ตอนที่ 23
[ตะวัน]
แอ๊ดด
ผมเปิดประตูเข้าไปยังห้องที่ขังเรย์เอาไว้ที่ตอนนี้เงียบไปแล้ว คงจะเหนื่อยจากการเดินทางถึงได้หลับไปแบบไม่รู้ตัว แล้วก็คงไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่าผมกำลังอยู่ใกล้ๆ พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็อดที่จะทำให้ผมคิดไม่ได้จริงๆ ว่าเรย์น่ารักมาก...มากซะจนผมอยากจะครอบครองเขาแต่เพียงผู้เดียว
นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้เห็นร่างเล็กบอบบางหลับอยู่ใกล้ๆ กว่าจะเข้าใกล้เรย์ได้ขนาดนั้นมันไม่ได้ง่าย ผมใช้อำนาจเงินแฝงตัวเข้าไปอยู่ในบ้านของเอเดน แล้วออกกลอุบายนิดหน่อยเพื่อให้คนที่เฝ้าเรย์อยู่ให้ออกห่างก่อนที่จะพาเรย์ออกมาจากบ้านหลังนั้น แต่ก็ดันเกิดเรื่องซะก่อน...
มีคนคิดจะกำจัดเรย์
ผมไม่รู้หรอกว่าเรย์กำลังมีเรื่องอะไร แต่ที่รู้ๆ เรย์คงไม่ปริปากบอกผมง่ายๆ แน่ๆ แต่ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรย์กำลังทำคืออะไรกันแน่ ทำไมต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงขนาดนั้น ไปยุ่งกับคนชั่วๆ แบบครอบครัวเอเดน ทำไมผมจะไม่รู้ว่าครอบครัวเอเดนทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร ถ้าคนภายนอกมองอาจมองเห็นว่าแค่ธุรกิจส่งออกและปล่อยเงินกู้อย่างทั่วๆ ไป แต่ใครจะรู้ว่าที่แท้จริงแล้วภายใต้หน้ากากสังคมคนพวกนั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ปล่อยเงินกู้ที่ผิดกฎหมาย ค้าสารเสพติดและทำร้ายร่างกาย ถ้าจะให้พูดให้ถูกก็คือ...คนพวกนั้นชั่วอย่างไร้ที่ติ
บ้านที่ผมพาเรย์มาอยู่เป็นบ้านพักส่วนตัวอีกหลัง จริงๆ ก็เป็นบ้านที่ผมเคยมาอยู่ตอนเด็กๆ นั่นแหละ เอาไว้เป็นที่พักตอนที่มาทำธุระหรือมาเที่ยว แต่พอหลังจากย้ายไปอเมริการผมก็ไม่ได้มาอีกเลย แต่ครอบครัวผมก็ยังจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดเอาไว้ตลอด เพื่อว่าวันใดวันนึงจะกลับมาเหมือนเดิม ตอนแรกผมก็ไม่ได้ตั้งใจพาเรย์มาที่นี่หรอก แต่เพราะเจ้าตัวเอาแต่ดื้อด้านไม่ยอมปริปากพูดออกมาง่ายๆ ผมก็เลยพามาซะเลย แต่กว่าจะมาถึงได้ก็เสียเวลาหลงทางนานเหมือนกัน
“อืม”
เสียงครางหวานแผ่วเบาพร้อมกับเจ้าตัวที่ขยับท่าทีเล็กน้อยเพื่อให้นอนสบายขึ้น ท่าทางน่ารักๆ ของเรย์มันทำให้ผมอดที่จะยิ้มไม่ได้จริงๆ
ผมลูบไปที่ใบหน้าหวานอย่างเมือที่สุดก่อนที่จะก้อมหน้าลงไปใกล้ที่แก้มนวล
ฟอดด
ฝันดีนะ
.
.
.
.
[เรย์]
ผมตื่นมาอีกทีก็ตอนค่ำ พอตื่นมาก็มีผ้าห่อมคลุมตัวผมเอาไว้แล้ว ไม่อยากคิดเลยจริงๆ ว่าตะวันเขาตะเป็นคนห่มผ้าให้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าเขาเข้ามาตอนที่ผมหลับนะซิ!
