❤ กรี้ดกร้าดในทวิตฝากติดแทค #ยิ้มหวานของหมอ นะคะ- 20 -
ข้อความที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำเอาความสนใจของผมผละออกมาจากสิ่งที่อาจารย์พูดอยู่ไม่ชั่วขณะ
ยิ้มหวานไลน์มาหาผมครับ และไลน์มาว่า....
*หมออออออออออออออ
'หมอ' ยาวไปปะวะยิ้ม? -_-
ระหว่างที่กำลังรอดูอยู่ว่าอีกฝ่ายไลน์มาหากันเพราะเรื่องอะไร อีกข้อความก็เด้งตามมาทันที
*เราติดอันดับด้วยยย!!!!
*อันดับสามเค้าเอา 10 คนอ่ะ
*ละมีชื่อเราด้วยเว่ยยยยยยยยยยย!!"เฮ้ย!"
อ่านข้อความจบ ด้วยความลืมตัว ผมเลยเผลออุทานออกมา
มันอาจจะไม่ดังมาก แต่ก็ทำให้เพื่อนที่นั่งเรียนอยู่ไม่ไกลกันหันมามองจนผมต้องลุกขึ้นทำเป็นบอกไอ้เบอร์1 ว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะออกจากห้องมาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าลิฟต์
วันนี้เป็นวันประกาศผล ของงานที่ยิ้มหวานส่งไปประกวดครับ
เมื่อวานผมยังคุยกับเขาอยู่เลยว่าคาดหวังมากรึเปล่า อีกฝ่ายฟังแล้วตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มว่าไม่เท่าไหร่... ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ไป
เขาเองก็คงไม่คิดว่าตัวเองจะได้เหมือนกัน เพราะเท่าที่รู้นี่ คนส่งมาจากทั่วประเทศ
แต่พอผลออกมาว่าเขาติดอันดับที่จะได้รางวัล ถึงแม้จะไม่ใช่ที่ 1 เจ้าตัวก็เลยดีใจสุดขีดอย่างที่เห็น
เปิดเข้าไปดูในไลน์อีกทีก็เห็นข้อความที่ถูกส่งมาติดกันยาวเหยียด
*ดีใจโคตรรรรรร
*พวกนี้จะเลี้ยงบาร์บีคิวพลาซ่าเราอ่ะ
*มันฝากชวนหมอด้วยยยยย
*เรียนเสร็จค่อยตอบก็ได้นะะะะ
*เฮฮฮฮฮฮ!
*ตอบละ ตอบตอนนี้แหละ
*เราไปไม่ได้อะดิ
*มีเรียนยาวถึงเย็นเลย
*ได้พักเที่ยงครึ่งชั่วโมงมั้ง
*น่าสงสารเนอะะ
*เลิกเรียนกี่โมง?
*หกโมง
*ถ้าเลิกตามเวลานะ
*เอารถมาเปล่า?
*ไม่ได้เอามา
*ถ้าไม่ไปที่ไหนต่อ
*เดี๋ยวหกโมงเราไปรอหน้าคณะนะ
*กินข้าวกัน เดี๋ยวเราเลี้ยง
*โอเคๆ
*อยากเจอว่ะ
*แต่ต้องไปเรียนต่อแล้ว
*แอบออกจากห้องเรียนมา
*งั้นรีบกลับเข้าไปเลย!
*ครับๆๆ
*คลาสเช้าเราเลิกแล้วอ่ะ
*กำลังจะไปพารากอน
*พักเที่ยงโทรหานะ ^^ ผมส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง แล้วนั่งเรียนต่อไปจนหมดคาบเช้า
เพราะเวลาพักของวันนี้มีน้อยสุดๆ พวกผมเลยตัดสินใจไปซื้อของในเซเว่นมากินเป็นมื้อเที่ยงแทน ระหว่างที่กำลังรอให้พี่พนักงานเค้าอุ่นแซนวิชให้อยู่ โทรศัพท์ผมก็มีข้อความใหม่เข้ามา
มันเป็นคลิปวีดีโอของเบคอนที่กำลังถูกย่างอยู่บนเตาดังฉู่ฉี่
บอกเลยว่า
น่ากินโคตร...แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมโดนทำร้ายคนเดียว และส่งต่อความหิวนี้ด้วยการยื่นโทรศัพท์ไปให้ไอ้โคนันที่ยืนอยู่ข้างๆกัน ปล่อยให้
มันยืนดูคลิปเนื้อย่างฆ่าพ่ออยู่สักพัก ก่อนที่มันจะพูดออกมาด้วยท่าทางเหมือนคนกำลังจะเป็นลม
“สัด...หิว"
พูดจบมันก็ส่งโทรศัพท์ของผมต่อไปยังไอ้เบอร์ 1 กับเบอร์ 2ที่ยืนอยู่ข้างหลัง
พวกมันสองคนสุมหัวกันดูคลิปวีดีโอมรณะอยู่ไม่นาน แล้วเงยหน้ามาพูดกับผม พร้อมกับยิ้มกวนตีน
“ไม่อยากโดดเรียนก็ต้องเปลี่ยนแฟนละครับเพื่อนกู"
“สัด!"
