ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง ตอนที่ 84(ตอนจบ) (21/1/2559)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง ตอนที่ 84(ตอนจบ) (21/1/2559)  (อ่าน 190103 ครั้ง)

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
 :z3: :z3: จะเปิดบู๊กันแล้วเหรออออ ลุงสู้ๆนะอย่ายอมให้คนพาลมาทำให้ชีวิตพังอะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
นี่จะเป็นปมสุดท้ายก่อนจบแล้วใช่ไหมนี่ (สังหรณ์อ่ะ)

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 81


          “อาวัฒน์คะ”

          เจ้าของชื่อลุกขึ้นทันทีที่เห็นเด็กสาวร่างท้วมเดินเข้ามาในห้องนอนของตน แม้จะร้อนรนแทบตาย แต่วัฒน์ก็เพียงแค่ยืนนิ่งรอให้เอมเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง

          “คือเรื่องที่อาอยากได้ หนูสืบไม่เจอหรอกนะคะ” เอมรีบบอกเสียงลนเมื่อโดนหนุ่มใหญ่จ้องหน้าเหมือนจะกินเลือด “หนูรู้แค่ว่าตอนนี้เดชไม่กลับมาที่บ้านเลย ไปสืบทางลูกน้องเองก็ไม่ได้ความเลย คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยน่ะค่ะ”

          “สักหน่อยที่ว่ามันนานเท่าไหร่” ที่จริงวัฒน์ก็แค่ร้อนใจ แต่ไม่รู้ทำไมเสียงมันกลับฟังเหมือนคาดคั้นแทน

          “กะ...ก็จนกว่าลูกน้องหรือเดชจะเคลื่อนไหวนั่นล่ะค่ะ” เด็กสาวเริ่มออกอาการกระสับกระส่าย “ตอนนี้เราก็ทำเท่าที่ทำได้แล้วล่ะค่ะ ทั้งแมวกับพวกพี่ปาล์มเองก็พยายามหาเต็มที่เลยนะคะ”

          “แค่นั้นไม่พอหรอก” หนุ่มใหญ่บอกเสียงต่ำ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ยอมรอทำตามที่อีกฝ่ายต้องการแน่ “…ยังไงก็ฝากตามเรื่องต่อทีนะ”

          แม้ในทีแรกจะหวาดหวั่นแต่เห็นอีกฝ่ายดูกังวลเสียเต็มประดา จากที่กำลังกลัว เอมจึงนึกเห็นใจอีกฝ่ายแทน...ถึงขามันจะสั่นไม่ยอมหยุดก็เถอะ

          “หนูว่าอาวัฒน์ใจเย็นๆเถอะค่ะ หนูเชื่อว่าพี่เนกับพี่ศาสตร์ยังปลอดภัยอยู่แน่” เธอไม่แน่ใจว่าสมควรปลอบอีกฝ่ายดีหรือเปล่า แต่ถึงแม้จะกลัวก็อดไม่ได้จริงๆเมื่อเห็นท่าทีเหมือนโลกจะแตกของวัฒน์ “ร้อนใจไปมันอาจจะทำให้แย่ลงเปล่าๆนะคะ”

          แนะเสร็จก็ได้แต่ยืนขาสั่นด้วยความหวาดกลัวจะโดนว่ากลับถึงได้หลับตาแน่นพร้อมรับการลงทัณฑ์

          แน่นอนว่าวัฒน์ไม่ได้คิดจะต่อว่าอีกฝ่ายอยู่แล้ว ยิ่งเห็นอีกฝ่ายยืนตัวสั่นหลับตาแน่น รวมกับคำพูดเมื่อครู่ ทำให้เขาเข้าใจเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายเอ่ยเพราะเป็นห่วงและอยากเตือนให้ตนใจเย็นลงเพียงเท่านั้น

          “นั่นสินะ...” ได้ยินเสียงหนุ่มใหญ่แล้วเอมถึงกับลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เห็นอีกฝ่ายท่าทางเหมือนรู้สึกผิดยิ่งทำให้เด็กสาวร่างท้วมอ้าปากค้าง “ขอบใจนะเอม อาคงร้อนใจไปหน่อย”

          เอมเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าที่ดูสงบลงแล้ว และมีอาการสลดร่วมด้วย เด็กสาวไม่พูดอะไรต่อนอกจากพยักหน้าให้และขอตัวออกไปจากห้องเพื่อทำหน้าที่ต่อ

          วัฒน์ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หมุนเหมือนเดิม สายตาก็จ้องไปยังเอกสารบนโต๊ะ ก่อนจะหายใจเข้าออกลึกๆ นึกถึงคนที่ตนไม่อยากจะนึกที่สุด ตอนนี้เขาพอจะรู้สาเหตุคร่าวๆที่เดชต้องการจะทำร้ายสิทธิ์ แต่ที่เขาไม่เข้าใจว่าการลักพาตัวเนกับศาสตร์จะเกี่ยวอะไรกับการกำจัดสิทธิ์ด้วย

          ก็คิดได้อย่างเดียวว่าต้องเกี่ยวข้องกัน

          แต่ในเมื่อพี่ชายยืนกรานเสียงแข็งว่าฝั่งเจ้านายไม่มีอะไรให้เป็นห่วง บวกกับนึกถึงคำท้วงของเน วัฒน์จึงพยายามปล่อยวางและคิดถึงเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุดในตอนนี้แทน

 

          สองหนุ่มผู้โดนจับเป็นตัวประกันต่างสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเดินแว่วเข้ามา ทั้งสองต่างหรี่ตาอย่างงัวเงียเมื่อพบว่าตอนนี้เช้าแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขารู้ได้เลยว่าตนโดนจับมาที่ไหน เพราะตรงชั้นที่พวกเขาอยู่เป็นเพียงชั้นโล่งๆที่คล้ายกับลานจอดรถ ซึ่งไม่มีทางลาดให้รถขับขึ้นลงได้ มีระเบียงปูนล้อมรอบ แต่ด้านที่ทั้งสองพิงอยู่เป็นกำแพง ตรงฝั่งตรงข้ามทางขวามุมสุดเป็นห้องปูนเปลือยเพียงห้องเดียวในชั้นนี้

          เนรีบกลิ้งไปติดกำแพงด้านหลังอย่างลืมตัว ทำเอาเหล่าผู้มาเยือนที่ออกมาจากห้องนั้นพากันขำ มีเพียงเดชคนเดียวที่ยังคงยิ้มบาง และดูจะไม่สนใจกับการกระทำชวนหัวของเด็กหนุ่มแม้แต่น้อย

          “ไง หลับสบายดีไหม...แต่ดูท่าทางคงจะไม่สบายเท่าไหร่เนอะ” เดชเอ่ยเย้าก่อนจะเดินเข้าไปเขี่ยเท้าศาสตร์ และก็ต้องหลบออกมาเมื่ออีกฝ่ายพยายามจะเตะตน “ก็ว่าจะเตรียมที่นอนให้ แต่พอดีมันฉุกละหุกไปหน่อยน่ะ ก็ทนๆเอาหน่อยละกัน”

          “แกคิดจะทำอะไร” ศาสตร์ถามเสียงเหี้ยม ไม่มีความกลัวเจืออยู่บนใบหน้าแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นกลับทำให้เดชยิ้มกว้างกว่าเดิม

          “ฉันก็แค่เบื่อสงครามประสาทเต็มทน แล้วก็อยากจะให้ทุกอย่างมันจบๆไปสักทีไง” เดชตอบเสียงระรื่น “พวกนายเองก็เบื่อเหมือนกันไม่ใช่หรือ ฉันก็แค่ทำให้มันง่ายขึ้นก็เท่านั้น”

          “เฮอะ นึกว่าพวกฉันบริโภคคลอโรฟิลด์เป็นอาหารหรือไง” ได้ยินศาสตร์สวนกลับหน้าเครียด เนถึงกับสำลัก “แกวางแผนอะไรอยู่ใช่ไหมถึงทำแบบนี้”

          เดชยังคงยิ้มกว้างไม่เปลี่ยน “นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง...แต่ฉันก็เบื่อที่จะมายืดเยื้อแบบนี้แล้วด้วยก็เท่านั้น อยากจะจบกับไอ้วัฒน์มันสักที ถึงจะไม่อยากเท่าไหร่ก็เถอะนะ”

          ได้ยินชื่อบุคคลแสนรักแล้ว สองหนุ่มต่างพากันถลึงตาใส่ทันที ทำเอาเดชหัวเราะลั่น

          “ชีวิตพวกแกก็อยู่กับวัฒน์นั่นล่ะ ว่ามันจะเลือกอะไร” หนุ่มใหญ่พูดราวกับไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแม้แต่น้อย “ยังไงก็เตรียมใจไว้เลยก็ดีนะ ถ้าเกิดว่ามันเลือกผิดทางขึ้นมา ฉันไม่ชอบทรมานใครอยู่แล้ว จะให้มันจบในครั้งเดียวแน่นอน”

          และคนฟังก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่คำขู่

          “หนอย ไอ้เวรนั่น ได้ทีพูดเอาๆเลยนะ” หลังจากพรรคพวกของเดชเดินหายไปยังทางลาดที่อยู่อีกฝั่ง เนก็ตะโกนไล่หลังออกมาอย่างเหลืออด “โอ๊ย ไอ้เชือกบ้านี่ก็รัดแน่นจริงโว้ย”

          ศาสตร์เพียงแค่นั่งนิ่งแล้วมองเน ลองว่าขนาดเขายังไม่ไหว อย่างไอ้เด็กนี่มีหรือจะทำได้

          “นี่” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกคนที่ง่วนอยู่กับการออกแรงอย่างไร้ประโยชน์ “ฉันนึกแผนบางอย่างออก แต่นายต้องช่วยฉันด้วย”

          เนหยุดดิ้นและหันหน้ามาฟังอย่างตั้งใจทันที

 

          หมอนั่นเอาตัวสองคนนั่นไปไว้ที่ไหนนะ...

          เขาพยายามเค้นความจำออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนี่ก็พยายามตามหาเท่าที่นึกออก แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวจนหมด ยิ่งก็ยิ่งแค้น เขาไม่อยากจะรอตามเกมอีกฝ่ายเลยสักนิด แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้เลย จนล่วงเลยมาถึงวันที่สามเอาจนได้ และนั่นยิ่งทำให้หนุ่มใหญ่ร้อนใจหนัก เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำอะไรศาสตร์กับเนไปแล้วบ้าง เขาไม่อยากจะเชื่อนักหรอกว่าเดชจะจับสองคนนั้นไปเฉยๆ

          วัฒน์นึกทวนถึงคำพูดของเดชที่เคยคุยกันก่อนหน้านั้นก่อนจะเริ่มนึกบางอย่างออก

          ไม่สิ...บางทีอาจจะเป็นไปได้ก็ได้...

          วัฒน์รีบคว้ามือถือของตนขึ้นมากดโทรหาฉัตรทันที

          “เดี๋ยวฉันจะไปเดินเล่นที่บุรีรัมย์สักหน่อย ถ้าเที่ยงคืนฉันยังไม่โทรไปหานาย รีบเกณฑ์กำลังทั้งหมดมาหาฉันเลยนะ”

          “นายมั่นใจว่าไอ้เดชจับพวกเนไว้ที่นั่นหรือ...แต่ที่นั่น...”

          “เป็นที่ของคุณสิทธิ์ ฉันรู้ และให้พูดกันตามตรงหมอนั่นก็คงไม่เสี่ยงแน่” วัฒน์บอกเสียงเรียบ “แต่พอดีฉันรู้สึกว่ามันคุ้มค่าที่จะไปลองดูน่ะ”

          ใจจริงก็ไมได้เห็นด้วยนัก แต่ฟังน้ำเสียงที่เหมือนจะมั่นใจเอาการ ฉัตรก็ได้แต่ยอมตามอย่างเสียไม่ได้

          “ก็ขอให้แกโทรมาบอกข่าวดีก่อนเที่ยงคืนละกัน”

          ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ฉัตรยอมรับว่าใจคอไม่ดีเอาเสียเลย ยิ่งถ้าเกิดลางสังหรณ์ของวัฒน์แม่นจริงๆ เท่ากับว่าเขาปล่อยให้ไอ้น้องหน้านิ่งมันไปฉะกับศัตรูที่กินกันไม่ลงมานานแล้วน่ะสิ…แต่จะไปช่วยก็กังวลทางฝั่งเจ้านายกับทางร้านที่มีความเสี่ยงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทำเอาหนุ่มใหญ่เผลอเกาหัวจนยุ่งเพราะไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตวุ่นวายนี่

          “ไปสิครับ”

          ฉัตรสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันไปหาต่อที่ยืนเลือนรางอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องพักพนักงาน สีหน้าของหนุ่มใหญ่ประหลาดใจมากกว่าหวาดหวั่นกับพฤติกรรมชวนสงสัยว่าอีกฝ่ายโผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงโดยที่ตนไม่รู้ตัวได้ เพราะฉัตรไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติสักเท่าไหร่ แต่ก็ยอมรับว่าลางสังหรณ์ของเพื่อนลูกคนนี้นั้นแม่นมากจนไม่กล้าเมินนัก

          “ไม่ต้องห่วงทางนี้กับคุณสิทธิ์หรอกครับ...” ต่อเอ่ยกระตุ้นเสียงเนิบเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงลังเล “ผมยังไม่เห็นดวงถึงฆาตของทางคุณสิทธิ์หรือพวกเราคนไหนนะครับ แต่ทางคุณวัฒน์นี่น่ะสิ...”

          พูดเพียงแค่นั้นแล้วก็นิ่งเงียบไป ปล่อยให้คนฟังนิ่วหน้าด้วยความกังวลหนักกว่าเก่า

          “ผมก็ฟันธงไม่ได้หรอกว่าใครที่กำลังจะแย่ แต่ถ้าปล่อยไปแบบนั้น จะต้องมีใครสักคนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีกตลอดไปแน่ครับ”

          “โธ่เว้ย น่ารำคาญจริงว่ะ” ฉัตรบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบแจ็คเก็ตสีดำที่แขวนอยู่ในล็อคเกอร์กับกระเป๋าเป้สีดำที่วางไว้ด้านล่าง แล้วกระทืบเท้าออกมาหาต่อ “ฝากด้วยละกัน ถ้าเกินเที่ยงคืนแกกับปาล์มก็ตามพรรคพวกมาละกัน”

          ต่อเพียงแต่พยักหน้าให้ เมื่ออีกฝ่ายหายออกไปจากห้องแล้วชายหนุ่มก็ถอนใจออกมา ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความกังวล ถึงฉัตรจะไปเสริมทัพแต่เขากลับไม่สบายใจเลยสักนิด

          ขออย่าให้เป็นอะไรกันเลยนะ...

 

          “ไม่ไหว...”

          “ทนอีกหน่อยสิวะ”

          “โอ๊ย บอกว่าไม่ไหวก็ไม่ไหวไง” เนตะโกนบอกอย่างสุดทน “นายก็มาทำแทนสิวะ ฉันเจ็บฟันจะแย่อยู่แล้ว”

          “เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งทำไปเองนะ” ศาสตร์โวยวายหน้านิ่ง ทำเอาเนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายโกรธอย่างที่น้ำเสียงเป็นหรือเปล่า “นายเพิ่งเริ่มไปห้านาที อย่าเพิ่งบ่นสิวะ แก่แล้วหรือไงหา กัดนิดกัดหน่อยทำเป็นสำออย”

          “โถ ไอ้บ้าแก่จนสายตาฝ้าฟางแล้วเรอะ เชือกนี่มันบางๆที่ไหน” เนสวนกลับอย่างไม่ลดละ “ถ้าคิดว่ามันไม่เท่าไหร่ นายก็ทำต่อสิ เอ้า แผนนายนี่”

          ทั้งคู่จ้องหน้าปานจะกินเลือกกินเนื้อกัน และสุดท้ายก็เลิกใช้แรงโดยเสียเปล่า จากนั้นก็หันหน้าไปคนละทางเพราะไม่อยากจะเห็นหน้ากันนัก

          “บ้าจริง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังหนีออกไปไม่ได้แน่” ศาสตร์บ่นออกมาหลังจากเลิกตีฝีปากกับเน

          “ผมก็ไม่ได้อยากมานอนเล่นอยู่ที่นี่นักหรอกน่า” เด็กหนุ่มว่าก่อนจะถอนหายใจ “ย้าก!!”