แกร็ก
“ตื่นแล้วเหรอ”
บานประตูที่ถูกล็อคสนิทถูกเปิดออกมาจากด้านนอกพร้อมกับคนที่ผมไม่อยากเจอหน้าที่สุดโผล่เข้ามาให้เห็น
“ลงไปกินข้าวเถอะ”
เหอะ! คงจะมีอารมณ์กินหรอกเนอะ!
“ไม่!”
ผมตอบแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น...คอยดู! จะประท้วงให้ดู!!!
จ๊อก...
แต่ดูเหมือนว่าท้องของผมจะไม่ให้ความร่วมมือเลย มันดันร้องออกมาซะงั้น แถมยังเสียงดังมากซะด้วย
“หึหึ”
เสียงคนที่ยืนอยู่หน้าประตูหัวเราะออกมาเบาๆ
“อะ อะไรเล่า! หัวเราะอะไร!”
ผมหันไปตวาด...ไม่ได้หิวนะ แต่แค่ท้องมันร้องแค่นั้นเอง
“เปล่านี่ ไปกินข้าวเถอะ หิวไม่ใช่เหรอ”
“ก็บอกว่าไม่หิวไงละ! เฮ้ย! จะทำอะไร ปล่อยฉันนะตะวัน!!!”
ขณะที่ผมกำลังจะปฏิเสธแต่ยังพูดไม่ทันจบ ร่างหนาของตะวันก็เข้ามาประชิดตัวแล้วอุ้มผม! แถมยังอุ้มในท่าเจ้าหญิงซะด้วย!!!
ตะวันไม่ยอมปล่อยผมเลย เขาหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มผมไปที่โต๊ะอาหาร ไม่เพียงแค่นั้นเขายังไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระแต่กลับจับผมนั่งตักเขา แล้วกอดผมเอาไว้แน่น ทำเหมือนผมเป็นเด็กเล็กๆ ที่ต้องให้มานั่งตักแล้วป้อนข้าว
ผู้ชายบ้าอะไรเนี่ย!
นี่ผมยังไม่แปรงฟันเลยนะ! ตื่นมาจะให้กินเลยหรือยังไง!
“อ้าปาก”
“ไม่!”
ผมหันหน้าหนี..
เรื่องอะไรจะยอม! เขาไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับผม!
“ดื้อจริงๆ”
เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วจับผมให้เปลี่ยนท่าให้นั่งหันหน้ามาทางเขา แล้วใช้มือซ้ายโอบเอวผมไว้เหมือนเดิม ท่านั่งที่ล่อแหลมแบบนี้มันทำให้ผมทำตัวแทบไม่ถูก พยายามจะดันตัวเองออกมาแต่แรงของตะวันกลับมีมากกว่าที่ผมคิด
“ปล่อย! ปล่อยนะตะวัน!”
ผมดิ้น แล้วก็ดิ้น แต่ก็เหมือนเดิม ตะวันไม่ยอมปล่อย
“เรย์...ถ้านายจะยังมาดิ้นแบบนี้มันจะแย่เอานะ”
“...?”
ผมหยุดนิ่งแล้วมองตะวันอย่างไม่เข้าใจ การที่ผมจะดิ้นหนีเอาตัวรอดมันทำให้ผมแย่ตรงไหน?
แต่ว่า...สายตาของผมก็ดันไปสะดุดกับช่วงล่างของตะวันที่ตอนนี้กำลังพองนูนเล็กๆ แค่มองดูก็รู้เลยว่าเขากำลังเกิดอารมณ์ มันถึงกับทำให้ผมหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที
“อะ อะ ไอ้บ้า!”
“อยู่เฉยๆ แล้วกินข้าวซะ”
ร่างหนาดันร่างของผมให้แนบชิดเข้าไปอีก จนใบหน้าของเราทั้งคู่เกือบจะชิดกันอยู่รอมร่อ ถ้าไม่มีมือของผมคอยดันเอาไว้นะ ป่านนี้คงยิ่งกว่านี้แน่ๆ... ตะวันกำลังมองผมด้วยแววตาหยาดเยิ้ม เราสองคนสบตากันท่ามกลางความเงียบงันพร้อมกับเสียงหัวใจของผมที่กำลังเต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ
ตึก ตึก ตึก
“ปะ ปล่อยเซ่! อยู่แบบนี้แล้วจะกินได้ไงเล่า!”
ผมเบือนหน้าหนีแล้วเปลี่ยนเรื่อง...
“จะป้อน”
“ห่ะ!”