ผมพูดพร้อมกับยกขาขึ้นถีบหน้าแข้งมัน ก่อนจะดึงโทรศัพท์กลับมาแล้วกดโทรออกหาเขาทันที รออยู่ไม่นานได้ยินน้ำเสียงสดใสดังมาก่อนเลย
“ไง! เนิร์ดดี้!” กลายเป็นเนิร์ดดี้ไปซะอย่างนั้น -_-
“อร่อยเลยนะ"
“สุดๆอ่ะ"
"ไอ้พวกนี้บอกว่าถ้าไม่อยากโดดเรียนเราต้องเปลี่ยนแฟนแล้วว่ะ"
“เดี๋ยวจะถอยมินิทับยกแก๊งสี่คนเลย"
เขาพูดเจือเสียงหัวเราะ ก่อนที่ผมจะถามต่อ
“ทับเราด้วยเนี่ยนะ?”
“อืม เหลือไว้ทำไมอ่ะ คนเดียว"
“โหดว่ะ ต้องกลัวปะเนี่ย?”
"กลัวดิ! ละนี่พักเที่ยงแล้วเหรอ? กินไรยัง?”
“พักละ กินแซนวิช ฟุตลอง กาแฟ"
“เซเว่นแน่ๆ"
“อืม...”
“ไงล่ะ ชอบบ่นเรา"
หมายถึงเรื่องที่ผมชอบห้ามไม่ให้เขากินอาหารแช่แข็งแน่ๆเลยครับ
คืออย่างผมนี่ สถานการณ์มันบังคับปะวะ? แต่ของเขาคือ ทำงานไม่ยอมออกจากห้องเลยต้องกินข้าวกล่องแช่แข็ง ใช้ได้ที่ไหน?
“ก็มันไม่มีทางเลือกปะล่ะ"
“โห...น่าสงสาร ตั้งใจเรียนนะ เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วพี่ไปรับมากินข้าวนะน้อง"
เขาเลียนแบบวิธีการพูดของผม แล้วหัวเราะถูกใจแบบที่ได้ยินแล้วอดไม่ได้ทีจะถามในใจ
แล้วจำเป็นจะต้องน่ารักขนาดนี้เหรอวะคนเรา?
“โอเค"
“วางแล้ว เรากินต่อละ บายครับ"
“อืมๆ บ๊ายบาย ตอนเย็นเจอกัน"
พอวางสายเสร็จพอก็รู้สึกได้ว่ามีสายตามองมาจากพวกมันทั้ง 3 คน
เห็นอย่างนั้นผมก็เลิกคิ้วแทนการถามว่า
มีอะไรรึเปล่า?“พวกกูแอบคุยกันว่ามึงกับยิ้มจะมีโมเม้นแบบ
เรียกตัวเองว่าเค้าเรียกเขาว่าตัวเองอะไรแบบนี้รึเปล่า แต่นี่ก็ปกตินี่หว่า"
ไอ้เบอร์ 2 ที่กำลังยื่นแฮมเบอร์เกอร์ไปให้พนักงานหันมาพูดกับผม แล้วยักคิ้วให้
“ตลกไอ้สัด ยิ้มก็ผู้ชายมั้ยมึง"
ไอ้คนฟังทำหน้าเหรอหราเหมือนจะไม่เข้าใจ จนผมต้องพูดต่อ
“อยากรู้มึงก็เลิกกับแฟนแล้วมาคบกันมันดิ"
ผมพูดพลางส่งสายตาไปให้ไอ้เบอร์ 1 ที่ยืนอ่านฉลากขวด M150 อยู่ไม่ไกล
พูดจบปุ๊บ ไอ้ผู้เสียหายรายแรกก็โวยวายออกมาทันที
“สัด! ขนลุก! ไอ้เหี้ย!”