          ไม่วายยังหาเรื่องเบ่งพลังอีกจนได้ ทำเอาคนกำลังกลุ้มๆถึงกับหลุดหัวเราะกับความดึงดันที่ไร้ประโยชน์นี่เสียจริงๆ

          “ฉันว่าเก็บแรงไปคิดหาทางที่ดีกว่าเถอะ” ศาสตร์แนะเสียงอ่อน เพราะตั้งแต่โดนจับมา ก็ไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ยิ่งออกแรงก็รังแต่จะทำให้พยาธิในท้องดูดพลังงานแรงกว่าเดิมเปล่าๆ

          “ก็มันคิดไม่ออกนี่หว่า” เนว่าก่อนจะยอมนิ่งบ้างเพราะโดนเสียงท้องร้องของตัวเองสูบพลังงาน “โธ่เว้ย เอาไงดีวะ”

          ศาสตร์มองหนอนชาเขียวที่ดิ้นดุ๊กดิ๊กใกล้ๆก่อนจะถอนหายใจ นี่ก็มืดแล้วด้วย แต่ยังดีหน่อยตรงที่อีกฝ่ายเปิดไฟตรงบริเวณที่พวกเขาอยู่ แม้ดูไปดูมาจะแย่หน่อยตรงที่นอกจากบริเวณที่ตนอยู่ ที่อื่นนั้นมืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลยสักนิดเดียว ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่านอกจากพวกตน ยังมีคนอื่นอยู่ในชั้นนี้ด้วยหรือเปล่า

          คนนอนหันไปหาคนที่นั่งพิงกำแพงเมื่อศาสตร์พยายามยืนขึ้นทั้งที่ขาโดนมัด ชายหนุ่มกระโดดกระย่องกระแย่งออกไปจากพื้นที่แสงส่อง หายไปนานเสียจนคนนอนรู้สึกหวั่นใจ แต่จะให้ตะโกนเรียก ศักดิ์ศรีมันก็ค้ำคอ เลยพยายามลุกขึ้นยืนหมายจะกระโดดตามอีกฝ่ายไปด้วย แต่ยังไม่ทันจะได้ทรงตัวดี ศาสตร์ก็กลับมาแล้ว

          “ไม่มีใครเลย” ศาสตร์ตอบด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “แปลก...เมื่อคืนก่อนถึงมันจะไม่เปิดไฟ แต่ฉันก็พอจะเห็นเงาคนอยู่สองสามคน แต่วันนี้กลับไม่แม้แต่จะมาเฝ้า”

          “เห็นเราโดนมัดขนาดนี้ก็คงคิดว่าหนีไม่ไหนไม่ได้แน่ๆ เลยขี้เกียจจะเฝ้าละมั้ง” เนบอกอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะไถลตัวไปกับกำแพงเพื่อยืนขึ้น

          ศาสตร์ไม่ได้ตอบอะไร นอกเสียจากกระโดดหายออกไปอีก คราวนี้เนพยายามกระโดดตามไปด้วย โดยอาศัยแสงสลัวจากท้องฟ้าคอยนำทางไปยังห้องที่อยู่อีกฝั่งทางขวา

          ทั้งสองมายืนง่อนแง่นอยู่ตรงหน้าประตูโลหะที่เหมือนดั่งเป็นความหวังอย่างสุดท้ายของตน เสียงคุยเบาๆที่ดังจากด้านในที่ทำให้ทั้งสองยังคงยืนอยู่ที่เดิม

          “คิดว่าคุณวัฒน์จะหาที่นี่เจอหรือเปล่า” เสียงทุ้มเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหวาดหวั่น

          “ไม่รู้ว่ะ แต่ก็มีโอกาสอยู่...นั่นคุณวัฒน์นะ...ไม่ใช่ไอ้ฉัตรสักหน่อย” อีกเสียงดังขึ้นอย่างหวาดหวั่นไม่แพ้กัน

          “พวกแกจะกลัวไปทำไมวะ ยังไงตามแผนคุณเดช มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วนี่ หรือพวกแกคิดว่าคุณเดชจะพลาด”

          “นั่นสิ ไอ้การที่เราจับไอ้เด็กสองคนนั่นก็เพื่อการนี้อยู่แล้ว” เสียงที่สี่ทำเอาเนกับศาสตร์เริ่มคิดหนักกับจำนวน “พวกแกก็เตรียมตัวเผื่อไว้ละกัน ถ้าสำเร็จก็จัดการตามแผนเลย ถังกับปูนก็เตรียมไว้แล้ว”

          เนฟังแล้วสยองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะให้สรุปโดยง่าย นั่นหมายความว่าถ้าแผนอะไรก็ไม่รู้ของเดชสำเร็จ พวกเขาก็มีสิทธิ์ได้ตีตั๋วทัวร์ใต้ทะเลแบบไปแล้วไปลับไม่กลับมานั่นเอง

          ไม่เอาหรอกนะเว้ย ชีวิตของตูเพิ่งจะสดใสซาบซ่าน อย่ามาดับกันเอาตามใจชอบง่ายๆนะโว้ย!

          แต่โดนมัดมือมัดเท้าขนาดนี้ ซ้ำคนเฝ้ายังมีถึงสี่คน และตอนนี้ก็อยู่บนอาคารที่สูงราวเจ็ดชั้น แล้วจะให้หนีไปไหนได้กัน

          “เน” เสียงทุ้มหนักกระซิบขึ้น ทำเอาคนที่กำลังหวั่นกลัวหันไปมองเงาที่ยืนอยู่ข้างประตูอีกฝั่งที่กระโดดออกจากประตู “ไปกัดเชือกสิวะ”

          โอ๊ย กว่าจะกัดเสร็จมีหวังโดนมันจับยัดถังพอดี

          ครืด...

          เสียงครูดของปูนกับโลหะหนักที่ดังขึ้นเบาๆทำเอาเนที่กำลังจะง้างปากยิงคำด่ารีบ หุบลงทันควันและหันไปยังต้นเสียงทันที เสียงนั้นดังมาจากระเบียงใกล้ ทั้งสองหันมองต้นเสียงเป็นตาเดียว มันค่อยๆดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ กระนั้นมันก็ยังเบาจนหากไม่ตั้งใจฟังดีๆก็คงไม่ได้ยิน

          ศาสตร์ค่อยๆ กระโดดเข้าไปใกล้อย่างไม่กลัวเกรง ทำเอาคนที่ยืนนิ่งได้แต่หวาดหวั่นปนให้กำลังใจ ชายหนุ่มกระโดดไปจนถึงริมระเบียง ชะโงกตัวก้มมองอยู่พักใหญ่ และดูจากท่าทีที่นิ่งสนิท ก็คงไม่เจอสิ่งใดเป็นแน่

          “แปลก...นี่ก็ไม่ได้มีลมทำไมถึงมีเสียงแปลกๆขึ้นมา” หนุ่มหน้านิ่งวิเคราะห์เสียงเบา ยังคงก้มลงมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

          “โอ๊ย ช่างหัวเสียงมันเถอะน่า ตอนนี้หาทางแก้เชือกก่อนเหอะ”

          “เน!”

          เจ้าของชื่อหันไปมองอย่างรำคาญ แต่ยังไม่ทันจะออกเสียงก็ต้องอ้าปากค้างไป เมื่อเห็นเงามือที่โผล่พ้นมาจากระเบียงใกล้ๆกับตัวศาสตร์

          “งายจ๊ะ”

          ได้ยินเสียงกวนส้นเท้าของฉัตรพร้อมกับเงาของชายร่างโตที่ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากระเบียง เนแทบจะหงายหลังล้มลงเสียให้ได้ เขาเกือบจะตะโกนออกไปแล้ว

          “แหม ทีแรกก็นึกว่าพวกไอ้เดชอยู่แถวนี้ นี่กะว่าจะสวนเข้าจังๆแล้วนะถ้าไอ้หนูศาสตร์ไม่ส่งเสียงออกมาก่อนเนี่ย” ฉัตรเอ่ยทีเล่นทีจริงหลังจากปีนระเบียงเข้ามาด้วยฝีเท้าเงียบเชียบผิดกับขนาดตัว จากนั้นก็ปัดฝุ่นบนเสื้อแจ็คเก็ตหนังของตนราวกับกลัวมันเลอะเสียเหลือเกิน “...อะไร ทำหน้าเหมือนโดนหวยกินขนาดนั้น ผิดหวังที่ฉันไม่ใช่สุดที่รักของพวกแกหรือไงจ๊ะ”

          “ผมแค่สงสัยว่าคุณปีนขึ้นมาได้ยังไงต่างหาก” เนแหววใส่คนที่เพิ่งจะปีนขึ้นมาจากตึกเจ็ดชั้นด้วยมือเปล่าแถมยังแบกเป้มาอีก…แม้จะแอบคิดเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ใช่วัฒน์จริงๆก็ตาม

          “เลิกพูดเรื่องไร้สาระแล้วแก้เชือกสักทีเถอะครับ” ศาสตร์รีบตัดบทก่อนที่ทั้งสองจะปะทะคารมกันมากไปกว่านี้ “เดี๋ยวพวกที่อยู่ข้างในรู้ตัว...”

          ยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงประตูก็ดังขัดศาสตร์เสียก่อน และยังไม่ทันไร คนรู้หน้าที่ก็พากันเข้าไปตะลุมบอนก่อนที่ศัตรูจะได้ทันตั้งตัว และด้วยแรงควายของหนุ่มใหญ่ร่างถึก ใช้เวลาเพียงไม่นานก็จัดการคนสี่คนจนหมอบกระแต

          “แกนี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ” ฉัตรเอ่ยเสียงเยาะใส่เนที่ยังคงยืนทื่ออยู่ที่เดิม พลางโยกหัวไปทางศาสตร์ที่พุ่งไปกระแทกศัตรูแล้วนอนทับอยู่ “เอาอย่างหมอนั่นบ้างสิ”

          ไม่ไหวว้อย บ้าไม่พอ!

          “แล้วอาวัฒน์ละครับ” หลังจากฉัตรเดินมาแก้เชือกออก ศาสตรก็เอ่ยถามพลางสะบัดแขนขาแก้เมื่อย

          สีหน้าของหนุ่มใหญ่ดูกังวลและไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก และก่อนที่ฉัตรจะอ้าปาก เสียงปืนดังลั่นมาจากชั้นล่างดึงความสนใจพวกเขาเสียก่อน

          สองหนุ่มเพียงแต่มองหน้าคนอาวุโสสุด ซึ่งฉัตรเพียงแต่เกาหัวจนยุ่ง ท่าทีดูไม่รีบร้อนเท่าใดนัก ทั้งที่เสียงปืนดังรัวลั่นจนน่าหวาดหวั่น

          “นั่นไง มันมาแล้ว”



_________________________________________
ก็อย่างที่ผู้อ่านเห็นว่าใกล้จบแล้ว =w= เลยมาแจ้งเรื่องรวมเล่มว่า ก็คงเปิดโอนราวๆปลายเดือนนี้โดยประมาณ อาจจะเปิดสักสองเดือนนะงับ =w=


รายละเอียดของหนังสือคร่าวๆคือจะแยกเป็นสามเล่ม มีตอนพิเศษ 4 ตอน ภาพปลากรอบ 10 หน้า มุกสี่ช่อง 21 หน้า ราคาคร่าวๆจะอยู่ที่ 750 บาทนะงับ =w= เดี๋ยวค่าส่ง ขอรอดูน้ำหนักหนังสือก่อนนะงิ


เรื่องภาพประกอบ เรายังไม่ได้กำหนดว่าจะวาดฉากไหนเท่าไหร่ หากใครมีรีเควสสามารถบอกได้นะ (ฮา)


แต่อย่าติดเรทมากนะ =[]=!!

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ไม่อยากให้ใครในสี่คนนี้มีอันตรายอย่างที่ต่อพูดเลยจริงๆ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โอ้ยยย ลุ้น ยิ่งใกล้จบยิ่งลุ้นมากอะใครอย่าเป็นอะไรเลยนะ

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 82


          “เดี๋ยว”

          ฉัตรจับคอเสื้อของเนก่อนที่อีกฝ่ายจะพุ่งออกไปตามเสียงปืน ทำเอาเด็กหนุ่มที่ออกตัวเต็มแรงเกือบหงายหลังลงพื้น

          “ทำไมล่ะครับ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวอาวัฒน์ก็แย่หรอก” ศาสตร์ถามเสียงลน แต่ไม่วายแอบหัวเราะใส่เนที่กำลังสำลักเพราะโดนกระชากคอเสื้อ

          “โอ๊ย แค่นั้นไอ้วัฒน์มันไม่เป็นอะไรหรอก” หนุ่มใหญ่โบกมืออย่างรำคาญใจ “แต่ถ้าพวกนายไม่ช่วยฉันก่อน รับรองว่าแย่กันทั้งบางแน่”

          สองหนุ่มเพียงแต่นิ่วหน้ามองคนที่ทำหน้ายุ่ง ซึ่งฉัตรไม่ได้บอกอะไรต่อนอกเสียจากหยิบคีมแจกให้คนละอัน

          “แกเคยตัดชนวนระเบิดหรือเปล่า”

          คำถามนั่นทำเอาเนผงะ

          “ไม่ต้องกลัวขนาดนั้น แค่ตัดเส้นสีเหลืองซึ่งมันก็มีอยู่แค่เส้นเดียว แค่นั้นเอง” ฉัตรหัวเราะร่วนเมื่อเห็นเนทำท่ากลัวเสียเต็มประดา “โอ๊ะ แต่ถ้าเจ้าของระเบิดมันกดระเบิดก่อนหรือตัดผิดสายก็อีกเรื่องนะ”

          ไม่ได้ช่วยให้ตูมีกำลังใจในการทำงานขึ้นเล้ย

          “ถ้างั้นไอ้ศาสตร์ ไปจัดการระเบิดที่ชั้นหกละกัน ฉันว่ามันน่าจะวางไว้ที่เสาหลักตรงกลางอาคารกับสี่มุม ระเบิดไม่น่าจะแรงเท่าไหร่ แต่ก็ระวังไว้หน่อยละกัน ถ้าจัดการเรียบร้อยก็ทำรอยกากบาทไว้ที่กำแพงทางบันไดละกัน ส่วนไอ้เน มาช่วยฉันที่ชั้นนี้ละกัน” หลังจากดูทรงเนแล้วไม่น่าจะทำได้ ฉัตรเลยหันไปบอกศาสตร์โดยที่ไม่ยื่นคีมให้กับเน

          หนุ่มหน้านิ่งเพียงแต่พยักหน้าให้โดยไม่ถามอะไรต่อ เขาเก็บปืนกับมีดของศัตรูจากนั้นก็ลิ่วลงบันไดไปทันที

          “เดี๋ยวสิ คุณรู้ได้ยังไงว่าที่นี่มีระเบิดเนี่ย” เนถามพลางมองคนที่วิ่งดิ่งไปยังมุมตึกอีกฝั่งเหมือนรู้มาก่อนว่าระเบิดวางไว้ที่ใด และก็มีจริงๆเสียด้วย

          “ไม่รู้ร้อก แค่เดาเอา” น้ำเสียงของหนุ่มใหญ่ฟังเหมือนกลั้นขำไว้เต็มทน “ฮะๆ...ก็สมเป็นมันจริงๆละนะ”

          เนเลิกคิ้วมองคนที่เหมือนจะบ่นพึมพำกับตัวเองมากกว่าคุยกับตน หลังจากจัดการปลดชนวนระเบิดตรงหน้า ก็เดินไปยังตรงเสากลางอาคารซึ่งมีระเบิดติดไว้อยู่โคนเสา

          “ฉันเองก็รู้จักมันมานาน ก็พอจะรู้ว่าสันดานมันเป็นยังไง ถ้าเลือกได้ก็จะไม่ลงมือเอง ไม่อย่างนั้นก็หาวิธีที่ไม่ต้องปะทะตรงๆจนถึงที่สุดโน่นล่ะ” ฉัตรพูดขึ้นในระหว่างที่เดินไปยังเสาอีกมุม “พอคิดว่าการที่มันล่อให้วัฒน์มาที่ไกลๆแบบนี้ ฉันก็คิดว่ามันอาจจะวางระเบิดไว้ก็เท่านั้น แล้วก็ดันจริงซะด้วย ตอนฉันดอดไปสำรวจที่ชั้นหนึ่งก็เจอเข้าเต็มๆ ถึงจะหลบมุมหน่อยก็เถอะ”

          “เดี๋ยวสิครับ...แต่ว่าบนตึกนี้ยังมีพวกไอ้เดชอยู่นี่ มันตั้งใจจะฆ่าพวกเดียวกันหรือไง”

          “มันก็เป็นคนแบบนี้ล่ะ ถ้าเพื่อแผนการก็ทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว” ฉัตรพูดเหมือนมันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวแต่อย่างใด “ที่จริงจะหนีไปเลยก็ได้ล่ะน้า แต่ถ้าทำแบบนั้นลูกน้องไอ้เดชก็คงโดนหางเลขไปด้วย คงไม่ดีเท่าไหร่”

          เนเลิกคิ้ว ถ้าว่ากันตามจริง ก็ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องเห็นใจลูกน้องศัตรูสักหน่อย

          “แต่เพราะสันดานเสียๆนี่ล่ะ มันเลยกลายเป็นสิ่งที่แว้งกัดมันแทน หึๆ...”

          แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่เห็นอีกฝ่ายหัวเราะประหลาดชวนสยอง เนก็ชักไม่อยากจะถามเท่าไหร่ เลยได้แต่ตามอีกฝ่ายไปเงียบๆเท่านั้น

          พอจัดการปลดระเบิดที่ชั้นเจ็ดเสร็จ ก็ข้ามลงไปยังชั้นห้าต่อแล้วก็ทำเหมือนเดิม ซึ่งง่ายดายอย่างกับตอนที่ตนไปเล่นหาธงบนตึกร้างก็มิปาน ทำเอาเนชักคิดจริงๆจังๆเสียแล้วว่าไอ้ที่ไปทำเรื่องที่เหมือนจะบ้าๆกันนั่นมีวัตถุประสงค์ในการฝึกฝนแอบแฝงอยู่

          เนื่องจากไม่ค่อยมีคนเฝ้าเท่าใดนัก จึงทำให้ง่ายต่อการจัดการระเบิดมากจนเนอดแปลกใจไม่ได้ เพราะคนที่ตรงทางบันไดก็โดนพวกเขาสอยร่วงหมดไปตั้งแต่อยู่ชั้นเจ็ดหมดแล้ว ซึ่งก็มีอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น เรียกว่าน้อยจนเหมือนประมาทเลยก็ว่าได้

          “แหม ก็แอบวางแผนฆ่าลูกน้องตัวเอง จะเรียกให้มาเฝ้าชั้นอื่นทำไมเยอะแยะล่ะ ถึงได้จงใจให้ลูกน้องมันไปเฝ้าแค่สามชั้นแรกซะเกือบหมด แต่คงคาดไม่ถึงว่าฉันจะมาด้วยแน่ๆ ถึงได้ใช้แผนง่ายๆแบบนี้…เหอะๆ อยากเห็นหน้ามันตอนที่รู้ว่าแผนล่มไม่เป็นท่าชะมัด”

          ตอนนี้เนไม่แน่ใจว่าใครน่ากลัวระหว่างคนคิดแผนกับคนรู้ทัน แต่ว่ากันตามตรงเขาโล่งใจที่ฉัตรมาด้วยจริงๆ ไม่อย่างนั้นได้แย่กันจริงๆแน่

          “แต่ถ้าไอ้เดชตั้งใจจะระเบิดตึกนี้ ก็เป็นไปได้ว่าหมอนั่นจะไม่อยู่ที่นี่แล้วน่ะสิ”

          “ถูกต้องนะคร้าบ” ฉัตรตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางตัดชนวนระเบิดตรงหน้าออก “เผลอๆตอนนี้คงไปกบดานอยู่ไกลๆแล้วล่ะ ก่อนเข้ามาในตึกฉันสำรวจรอบนอกหมดแล้ว ไม่มีใครอยู่เลยสักคน...บางทีมันอาจจะกลับไปนอนตีพุงยิ้มหน้าบานที่บ้านแล้วมั้ง...พูดแล้วก็นึกได้ ส่งแชทไปถามหนูเอมซิว่าไอ้เดชมันกลับบ้านไปยัง”

          ว่าแล้วก็โยนมือถือให้คนตามหลังโดยไม่ให้คนรับตั้งตัวจนเนเกือบทำหล่น หลังจากแอบด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจเสร็จก็ทำตามทันที และเพียงไม่นาน เด็กสาวก็ตอบกลับอย่างที่ฉัตรคาดไว้ไม่มีผิด

          “เฮอะ ชะล่าใจเหลือเกิน” ฉัตรพ่นลมออกจากลำคอ ยิ่งรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายกลับไปบ้านตั้งแต่หัวค่ำยิ่งทำให้หนุ่มใหญ่หยุดหัวเราะไม่ได้

          “ระเบิดเยอะขนาดนี้ หมอนั่นเอามาจากไหนโดยที่พวกคุณสืบไม่เจอได้ล่ะครับเนี่ย” เนถามขึ้นอย่างแปลกใจ ต่อให้ลักลอบยังไงก็ต้องจับพิรุธกันได้บ้างล่ะ

          “...แบ่งกับทางโน้นแหงมๆ...”

          “อะไรนะครับ”

          ฉัตรนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะหันมายิ้มให้ และนั่นทำให้คนมองสยองขวัญขึ้นมา เพราะมันเป็นยิ้มร่าเริงเป็นมิตรที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

          “ไม่มีอะไร แค่คนแก่บ่นเฉยๆ” ฉัตรหัวเราะเสียงใส แต่นั่นกลับทำให้เนรู้สึกระแวงกว่าเดิมแทน “เอาเป็นว่าช่างหัวเรื่องหยุมหยิมแล้วจัดการปลดระเบิดให้เสร็จๆ จะได้ไปช่วยไอ้วัฒน์มัน”

          แม้จะยังสงสัย แต่โดนอีกฝ่ายตัดบท บวกกับต้องรีบจัดการระเบิด เนจึงทิ้งความสงสัยนั้นออกไปอย่างง่ายดาย ถึงอย่างไรตอนนี้มันก็ไม่สำคัญแล้ว

          และไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายเชี่ยวชาญการค้นหาและปลดระเบิดหรืออย่างไร ใช้เวลาไม่นาน ก็จัดการเสียเรียบร้อยจนหมด จนเนได้แต่อึ้งกับความสามารถที่คนปกติไม่น่าจะมีของอีกฝ่าย ทำเอาจากที่แอบหวั่นกับความเก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งชวนให้รู้สึกเกรงกลัวขึ้นไปอีก

          “สามชั้นแรกฉันจัดการปลดระเบิดไปหมดแล้ว ไม่ต้องห่วง” ฉัตรบอกในขณะที่รออยู่ตรงบริเวณประตูทางเข้าไปยังชั้นสี่ได้ราวๆห้านาที “...ว่าแต่ไอ้ศาสตร์มันช้าจังเลยว่ะ มัวแต่งมโข่งอะไรอยู่วะ”

          บ่นเสร็จก็เข้าไปยังชั้นสี่ทันที ซึ่งเนก็เพียงแค่เดินตามต้อยๆไปติดๆ แต่เข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดลง เพราะหนุ่มหน้านิ่งเดินแกมวิ่งเข้ามาหาพวกเขาแล้ว

          “ผมว่าอันนี้ลุงต้องดูเองแล้ว มันเกินมือผม” ศาสตร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด จากนั้นก็พุ่งกลับเข้าไปด้านในทันที

          เนื่องจากเนไม่ค่อยรู้เรื่องระเบิดเท่าไหร่นัก เขาเลยไม่เข้าใจสักนิดว่าเจ้าระเบิดตรงหน้ามันอันตรายร้ายแรงแค่ไหน แต่ก็เดาได้ว่าคงจะอันตรายมากแน่ๆโดยดูจากสีหน้าตื่นตระหนกและเคร่งเครียดของฉัตรกับศาสตร์

          “ไอ้ห่าเอ๊ย” หนุ่มใหญ่ถึงกับสบถเมื่อเห็นวัตถุทรงเหลี่ยมสีดำที่วางอยู่ที่เสาตรงขนาด ซึ่งมีขนาดเท่ากับหนังสือนิยายหนาๆสักสองเล่มมาวางรวมกัน ด้านนอกมีลวดและสายไฟพันจนยุ่ง แทบดูไม่ออกว่าพันไว้เพื่อมัดพลาสติกสีดำหรือเป็นสายที่เชื่อมต่อกับนาฬิกาดิจิตอลด้านบนกันแน่ “เล่นกันขนาดนี้เลยเรอะ”

          “จัดการได้หรือเปล่าล่ะครับ” ศาสตร์ถามเป็นเชิงรำคาญปนร้อนใจ “ถ้าไม่ไหว ผมว่าตัดใจแล้วรีบไปหาอาวัฒน์กันดีกว่า”

          ฉัตรไม่ตอบอีกฝ่าย เขานั่งคุกเข่าจ้องมองระเบิดตรงหน้านิ่งราวกับไม่ได้ยินคำถามของอีกฝ่าย ใบหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่เมื่อครู่ผุดยิ้มพรายขึ้นราวกับเด็กที่ได้ของเล่นที่เฝ้าหามานาน

          “พวกแกไปก่อนเลย ฉันจะอยู่จัดการเอง” หนุ่มใหญ่บอกก่อนจะเอากระเป๋าเป้มาวางไว้ข้างตัว ท่าทางเหมือนตั้งใจจะปลดชนวนระเบิดตรงหน้าเต็มที่

          “เดี๋ยวสิครับ ผมว่ามันเสี่ยงไปนะ” ศาสตร์ถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อเห็นการตัดสินใจของอีกฝ่าย

          “ฉันไม่ยอมทำอะไรที่เสี่ยงหรอกน่า” ฉัตรโบกมือให้ทั้งสองอย่างรำคาญ “ถ้าว่างกันนักก็ไปหาไอ้วัฒน์มันเสียสิ คิดถึงกันจะแย่แล้วไม่ใช่หรือไง”

          สองหนุ่มเพียงแต่ยืนนิ่ง ใจจริงก็อยากจะทำตามที่อีกฝ่ายพูดใจจะขาด หากแต่กลับนึกลังเลกันเสียอย่างนั้น

          “ไปเถอะน่า มายืนวนอยู่แถวนี้ก็เกะกะฉันเปล่าๆ”

          “ก็ได้ครับ” คนที่เอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่งคือเน สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นก็ดูจะไม่เต็มใจตอบรับไม่ต่างจากศาสตร์นัก “ถ้างั้นจบเรื่องไอ้เดชได้เมื่อไหร่ ผมจะเลี้ยงเหล้าคุณ ห้ามเบี้ยวล่ะ”

          ฉัตรเพียงแค่โบกมือให้

          “ฮะๆๆ ให้ตายสิ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย” หลังจากเสียงฝีเท้าไกลออกไปจนไม่ได้ยินในที่สุด ฉัตรก็เอ่ยพึมพำพลางหัวเราะให้กับตัวเอง “แกนี่มันโชคดีจริงๆเลยนะที่มีคนอย่างไอ้สองบ้านั่นรักเอา”

          ดวงตาปรือคล้ายคนเมาเลื่อนลงมองระเบิดตรงหน้า ก่อนจะแค่นยิ้มออกมา

          ถ้าฉันเบี้ยวนัดแกก็ต้องขอโทษด้วยละกัน

 

          วัฒน์ปรายตามองเหล่าคนที่นอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น ใจจริงก็ไม่อยากจะปล่อยให้มีชีวิตอยู่เท่าใดเพราะแม้จะยิงมือเท้าจนไม่น่าจะสู้ไหวแล้ว ก็อาจจะลุกขึ้นมาขัดแข้งขัดขาของตนได้ทุกเมื่อ แต่ถึงจะเป็นคนทรยศอย่างไรในตอนนี้ก็ยังเป็นคนของสิทธิ์ เขาจึงยอมปล่อยไปเพื่อให้เจ้านายเป็นคนตัดสินใจเอง แม้นั่นจะหมายถึงการที่ตนต้องเปลืองกระสุนมากเกินความจำเป็นก็ตาม

          หนุ่มใหญ่หลบที่มุมเสาใกล้กับบันไดทางขึ้นมายังชั้นสอง ดวงตาเรียวกวาดมองไปรอบๆอาคารที่มืดทึมและวังเวงจนน่าขนลุก หากแต่วัฒน์กลับดูเฉยเมยเหมือนบรรยากาศน่าสยองขวัญนี่ไม่มีผลใดๆกับเขาแม้แต่น้อย

          ปัง!

          เงาตะคุ่มที่โผล่มาอย่างรวดเร็วที่เสาอีกฟากล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับส่งเสียงร้อง นั่นทำให้คนที่หลบอยู่พากับกรูออกมาจากที่ซ่อนและรัวกระสุนใส่หนุ่มใหญ่ทันที

          เสียงปืนดังขึ้นเพียงไม่นานก็ดับลงเมื่อหนุ่มใหญ่จัดการศัตรูจนหมด แม้จะหงุดหงิดกับจำนวนที่มากมาย แต่เพราะอีกฝ่ายก็พกปืน หนุ่มใหญ่เลยไม่ต้องลำบากเรื่องกระสุนนัก แม้จะใช้เปลืองจนจวนเจียนหมดอยู่หลายต่อหลายครั้งก็ตาม

          หนุ่มใหญ่มุ่นคิ้วอย่างอารมณ์เสียเมื่อไม่พบเป้าหมายที่ต้องการท่ามกลางคนที่นอนร้องระงมอยู่บนพื้น วัฒน์จึงเดินขึ้นไปอีกชั้นต่ออย่างระมัดระวัง แม้ในใจจะร้อนเป็นไฟจนอยากจะวิ่งควานหาคนที่โดนจับไปให้รู้แล้วรู้รอดเสียก็ตาม

          เอาพวกนั้นไปไว้ที่ไหนกันนะ

          วัฒน์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือถือของตนสั่นขึ้น หนุ่มใหญ่หันมองไปทั่วชั้น ก่อนจะแอบไปหลบยังซอกระหว่างกำแพงกับห้องที่อยู่ใกล้ๆ พอหยิบขึ้นมาดูจอก็ต้องนิ่วหน้าเพราะเป็นเบอร์ของเน

          “ไง สบายดีไหม ตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะ”

          เสียงของคนที่ตนรังเกียจดังขึ้นในสายอย่างสบายอารมณ์ วัฒน์ไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่ายแต่อย่างใด เขาเพียงแต่เงียบ แม้ภายนอกจะดูเหมือนใจเย็น แต่หนุ่มใหญ่กำลังอดทนอย่างมากที่จะไม่ปามือถือของตัวเองทิ้งเสียเดี๋ยวนี้

          ...

          “ฉันก็คิดอยู่แล้วว่าแกไม่มีทางยอมรออยู่เฉยๆแน่ ตอนนี้คงจะอยู่ที่ตึกของคุณสิทธิ์ที่บุรีรัมย์ล่ะสิ” เดชพูดขึ้นต่อเมื่อคู่สนทนาเอาแต่เงียบ “ฉันเดาถูกใช่ไหมล่ะ อย่างแกก็คงเดาแผนฉันไม่ยากอยู่แล้ว”

          “นี่ไม่ใช่งานคืนสู่เหย้า เผื่อแกจะลืมไป”

          ปลายสายเงียบไปนานมาก ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้น

          “ถ้าเป็นอย่างที่แกพูดจริง ฉันคงชวนคุณมาโนชกับพวกไอ้ฉัตรมาด้วยแล้วล่ะ” เดชเอ่ยทีเล่นทีจริงสลับเสียงหัวเราะในลำคอ “ที่จริงมันก็อดย้อนความหลังไม่ได้ละนะ...มันออกจะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำขนาดนั้น...”

          วัฒน์มุ่นคิ้วเล็กน้อย เอาเข้าจริงๆที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ชวนคิดถึงเท่าใดนัก เพราะนี่เป็นอาคารเก่าที่มาโนชมักจะเอาศัตรูมาจัดการ เลยทำให้อาคารนี้มักจะมีคราบเลือด รอยกระสุน หรือรอยไฟไหม้อยู่เป็นจุดๆไปทั่วตึก โดยเฉพาะชั้นแรก

          แต่เพียงไม่นานเขาก็ฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้

          “แย่น่าดูเลยนะที่เพชฌฆาตกลายเป็นคนที่ยืนบนแท่นประหารเสียเอง”

          ตูม!