“ไม่งั้นก็นั่งอยู่แบบนี้แหละ”
พอผมตั้งท่าจะท้วง ตะวันก็พูดดักขึ้นมาซะก่อน
โธ่เว้ย! ไอ้บ้านี่! ได้คืบแล้วจะเอาศอก!!!
แต่พอเห็นสายตาของตะวันผมก็รู้เลยว่าเขาไม่ได้พูดเล่นแน่ๆ ต่อให้ผมขัดขืนยังไงก็คงไม่มีทางที่จะหนีพ้น ผมก็เลยต้องยอมจำใจเป็นฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย แม้ว่าภายในใจไม่ได้อยากทำซะเท่าไหร่ก็เถอะ แต่การที่จะต้องมานั่งตักผู้ชายด้วยกันแบบนี้มันน่าอาย...น่าอายที่สุด!
เขาป้อนข้าวผมไปมองผมไป บางทีก็หัวเราะกับท่าทีพยศเล็กๆ ของผม ทำราวกับว่าผมเป็นเด็กที่กำลังถูกขัดใจอย่างนั้นแหละ แล้วกว่าจะกินเสร็จก็ทำเอาหน้าของผมแทบสุกเลยก็ว่าได้ เพราะอะไรนะเหรอ? ก็เพราะว่าผมนั่งทับไอ้นั่นของตะวันอยู่ไงละ! แถมมันดันนูนขึ้นมาสัมผัสกับของๆ ผมอีก! ถึงจะมีเสื้อผ้ากั้นกลางก็เถอะ แต่ให้ผู้สายสองคนมานั่งแบบนี้มันก็น่าอายสุดๆ
อีตาบ้า!
โครม!
เสียงข้าวของที่หล่นกระจายเพราะน้ำมือบางของนันที่ปัดลงพื้นด้วยความโทสะ จะให้ต้องมาทนอยู่บ้านโกโรโกโสแบบนี้นะเหรอ! สู้ยอมที่จะตายๆ ไปซะยังดีกว่า
“ฉันทนอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอกนะคุณพจน์! ฉันทนไม่ได้! ฉันอยู่ไม่ได้!” นันเอ่ยเสียงกร้าวใส่สามี
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง!”
“ขอความช่วยเหลือสิ! ความช่วยเหลือจากเพื่อนของคุณ เพื่อนๆ คุณมีเยอะไม่ใช่เหรอ เขาต้องช่วยเราได้อยู่แล้ว เงินแค่ไม่กี่ล้านขอยืมเขาสิคุณ!”
“คุณยังจะให้ผมหน้าด้านไปขอความช่วยเหลือพวกเขาอีกหรือไง! ขนาดเพื่อนคุณเขายังหนีคุณเลย แล้วผมเป็นใคร! ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคุณนักหรอกคุณนัน!... ไม่มีใครช่วยพวกเรา! เข้าใจไหมคุณนัน! ไม่มีใครช่วยพวกเรา!!!”
หมดแล้วซึ่งความอดทน พจน์หันตวาดภรรยาตัวเองทันทีหลังจากที่ทนฟังบ่นมาเป็นชั่วโมงๆ ถึงเขาจะเป็นผู้ชายที่ใจเย็นและสุขุมแต่ใครจะทนได้นานเล่าเมื่อภรรยาที่น่ารักและเรียบร้อยกลับกลายเป็นคนมีปากมีเสียงและมีท่าทีแสดงออกถึงความก้าวร้าว พจน์ไม่คิดเลยจริงๆ ว่านันจะกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ เหมือนกับเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก ยิ่งทำให้พจน์รู้สึกผิดหวัง...ผิดหวังมากจริงๆ
“นี่คุณ! นี่คุณกล้าตวาดฉันเหรอคุณพจน์!”
นันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ ว่าสามีของเธอจะกล้าขึ้นเสียงใส่ มือบางทุบไปที่ไหล่ของพจน์เพื่อระบายความอัดอั้นและโมโห
“พอสักทีเถอะคุณนัน! อย่าให้ผมสมเพชคุณไปมากกว่านี้เลย!”
ปัง!