ได้ยินอย่างนั้น ทั้งผมและไอ้โคนันก็หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ ก่อนจะได้ยินไอ้ผู้เสียหายอีกคนพูดตามมาปิดท้าย
“เดี๋ยวกูเขวี้ยงเอ็มร้อยอัดหน้าแม่งเลยครับเพื่อน"
หลังจากได้ของกินครบทุกอย่าง พวกผมยัดทั้งหมดลงท้องด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องเรียน และเริ่มเรียบคาบบ่ายกัน กว่าจะได้กลับออกมาอีกที เหล่าซอมบี้ทั้ง 4 ก็กลับมาอีกครั้ง
ทันทีที่ออกมาจากตึก ผมก็หันซ้ายหันขวาอยู่หน้าคณะตัวเองเพื่อมองหามินิคูเปอร์สีดำ ก่อนจะเห็นว่าเป้าหมายจอดอยู่เยื้องไปทางด้านซ้ายมือ ผมยกมือขึ้นมาโบกลาพวกเพื่อนๆทั้งสามคนก่อนจะเดินแยกมา ไม่ทันถึงรถก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่
“ไม่ต้องหรอกมึง กูว่าปล่อยไปเหอะ เค้าก็ทำได้แค่พูดปะวะ"
อะไรวะ? -_-
“ก็เฟลอ่ะ กูก็โกรธนะ แต่แม่งก็ ไม่อยากแล้วยุ่งไง”
พูดจบเขาก็หันมาทางนี้ และเห็นว่าผมยืนอยู่พอดี คนที่ยังคงถือโทรศัพท์แนบหูส่งยิ้มมาให้ผมแล้วยกมือขึ้นมาโบกทักทายกัน ก่อนจะกลับไปคุยกับเพื่อนต่อ
“มึงๆ หมอมาแล้ว กูวางละนะ"
ระหว่างนั้นผมก็เดินเข้าไปใกล้เขา และเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเหมือนคนกำลังไม่สบายใจ เลยวางมือลงไปบนผมก่อนจะขยี้เบาๆแล้วถาม
“เป็นอะไร"
ผมว่าก่อนหน้านี้เขายังอารมณ์ดีอยู่เลยนะ ตอนที่โทรหากันก็ยังคุยเล่นปกติ มาเจออีกทีดันหน้ามุ่ยไปได้ยังไง?
ได้ยินที่ผมถามออกมา คนฟังย่นจมูกใส่กัน แล้วเปิดประตูให้ ก่อนจะดันหลังให้ผมขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วตอบสั้นๆ
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง"
ระหว่างที่มินิคูเปอร์สีดำกำลังเคลื่อนตัวออกไปโดยที่ผมเป็นคนนั่ง ความเงียบเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ล้อมรอบระหว่างสองคน
ผมตั้งใจว่าจะรอให้อีกฝ่ายท่าทางอารมณ์ดีขึ้นมาอีกสักนิด แล้วค่อยถามซ้ำอีกครั้งว่าตกลงเขาเป็นอะไร แต่หลังจากที่เลี้ยวรถออกมาจากมหาลัยได้ไม่นาน อีกคนก็เป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน
“เมื่อกี้เราแวะไปคณะมาแหละ เอาขนมไปให้อาจารย์ที่ดูแลเราตอนที่ทำงานส่ง คุยกันอยู่นิดหน่อยแล้วก็ขอตัวเพราะต้องมารับหมอ คราวนี้ตอนที่เราเดินออกมา ก็ดันได้ยินคนนินทาตัวเองเข้าเต็มๆเลย"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปมองคนที่ยังคงขับรถต่อไปเรื่อยๆ
สีหน้าเขาดูไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้แย่มากจนจัดการตัวเองไม่ได้
“เขาบอกว่าเราติดเข้าไปใน 10 คนนั้นเพราะเล่นเส้น บอกว่าคนรู้จักพ่อเราเยอะซะขนาดนั้น แค่เห็นนามสกุลเราเขาก็ให้เข้ารอบได้เลยโดยที่ไม่ต้องดูผลงานด้วยซ้ำ"
“เฮ้ย ทำไมพูดงั้นวะ?"
“ไม่รู้ดิ เราไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำเหอะ"
พูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะเงียบไปอีกรอบ เห็นท่าทางอย่างนั้น ผมก็ได้แต่พูดออกมาเบาๆ
“มันก็แค่คำพูดของคนอื่น อย่าคิดมากเลย"
“ก็เข้าใจแหละ ว่าเราไปบังคับความคิดของคนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว แต่พอเขารู้ว่าเราได้ยินนะ แทนที่จะรู้สึกผิดสักนิด ดันหันมาทำหน้าร้ายใส่เราอีก"
"...."
"พอโดนแบบนั้นเราก็ยิ่งเซ็งสุดๆ เหมือนจงใจจะหาเรื่องเราชัดๆ โมโหตัวเองด้วย ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงได้ทำเป็นเฉยแล้วเดินออกมาน่าจะเข้าไปเคลียร์ให้จบๆไปเลย ไม่น่าใจเย็นเลยว่ะ คิดๆแล้วก็รู้สึกโคตรบั่นทอนเลย แย่เนอะ อยู่ๆก็มีใครไม่รู้มาตัดสินเรา มาทำให้เรารู้สึกแย่ จนไม่มีใจจะทำอะไรต่อเลย ทั้งๆที่เราก็อยู่ของเราเฉยๆอ่ะ เฮ้อ!"