 

          เดชวางมือถือและรีโมตกดระเบิดลงอย่างเบามือ ใบหน้าของหนุ่มใหญ่เจือไปด้วยรอยยิ้มบาง เสียงระเบิดลั่นตามด้วยเสียงตัดสายไปในทันทีทำให้เขารับรู้ได้ว่าแผนสำเร็จแล้ว

          จบกันสักทีนะ

          กระนั้นหนุ่มใหญ่กลับไม่ได้ดูดีใจกับชัยชนะนัก ส่วนหนึ่งลึกๆแล้วเขาเสียดายที่จะต้องเสียคนฝีมือดีๆอย่างวัฒน์ไป

          ดวงตาเรียวเลื่อนมองปฏิทินบนโต๊ะทำงานของตนก่อนจะหัวเราะในลำคอ ในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีใครไปขวางแผนการของตนอีกแล้ว

          นายเลือกเองนะวัฒน์

 

          “เป็นอะไรวะต่อ เอาแต่ดูมือถือตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

          เจ้าของชื่อที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ในบาร์ค่อยๆหันหน้ามาหา ดวงตาที่ดูเฉยเมยเหลือกขึ้นมองปาล์มที่ยืนเท้าเอวอยู่ข้างหน้า ก่อนจะเลื่อนดวงตาสีดำไปอีกทาง

          ในยามนี้ไม่มีใครอยู่ในร้านนอกจากพรรคพวกของตนไม่กี่คนเนื่องจากปิดร้านเอาไว้ และสาเหตุที่ต้องปิดร้านก็เพราะศัตรูที่กรูกันเข้ามาหาเรื่องกันจนไม่เป็นอันได้ทำงาน แม้ว่าจะเป็นการหาเรื่องในระดับนักเลงข้างทาง แต่นั่นก็มากพอที่จะต้องปิดร้านแล้ว

          “ฉันก็แค่กังวลทางพ่อนาย”

          คนฟังถึงกับหน้าถอดสีทันที เพราะพอจะรู้เลาๆมาจากอีกฝ่ายว่าฉัตรออกไปไหน

          “ยังไม่รู้ แค่เป็นห่วง” ต่อพูดดักทางก่อนที่ปาล์มจะเริ่มโวยวาย “นี่ก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเขาก็คงโทรมา”

          ปาล์มเพียงแต่เม้มปากแน่น ถึงแม้ว่าพ่อของตนจะแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็เป็นมนุษย์ ตายได้เหมือนคนปกติทั่วไปได้เหมือนกัน และตอนนี้จากที่ฟังต่อเล่ามา ก็ชวนให้เขาเป็นห่วงขึ้นมา เจ้าเพื่อนบ้านี่ยิ่งลางสังหรณ์แม่นอยู่ด้วย

          “ไม่ใช่ว่านาฬิกานายเดินช้ากว่าของพ่อหรือวะ” ปาล์มว่าเมื่อมองเห็นเวลาบนหน้าจอมือถือของเพื่อนยังเหลือเวลาอีกราวสองนาทีนิดๆ

          ต่อไม่ตอบอะไรเพื่อนที่เอาแต่เขย่าไหล่ตน ดวงตาปลาตายจ้องมองเวลาในมือถือที่เดินเข้าใกล้เวลานัดเรื่อยๆ ในใจก็ภาวนาขอให้เสียงมือถือดังเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน

          ....

          “ต่อ!”

          เจ้าของชื่อกัดฟันแน่น ก่อนจะลุกขึ้นแล้วพยักหน้าให้ ปาล์มจึงเผ่นแผล็วออกไปเรียกพวกทันที

          “บ้าจริง...” ต่อนิ่วหน้าแล้วถอนหายใจออกมา ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ เขายอมตัดใจแล้วให้ทุกคนตามฉัตรไปเสียก็ดี เรื่องทุกอย่างก็คงไม่เป็นแบบนี้



_________________________________________________________________________


และแล้ว ตอนหน้า สิ่งที่ปาล์มกับต่อไปเจอคือ!!!!

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เดชมันกดระเบิดลูกไหนอ่า มันเหลืออยู่ลูกเดียวไม่ใช่เหรอ :mew5:  หรือว่า.....

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เฮ้ยยย ไม่เอาน้าลุงฉัตรห้ามเป็นอะไรนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
ไม่นะลุงฉัตรรรรร

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 83


          “นั่นไง ฉันบอกแล้วว่าเดี๋ยวพวกมันต้องยกพวกออกไป...ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของพวกนายแล้ว”

          เดชวางหูโทรศัพท์ลง จากนั้นก็เอนตัวไปกับพนักพิงอย่างสบายอารมณ์ ทุกอย่างเป็นไปตามแผนเสียจนหนุ่มใหญ่ฉีกยิ้มกว้าง ฆ่าวัฒน์ได้ แถมยังล่อให้คนของฉัตรออกไปจากบาร์ ทำให้ฝั่งพันธมิตรไปจัดการที่นั่นได้อย่างสะดวกโยธิน ไม่มีอะไรจะน่าดีใจไปกว่านี้แล้ว

          ตรู๊ด….

          ดวงตาเรียวเลื่อนลงมองมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะนึกแปลกใจ เพราะเขาคิดว่าคนที่ส่งข้อความมานั้นควรจะติดต่อเขาตั้งแต่ตอนที่ระเบิดทำงานแล้ว แต่นี่กลับช้าไปเสียชั่วโมงกว่า ซึ่งถือว่านานจนผิดวิสัย

          “ขอโทษครับ พอดีเสียเวลานิดหน่อย ดูท่าเราจะใช้ระเบิดเยอะไป ตึกเลยพังเป็นซากเลย” เสียงทุ้มเอ่ยรายงานขึ้นสลับกับเสียงคอนกรีตกระทบกัน “ดูเหมือนว่าฉัตรจะมากับคุณวัฒน์ด้วยนะครับ”

          ได้ยินอีกฝ่ายรายงาน เดชถึงกับเลิกคิ้วสูง จากนั้นก็เพียงแค่เงียบเพื่อรอฟังต่อ และแน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขายิ้มออก

          “แต่ไม่ต้องห่วงหรอกครับ หมอนั่นก็โดนจัดการไปพร้อมกับคุณวัฒน์แล้วล่ะ”

          “อย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของหนุ่มใหญ่ฟังดูคลางแคลงใจขึ้น “แล้วเจอศพมันหรือเปล่า”

          “…ตอนนี้ยังครับ แต่ถ้าเจอเมื่อไหร่ผมจะส่งรูปไปให้ดูก็แล้วกัน”

          “ก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็จัดการตามแผนก็แล้วกัน” หนุ่มใหญ่สั่งการลูกน้องด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะวางสายไป จากนั้นก็กลับมาสนใจงานที่ต้องสะสางตรงหน้าต่อ พลางนึกกระหยิ่มยิ้มย่องใจต่อความสำเร็จของตน...ในตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่สิทธิ์คนเดียวแล้ว และในวันพรุ่งนี้ก็จะมีคนคาบข่าวดีเรื่องการตายของสิทธิ์ ไม่มีอะไรจะน่าดีใจไปมากกว่านี้อีกแล้ว

          แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นดังหวังเท่าใดนัก

          เสียงเรียกเข้าของมือถือที่ดังขึ้นในยามแปดโมงเช้านั้นปลุกให้คนที่เพิ่งจะนอนได้สามชั่วโมงลุกขึ้นจากเตียง ดวงตาเรียวที่ยังลืมไม่ค่อยจะขึ้นนักเลื่อนมองเบอร์ในสาย และนั่นทำให้ความง่วงนั้นโดนความตื่นตระหนกพัดปลิวไปเสียสิ้น เพราะเบอร์ที่โทรมานั้นเป็นเบอร์ของสิทธิ์

          เป็นไปไม่ได้!

          แม้จะไม่อยากเชื่อเพียงใด แต่เบอร์ที่ปรากฎอยู่บนจอนั้นก็เป็นเบอร์ของสิทธิ์ไม่ผิดแน่

          เดชเลิกคิดให้ปวดหัว ก่อนจะกดรับสาย และนั่นยิ่งทำให้ความหวาดกลัวในใจนั้นฟุ้งขึ้นมา

          “อาเดช...”

          ทำไมยังรอดได้ล่ะ!

          เดชแทบจะหลุดปากออกมาตอนที่ได้ยินเสียงสิทธิ์ในสาย แต่ไม่ว่าจะเพราะเกิดความผิดพลาดขึ้นหรืออย่างไร ตอนนี้เขาก็ได้แต่ตามน้ำไปก่อนเพียงเท่านั้น

          “คุณสิทธิ์...เป็นอะไรหรือครับ โทรมาแต่เช้าเลย” เดชเอ่ยเสียงต่ำให้เหมือนคนที่ยังไม่ตื่นดี

          ปลายสายที่เงียบไปพักใหญ่นั้นทำให้คนฟังใจคอไม่ดีนัก และมันก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้เสียด้วย

          “อาวัฒน์…เขา…” น้ำเสียงทุ้มดังแผ่วเบาและสั่นเครือ “เขาเสียแล้ว…”

          “วะ...ว่าไงนะครับ...คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย” เดชเอ่ยติดอารมณ์เสีย ทำทีว่าไม่รู้เรื่อง “อย่ามาล้อเล่นแบบนี้สิครับ มันไม่ตลกเลยนะ”

          “อาวัฒน์ตายแล้วจริงๆครับ”

          คราวนี้เดชเงียบนิ่งไปนาน ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงต่ำ

          “เป็นไปไม่ได้...คุณพูดเล่นใช่ไหม...อย่างไอ้วัฒน์เนี่ยนะจะตาย...”

          “ผมไม่เอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่นหรอกนะครับ...” สิทธิ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนจะตามด้วยเสียงสะอื้นราวกับกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป “ผมเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน...จนไปเห็นกับตาตัวเอง...ฮึก”

          เดชเว้นช่วงอยู่พักใหญ่ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ใครเป็นคนทำ...”

          “ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้ผมให้คนอื่นไปสืบกันอยู่...” หลังจากพยายามห้ามเสียงสะอื้นได้ สิทธิ์ก็ตอบขึ้นมาราวกับหมดเรี่ยวแรง “...ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมพวกเราต้องไปที่ตึกนั่นกันตั้งมากขนาดนั้น”

          “นั่นสินะ...” ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากอีกฝ่าย “แล้วนี่คุณจะทำยังไงต่อไปละครับ...ลองว่าถ้ากลุ่มอื่นรู้เรื่องที่วัฒน์ตาย มีหวังพวกมันต้องหาเรื่องมาโจมตีเราแน่”

          “ผมอยากจะให้อาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ผม” น้ำเสียงที่ฟังดูเหี้ยมขึ้นทำเอาเดชรู้สึกกดดันขึ้นมา “ผมจะไปหาว่าใครเป็นคนฆ่าพวกอาวัฒน์”

          เดชเลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากตอบรับไป เขารู้ดีว่าอย่างน้อยพวกปาล์มเองก็น่าจะรู้เรื่องที่ตนจับเนกับศาสตร์ไป และก็คิดว่าปาล์มเองก็คงจะบอกเรื่องที่เดชน่าจะเป็นคนฆ่าวัฒน์เองด้วย แต่ก็นั่นล่ะ แค่เพียงลมปาก เจ้านายงี่เง่านั่นไม่มีทางเชื่ออยู่แล้ว

          แม้จะยังง่วง แต่หนุ่มใหญ่ก็ลุกขึ้นมาจากเตียง แม้แผนฆ่าสิทธิ์จะผิดพลาด แต่ไม่มีเสี้ยนหนามอย่างวัฒน์ เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว

 

          ตี๊ด...

          เดชสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงมือถือของตนดังขึ้นในระหว่างที่กำลังสั่งลูกน้องไปจัดการงานของตนในตอนเย็น เขาเลิกคิ้วมองเบอร์ในสาย เพราะไม่คิดว่าสิทธิ์จะโทรมาอีก ก่อนจะกดรับโดยพยายามทำให้เสียงเรียบนิ่งที่สุด

          “ครับ มีอะไรหรือครับคุณสิทธิ์”

          “พรุ่งนี้เย็นๆอาว่างหรือเปล่าครับ พอดีผมมีเรื่องจะคุยกันตรงๆนิดหน่อยน่ะ เกี่ยวกับเรื่องงานศพอาวัฒน์น่ะครับ…คนอื่นผมบอกไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่อา…ผมอยากให้อาที่เป็นเพื่อนสนิทกับอาวัฒน์มาช่วยด้วย…ถ้าอาสะดวก”

          คนฟังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มพราย

          “ได้สิครับ” เดชรับคำแทบจะทันที “ถ้ายังไงพรุ่งนี้ผมจะเคลียร์งานไปหานะครับ”

          ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโอกาสมันจะวิ่งเข้ามาหากันแบบนี้

          ที่ผ่านมามีวัฒน์คอยตั้งแง่กับตนตลอด สิทธิ์เลยพยายามที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เขากับวัฒน์ไม่ต้องเจอหน้ากัน และนั่นทำให้โอกาสเข้าใกล้สิทธิ์น้อยลง ส่งผลให้การลอบสังหารที่ยากเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งยากขึ้นไปอีก ทั้งวัฒน์ยังคอยระวังสิทธิ์ตลอด เรียกว่าไม่มีโอกาสเลยก็ว่าได้

          ดังนั้น การที่อีกฝ่ายเป็นคนเรียกตนไปเอง เท่ากับสิทธิ์หาเรื่องตายชัดๆ

          ก็ดี เรื่องมันจะได้จบเร็วขึ้นโดยไม่ต้องเหนื่อยนัก

 

          หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อย เดชก็ไปหาสิทธิ์ตามนัด แน่นอนว่าแม้เขาจะขับรถมาคนเดียว แต่ก็ได้สั่งให้ลูกน้องตามมาด้วย เพราะตั้งใจเอาไว้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะดับลมหายใจของอีกฝ่ายในวันนี้ให้จงได้ อีกทั้งยังสั่งให้คนไปคอยสะกดรอยตามการเคลื่อนไหวของพวกลูกน้องคนอื่นๆของสิทธิ์ และก็ทำให้รู้ว่าในวันนี้ นอกจากแมวแล้ว ไม่มีใครอยู่ที่บ้านสิทธิ์เลยเพราะต้องไปเตรียมจัดงานศพให้กับพวกวัฒน์

          หนุ่มใหญ่ยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจปนรังเกียจของแมวที่มาเปิดประตูให้ตน นั่นทำให้เดชรู้ทันทีว่าสิทธิ์ไม่ได้บอกใครในบ้านเรื่องการมาของตน และนั่นก็ทำให้งานในวันนี้สะดวกขึ้นไปอีก

          “คุณสิทธิ์เรียกฉันมาน่ะ” เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมเปิดประตูรั้วให้สักที เดชเลยเปิดกระจกรถแล้วยื่นหน้าออกมาบอกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอย่างเป็นมิตร แม้คนมองจะไม่รู้สึกเช่นนั้นเลยก็ตาม “ถ้าไม่เชื่อ จะไปถามคุณสิทธิ์ก่อนก็ได้นะ”

          เด็กสาวบึ้งหน้าให้ ก่อนจะเดินแกมวิ่งหายเข้าไปในบ้าน สักพักจึงออกมาด้วยอาการที่หงุดหงิดยิ่งกว่า แต่นั่นทำให้คนรอยิ้มกว้าง

          เดชค่อยๆขับรถผ่านประตูรั้วเข้ามา ไม่วายมียักคิ้วหลิ่วตาให้แมวเหมือนจงใจยั่วโมโหอีกฝ่ายทิ้งท้ายก่อนจะเหยียบคันเร่งเข้าไปด้านใน เขาแทบจะอดใจไม่ไหว อยากเจอหน้าเจ้านายที่กำลังจะกลายเป็นอดีตเร็วๆเสียเหลือเกิน

          “อาเดช...”

          สิทธิ์ลุกขึ้นจากโซฟายาวในห้องนั่งเล่นเมื่อหนุ่มใหญ่เดินเข้ามาด้านใน สีหน้าของชายหนุ่มดูไม่แย่เท่าที่คิดเท่าใดนัก อย่างน้อยเดชก็คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะโทรมและดูเศร้าโศกมากกว่านี้

          แต่เป็นแบบนี้ก็คงจะดีเสียกว่าที่จะต้องเห็นอีกฝ่ายออกอาการเสียใจจะเป็นจะตาย ด้วยใบหน้าที่ละม้ายคล้ายมาโนช นั่นรังแต่จะทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนเสียเปล่าๆ

          “ครับ คุณสิทธิ์” เดชเอ่ยทัก แล้วออกอาการสลดและเจ็บปวดเสียเต็มประดา ก่อนจะค่อยๆทรุดลงนั่งยังโซฟาฝั่งตรงข้าม “...ไม่เป็นอะไรนะครับ”

          สิทธิ์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่จ้องมองคู่สนทนาด้วยสีหน้านิ่งและพยักหน้าให้เพียงเท่านั้น

          “ผมผิดเองล่ะที่ไปทำเรื่องโง่ๆพรรค์นั้น” หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ เจ้านายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบาและสั่นเครือ “ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ต้องเสียอาวัฒน์ไปแบบนี้...”