พูดจบพจน์เดินออกจากห้องไปทันที
“คุณพจน์! คุณพจน์! ฮือ ฮือ”
นันร้องไห้ออกมาด้วยความอดสู น่านึกน้อยใจผู้เป็นสามีนัก! ทำไมกันนะ...ทำไมถึงไม่เข้าใจว่าเธออยู่อย่างนี้ไม่ได้ นันไม่อยากกลับไปมีชีวิตเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วไม่อยากกลับไปอดๆ อยากๆ ต้องกัดฟันทน ดิ้นรนสู้ชีวิตเพื่อมีชีวิตที่ดีกว่านี้ มันเป็นอดีตที่เลวร้ายจนเธอไม่อยากจดจำจริงๆ แต่ทั้งนันและพจน์หารู้ไม่ว่าเสียงที่พวกเขาโต้เถียงกันเมื่อสักครู่กลับมีร่างเล็กอีกคนได้ยินเต็มสองรูหู
“ฮึก คุณพ่อ คุณแม่...”
หนึ่งร้องไห้ออกมาเบาๆ พยายามสกัดกลั้นเสียงตัวเองไม่ให้เล็ดลอดออกมา มือบางยกปิดปากตัวเองเอาไว้ด้วยกลัวว่าพวกท่านทั้งสองจะได้ยิน เพราะกำแพงเป็นกำแพงไม้ราคาถูก ดังนั้นการเก็บเสียงจึงไม่ต้องพูดถึงเลย มันไม่มีด้วยซ้ำ... หมดตัวยังไม่พอ พ่อกับแม่ก็ยังมาทะเลาะกันอีก ปัญหาที่เริ่มถามโถมเข้ามาทำให้หนึ่งจนปัญญาที่จะแก้ ราวกับว่าตัวเองกำลังหลงอยู่ในเขาวงกตที่หาทางออกไม่เจอ
“ตะวัน นายอยู่ที่ไหน”
ร่างเล็กครางเรียกชื่อคนที่คิดถึงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ทั้งๆ ที่ตอนนี้ต้องการกำลังใจที่สุด แต่คนที่เรียกหากลับหายไปไร้ซึ่งเงาของเจ้าตัว
หนึ่งกำลังคิดถึง...คิดถึงตะวันเหลือเกิน
.
.
.
.
หลายวันผ่านไป
ตะวันพาผมมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้นี่ก็ปาไปหลายวันแล้ว วันๆ ผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้อง ในทุกๆ วันจะมีคนมาส่งข้าวส่งน้ำให้ไม่ขาด แล้วพอถึงเวลาตะวันก็จะพาผมไปกินข้าวโดยที่เขายังป้อน! ผมเหมือนเดิม... เน้นย้ำคำว่าป้อนมากๆ พอผมจะกินเองเขาก็เอารัดเอาเปรียบผม หาเศษหาเลอจากร่างกายของผมจัง! ลูบๆ คลำๆ จนตัวผมแทบจะสึกหมดแล้ว!
“เฮ้อ”
บ่นมากไปก็เท่านั้น ถอนหายใจทิ้งดีกว่า เพราะยังไงตะวันก็คงไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ ใช่ว่าผมจะไม่หนีนะ ผมหนีแต่ก็ถูกตะวันจับได้ทุกครั้ง ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะหนีเขาพ้น พอเขาจับผมได้ทีไรก็มักจะมานั่งจ้องหน้าทำตัวติดกับผมเป็นตังเม บอกตรงๆ ว่าเบื่อมาก!!! แม้กระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกัน
“หึหึ”
“ชิ!”
ผละเกลียดเสียงหัวเราะของเขาจริงๆ
“เหนื่อยที่จะหนีแล้วไง”
“...” ผมไม่ตอบ ไม่หันหน้ามามองเขาด้วยซ้ำ
“เมื่อไหร่นายจะเลิกหนีสักทีนะเรย์”
“นายก็ปล่อยฉันเซ่!”
แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นรอยยิ้มบางๆ พร้อมกับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเคย มันน่าโมโหนักนะ! ผมไม่เคยคิดเลยว่าตะวันจะกลายเป็นผู้ชายแบบนี้!!! ภายใต้ใบหน้าที่แน่นิ่งแต่กลับเป็นคนที่เอาแต่ใจมาก! ถึงมากที่สุด!!!
“แล้วจะกอดฉันไปถึงเมื่อไหร่ ปล่อยได้แล้ว!”
“ไม่”
“นี่!”
ผมขึ้นเสียงใส่ ผู้ชายอะไรทำไมหน้าด้านได้ขนาดนี้นะ! มันจะน่าโมโหเกินไปแล้ว!