บ่นเสร็จเจ้าตัวก็ถอนหายใจออกมายกใหญ่
ผมมองท่าทางแบบนั้นแล้วได้แต่ยกมือขึ้นไปลูบผมเขาเบาๆ ก่อนจะถามออกมาเจือเสียงหัวเราะ
“เซ็งขนาดนี้ ไปหัวหินกันอีกมะ?”
คนฟังส่ายหน้าแทนคำตอบ พร้อมกับที่รถหยุดลงเพราะติดไฟแดง
“ไม่เอา~ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า หมออยากกินอะไร?”
เลี้ยงง่ายโคตรครับ โมโหก็กิน เหนื่อยก็กิน ง่วงก็กิน
ถ้าผมเขียน
'10ขั้นตอนการเลี้ยงดูยิ้มหวานให้มีความสุข' ในนั้นคงจมีแต่เรื่องกิน กิน และ กิน...
“ไม่รู้ดิ เลือกให้หน่อย"
“หึย ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง"
“เปล่า...อยากให้แฟนเลือกให้"
“โอ๊ย! หน้าม่อชัดๆ"
พูดจบ คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถก็ยกมือออกมาข้างนึงแล้วผลักไหล่ผมแรงๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา
จนผมต้องถามต่อ
“ว่าไง อยากกินอะไร?”
“ไม่รู้ดิ แต่ไม่อยากเจอคนเยอะๆ เอาจริงๆอยากกลับห้องแล้วก็นอน เอาแต่ใจมะ?"
“ก็เอาแต่ใจอยู่ แต่ก็ยังตามใจไหวด้วย ถ้าอย่างน้ันก็ซื้ออะไรก็ได้กลับไปกินที่ห้องมั้ยล่ะ?”
เขาฟังที่ผมพูดแล้วหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่เอาอ่ะ เราอยากเลี้ยงข้าวเหอะ”
“วันหลังก็ได้ ไปพักผ่อนดีกว่าไป เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนค่ำๆค่อยกลับบ้าน"
ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ทำหน้าครุ่นคิด แล้วเงียบไปสักพัก ก่อนจะหันมาตอบ
“งั้นเราทำอะไรเลี้ยงหมอดีกว่า อยากกินอะไร เราทำได้แค่ 2 อย่าง ข้าวผัดกับสปาเก็ตตี้"
“เอาจริงดิ"
“อืม! ทำไมทำหน้าไม่เชื่อใจกันอ่ะ? เราทำได้จริงๆนะเว่ย!"
“ก็รู้จักกันมาสักพักนึงละ ไม่เคยเห็นทำอะไรกินเองเลย..."
“เราทำได้จริงๆ ไม่เก่งมากแต่กินกันตายได้แน่นอน เราไม่ฆ่าหมอหรอกน่า"
"งั้นข้าวผัดก็ได้..."
ได้ยินอย่างนั้นอีกฝ่ายก็เหลือบหางตามองมาทางนี้ ก่อนจะบ่นต่อเหมือนกับพูดคนเดียวมากกว่าจะคุยกับผม
"ดูเสียงดิ ไม่เชื่อมือกันใช่มั้ย? ได้ หมอได้!!”
หลังจากนั้นพวกผมก็ไปแวะที่ซุปเปอร์มาเก็ตที่อยู่เลยคอนโดยิ้มหวานไปนิดหน่อยและเข้าไปซื้อของกัน
ผมเข็นรถเข็นเดินตามคนที่หยิบข้าวสวย ผักกับไข่ไก่มาใส่รถ ก่อนที่เขาจะหันมาถามกันพร้อมกับทำตาโต
“หมูหมึกไก่กุ้ง กินอะไร?”
“กุ้งมั้ย? นี่ไงมีแบบที่แกะแล้วด้วย"
“โอเค หยิบมาเลยแพคนึง"
“อันนี้เนอะ"
“ใช่ ครบละ ไปซื้อของอย่างอื่นด้วยดีกว่า"
ผมพยักหน้ารับ แล้วจะกวัวกมือเรียกให้เขาเดินเข้ามาใกล้ เห็นคนที่ทำหน้าตาเหรอหราเดินเข้ามาหากันแล้วก็ได้แต่หลุดขำ ก่อนจะชี้ด้านหน้าของรถเข็นเพื่อบอกให้เขาเอามือไปจับไว้ ตามด้วยการเตะราวเหล็กที่อยู่ด้านล่างแล้วพูดก่อน
"จับไว้แล้วเหยียบนี่ด้วย"
ได้ยินอย่างนั้นอีกฝ่ายก็เขาก้าวเท้าขึ้นมาเหยียบตรงขอบเหล็กที่อยู่ด้านล้าง กลายเป็นว่าตอนนี้ยิ้มหวานกำลังยืนเกาะอยู่บนรถเข็นโดยหันหน้าเข้ามาหาผม คนที่ยอมทำตามทั้งที่ยังติดจะงงๆส่งสายตามาให้กัน ไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไร ผมก็พูดออกมา
“เกาะแน่นๆนะ"
“หมอ?!”