          เดชพยายามที่จะไม่แสดงสีหน้าสังเวชปนรำคาญออกมา ดวงตาเรียวจ้องมองคนที่ก้มหน้านิ่ง ก่อนจะพยายามยิ้มออกมา

          “เขาเป็นคนเก่ง...ผมเองก็เสียใจเหมือนกันที่เขาด่วนจากไป...” หนุ่มใหญ่เอ่ยอย่างเสียอกเสียดาย ก่อนจะถอนหายใจออกมา “...ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เขาก็คงไม่ตาย”

          แกรก

          ยังไม่ทันจะได้เอะใจกับคำพูดของเดช เสียงโลหะเล็กๆที่ดังขึ้นมาทำให้สิทธิ์เงยหน้าขึ้น และก็ต้องผงะถอยหลังเมื่อเห็นปืนที่จ่อหัวตน

          “อ๊ะๆ ผมไม่แนะนำให้ขยับตัวนะครับ” เดชเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่การกระทำนั้นตรงข้าม “เดี๋ยวผมตกใจแล้วเกิดมือไม้สั่นก่อนจะพูดธุระเสร็จ มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่”

          ดวงตาที่เบิกโพลงจนถึงเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติ ท่าทีของสิทธิ์กลับมาใจเย็นเร็วเสียจนคนมองนึกแปลกใจแทน

          “ดูคุณไม่ค่อยประหลาดใจเท่าไหร่เลยนะครับ หรือคิดว่าผมล้อเล่นล่ะ” เดชถามเสียงเยาะ แม้คู่สนทนาจะยังคงนิ่งเหมือนเดิมก็ตาม “บอกให้รู้ไว้ตรงนี้เลยนะครับ ว่าผมคิดจะฆ่าคุณมานานแล้ว มาสบโอกาสเอาก็ตอนนี้นี่ล่ะ”

          สิทธิ์เม้มปากแน่น ท่าทางดูลังเลเสียมากกว่าตกใจจนพูดไม่ออก แต่ท้ายที่สุดก็เอ่ยปากออกมา

          “อาเป็นคนฆ่าอาวัฒน์สินะครับ”

          “ครับ” เดชตอบกลับง่ายๆอย่างไม่กลัวเกรง แต่อีกฝ่ายเองก็ไม่ได้ออกท่าทีคั่งแค้นอะไรนัก จนชวนประหลาดใจ

          “...ผมไม่คิดเลยว่าอาจะกล้าทำถึงขนาดนี้”

          “ผมก็ไม่ได้อยากทำนักหรอกครับ” เดชสวนทันควัน “แต่ถ้าไม่เพราะคุณ ผมก็คงไม่ต้องฆ่าวัฒน์หรอก และก็ไม่ต้องมาหงุดหงิดใส่กันด้วยเรื่องไร้สาระของคุณด้วย”

          “อากำลังจะบอกว่าที่อาทำลงไปทั้งหมด รวมถึงเรื่องที่จะทำนี่...มันเป็นเพราะผมไม่ใช่หัวหน้าในแบบที่อาหวังน่ะหรือครับ”

          คำถามนั่นสร้างความประหลาดใจให้หนุ่มใหญ่ไม่น้อย แต่ก็ทำให้เขาประทับใจร่วมด้วย

          “รู้ดีแบบนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาพูดให้มากความแล้วสินะ” เดชเอ่ยเสียงเรียบ รอยยิ้มบนใบหน้าเหือดหายไปจนสิ้น “ผมเคยหวังเอาไว้นะว่าคุณจะได้สักเสี้ยวของคุณมาโนชก็ยังดี แต่ดูเหมือนลูกไม้มันจะหล่นไกลต้นเสียเหลือเกิน...ไกลจนไม่น่าเชื่อว่าคุณจะเป็นลูกของเขา...หรือของคุณวรรณ”

          “ก็นั่นสินะครับ พ่อกับแม่เขาออกจะโหดกันขนาดนั้น...”

          เดชมองอีกฝ่ายก่อนจะนึกหัวเราะตัวเอง อย่างน้อยเขาก็คิดว่าการที่สิทธิ์ยังคงมีท่าทีที่สงบทั้งที่โดนปืนจ่อหัว ทำให้เขามองเห็นภาพมาโนชซ้อนทับชายหนุ่มเลยทีเดียว

          “วางใจเถอะครับ ผมจะทำให้มันจบเร็วที่สุด” เดชเอ่ยพลางลุกขึ้นจากโซฟาอย่างช้าๆและระแวดระวัง แม้อีกฝ่ายจะยังคงยืนนิ่งไม่มีท่าทีขัดขืนหรือเล่นตุกติกอะไรแม้แต่น้อย แต่ฝีมือของสิทธิ์ก็ไม่ทำให้เขาวางใจได้จนหมดนัก

          “ถ้าอย่างนั้นผมขอถามอะไรเป็นอย่างสุดท้ายได้ไหมครับ”

          คิ้วหน้าเลิกสูงขึ้น ก่อนจะพยักหน้าให้

          “ถ้าผมเป็นหัวหน้าในแบบที่อาหวังสักนิด อาจะเต็มใจทำงานให้กับผมไหม”

          “นั่นเป็นการขอร้องชีวิตหรือไง”

          สิทธิ์ส่ายหน้าให้ “ผมหมายถึงถ้าผมเป็นอย่างที่อาอยากให้เป็น…ตั้งแต่แรกน่ะครับ”

          ที่จริงอีกฝ่ายอาจจะหาเรื่องถ่วงเวลาตนเอาไว้ก็เป็นได้ แต่กระนั้นเดชก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ต่อให้เขาพลาด เขาก็ยังมีลูกน้องกับพรรคพวกเป็นกองหนุนรออยู่รอบๆบ้านนี้อีก

          และที่สำคัญ ในเมื่ออีกฝ่ายถามจี้จุดที่เขาทนเก็บมานาน หนุ่มใหญ่ก็ไม่มีเหตุผลต้องเก็บมันไว้อีกต่อไป ก็ให้มันลงหลุมไปพร้อมกับชีวิตของสิทธิ์เลยนั่นล่ะ

          “ถ้าคุณเป็นแบบนั้นตั้งแต่แรก ผมก็คงยอมทำงานถวายหัวให้เหมือนกับที่ทำงานกับพ่อของคุณเลยล่ะ…แล้วดูตัวคุณสิ เกิดมาผิดที่ผิดทางจนถ้าบอกว่าเป็นเด็กเก็บมาผมก็ยังเชื่อเลยนะ” น้ำเสียงทุ้มต่ำเล็ดรอดออกจากไรฟันคล้ายกับคั่งแค้นเสียเต็มประดา ก่อนจะแค่นยิ้มออกมา “ไงครับ เป็นคำตอบอย่างที่หวังหรือเปล่า”

          “เกินพอเลยล่ะครับ”

          ใบหน้านิ่งของชายหนุ่มที่เรียบเฉยจนถึงเมื่อครู่เผยยิ้มบางออกมา นั่นทำให้คนมองรู้สึกแปลกใจและหวั่นกลัวขึ้นมา และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เดชถึงได้เห็นภาพของมาโนชซ้อนทับสิทธิ์อีกครั้ง

          เสียดาย...เสียดายเหลือเกินที่อีกฝ่ายไม่เป็นอย่างที่หวังตั้งแต่แรก...

          แต่ถึงยังไงตอนนี้มันก็สายไปแล้ว

          ปัง!

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
เอาตุ๊กตาทองไปเลยไหม คุณสิทธิ์  o18

ไม่เชื่อว่าวัฒน์จะตาย ที่น่าห่วงคือฉัตรมากกว่า

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
คุณสิทธิ์ซ้อนแผนรึเปล่าทุกคนต้องปลอดภัยสิ เถอะนะๆ

ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 84.1 (ตอนจบ)


          ดวงตาเรียวมองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ ความเจ็บเห่อร้อนที่แล่นพล่านทำเอาหน้าเบี้ยว เลือดสดไหลลงหยดนองพื้นกระเบื้องสีขาวขุ่น ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนแทบไม่อยากเชื่อ เขามองบาดแผลก่อนจะเงยขึ้นมองคนที่ยิงตน ดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลนออกมา

          “เป็นไปไม่ได้!”

          “เป็นไปแล้วโว้ย!”

          เนถึงกับโพล่งขึ้นมาอย่างสะใจพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง ทั้งที่คนยิงใส่มือเดชจะเป็นวัฒน์ก็ตาม

          “คิดไม่ถึงล่ะสิว่าจะได้เจอพวกเราอีก” เด็กหนุ่มพูดต่ออย่างคนมีชัยทั้งที่คนจัดการเดชยังคงยืนหน้านิ่งอยู่ข้างๆ

          เดชเบิกตามองคนที่น่าจะตายไปแล้วก่อนจะหันกลับไปหาสิทธิ์ ซึ่งในตอนนี้ชายหนุ่มกำลังยิ้มให้เหมือนเด็กๆ หนุ่มใหญ่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าตนโดนตลบหลังเข้าเสียแล้ว

          แล้วโทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังเหมือนระเบิดนั่นมันหมายความว่ายังไงกัน...

          ไหนจะรูปศพที่เขาเห็นตำตานั่นอีก!!

          “อ้อ เรื่องเสียงระเบิดน่ะฉิวเฉียดไปเลยละครับ ผมละหวาดเสียวนึกว่าจะตบตาคุณไม่ได้แล้ว แถมยังเกือบจะโดนคุณวัฒน์ยิงหัวเอาอีกต่างหาก”

          เสียงที่คุ้นเคยนั่นทำเอาเดชถลึงตา หนุ่มใหญ่หันไปมองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้าครัว ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นลูกน้องคนสนิทของตน…คนที่เขาไว้ใจและอุตส่าห์ใช้ให้ไปเก็บกวาดงานจัดการวัฒน์ทั้งหมดด้วย

          “ส่วนเรื่องศพ ผมก็แค่ขอแรงพวกคุณวัฒน์นิดๆหน่อยๆทำตัวเป็นศพแล้วส่งไปให้คุณยังไงละครับ เสียเวลาน่าดูเลยล่ะ” ชายหนุ่มผู้เคยเป็นลูกน้องเอ่ยเสียงเรียบด้วยท่าทีไม่รู้สึกรู้สาอะไรนัก “…แต่ถึงคุณจะรู้ทัน มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรนักหรอก”

          เดชมุ่นคิ้วก่อนจะเงยหน้ามองคนที่เล็งปืนใส่ตน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกอย่างจะกลายเป็นแบบนี้

ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ตนโดนหักหลังได้

          “แหมๆ แอบหักหลังคุณสิทธิ์ แต่ไม่เคยคิดว่าจะโดนเองบ้างหรือไง” ฉัตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวนปนขำอยู่ตรงหน้าต่างนอกบ้านที่อยู่ด้านหลังเดช ด้วยท่าทางสะใจเสียเต็มประดา “เป็นไงบ้างล่ะ ความรู้สึกเวลาโดนตลบหลังเนี่ย บอกไม่ถูกเลยล่ะสิ”

          เดชนิ่วหน้าหันมองฉัตรก่อนจะกลับไปหาคนที่ยิงมือตัวเองซึ่งยืนอยู่บนชั้นสองแถวบันได โดยด้านหลังของวัฒน์นั้นมีทั้งเนและศาสตร์ครบถ้วน สภาพครบสามสิบสองทุกคน พอเลื่อนสายตาลงมองก็พบว่านอกจากลูกน้องของตน ยังมีคนอื่นๆที่โผล่ออกมาตรงประตู ทางเข้าห้องนั่งเล่นอีกด้วย เรียกได้ว่าเตรียมคนมาเพื่อจัดการตนเลยก็ว่าได้

          ทีแรกเดชขยับตัวหมายจะส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่อยู่นอกบ้าน แต่พอโดนวัฒน์ยิงเฉียดเข้าตัดหน้าเป็นการขู่ เดชจึงเลือกที่จะยืนนิ่งแทน

          “โอ๊ะๆ ถ้าอยากจะเรียกพวกของแก ฉันแนะนำให้ตัดใจซะดีกว่านะจ๊ะ” ฉัตรเอ่ยเสียงกวนใส่ก่อนจะดีดนิ้วเปาะ “เพราะนอกจากจะโดนพวกฉันจัดการเรียบ พวกลูกน้องที่แกใช้เป็นเบี้ยก็เห็นความจริงใจของแกจนแปรพักตร์ตลบหลังแกจนหมดแล้วล่ะจ้ะ”

          เดชถึงกับหน้าเบี้ยวเมื่อได้ยิน เขาหันกลับไปมองคนที่เล็งปากกระบอกปืนใส่ตน ใบหน้าของวัฒน์นั้นเรียบนิ่ง แต่ทั้งที่สถานการณ์กำลังเป็นต่อ หนุ่มใหญ่กลับออกอาการกลัดกลุ้มออกมาจนเดชนึกสงสัยขึ้น

          “อาเดชครับ”

          คนที่ตนหมายจะฆ่าเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เจ้าของชื่อเลื่อนสายตามองคนที่ดูสงบนิ่งจนเหมือนกับเป็นคนละคน สิทธิ์มองหน้าเดชที่ยืนเครียด ท่าทางของชายหนุ่มดูจะไม่ได้ตกใจ โกรธ หรือเสียใจอะไรนัก เหมือนคิดไม่ตกเสียมากกว่า จนกว่าจะเอ่ยปากได้ก็เล่นเอาคนรอฟังลุ้นกันจนแทบยืนไม่ติดพื้น

          “ผมรู้เรื่องที่อาตั้งใจจะฆ่าผมอยู่แล้วล่ะครับ”

          ความจริงจากปากของเจ้านายทำเอาเหล่าลูกน้องหลายๆคนตื่นตะลึงไปตามๆกัน โดยเฉพาะเดช แน่ล่ะ ใครมันจะไปคิดว่าพ่อเจ้านายคนดีที่แสนใสซื่อซึ่งคอยปกป้องตนที่คิดปองร้ายมาตลอดจวบจนบัดนี้จะรู้อยู่แต่แรกแล้ว

          “ที่จริงผมก็พอจะรู้ตัวว่าอาไม่ค่อยชอบผม แต่ผมก็เชื่อมาตลอดว่าอาคงไม่ทำถึงขนาดฆ่ากัน” สิทธิ์เอ่ยด้วยท่าทีเสียใจเสียเต็มประดา “พ่อเคยบอกผมเอาไว้ว่าอาเดชเป็นคนเก่ง แต่ไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่ใต้อาณัติใครง่ายๆ ถ้าไม่ใช่คนที่ยอมรับ ซึ่งผมก็รู้ดีว่าผมไม่ใช่คนนั้น ผมก็พยายามมาตลอด...แต่บอกตรงๆว่ามันยากเอาเรื่องเลยนะครับ ที่จะต้องทำตัวโหดร้ายหรือทำเรื่องผิดกฎหมายแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเนี่ย…”

          ใบหน้าของสิทธิ์ดูเศร้าเสียเต็มประดา หากแต่คนมองกลับรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เดชรู้สึกว่าในยามนี้สิทธิ์ดูน่าพรั่นพรึงกว่าที่เคยเป็น ซ้ำยังรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นออกมาจากตัวของหัวหน้าที่เขาไม่เคยแม้ แต่จะยอมรับ

          ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่ค่อยๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าของชายหนุ่ม ยิ่งทำให้เดชรู้สึกหวั่นจนเหงื่อแตก

          “ผมไม่ใช่คนดีอย่างที่อายกไว้เสียสูงหรอกนะครับ เหตุผลที่ผมยอมเมินเรื่องที่อาจ้องจะเล่นงานผม หรือเรื่องที่ไปทำร้ายลูกน้องคนอื่นของผม ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนดีที่เห็นแก่อา หรือเพราะผมมันงี่เง่าไม่รู้ว่าอาจ้องจะฆ่าผมหรอก...ผมก็แค่ไม่อยากทำงานที่ผมเกลียด และงานนั้นก็ดันไม่มีใครทำได้ดีเท่าอา ผมเลยต้องมีอาเพื่อมาทำงานพวกนั้นแทนผมไงล่ะครับ” เห็นสิทธิ์กลับมามีท่าทางร่าเริงอย่างปกติแล้ว กลับทำให้เหล่าลูกน้องเริ่มหวาดหวั่นกันเสียมากกว่า เพราะคำพูดนั่นช่างไม่เข้ากับน้ำเสียงใสเอาเสียเลย “แต่ในเมื่ออาทนไม่ได้ถ้าต้องทำงานกับคนเหลาะแหละไม่เด็ดขาด ผมคงต้องพิสูจน์ตัวเองให้อาเห็นเสียแล้วสินะครับ ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะพอดีเลยล่ะ…”

          ยังไม่ทันได้นึกสงสัย ร่างของเดชก็กระตุกวูบ เหล่าลูกน้องที่มองอยู่ห่างๆพากันสะดุ้งเมื่อสิทธิ์จับหัวของเดชฟาดเข้ากับโต๊ะกระจกตรงหน้า เล่นเอากระจกโต๊ะแตกกระจาย

          “อึก...” เดชกัดฟันแน่นเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่ใบหน้าซีกขวา ยิ่งโดนแรงมหาศาลกดบี้หัวตนเข้ากับเศษกระจก ยิ่งทำให้หนุ่มใหญ่เจ็บจนเผลอกรีดเสียงออกมา

          “มันยังไม่จบหรอกนะ” สิทธิ์เอ่ยเสียงนุ่มทั้งที่จับหน้าอีกฝ่ายบี้กับพื้น ทำเอาลูกน้องบางคนพากันหลบภาพตรงหน้าเพราะรู้สึกเจ็บแทน “ผมรู้ว่าแค่นี้มันไม่พอสำหรับอาหรอก ไอ้เนี่ยมันก็แค่เด็กเล่น”

          ฉัตรสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อสิทธิ์เงยหน้าขึ้นกวักมือเรียกตน หนุ่มใหญ่ไม่พูดอะไรนอกจากกระโดดผ่านหน้าต่างเข้ามาด้านใน และจับกดร่างเดชเอาไว้แทนเจ้านายหนุ่ม

          เดชหรี่ตามองขาทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน ในยามนี้แม้จะไม่มีแว่นแต่หนุ่มใหญ่ก็พอจะมองออกว่าสิทธิ์กำลังนั่งคุกเข่า อยู่ตรงหน้าตน และจับแขนซ้ายของตนไปวางราบกับพื้นตรงหน้า

          “อ๊าก!!”

