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ใครเลยจะรู้ว่าเพื่อนสนิทของสนคนนี้คิดไม่ซื่อเสียแล้ว จนกว่าวันหนึ่งต้นจะยอมบอกความจริงไปนั่นแหละ แต่วันนั้นจะไม่มีวันมาถึงอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นาน สนเลิกกับเฟิร์นไปโดยไม่มีใครรู้สาเหตุ เจ้าตัวดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนมากนัก แถมยังดูมีความสุขที่ได้กลับมาใช้เวลากับต้นอย่างเพื่อนรักเหมือนเดิมด้วยซ้ำ แต่บางครั้งต้นยังแอบเจ็บกับคำพูดหรือการกระทำธรรมดาๆ ของเพื่อนอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะการสนทนาครั้งนั้นที่สะพานเหล็กหลังจากที่สนเลิกกับเฟิร์นไม่นาน
"ต่อไปนะ ถ้าเราจะมีแฟน แฟนของเราจะต้องนิสัยเหมือนนาย"
"ทำไมล่ะ" ต้นขมวดคิ้วและเอียงคอมองเพื่อนอย่างสงสัย
"เราชอบคนนิสัยอย่างนายไง" สนตอบโดยไม่ลังเล
"อ๋อ..." ต้นลากเสียงยาวแล้วเอียงหน้าหลบ รู้สึกเจ็บแปลบลึกๆ จนต้องใช้เวลาครู่ใหญ่สงบความรู้สึก
"ถ้าเราเป็นผู้หญิง...นายก็จะชอบเรางั้นสิ" แม้ถามทีเล่นทีจริงแต่ท่าทางคนถามกลับดูขื่นขมชอบกล
สนพยักหน้ายอมรับแล้วยิ้มด้วยท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย "แน่นอน ถ้านายเป็นผู้หญิงนะ เราจะให้พ่อกับแม่ไปขอตั้งแต่วันนี้เลย"
ต้นได้แต่ยิ้มเศร้าๆ เมื่อเพื่อนอีกคนไม่เคยรู้เลยว่ากำลังทำร้ายหัวใจเพื่อนคนนี้อยู่ แต่ช่างเถอะ สนพูดไปเพราะไม่รู้ว่าต้นคิดยังไง อีกอย่าง ต้นไม่เคยคิดจะบอกความลับนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น มิตรภาพของเพื่อนที่แสนรักจะยังดำเนินต่อไปอย่างนี้จนวันตาย ดีกว่าถูกทำลายย่อยยับเพราะคำว่า "รัก" จากเพื่อนสนิทที่คิดไม่ซื่อ!TBC