“ไม่แน่นตกแน่ หนึ่ง สอง สาม!"
พูดจบผมก็เข็นรถเข็นออกไปด้วยความรวดเร็ว ยิ่งเห็นคนที่ทำหน้าตกใจแล้วผมก็ยิ่งสนุก ก่อนจะค่อยๆลดความเร็วลงเมื่อผ่านตู้แช่ผมหยิบนมรมช็อคโกแลตใส่รถมา 1 ขวดแล้วหันมาถามคนที่ยังคงยืนเกาะรถเข็นอยู่เหมือนเดิม
“ไหนจะซื้ออะไร?”
“ยังจะมาทำเป็นยิ้มอีก ตกใจเว่ย"
“แล้วสนุกปะ?”
“สนุกดี" อรกฝ่ายยิ้มถูกใจก่อนจะพูดต่อ "เราจะได้ไม่ต้องเดิน เอานมจืดมาให้เราอีกขวด แล้วก็จะซื้อน้ำส้ม ขนมกับคอร์นเฟลคด้วยอ่ะ พาไปเดี๋ยวนี้เลย"
“ครับ ครับ...”
พูดจบผมก็เข็นทั้งรถเข็นและยิ้มหวานไปทั่วซุปเปอร์ฯ พาเขาไปหยิบโน่นหยิบนี่ตามใจจนครบก่อนจะจ่ายเงิน
แอบเห็นพี่พนักงานคิดเงินแอบขำนิดหน่อยตอนที่เห็นเขาเกาะรถเข็นมาแต่ไกล ก่อนจะมาหยุดตรงหน้าแล้วหยิบของออกมาวาง และเพราะอีกฝ่ายออกตัวไว้แล้วว่าจะเลี้ยงข้าวกันวันนี้ เขาก็เลยรับหน้าที่จ่ายทั้งหมด
ระหว่างทางที่เรากำลังเดินออกมา อยู่ดีๆสายตาของผมก็ไปสะดุดกับร้านขายซีดีแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ และหันไปถามเขา
“แวะแป้บนึงดิ อยากดู Mad Max อ่ะ ตอนนั้นดูในโรงไม่ทัน”
อีกฝ่ายหันมายิ้มให้ผมและพยักหน้ารับ เราก็เลยแวะเข้าไปในร้าน และออกกลับมากับดีวีดี Mad Max ส่วนอีกคนซื้อMinions กับ Paper Town มาอย่างละแผ่น
เราก็กลับมาที่คอนโดพร้อมขนมถุงใหญ่ และหนังอีก 3 เรื่อง ผมได้แต่หัวเราะไม่หยุดตอนที่นั่งอยู่บนเค้าน์เตอร์ห้องครัว ดูอีกฝ่ายเก็บของไปพลางบ่นไปพลางว่าไม่รู้จะอาบน้ำแล้วออกมาผัดข้าวให้ผมกิน หรือผัดให้เสร็จแล้วค่อยไปอาบน้ำดี ปัญหาคือตอนนี้กลิ่นปิ้งย่างที่ติดตัวมาทั้งวันทำให้เขารู้สึกเหนอะหนะ
“ตอนที่อยู่ข้างนอกมันก็ไม่อะไรเข้าใจเราปะ? คือเซ็งให้ตายเราก็อาบน้ำไม่ได้อยู่ดี แต่พอกลับมาห้องแบบนี้มันรู้สึกว่าจะต้องอาบอ่ะ"
ระหว่างที่บ่นไปนี่คนพูดก็เอาขนมไปเก็บในตู้ด้านบนไปด้วย เห็นท่าทางของเขาแล้วผมก็ได้แต่ยิ้ม รู้สึกว่าการเสียงบ่นงึมงำกับหน้ายุ่งๆของเขาดูแล้วก็เพลินดีแถมยังชวนให้หัวเราะออกมา
“หมอว่าเราอาบน้ำก่อนหรือทำมื้อเย็นก่อนดี"
“ยังไงก็ได้ ถ้าอาบก่อนแล้วมาผัดข้าวจะเหนียวตัวอีกปะละ? ผัดข้าวไว้แล้วไปอาบน้ำมันก็เย็น แต่ถ้าผัดแล้วกินเลย กินข้าวเสร็จแล้วไปอาบน้ำ ท้องอืดแน่ๆ"
“โห...แค่เรื่องอาบน้ำกินข้าวทำไมมันยากจัง"
เขาพูดพลางหันมาทำหน้ามุ่ยใส่จนผมต้องลงมาจากเค้าน์เตอร์ที่นั่งอยู่แล้วขยับเข้าไปใกล้ๆก่อนจะพูดต่อ
“ไหนเอาหัวมาดมดิ๊ ว่าเหม็นเปล่า"
พูดจบผมก็แตะปลายจมูกลงไปบนเส้นผมของเขา พอหายใจเข้าก็รู้สึกว่าได้กลิ่นควันจริงๆนั่นแหละ
แต่ตอนที่เขาหันมาทำตาโตใส่กันแล้วถามสั้นๆ จะบอกว่า
น่ารักโคตรๆ! “ไง เหม็นปะ?”