          เหล่าลูกน้องต่างพากันสะดุ้งทันทีที่เสียงร้องเหมือนจะขาดใจของเดชดังขึ้น

          “ผมรู้ว่าถ้าเป็นพ่อ อาคงเหลือแค่แขนเดียวแน่ๆ” สิทธิ์บอกเสียงเรียบ สายตาก็ยังคงจ้องมองมือที่พยายามสะบัดให้หลุดพ้นจากพันธนาการของตน ซึ่งตอนนี้นิ้วก้อยได้หายไปแล้ว “แต่ถ้าเป็นงั้นผมว่าอาคงลำบากน่าดู จากนี้ไปก็ต้องทำงานให้ผมอีก เพราะงั้นผมเหลือไว้ให้เท่านี้ละกัน อย่างน้อยมันก็ยังพอให้อาคีบบุหรี่ได้อยู่เนอะ”

          เดชเหลือกตาขึ้นมองชายหนุ่มที่ยิ้มกว้างก่อนจะดึงแขนของตัวเองเต็มแรง หากแต่เพราะโดนทั้งสิทธิ์และฉัตรจับกดเอาไว้ เขาจึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการออกแรงอย่างไร้ประโยชน์

          “ทำอย่างนี้แล้วคิดว่าผมจะยอมกลับไปทำงานให้ต่อหรือไง”

          เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนที่สิทธิ์จะจรดมีดพกของตนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของเดช ชายหนุ่มละสายตาจากงานตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะเสียงแห้ง

          “ฮะๆ ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือไงครับว่าผมรู้นิสัยอาดี แค่นี้อาไม่คิดอะไรหรอก ไม่งั้นอาคงหาเรื่องฆ่าอาวัฒน์ไปตั้งแต่ตอนที่อาวัฒน์จะฆ่าอาแล้วนี่ จริงไหม”

          เดชมองคนที่ตอบออกมาง่ายๆ ใบหน้าของหนุ่มใหญ่นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเหยียดยิ้มกว้างและหัวเราะออกมาทั้งที่สถานการณ์ในตอนนี้ไม่สู้ดีเลยสักนิด

          “แล้วอย่าเสียใจทีหลังแล้วกัน”

          สิ้นคำของหนุ่มใหญ่ เสียงร้องลั่นเพราะโดนตัดนิ้วดังขึ้น เดชดิ้นพราดอยู่พักใหญ่ก่อนจะสงบลง ใบหน้าของเขาซีดเซียวไร้สีเลือด เหงื่อไหลผุดซึมไปทั่วร่าง และทั้งที่ดูหมดเรี่ยวแรงและยังคงเจ็บปวดจากการโดนตัดนิ้ว สีหน้าของเขากลับดูพอใจเสียเหลือเกิน

          “ผมว่าอาห่วงตัวเองดีกว่านะครับ” สิทธิ์บอกกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะเอาชายเสื้อตัวเองเช็ดมีดของตน “เพราะถ้ามีครั้งหน้า รับรองว่าผมจัดหนักจัดเต็มก่อนส่งอาไปลงนรกแน่นอน”

          และคำตอบที่ชายหนุ่มได้รับนั้นคือรอยยิ้มกว้างที่ดูจะตื่นเต้นระคนชอบใจของเดช ทำเอาคนอื่นๆที่มองอยู่พากันหวาดหวั่นกับท่าทีเหล่านั้น…แม้สิ่งที่ทำให้พวกเขาใจเต้นจนแทบจะระเบิดออกมาจากอกคือมิติใหม่ของเจ้านายก็ตาม

 

          “…มันจะดีหรือครับ”

          วัฒน์เอ่ยถามสิทธิ์อย่างไม่แน่ใจนักทันทีที่ชายหนุ่มเดินขึ้นมายังชั้นสอง หลังจากตัดสินโทษเดชเสร็จ สิทธิ์ก็ใช้ให้ฉัตรกับคนอื่นๆอีกราวสองสามคนพาตัวไปโรงพยาบาล ทั้งยังออกค่ารักษาให้ด้วยอีกต่างหาก จากนั้นก็ให้คนที่เหลือไปจัดการพวกอริที่เดชเป็นคนเรียกมา และให้แมวกับเอมมาช่วยเก็บซากในห้องนั่งเล่นที่ตนเป็นคนทำเลอะเสียจนเหมือนมีเหตุฆาตกรรมเพิ่งเกิดยังไงยังงั้น

          “ดีสิครับ” และทั้งที่สิทธิ์ก็ยิ้มแย้มเป็นปกติแท้ๆ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้วัฒน์รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะตอนนี้ตามตัวอีกฝ่ายเปื้อนเลือดของเดชอยู่ก็เป็นได้ “ผมได้คนมาทำงานเหมือนเดิม แถมยังทำให้อากับอาเดชเลิกตั้งแง่กันด้วย ดีจะตาย”

          หนุ่มใหญ่สะอึกนิดหน่อย เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ถึงสาเหตุที่ตนกับเดชตัดเพื่อนกัน นี่ยังไม่นับเรื่องที่สิทธิ์รู้แต่แรกว่าเดชตั้งใจลอบสังหารเจ้าตัวด้วย และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือการที่อีกฝ่ายส่งสายไปอยู่กับเดชเสียตั้งนานสองนานโดยที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่ล่ะ

          “ผมรู้มาตลอดละครับ แต่เพราะไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงดีผมเลยเงียบเอาไว้ เพราะรู้ว่าถ้าพูดออกไป มันก็มีแต่จะทำให้อาไปฆ่าอาเดชน่ะ…ซึ่งก็อย่างที่ผมบอก ผมเสียดายคนเก่งๆอย่างอาเดชนะครับ หาคนทำงานสกปรกได้เก่งเท่าอาเดชยากจะตาย” เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย สิทธิ์ก็ตอบออกมาแล้วถอนหายใจ “และอย่างน้อยนี่ก็เป็นเรื่องของผม ในฐานะหัวหน้าผมก็ควรจะจัดการเอง จริงไหมล่ะครับ”

          วัฒน์มุ่นคิ้วเป็นคำตอบแทน

          “น่าครับ ไหนๆเรื่องก็จบด้วยดีแล้วไง อย่าคิดมากเลยครับ” ชายหนุ่มร่างยักษ์เอ่ยเสียงระรื่นก่อนจะโผเข้าไปกอดอีกฝ่าย “เท่านี้อาก็ไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องอาเดชแล้วนะครับ”

          หนุ่มใหญ่ก็ยอมรับว่ายังนึกค้านอยู่ แต่ที่ติดใจยิ่งกว่าคือสิทธิ์ที่เปลี่ยนไปนี่ล่ะ ถึงจะไม่ขนาดหน้ามือเป็นหลังเท้า แต่ไอ้การที่กล้าทำร้ายลูกน้องตัวเองได้ขนาดนี้เนี่ย ถือว่าเป็นครั้งแรกและชวนเหลือเชื่อมากๆด้วย แม้ที่จริงเขาก็ไม่ได้รังเกียจที่อีกฝ่ายไปยกระดับความเหี้ยมนักหรอก แค่แปลกใจเฉยๆ ไม่รู้กินอะไรผิดสำแดงมาถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

          “แต่คุณสิทธิ์นี่สุดยอดเลยนะครับ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณจะจัดการได้ขนาดนี้” และไม่ต้องสงสัยนาน เนก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมเสียมากกว่าแปลกใจ “เมื่อก่อนถ้ามีลูกน้องคนไหนทรยศ คุณก็เอาแต่ปล่อยไปทุกที”

          “เอ๋ คนเราก็ต้องเปลี่ยนไปกันบ้างสิ” สิทธิ์หัวเราะร่วน ทำหน้าเหมือนมีความผิดแต่ไม่กล้าบอกจนชวนให้คนมองสงสัยกว่าเดิม แต่อยู่ๆก็ออกอาการเหมือนคิดบางอย่างออก ก่อนจะหดหู่ลงเสียอย่างนั้น “นั่นสิ…ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว…ทั้งที่อุตส่าห์เปลี่ยนไปแล้วแท้ๆ…”

          ลูกน้องทั้งสามต่างพากันนิ่งอึ้งเมื่ออยู่ๆเจ้านายแสนดีมีอาการเศร้าซึมเสียดื้อๆ และไม่พูดอะไรต่อนอกจากเดินสะโหลสะเหลกลับเข้าห้องนอนไป ปล่อยให้พวกเขาได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วงปนสงสัยแทน

          “...ถ้าอย่างนั้นผมไปดูคุณสิทธิ์ก่อนนะครับ” หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ เนก็เอ่ยเสนอตัวขึ้นก่อนจะตีหน้ายุ่งใส่ศาสตร์กับวัฒน์ “...ผมเป็นคนใจกว้างนะครับ เพราะงั้นถ้านิดๆหน่อยๆ ผมไม่ถือสาหรอก ไม่เก็บมาคิดด้วย บอกเลย”

          หนุ่มใหญ่เลิกคิ้วสูงมองคนที่ทำหน้าบูดใส่ทิ้งท้ายก่อนจะชิ่งเข้าห้องนอนสิทธิ์ไป และเพียงไม่นานวัฒน์ก็หัวเราะออกมา

          “ฮะๆ ไอ้บ้าเอ๊ย”

          ศาสตร์มองหนุ่มใหญ่ที่ยังคงหัวเราะ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ

          “ถ้าผมเป็นคนที่ทำให้อาหัวเราะแบบนี้ได้ก็คงดี”

          จากที่กำลังขำถึงกับค้างนิ่ง และเริ่มออกอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมา ถึงตัวเองจะเป็นฝ่ายบอกปฏิเสธไปเองแล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังทำใจมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆไม่ได้สักที และก็รู้สึกแปลกๆที่จะกลับไปทำตัวเหมือนเดิมด้วย

          เพราะถึงอย่างไร ความรู้สึกที่มีให้มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
         
          วัฒน์ไม่กล้าบอกให้อีกฝ่ายตัดใจนักหรอก ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่เคยตัดใจจากปิ่นได้จนกระทั่งพบกับเน การจะขอให้ศาสตร์ตัดใจทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นเรื่องยาก ก็เหมือนกับตนเห็นแก่ตัวเพราะอยากให้อีกฝ่ายได้ดี ตัวเองจะได้สบายใจชัดๆ

          “ผมอิจฉาหมอนั่นนะที่ทำให้อาทั้งหัวเราะทั้งโกรธออกมาได้” ชายหนุ่มเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเบาบางจนคล้ายกับจะกลืนหายไปกับอากาศ “นอกจากพี่ปิ่น คนอื่นก็ไม่เคยทำได้เลยแท้ๆ”

          วัฒน์เงยหน้ามองคนที่ยืนหน้านิ่ง หนุ่มใหญ่รู้ดีว่าแม้ภายนอกจะเห็นเป็นอย่างนั้น แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเสียใจมากแค่ไหน

          แต่เขาเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำให้อีกฝ่ายหายเศร้าได้ด้วย

          “ผมไม่เถียงหรอกนะว่าแอบคิดอยากให้หมอนั่นมีอันเป็นไปอยู่ทุกวัน” ได้ยินแล้วคนฟังถึงกับสะอึก “ยังไงผมก็ไม่เลิกรักอาหรอกนะครับ”

          วัฒน์มองอีกฝ่ายที่พูดราวกับรู้ว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ เพียงไม่นานก็กลับมาทำหน้าสงบนิ่ง มุมปากนั้นยังคงยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยหากแต่กลับดูเศร้าสร้อยเสียมากกว่ามีความสุข

          “ต่อให้เนตายจริง ฉันก็รักเราในแบบที่เราต้องการไม่ได้หรอก” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นอย่างแผ่วเบา “ไม่ว่ายังไง ฉันก็คงเห็นเราเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากหลานคนนึง...หลานที่ไม่มีใครมาแทนได้อีกแล้ว”

          ศาสตร์เบิกตากว้างกับคำตอบที่ไม่ได้มีเพียงแค่คำปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มให้

          “ถ้าอาไม่ว่าอะไร ผมขอกอดได้ไหมครับ”

          วัฒน์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ที่จริงก็ไม่ได้อยากจะปฏิเสธนัก แต่เพราะพอจะรู้สถานะตัวเอง และความรู้สึกของอีกฝ่าย เลยคิดว่าคงไม่ดีที่ไหร่นักถ้าจะยอมให้กอด

          แต่พอนึกถึงคำพูดของเน จากที่กำลังคิดหนักก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ

          มันก็กำชับเองนี่นาว่าใจกว้าง แค่นิดๆหน่อยก็พอได้

          วัฒน์ไม่พูดอะไรนอกจากอ้าแขนรอรับเป็นคำตอบ ศาสตร์พอเห็นดังนั้นก็ยืนชั่งใจเสียเองทั้งที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอ ก่อนจะโผเข้าไปกอดเสียเร็วจนคนรอรับถอยหลัง

          “ผมรักอานะครับ”

          คนฟังเพียงแต่เงียบและกอดแน่นขึ้น ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆที่ดังแผ่วออกมาจากคนตรงหน้า คนฟังก็กอดแน่นขึ้นกว่าเดิม...เพราะสิ่งที่เขาทำได้มีเพียงแค่นี้

          ขอโทษนะ... 

 
          “ไง”

          เดชเลิกคิ้วหันไปมองคนหน้านิ่งที่เดิน เข้ามายังเคาน์เตอร์ในบาร์ และทั้งที่วัฒน์ไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดหรือใช้น้ำเสียงดุดัน แต่เหล่าพนักงานที่อยู่บริเวณนั้นต่างพากันหนีกระเจิงเหมือนกลัวจะโดนลูกหลง เหมือนทั้งสองจะมีเรื่องกันก็มิปาน จะเหลือไว้ก็แค่ต่อกับปาล์มที่อยู่หลังเคาน์เตอร์เพราะหนีไปไหนไม่ได้เท่านั้น

          “มาจับตาดูฉันหรือไง” หนุ่มแว่นเยาะใส่อย่างไม่กลัวเกรงพร้อมกับเหยียดยิ้มกว้าง “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ทำแล้ว มาอยู่ตรงนี้แล้วฉันทำอะไรได้ล่ะ ลูกน้องก็ไม่มี ตำแหน่งก็โดนลด แถมยังโดนพวกนี้จับตาตลอดจนแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลยนะ”

          “ไอ้ฉัตรมันถึงได้บ่นเพราะต้องทำงานแทนนาย” วัฒน์บอกก่อนจะเข้าไปนั่งข้างๆ “และฉันก็ทำใจเชื่อไม่ลงในทันทีหรอก”

          อีกฝ่ายหัวเราะลั่น

          “เอาแต่เครียดไม่เลิกระวังเส้นเลือดในสมองมันจะแตกก่อนนะ” เดชหยอกใส่กลั้วเสียงหัวเราะ “เอาเถอะ ถ้าคุณสิทธิ์กลับไปทำตัวเหลาะแหละเมื่อไหร่ ฉันเองก็คงไม่ยอมทำตัวเป็นหมาเชื่องๆหรอก”

          “ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันจะไม่ไว้หน้าคุณสิทธิ์แล้วฆ่าแกทันที”

          ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าวัฒน์ไม่ได้ขู่ กระนั้นเดชกลับไม่ได้รู้สึกกลัวแม้แต่นิดเดียว

          “ถ้างั้นก็คงยาก” หนุ่มแว่นร่างโตเอ่ยอย่างมั่นใจจนคนฟังถึงกับหันไปมอง “ถึงฉันจะไม่รู้ว่าทำไมก็เถอะ แต่ที่คุณสิทธิ์ลงโทษฉันก็ไม่ได้ทำไปเพราะทนทำสักหน่อย...เขาทำเพราะอยากทำเลยนะ”

          วัฒน์เพียงแต่เลิกคิ้ว อย่าว่าแต่เดชเลย เขาเองก็รู้สึกเหมือนกัน ถ้าฝืนทำจริงสิทธิ์ไม่มีทางยิ้มทั้งที่กำลังตัดนิ้วเดชได้หรอก...แต่ตอนนี้เขาคิดว่าไม่ควรจะให้เดชมาเห็นสิทธิ์อย่างแรง เพราะหลังจากวันสำเร็จโทษ อยู่ๆเจ้านายแสนดีแกก็ห่อเหี่ยวแล้วเอาแต่หมกอยู่กับห้องจนเห็ดขึ้น ถามสาเหตุก็ไม่ยอมบอก ไม่ว่ากับเขาหรือเนก็ยังไม่ยอมปริปาก เอาแต่พึมพำอยู่คนเดียวจนชักน่าเป็นห่วง...และถ้าเดชมาเห็นสภาพน่าอดสูของเจ้านาย รับรองว่าวัฒน์คงชักปืนยิงอีกฝ่ายแทบไม่ทัน