“นายก็เลิกดื้อสักทีสิ”
นี่สรุปกลายเป็นว่าผมเป็นคนผิดใช่ไหม?
“ฉันเปล่าดื้อ!”
“ถ้านายไม่ดื้อก็บอกมาซะทีสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่...คนพวกนั้นเป็นใคร”
คำถามเดิมๆ ที่มักจะออกมาจากปากของเขาเป็นประจำ ผมเม้มปากแน่นเงียบสนิท เรื่องอะไรจะยอมบอกละ...มันไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย มันไม่จำเป็นที่เขาจะต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผม ไม่จำเป็นจะต้องรู้ว่าทำไมผมถึงต้องมาหมั่นกับเอเดนและเหตุผลต่างๆ ที่ผมทำ
มันไม่เกี่ยวกับเขาสักนิด
“กะ ก็บอกว่าไม่รู้เรื่องไงเล่า! ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง!”
“...เรย์”
เสียงทุ้มต่ำเรียกผมอีกครั้ง
“อะไร! นี่นาย...”
“ฉันอยากอยู่แบบนี้กับนายตลอดไปจัง”
ตึก!
คำพูดเบาๆ ของตะวันแต่ผมกลับได้ยินชัดเจน แล้วมันก็ทำให้วูบนึงใจของผมกระตุก ทุกอย่างรอบตัวราวกับหยุดหมุนอัตโนมัติ ดวงตาที่ตะวันมองมายังผมมันกำลังเปร่งประกาย...ดวงตาที่แสดงออกถึงความห่วงใย
“พะ พูดอะไรของนายเนี่ย! ปล่อยฉันได้แล้ว!”
ผมแสร้งทำเป็นเมินทั้งที่ใจมันกำลังสั่นไหว ไอ้หัวใจไม่รักดีเอ้ย! จะมาเต้นดังทำไมเนี่ย! ถ้าเกิดว่าตะวันเขารู้ว่าผมกำลังหวั่นไหวเพราะเขานะ มีหวังได้อยากเอาหน้ามุดลงดินแน่ๆ เกิดมาจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยมีใครมาทำแบบนี้กับผมเลย จะมีก็แต่ตะวันนี่แหละที่ใจกล้าหน้าด้านมากอดอยู่นั่นแหละ! กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าก็ไม่รู้
“หึหึ”
หนอย! ยังจะมาหัวเราะอีก หูหนวกหรือไง ห่ะ!
“เบื่อไหม?”
“เหอะ ยังจะกล้ามาถามอีกนะ นายก็ลองมาเป็นฉันซิจะได้รู้ว่าเบื่อหรือไม่เบื่อ”
“ไว้ฉันจะพานายไปเที่ยว”
“ไม่จำเป็น! แค่ปล่อยฉันก็พอ”
ใช่! มันไม่จำเป็นเลยที่เขาจะต้องมาทำแบบนี้ มันไม่จำเป็นสักนิดเดียว ผมอยู่ตัวคนเดียวได้ ทำทุกอย่างตัวคนเดียวได้
“ฉันเป็นห่วงนายนะเรย์”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ ใบหน้า ดวงตา และทุกๆ อย่างที่คนๆ นี้พูดมา มันกำลังกลืนกินผม มันกำลังจะเริ่มทำให้ผมกลับไปอ่อนแออีกครั้ง
“หึ เป็นห่วงงั้นเหรอ พูดง่ายดีนะ...นายลืมไปแล้วเหรอ ว่าเมื่อก่อนนายเองก็มองฉันยังไง”
ผมเค้นยิ้มบอกด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้...ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมจะลืมเลือน ทุกคนรอบตัวต่างก็มองว่าผมเป็น ‘นางร้าย’ คนที่คอยเอาแต่แกล้งหนึ่ง คนที่ใจยักษ์ใจมารและทำทุกอย่างได้เพื่อความพอใจของตัวเอง...ตะวันเองก็เหมือนกัน เขาไม่ได้ต่างอะไรจากคนพวกนั้นเลย จะมาพูดอะไรตอนนี้...มันสายเกินไปแล้วละ เพราะผม...ไม่ใช่เรย์คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เรย์คนเก่าได้หายไปจากโลกนี้ ตั้งแต่วันที่เย็นไปจากผม...
อย่างไม่มีวันกลับ...