“ก็นิดนึง"
“งั้นอาบน้ำก่อนดีกว่า"
พูดจบเจ้าตัวก็ทำท่าจะเดินผละไปทันทีเลย จนผมต้องดึงข้อมือเอาไว้แล้วพูดต่อ
“ผัดข้าวเหอะ หิวจริงๆ"
“อ้าว แล้วก็ไม่บอกว่าหิว"
"...”
“ง้ันทำเลยก็ได้ กลัวจะมีคนมาเป็นลมใส่ห้องเรา"
น่ารักดีที่เขายอมเดินกลับมา ก่อนจะเริ่มโชว์ฝีมือตามที่อวดไว้ โดยมีผมซึ่งกลับไปนั่งอยู่บนเค้าน์เตอร์ที่เดิมแถมยังหยิบทาโร่ที่เขาซื้อมาแกะกินไปพลางดูเชฟยิ้มทำมื้อเย็นไปพลาง
ถึงแม้ท่าทางของเขาตอนหั่นผักและผัดข้าวในกระทะจะไม่ได้คล่องจนดูเป็นมืออาชีพสักเท่าไหร่ แต่ผมว่ามันก็ยังอยู่ในระดับที่โอเค สักพักข้าวผัดกุ้งที่ใส่แครอท ข้าวโพดอ่อน และถั่วลันเตาก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ผมมองคนที่ใช้ช้อนตักข้าวขึ้นมาจากกระทะพร้อมกับเป่าให้อุ่นแล้วได้แต่ยิ้มจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยทัก
"เลิกนั่งจ้องหน้าเราแล้วยิ้มตลอดเวลาได้แล้ว ทาโร่ทำลายประสาทหมอเหรอ? อ่ะชิม!"
พูดจบเขาก็ยื่นช้อนมาทางนี้ให้ผมอ้าปากรับ
...ก็อร่อยอยู่นะ!
ระหว่างที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่ผมก็มองสบตากับคนที่ยืนลุ้นอยู่ข้างๆ และกำลังถามเร่งให้ผมตอบ
“รีบเคี้ยวเร็วๆ อร่อยเปล่า?”
...จะรีบไปไหนล่ะคนเรา!
“เร่งจริง อร่อยแล้ว ลาออกจากคณะที่เรียนอยู่ไปเป็นเชฟกระทะเหล็กได้เลย"
ผมตอบพร้อมกับยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วไปให้ จนคนตรงหน้าต้องแยกเขี้ยวมาให้แบบที่เข้าใจกันว่าผมจงใจพูดให้เกินจริง
ก่อนจะรับช้อนจากมือผม แล้วกลับไปตักข้าวใส่จาน
ระหว่างนั้นผมก็เดินไปที่โซฟา หยิบแผ่นดีวีดีที่เพิ่งซื้อมา แล้วเดาเอาเองว่าเขาน่าจะเลือกดูมินเนียนก่อนเป็นเรื่องแรก ก่อนจะเดินไปเปิดเครื่องเล่นกับโทรทัศน์รอเอาไว้ก่อน
เรานั่งกินข้าวไปพลางดูการ์ตูนไปพลางเหมือนเด็กๆ สักพักข้าวผัดในจานก็หมดลงโดยที่เรื่องราวของไอ้ตัวกลมๆสีเหลืองที่ตามหาเจ้านายนี่ยังดำเนินไปได้ไม่ถึงไหน
ผมอาสาถือจานไปเก็บในครัว พอได้ยินอย่างนั้นอีกฝ่ายบอกว่าอยากล้างจานเลย เพราะไม่อยากให้คราบน้ำมันติดห้อง ก็กลายเป็นว่าเราต้องกดพอสการ์ตูนในจอเอาไว้ก่อน และไปจัดการครัวให้เรียบร้อย
ผมรับหน้าที่ล้างจานโดยมีคนข้างๆกำลังเปิดตู้เพื่อหาของกินไปเรื่อยๆ สักพักเขาก็หยิบซองขนาดไม่ใหญ่มากออกมาอันนึง และแกะออก ก่อนจะเอามันใส่เข้าไปในไมโครเวฟทั้งถุง สังเกตเอาจากตัวหนังสือและรูปที่ติดอยู่ ก็ได้คำตอบว่ามันคือป็อนคอร์นที่สามารถทำได้เองที่บ้าน
ระหว่างที่ผมล้างจานกำลังจะเสร็จ ไอ้ข้าวโพดคั่วที่โดนเอาไปป็อบอยู่ก็เริ่มส่งกลิ่นหอม หลังจากนั้นไม่ถึง 1 นาทีไม่โครเวฟก็หยุดทำงาน พร้อมกับที่คนข้างๆผมใส่ถุงมือแล้วหยิบถุงป็อบคอร์นเอามาเทใส่ถ้วยใบใหญ่ที่วางอยู่ พอดีกับที่ผมเก็บทุกอย่างเข้าที่เรียบร้อยแล้วหันไปเห็นอีกคนกำลังหยิบป็อบคอร์นใส่ปากหน้าตาเฉย จนผมต้องขยับเข้าไปใกล้และเอาคางไปเกยไว้กับไหล่คนที่ทำท่าจะเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น และก็ได้ยินเสียงบ่นตามมาทันที
“ทำกระดูกสันหลังหายเหรอหมอ?”
พูดจบปุ๊บ ผมก็หยิบป็อบคอร์นป้อนใส่ปากเขาปั๊บ แล้วหยิบอีกชิ้นขึ้นมากินเอง ก่อนจะกลับมายืนตัวตรงได้เหมือนเดิมพร้อมกับหาวออกมา และเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังมองมาทางนี้แล้วหลุดขำ
“ไปนอนไป๊~"
เขาพูดเจือเสียงหัวเราะ ก่อนจะผลักผมเบาๆ เห็นอย่างนั้นผมก็ส่ายหน้าแทนคำตอบไม่ทันจะได้พูดอะไรออกมา เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็หยุดผมเอาไว้ก่อน
พอรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของตัวเองกำลังดังอยู่ เจ้าของห้องเขาก็ผละตัวไปหยิบมาดู ก่อนจะชูหน้าจอให้ผมดูว่าคนที่โทรมาคือพ่อของเขา เห็นอย่างนั้นผมก็ยื่นมือไปรับป็อบคอร์นในมือของอีกคนมาถือเอาไว้เอง ก่อนจะเดินไปนั่งรอที่หน้าโทรทัศน์
นั่งเล่นมือถือตัวเองอย่างคนไม่มีอะไรทำอยู่สักพัก ผมก็ได้ยินเจ้าของห้องเขาร้องออกมาด้วยความดีใจ
“จริงปะเนี่ย?? ไปนะ! ไป! ครับ เดี๋ยววันเสาร์กลับบ้านนะ"
ผมหันไปมองเขา ก่อนจะเห็นอีกคนยืนยิ้มกว้างจนตาโค้งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับพูดออกมาแล้วพยักหน้าเร็วๆ
“ครับๆ สวัสดีครับ"
"เป็นไง?"
เห็นท่าทางดีใจจนเกินปกติของคนที่เพิ่งวางสายแล้วเดินมานั่งลงข้างๆกัน ผมก็ได้แต่ถามออกมา พร้อมกับยื่นรีโมทใส่มือเขา เหมือนจะบอกกันว่าพร้อมดูเมื่อไหร่ก็กดเพลย์ได้เลย
อีกฝ่ายรับรีโมทไปวางเอาไว้บนตักตัวเอง ก่อนจะหันมายิ้มสว่างจ้าใส่ผมแล้วบอกกันสั้นๆ
"พ่อเราจะพาไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นรางวัล!"
ถึงว่า...เลยดีใจเอาซะขนาดนั้น
"พ่อบอกว่าเพราะเรายอมไม่ไปญี่ปุ่นเพื่องานนี้ ก็เลยจะพาไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นรางวัลที่ผลงานออกมาดี"
เห็นท่าทางของเขาก็ไม่ต้องถามแล้วครับว่าดีใจขนาดไหน
ผมส่งยิ้มให้ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วถามต่อ
"ดีแล้ว จะไปช่วงไหนอ่ะ?"