          “อืม...” วัฒน์ได้แต่ตอบตามน้ำ พลางคิดหาทางแก้ไขให้เจ้านายเลิกทำตัวสลดสักที

          “ว่าแต่วันนี้ว่างหรือเปล่า มาดื่มด้วยกันหน่อยเป็นไง”

          “โทษทีนะ ตอนนี้ยังทำใจดื่มกับแกไม่ลง” วัฒน์ตอบตามตรง “รอสักสามสี่ปี ให้ฉันมั่นใจก่อนว่าแกจะไม่กลับไปทำร้ายคุณสิทธิ์อีกก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นฉันจะเลี้ยงแกเอง”

          “นานจังนะ” เดชทำเสียงตัดพ้อก่อนจะหัวเราะในลำคอ “ว่าแต่ไม่ได้พาแฟนมาด้วยหรือไง”

          “ฉันไม่ปล่อยให้คุณสิทธิ์อยู่คนเดียวหรอก” คำตอบกำกวมที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ถามทำเอาคนฟังถึงกับหลุดขำออกมา

          “ระวังไอ้หนูนั่นมันจะทิ้งแกไปเพราะเอาแต่ห่วงคุณสิทธิ์เกินเหตุนะ”

          “มันไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยแบบนั้น” วัฒน์ตอบกลับแทบจะทันที ก่อนจะลุกขึ้นหยิบกระดาษที่พับไว้ราวสามสี่ทบออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินของตน แล้วผลักมันไว้ตรงหน้าเดช “ถ้าไม่อยากรอนานขนาดนั้น ก็พิสูจน์สิว่าแกจะไม่ทำตัวให้ฉันอยากฆ่าอีก”

          หนุ่มแว่นหยิบกระดาษตรงหน้าแล้วคลี่ออก จากนั้นเพียงไม่นานก็แสยะยิ้มออกมา

          “แกนี่มันใจร้ายจริงเลยว่ะ”



ออฟไลน์ musddmp

  • อิอิ คริคริ
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-0
ภารกิจร้าย พ่ายประตูหลัง
         
ตอนที่ 84.2(ตอนจบ)


          หลังจากกลับมาจากการเยี่ยมเดช วัฒน์ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าสมาชิกในบ้านยกเว้นสิทธิ์กำลังนั่งสุมหัวเหมือนกำลังประชุมเรื่องเคร่งเครียดกันอยู่ และหนุ่มใหญ่ก็พอจะรู้ดีว่าหัวข้อหลักคืออะไร

          “ยังไม่สำเร็จอีกหรือ”

          ทุกคนพากันมองหน้าวัฒน์ ก่อนที่แมวจะกระโดดขึ้นมาจากพื้น

          “หนูว่าคุณสิทธิ์กำลังช้ำรักอยู่แน่นอนค่ะ”

          “คุณสิทธิ์บอกหรือ”

          “เปล่าค่ะ สัญชาตญาณของลูกผู้หญิงบอก” คำตอบนั่นทำเอาคิ้วของหนุ่มใหญ่ไต่ไปถึงกระหม่อม “ก็เห็นพักนี้ไม่ได้ติดต่อกับคุณเดียร์เลยนี่คะ”

          “ถ้าเป็นงั้นจริง ทำไมคุณสิทธิ์ไม่โทรไปล่ะ”

          “เขาอาจจะกำลังทะเลาะกันก็ได้นี่คะ” แมวว่าต่ออย่างคนมีประสบการณ์ “ถ้าจำไม่ผิด แรกเริ่มเดิมทีคุณสิทธิ์ไปหลอกคุณเดียร์เพื่อจะแก้แค้นคุณวินนี่คะ บางทีคุณเดียร์เขาอาจจะรู้ความจริงก็เลยโกรธก็ได้”

          “แต่ถ้าอย่างนั้น คนที่ควรจะง้อต้องเป็นคุณสิทธิ์สิ ไม่ใช่เป็นฝ่ายมานอนเศร้าเหมือนเป็นคนโดนหลอกเองแบบนี้”

          แมวทำหน้าเหมือนเดินหมากผิดกระดาน

          “บางทีคุณสิทธิ์อาจจะกำลังตัดใจอยู่ละมั้งครับ”

          หลังจากเด็กสาวยืนหน้าเครียดเหมือนหาคำมาค้านไม่ออกอยู่พักใหญ่ เนก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาบ้าง

          “...เอ่อ...ผมพูดตามประสบการณ์นะครับ” พูดเองก็กระดากปากเองจนหน้าแดงเถือก และแน่นอนว่าไม่รอดพ้นสายตาของเอมไปได้ “คือท่าทางของคุณสิทธิ์เหมือนกำลังหนีจากอะไรบางอย่างทั้งที่ไม่อยากหนีน่ะครับ...”

          และทั้งที่นั่นก็เป็นแค่คำสันนิษฐาน แต่ไม่รู้ทำไมฟังดูน่าเชื่อถือเหลือเกิน

          “แล้วคิดว่าควรจะทำยังไงดีล่ะ”

          นั่งเงียบกันไปอีกพักใหญ่ กว่าที่รุตจะออกความเห็น

          “ลองพาไปปลดปล่อยดีไหมล่ะ อาจจะช่วยได้บ้าง...ลองพาไปที่ร้านไอ้ก้องสิ หมอนั่นอยู่กับคุณสิทธิ์ช่วงที่วางแผนแก้แค้นคุณวินไม่ใช่หรือ บางทีหมอนั่นอาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้”

          “นั่นสินะ” วัฒน์เอ่ยเห็นด้วย อย่างน้อยเขาก็คิดว่ามันคงดีกว่าให้สิทธิ์เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องนอนแบบนี้เยอะ “ถ้างั้นตามนี้ก่อนก็แล้วกัน ถ้ายังไม่ได้อีกค่อยว่ากันอีกที”

          เมื่อประชุมจบ ต่างคนต่างลุกขึ้นจากพื้นและโซฟาพากันบิดขี้เกียจอย่างหมดแรงและแยกย้ายกลับไปพักผ่อนทันที

          “สู้ๆนะคะพี่เน อิๆ”

          เนื่องจากยังไงเสียคนที่ต้องพาสิทธิ์ไปหาก้องก็ไม่พ้นตัวเนและวัฒน์อยู่แล้ว แต่เด็กหนุ่มรู้ดีว่าที่แมวกับเอมแซวไม่ใช่เรื่องนั้น

          “นั่นสินะ ถ้าไม่ได้ผลก็ต้องเหนื่อยกันอีก”

          เนมองคนที่ไม่ได้รู้เลยว่าสาวๆพูดแบบนั้นเพราะอะไร ก่อนจะถอนหายใจออกมา

          “อะไร” เห็นอีกฝ่ายทำหน้าเอือมเสียเต็มประดาก็อดถามขึ้นอย่างหงุดหงิดไม่ได้

          “คุณรู้หรือเปล่าว่าแมวกับเอมเขารู้เรื่องของเราแล้ว”

          “ก็ฉันบอกเองนี่”

          คราวนี้คนถามถึงกับสำลัก “เดี๋ยวสิ...ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”

          “...สักพักหลังจากเราคบกันมั้ง ก็เห็นถามมา ฉันก็ตอบไป แค่นั้น” วัฒน์บอกเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก “แต่ฉันยังไม่ได้บอกพี่นางกับรุตหรอกนะ คิดว่าเดี๋ยวแมวกับเอมก็คงบอกเอง”

          เนไม่แน่ใจว่าจะโล่งใจดีหรือเปล่าเมื่อได้ยินแบบนั้น...เพราะนั่นหมายความว่าเกิดถามเมื่อไหร่ ลุงแกก็พร้อมจะตอบนี่ล่ะ

          “ทำไม กลัวคนอื่นจะรู้งั้นหรือ”

          เด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อย ก่อนจะบึ้งหน้าใส่

          “ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ผมก็แค่ไม่รู้จะบอกทำไม...แล้วก็ไม่รู้จะบอกยังไงดีต่างหาก” เนขึ้นเสียงใส่ ยิ่งตอนนี้อยู่กันในห้องนั่งเล่นแค่สองคน เลยกล้าพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำแบบไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน “ไม่ได้อายสักหน่อย”

          “ไหนทีแรกตอนคบกันบอกว่าอาย”

          “ถ้างั้นคุณก็พูดเหมือนกันไม่ใช่หรือไง”

          ทั้งสองจ้องหน้ากันคล้ายกับจะกัดกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่วัฒน์จะเป็นฝ่ายหลุดขำออกมาทั้งที่เนยังแยกเขี้ยวใส่

          “นายนี่มันเถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ” วัฒน์ว่าทั้งที่ยังหัวเราะไม่เลิก “ไม่เคยเปลี่ยนเลย”

          เนทำท่าเหมือนใครเอาไฟมาลนเท้า เพราะมันชวนให้นึกถึงความทรงจำที่อยากจะลืมมันไปให้พ้นๆ...แม้ว่าทั้งหมดทั้งมวลที่กลายมาเป็นแบบนี้ได้เพราะความเข้าใจผิดก็ตาม

          ก็ปล่อยๆให้มันเป็นเพียงความหลังต่อไปเถอะ...ถึงเนจะค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้เขาสารภาพที่เข้าใจผิดคิดว่าวัฒน์ตั้งใจจะปองร้ายสิทธิ์ ลุงแกก็คงจะไม่ได้ถือโทษโกรธอะไรก็ตาม...แต่ถ้าให้ต้องมาสาธยายย้อนความหลังอันแสนน่าอายพรรค์นั้น สู้เงียบไว้จะดีกว่า

          วัฒน์ชะงักนิดหน่อยเพราะอยู่ๆอีกฝ่ายนิ่งไป ทีแรกเข้าใจว่างอนที่โดนหัวเราะ แต่เห็นสีหน้าอึกอักของเจ้าตัวแล้ว จากที่จะเอ่ยขอโทษเลยเงียบปากตนแทน

          ...

          หนุ่มใหญ่สะดุ้งนิดหน่อยเมื่ออยู่ๆเนก็มาจับมือเขาเสียอย่างนั้น และก็ไม่พูดอะไรเลยนอกจากก้มหน้าแดงๆเหมือนอยากจะหลบทั้งที่หลบไม่พ้นก็ตาม เล่นเอาคนมองรู้สึกร้อนวูบไปด้วย

          “...มีอะไรหรือเปล่า” หลังจากทนความร้อนที่เดือดอยู่ในตัวไม่ไหว วัฒน์เลยถามออกไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก อยากจะดึงมือกลับแต่ไม่รู้ทำไมแขนมันกลับไม่ยอมทำตามคำสั่งเสียอย่างนั้น

          เนเม้มปากแน่น ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะพูด แต่ประเด็นคือเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเหมือนกัน ไอ้มือเจ้ากรรมอยู่ๆมันก็ดันยื่นไปจับมืออีกฝ่ายอย่างไม่มีเหตุผลเสียด้วยซ้ำ

          เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าให้ก่อนที่อีกฝ่ายจะเกิดหงุดหงิดคิดว่าเขาเอาแต่อมพะนำ พยายามเรียบเรียงสิ่งที่ยุ่งอยู่ในหัวออกมาเป็นคำพูด

          “ก็...แค่อยากจับเฉยๆน่ะครับ...”

          วัฒน์อ้าปากค้าง...ไอ้จับอย่างเดียวมันก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เล่นเขินใส่หน้าแดงเถือกขนาดนี้ ใครจะนิ่งอยู่ได้กัน

          “นายน่าจะชินได้แล้วนะ” หนุ่มใหญ่บอกก่อนจะหลบสายตาไปอีกทางเพราะทนมองไม่ค่อยจะไหวเหมือนกัน “เจอแบบนี้บ่อยๆเดี๋ยวฉันหัวใจวายตายพอดี”

          “ถ้างั้นคุณก็ชินซะสิ เพราะผมคงไม่มีทางชินได้ในเร็วๆนี้หรอก”

          ดูมัน เถียงไม่เลิกจริงๆ...แล้วทำไมเราต้องยอมมันด้วยวะเนี่ย

 

          “ทีตอนเอาละคล่องเหลือเกินนะ”

          วัฒน์อดบ่นไม่ได้...ก็ดูสิ ขอจับมือสักทีทำท่าอย่างกับสาวน้อยวัยใส แต่พอมาถึงห้องนอนแล้วชวนขึ้นเตียง พ่อคุณพยักหน้าไวอย่างกับติดจรวด แถมไม่มีเคอะเขินติดขัดอีกต่างหาก

          “ผ...ผมก็เขินอยู่นะ แต่เพราะมันทำบ่อยแล้วหรอก” เนโพล่งเสียงตื่นพออีกฝ่ายเอ่ยขัดจังหวะในขณะที่กำลังถอดเสื้อเชิ้ตของหนุ่มใหญ่ออก “...แล้วคุณไม่คล่องหรือไงครับ เรื่องนี้น่ะ”

          อยู่ๆมันก็มาจี้จุดเรื่องปวดใจเสียอย่างนั้น

          “ถึงจะคล่องก็ไม่ใช่ตำแหน่งนี้แน่” วัฒน์ตอบกลับเสียงเขียวที่โดนหมิ่นประมาท “ดี งั้นนอนลงเลย รอบนี้ฉันจัดการเอง”

          เนนิ่วหน้ามองคนที่อยู่ๆก็ฮึดฮัดขึ้นมาดื้อๆ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากทำตามอย่างว่าง่าย

          “...เอ่อ...คุณจะรุกผมแทนหรือ”

          วัฒน์ชะงักกว่าเก่า เพราะไอ้เรื่องนั้นมันไม่มีอยู่ในหัวเลยนี่สิ

          “เปล่า” คำตอบฉะฉานจนโล่งใจปนน่าสงสัย “ก็แค่จะทำให้บ้างไง ปกตินายคนทำตลอดนี่...อีกอย่าง ฉันเคยบอกแล้วไงว่าจะชดใช้เรื่องที่เคยผิดสัญญาไว้เมื่อคราวก่อน งั้นก็เอาเรื่องนี้เลยแล้วกัน”

          …มัดมือชกงี้แล้วจะเถียงอะไรได้ล่ะครับ…

          เนนอนนิ่งอยู่บนเตียงคอยมองคนตรงหน้าที่กำลังคร่อมตนและโน้มหน้าเข้ามาใกล้...อันที่จริงใช่ว่าจะไม่เคยเจอคู่นอนที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

          รสจูบของอีกฝ่ายไม่หวือหวาหรือร้อนแรงผิดกับตอนเด็กหนุ่มเป็นฝ่ายนำจนทำเอาเนแอบแปลกใจ แต่กระนั้นจูบในครั้งนี้มันช่างนุ่มนวล เนิบนาบ และอ่อนโยน แต่ไม่ได้ชักช้าหรือเอื่อยเฉื่อยจนไม่ทันใจแต่อย่างใด เขายังคงสัมผัสได้ถึงความต้องการของอีกฝ่าย แต่ทั้งที่ไม่ได้เร่งรีบปลุกเร้าอารมณ์อย่างที่มักทำเป็นประจำ กลับรู้สึกเพลินจนยากจะถอนจูบออกมา

          “...ไหวไหมเนี่ย...”

          พอถอนจูบออกมาวัฒน์ก็อดถามไม่ได้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงเถือกเสียจนเหมือนคนเป็นไข้ยังไงยังงั้น

          “วะ...ไหวสิครับ” เนโพล่งเสียงตื่น ก่อนจะเหล่มองไปอีกทาง “ไม่ยักจะรู้ว่าคุณจูบแบบนี้ได้ด้วย”

          “แบบไหน”

          และเนจะไม่เขินเลยถ้าลุงแกไม่ถามแบบคาดคั้นและตั้งความหวังแบบนี้

          “กะ...ก็จูบเก่งกว่าที่คิดดี” เด็กหนุ่มตอบแบบรวมๆ “ละ...เลิกถามแล้วทำต่อเถอะครับ เดี๋ยวผมทนไม่ได้แล้วคุณจะไม่ได้ชดใช้เปล่าๆ”

          “รีบจริง” วัฒน์บ่นขึ้นมา ท่าทางคล้ายไม่พอใจกับคำตอบเท่าใดนัก ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมองร่างของอีกฝ่าย “...มีอะไรอยากให้ทำเป็นพิเศษหรือเปล่า”

          เนเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ใบหน้าจะขึ้นสีอีก เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรนอกจากเลื่อนสายตาลงมองต่ำ และไม่ต้องคิดให้มากนัก วัฒน์ก็เข้าใจความหมายทันที

          “มือหรือปาก”

          “ตะ...ตามใจคุณสิครับ!” เด็กหนุ่มโพล่งขึ้นมาอย่างสุดทน ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างออก จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่งเสียอย่างนั้น ทำเอาคนที่นั่งคร่อมอยู่ถอยหลังแทบไม่ทัน “...ผมว่าขอเป็นปากได้ไหม”

          คราวนี้คนถามเป็นฝ่ายแปลกใจแทน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรให้มากความนัก

          ...มันรีบอยู่นี่ เดี๋ยวไม่ทันใจมันพอดี...ถึงเราก็แอบอยากรีบด้วยก็เถอะ…

          เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อความร้อนโอบรอบกายของตน ลิ้นร้อนลากไล้ทำหน้าที่ได้ดีเหมือนรู้ความต้องการของตน เขามองคนที่ง่วนอยู่กับสิ่งตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ แรงดูดดุนรุนแรงราวกับจะกลืนกินตนเสียให้ได้ เล่นเอาเนเผลอครางออกมาอย่างสุดทน ยิ่งไม่ได้ทำมาเสียนานแล้ว อะไรๆมันก็ดำเนินการไปไวเสียกว่าที่คาด

          “คุ...คุณวัฒน์...” เสียงแหบต่ำดังแทรกขึ้นจากเสียงหอบกระเส่า “ผมจะเสร็จแล้วนะครับ...”