"ถ้าเป็นไปได้ก็คงเป็นอาทิตย์หน้ามั้ง อยากไปให้เร็วที่สุดอ่ะ ทิ้งไว้นานๆเดี๋ยวไม่ตื่นเต้น"
พูดจบเขาก็ส่งสายตามาให้ผมแล้วยักคิ้วใส่กันสองที จนผมต้องเอื้อมมือไปหยิบรีโมทที่วางอยู่กลับมา แล้วเอาไปซ่อนไว้ด้านหลัง พร้อมกับพูดออกมากับรอยยิ้มมุมปาก
"อารมณ์ดีละ ไม่ต้องดูแล้วมั้งการ์ตูนเนี่ย"
ได้ยินอย่างนั้นคนที่นั่งอยู่ข้างๆกันก็หันมาทำหน้ามุ่ยใส่ พร้อมกับยื่นมือมาขอรีโมทคืนจากผมแล้วบ่น
"จะดูต่อ เอาคืนมาเลย"
หน้ายุ่งๆของเขาทำให้ผมหลุดขำ พออีกฝ่ายยื่นมือมาจะคว้ารีโมท ผมก็ยกมือขึ้นหนีเขาไปให้ไกลกว่าเดิม ยักคิ้วให้พร้อมกับยิ้มมุมปาก แล้วพูดต่อ
"ไม่ให้ จะทำไม?"
"หมอ...อย่าเล่นเป็นเด็กดิ!"
ได้ผลครับ คนที่เคยนั่งขัดสมาธิอยู่บนโซฟาขยับตัวหันหน้ามาทางนี้ แล้วยื่นแขนมาตั้งใจจะแย่งรีโมทอีกครั้ง โชคดีท่ีผมไหวตัวทัน ยืดแขนหลบเขาได้พอดี ก่อนตอบ
"ไหนใครเด็ก เด็กที่ไหนจะแขนยาวขนาดนี้ฮึ?"
และมันก็ยิ่งทำให้อีกฝ่ายหน้ามุ่ยด้วยความขัดใจ เขาถอนหายใจหนักๆ วางมือค้ำลงบนหน้าขาของผมแล้วยืดตัวเข้ามามากกว่าเดิม เพื่อรีโมทอันเดียว เห็นท่าทางอย่างนั้นแล้วผมก็ได้แต่แอบขำ ก่อนจะถามต่อ
"นี่จะปล้ำเราปะเนี่ย?"
"ไอ้หมอ!"
"ก็มันโคตรใกล้อ่ะ ใกล้จนขยับนิดเดียว ปากก็แตะกันได้ละเนี่ย..."
พูดจบผมก็ยื่นหน้าไปสัมผัสริมฝีปากกับเขาเบาๆยืนยันคำพูดตัวเอง ก่อนจะรีบผละออกมา แล้วส่งยิ้มไปให้
ยิ่งเห็นอีกคนเม้มปากเข้าด้วยความตกใจ จนผมต้องหลุดขำแล้วพูดต่อ
"จริงๆนะ"
แล้วก็แตะจูบลงไปอีกที
"เนี่ย..."
...อีกที
"ดูดิ..."
...แล้วก็อีกที
"ใกล้มากว่ะ"
"ไอ้หมอบ้านี่!!!"
กว่าเขาจะรู้ตัวแล้วกระเด้งกลับไปอีกฝั่งนึงก็โดนไป 4 จุ๊บเต็มๆ
ผมมองคนที่นั่งเอามือปิดปากตัวเองทำตาขวางอยู่ตรงข้ามกันแล้วได้แต่หัวเราะถูกใจจนอีกคนต้องยืดขาออกมาแล้วถีบผมเข้าเต็มๆ
เย่~ คนอะไรโดนแฟนถีบ -_-
"โอ๊ย! เจ็บยิ้มเจ็บ อ่ะคืนแล้ว..."
ผมพูดพลางพยายามจะโยกตัวหลบ พร้อมกับยื่นรีโมทกลับไปให้ พอได้รีโมทกลับไปอยู่ในมือเขาอีกครั้งอีกฝ่ายก็ยอมหยุด
คนข้างๆถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะวางรีโมทลงบนโต๊ะตัวเล็กที่อยู่ด้านหน้า แล้วลุกขึ้นไปหยิบบีนแบ๊คอันใหญ่ที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาวางบนโซฟากั้นระหว่างเรา 2 คน เอื้อมมือไปเอาถ้วยป็อบคอร์นมากอดไว้ ก่อนจะพูดออกมาสั้นๆ
"กั้นอาณาเขต!"
ผมหัวเราะรับ เอนตัวพิงบีนแบ็คอันใหญ่แล้วพูดออกมา
“ถามก่อน...นี่งอนหรือเขิน?”
“ไอ้หมอบ้านี่"
“....”
“เขินดิถามได้!”
tbc.
- - - -
ตอนหน้าจะแบ่งเป็น 2 ท่อนน้า : )
ตอนจบครึ่งนึง แล้วก็เป็น epilogue ค่ะ
จะจบแล้วนะ ฮึบ... ; - ; เหงาหน่อยๆเหมือนกันอ่ะ
ขอบคุณนะคะ