          เด็กหนุ่มก้มเตือนคนที่ปรนเปรอความสุขให้ตนอย่างแข็งขัน และเพียงไม่นานอารมณ์ที่สุมอยู่ภายในก็แตกทะลักออกมา

          “...มีอะไร” เห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าตนไม่เลิกหลังจากที่ลุกขึ้นมา วัฒน์ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “หรือไม่ดีพอ...”

          “ปละ...เปล่าครับ! ดีครับดี” เนรีบตอบลนลาน ก่อนจะเปลี่ยนมาอึกอักกระสับกระส่าย “คือ...รสชาติเป็นไงบ้างครับ”

          วัฒน์ค้างนิ่งกับคำถามนี้ไปนานมาก...ก่อนจะเอะใจในความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่ใช่เรื่องที่น่ารับรู้เท่าใดนัก

          “ก็ก่อนหน้านั้นคุณเคยบอกว่ามันขม ผมเลยไปหาวิธีทำให้รสชาติมันดีขึ้นนี่นา” อยู่ๆก็กลายมาเป็นความผิดวัฒน์เสียอย่างนั้น “ผมยอมทนกินสับปะรดอยู่พักใหญ่เลยนะ”

          “...นายกำลังจะบอกว่านายลงทุนกินของไม่ชอบเพื่อการนี้เรอะ” เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ “จะบ้าหรือไง”

          “แล้วมันโอเคไหมล่ะครับ”

          วัฒน์ค้างไปเล็กน้อยเมื่อโดนเด็กหนุ่มสวนกลับด้วยท่าทีเอาเรื่องเต็มที่ หนุ่มใหญ่ปั่นหน้ายุ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา

          “เออ ดีกว่าครั้งโน้นเยอะ”

          และทั้งที่ไม่ใช่เรื่องน่าดีใจแท้ๆ แต่เจ้าตัวดันทำหน้าภูมิใจกับผลลัพธ์นี้เสียเหลือเกิน ซึ่งทำเอาคนที่กำลังเอือมกับคำถามประหลาดอยากจะร้องไห้ออกมาตงิดๆ

          หลังจากเตรียมการพร้อมปฏิบัติกิจ เนก็นั่งพิงหมอนมองร่างเปลือยตรงหน้าที่คร่อมตน แม้อายุจะล่วงเข้าสี่สิบ อะไรๆก็ไม่ได้มีเหมือนกับคนวัยหนุ่ม แต่กระนั้นร่างตรงหน้ากลับสะกดสายตาของเนเอาไว้ได้อย่างน่าพิศวง ผิวกายสีแทนสวยที่เรียบเนียนน่าลูบไล้ เนื้อหนังแน่นตามประสาคนออกกำลัง เอวเล็กบางผิดกับคนวัยเดียวกันช่างดึงดูดมือให้เข้าไปจับ และทั้งที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่ในยามนี้เนกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่ารักน่ามองจนไม่รู้เบื่อ

          โดยเฉพาะใบหน้าที่ขึ้นสีและดูทรมานในตอนนี้ ยิ่งอยากทำให้มันบิดเบี้ยวขึ้นไปอีก

          “อึก...” เสียงครางต่ำในลำคอของหนุ่มใหญ่ดังขึ้นอย่างแผ่วเบาในขณะที่วัฒน์ค่อยๆกดท่อนเนื้อของเด็กหนุ่มเข้ามาในร่างของตน ความรู้สึกอึดอัดระคนวาบหวานค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเคลื่อนตัวลงจนสุดทาง

          “...ไหวนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่น ใบหน้านั้นแดงและชื้นเหงื่อไม่ต่างจากอีกฝ่ายนัก

          วัฒน์เพียงแต่พยักหน้า เขานิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะค่อยๆขยับเคลื่อนตัวขึ้นลงอย่างช้าๆ ค่อยๆเร่งจังหวะขึ้นทีละน้อย อารมณ์หวามที่แล่นพล่านไปทั่วร่างทำเอาควบคุมตัวเองไม่อยู่ ยิ่งใส่แรงมากขึ้นไปเพื่อเติมเต็มความต้องการของตน

          “อึก...คุณวัฒน์...” เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น มือทั้งสองเอื้อมเข้าไปจับสะโพกของคนตรงหน้า พยายามที่จะไม่ห้ามอีกฝ่าย เลยคอยจับร่างตรงหน้าให้ขยับโดยที่ไม่ต้องเจ็บตัวนัก “รุนแรงจังเลยนะครับ”

          “ทีนายแรงกว่านี้ฉันยังไม่ว่าสักคำ...” เสียงทุ้มดังแทรกเสียงหอบกระเส่า ก่อนจะเงียบลงและจดจ่ออยู่กับอารมณ์ของตน “อ๊ะ...อื๊อ!!”

          ของเหลวสีขุ่นพุ่งออกมาเลอะตามตัวเด็กหนุ่มเมื่อความอดทนหมดลง กระนั้นหนุ่มใหญ่ยังคงขยับตัวไม่เลิกราวกับยังไม่สาแก่ใจ ความรู้สึกบ้าคลั่งที่แล่นพล่านทำเอารู้สึกดีเสียจนไม่อยากเลิกแม้จะรู้สึกหมดแรงก็ตาม อีกทั้งมือของเด็กหนุ่มที่กระตุ้นเหมือนร้องขอให้ตนทำต่อ ถึงได้ยอมตามทำจนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยปากหยุดเอง

          “...ไม่กะจะถามผมสักคำหรือไงครับ เกิดผมไม่เสร็จขึ้นมาแล้วคุณจะทำยังไง”

          ใบหน้าชื้นเหงื่อก้มลงมองคนที่ยิ้มเป็นเชิงท้าทาย ก่อนที่หนุ่มใหญ่จะหัวเราะในลำคอ จากนั้นก็โน้มหน้าเข้ากระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา

          “...นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าพอนายใกล้จะเสร็จทีไรแล้วจะชอบทำหน้าตลกๆทุกที”

          ถึงกับตาเหลือกใส่เลยทีเดียว

          “ปะ...เป็นทุกครั้งเลยหรือครับ”

          “เออ” วัฒน์ตอบก่อนจะค่อยๆถอนตัวลงมานอนข้างๆ “ไม่งั้นฉันจะรู้ได้ไง”

          เด็กหนุ่มหันไปมองคนที่อ่อนแรง สีหน้าของเนคล้ายเหมือนกำลังคิดหนัก ก่อนจะเอ่ยอ้อมแอ้มออกมา

          “ผมไม่เห็นจะรู้เวลาคุณเสร็จ...”

          วัฒน์ค้างไปนิดหน่อย ก่อนจะหัวเราะพรืด

          “นายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดก็ได้” ได้ยินน้ำเสียงหงอยเสียเต็มประดาแล้วอดลูบหัวอีกฝ่ายไม่ได้ “แค่ไม่ปากแข็งก็ดีเกินพอแล้ว”

          โอ๊ย กัดตลอดนะเรื่องนี้

          “ได้ครับ ผมจะเลิกปากแข็งแน่” เด็กหนุ่มเน้นหนักก่อนจะยิ้มกว้างจนน่าสยอง “แต่ขอแข็งอย่างอื่นได้ไหมครับ”

          วัฒน์หน้าแดงขึ้นทันทีที่โดนเล่นมุกสองแง่สามง่ามก่อนจะหันกลับไปอีกทาง “นอนได้แล้ว”

          “เอ๋ ไหนว่าจะชดใช้ไงครับ”

          เวรล่ะ...

          “คุณก็รู้ใช่ไหมล่ะครับ ว่าผมยังอยากอีก” ไม่ว่าเปล่ามีเข้ามากอดจากด้านหลังอย่างแนบแน่น “เห็นไหม มันยังแข็งอยู่เลย”

          โอ๊ย ถ้าเอ็งจะแทงหลังตูซะขนาดนี้ ไม่รู้ก็บ้าแล้ว

          “น้า” เมื่อหนุ่มใหญ่เอาแต่นอนนิ่ง เนเลยรีบใช้ไม้ตายสยบใจลุง “นะครับ...”

          ไม่อ้อนเปล่ามีซุกไซ้ปล่อยลมหายใจใส่ที่แผ่นหลังเป็นการช่วยปลุกอารมณ์เพิ่มเติม อย่างน้อยเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าไอ้การอ้อนแบบนี้มันก็มีขีดจำกัดอยู่ และเนก็คำนวณไว้เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันหยุด และตอนนี้ก็เพิ่งสามทุ่มเท่านั้น และปกติลุงแกก็นอนราวๆห้าทุ่มโน่น เพราะงั้นโอกาสจะยอมย่อมเยอะกว่าวันปกติแน่นอน

          “เออ”

 

          หนุ่มใหญ่ยืนเหม่ออยู่หน้าเจดีย์เก็บอัฐิของปิ่น ในยามนี้มีตนยืนอยู่เพียงคนเดียว อาจเป็นเพราะตอนนี้เป็นช่วงกลางวันทั้งยังเป็นวันธรรมดา จึงทำให้ผู้คนที่มาวัดนั้นน้อยกว่าปกติ จนเรียกได้ว่าดูเงียบเหงาก็ว่าได้

          “แปลกใจละสิที่เจอฉันอีกในรอบหนึ่งปี” วัฒน์เอ่ยเสียงเบา ดวงตาเรียวเลื่อนลงมองรูปภาพของภรรยาเก่า “หรือบางทีเธออาจจะรู้อยู่แล้วว่าฉันจะมา”

          ทั้งที่มีเพียงความเงียบ แต่หนุ่มใหญ่กับคลี่ยิ้มบางออกมา มือหนาเอื้อมไปสัมผัสเจดีย์ตรงหน้าก่อนจะหลับตาลง

          “คุณวัฒน์”

          เจ้าของชื่อหันมองเด็กหนุ่มที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่ด้านหลัง ท่าทางกระสับกระส่ายเหมือนรู้สึกผิดที่เดินเข้ามาไม่รู้จักดูกาลเทศะ

          “ฉันไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” วัฒน์บอกราวกับอ่านใจได้ “มาสิ”

          เด็กหนุ่มค่อยๆเดินเข้าไปยืนข้างๆอีกฝ่าย ดวงตาเรียวลอบมองหนุ่มใหญ่ก่อนจะเหล่มองไปยังรูปภาพบนเจดีย์

          วัฒน์หันกลับไปมองเนที่อยู่ๆก็คว้ามือตนมาจับเสียแน่น สีหน้าของเด็กหนุ่มดูจะอึดอัดพอสมควร และหลังจากหายใจเข้าออกลึกๆอยู่สองสามที ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด

          “ผม...ผมขอรับคุณวัฒน์ไปนะครับ! แล้วจะดูแลให้อย่างดีเลย”

          หนุ่มใหญ่เงียบเป็นเป่าสากไปเกือบนาที ก่อนจะหัวเราะลั่นแบบไม่เกรงใจสถานที่

          “ฮะๆ ฉันเลิกกับปิ่นเขาไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องมาขอแล้ว ที่พามาเนี่ยก็แค่พานายมาไหว้เขาด้วยเฉยๆก็เท่านั้นเอง คราวก่อนที่มานายก็ไม่ได้มาไหว้เขานี่”

          ท่าทางของเนเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือก

          “ละ...แล้วทำไมคุณไม่บอกก่อนเล่า” เด็กหนุ่มโวยวายใส่ “ปล่อยให้ผมทำเรื่องน่าอายทำไมเนี่ย”

          “อายทำไม คนก็ไม่มี” วัฒน์ว่าก่อนจะลูบหัวเนเป็นเชิงปลอบ “แล้วฉันก็ชอบที่นายพูดนะ”

          จากที่กำลังปั้นหน้างอนถึงกับหน้าบานกันเลยทีเดียว

          เอาเถอะ...ถึงมันจะเริ่มมาจากความเข้าใจผิด…ถึงจะเคยเหม็นขี้หน้ากัน…ถึงจะเป็นผู้ชายรุ่นหลานที่ชอบเถียงคำไม่ตกฟาก ท่าทางไม่มีอนาคต ดูไปดูมาก็ไม่น่าไปรักด้วยสักนิด...แต่ก็คงไม่เลวร้ายอะไรนักหรอก

          บางทีมันอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้

          End

_________________________________

ในที่สุดก็จบไปแล้วอีกเรื่อง =w= เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แอบเขียนเร็วมาก เพราะเรื่องอื่นหน่วยจบเป็นปีหมด ฮา สงสัยเพราะใช้พลังลุงขับเคลื่อนเลยไปได้เร็ว(?)

แต่ถึงพูดว่าจบ ก็มีเขียนภาค1.5 ต่อละนะ เลยไม่รู้สึกเหมือนกับต้องร่ำลาอะไรนัก เพราะเดี๋ยวก็ต้องเจอกันอีกทีอยู่ดี ฮา

เรื่อง รวมเล่ม กับข่าวคราวเกี่ยวกับเล่ม 1.5 เดี๋ยวคนเขียนจะแจ้งอีกทีตอนสิ้นเดือนนะงับ ตอนนั้นอะไรก็เริ่มลงตัวละ ถึงตอนนั้นจะลงข่าวสารในบทความนี้กับที่หน้าเฟสอีกทีนะงับ =w=


สุดท้ายนี้ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้นะงับ =w= หวังไว้ว่าเรื่องหน้าเราจะได้เจอกันอีกเน้อ

ออฟไลน์ cowinsend

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
กรี๊ดดดดด ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆค่ัะ

ออฟไลน์ narumo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พลังลุงเคะ จงเจริญ เย้ รออ่านต่อน้า 

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
สนุกดีนะคะ ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านคะ  :mew1:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ขอบคุณที่เขียนมาให้อ่านจนจบ สนุกมากเลยค่ะ  o13

 :pig4:

ออฟไลน์ meanmena

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
แอบๆ หื่น มั้ง

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
กว่าจะยอมรับใจกัน

ออฟไลน์ tsubasa_6927

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เป็นเรื่องที่ยาวแท้ๆ จริงๆอ่านไปได้ครึ่งนึง แปะไว้ก่อนค่ะ อยากเม้นมากเลย อยากจะบอกว่าตลกตาลุงกะเนที่สุด เกิดมาชีวิตนี้ เพิ่งเคยเห็นคนที่คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว. อยู่ด้วยกันมาเป็นเดือนๆแล้ว แต่ยังคุยกันคนละความหมายเนี่ย... :katai1:
คือพวกแกคุยกันเนี่ย ไม่ได้ตะขิดตะขวงใจเลยหรอว่าความหมายของประโยคมันไม่ค่อยต่อเนื่องน่ะ :jul3: :jul3:

ออฟไลน์ agava1313

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +43/-5
กรี๊ดกร๊าดจบได้ถูกใจจริงๆค่ะ เข้ามาอ่านรอบที่ N ก็ยังอมยิ้มอยู่ดี

ออฟไลน์ Silver Fish

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-0
    • Fanpage
สนุกหลาย ลุงสุดเมพ ลุงนี่อร่อยจริงๆเนอะเน หุหุ

ออฟไลน์ abc_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ลุ้นสุดๆเลย พอจะไปได้ดีลุงฉัตรก็เข้ามาแจมป่วนซะ...-0-
นานๆจะเห็นแนวลุงเคะ หุหุ  :oo1:
 :pig4:

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
เหอะ เหอะ เหอะ มันรักกันได้ไง คุยกันเรื่องเดียวกันแต่คนล้ะความหมาย เข้าใจคนล่ะอย่าง แต่มาบรรจบกันบนเตียงจนได้สิน่า คู่นี้ รักกันแบบเข้าใจผิด แต่ก้อรักกันนะ อาวัฒน์ หลานเน... อิอิ

ออฟไลน์ แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 463
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-14
เรื่องนี้ไม่ค่อยถูกจริตเราเท่าไหร่ แต่ก็อ่านจบแล้วหละ ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะ

 :katai5: :katai5: :katai5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด