บทที่ 6
“นี่ไม่ใช่ทางไปหอเรานะ” กานต์ถามผมเสียงตื่นๆ
“เฟย” กานต์เรียกผมอีกครั้ง แต่ผมก็ยังคงนิ่งไม่สนใจ
กานต์นิ่งไปเมื่อผมไม่ได้ตอบอะไรเขา กานต์มองออกไปข้างทางบ้าง มองที่ผมบ้างหรือไม่ก็เลื่อนๆหน้าจอโทรศัพท์บ้าง คงกำลังจะหาข้อมูลเส้นทางว่าผมกำลังพาเขาไปที่ไหน
“หัวหินเหรอ” กานต์พูดขึ้นเมื่อเราเข้ามาใกล้เขตหัวหิน แม้ว่าเสียงกานต์จะดูเหมือนเป็นปกติแล้วแต่ยังมีอาการตื่นๆเล็กน้อย ผมสัมผัสได้
ผมยังคงขับไปเรื่อยๆ ในที่สุดผมก็มาจอดที่หน้าชายหาด กานต์หันมามองผมที่กำลังปลดสายเข็มขัดนิรภัยออก ผมหันไปมองเขาก่อนจะเปิดประตูลงไป
ผมยืนอยู่หน้าหาดรับไอทะเล เรามาถึงตอนบ่ายสามโมงกว่าซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น้ำลงพอดี ตอนนี้จึงมีหาดทรายกว้างลึกลงไปในทะเล ผู้คนมากมายทั้งเล่นน้ำและนั่งที่เก้าอี้ผ้าใบริมหาด ผมเหลียวหลังมองกลับไปที่รถกานต์ก็ยังคงนั่งอยู่ในรถมองมาที่ผมไม่วางตา เขาคงกำลังระแวงผมอยู่ คงคิดว่าผมจะพามาทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า ผมส่ายหัวเล็กน้อยให้กับกานต์ที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในรถ นี่ผมอุตส่าห์ทำตัวเป็นแฟนที่ดีพากเขามาเที่ยวทะเล กานต์ไม่น่าจะระแวงผมขนาดนั้น
ผมเดินกลับไปที่รถเพื่อจะไปหยิบกล้องที่เบาะหลัง ผมเปิดประตูรถด้านหลังเอือมมือไปหยิบกล้องโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับกานต์ แต่พอผมมองลอดแว่นกันแดดไปทางกระจกมองหลังเพื่อจะดูว่าตอนนี้กานต์กำลังทำหน้ายังไงอยู่ ก็พบว่าเขากำลังจ้องผมกลับมาอยู่เช่นกัน
ผมก็ยังคงทิ้งกานต์ไว้ที่รถเหมือนเดิม ระหว่างที่ผมถ่ายรูปทะเลไปเรื่อยๆผมก็ยังคงเหลียวไปมองกานต์เรื่อยๆเช่นกัน จนผมเห็นเขาขยับตัวหยุกหยิก ก้มตัวเหมือนคลำหาอะไรซักอย่าง แต่พอผมหันไปอีกทีก็เห็นกานต์เดินลงจากรถแล้วก็เดินลงทะเลไปแล้ว โดยที่ผมเห็นเขาเดินเท้าเปล่าและพับขากางเกงขึ้น เลยเข้าใจแล้วว่าที่กานต์ก้มหยุกหยิกเพราะอะไร
ผมเห็นกานต์เดินลงไปที่หาดลึกลงไปในทะเล เขาเดินไปแต่ตรงที่เป็นแอ่งน้ำขังหยุดอยู่แต่ละแอ่งนานบ้างเร็วบ้าง ทุกครั้งที่กานต์หยุดเขาจะนั่งลงเอามือคลำลงในน้ำเหมือนจับอะไรบางอย่าง ผมอดสงสัยไม่ได้เลยเดินเขาไปหากานต์ ก็เห็นเขากำลังไล่ตอนปลาที่ติดอยู่ในแอ่งท่าทางจริงจัง
“ทำอะไรอยู่กานต์” ผมถาม
“พยายามจับปลาอยู่” กานต์ตอบผมแต่เหมือนไม่ได้สนใจผมเลย
“จับไปทำไม” ผมถามต่อ
“ก็แค่อยากรู้ว่ามันเป็นปลาอะไร” กานต์ตอบผมแต่ก็ยังไม่สนใจผมเหมือนเดิม
กานต์ยังคงเดินเปลี่ยนแอ่งน้ำไปเรื่อยๆจับปูบ้างจับปลา ดูเขาจะสนุกมากแล้วก็เหมือนจะลืมเรื่องที่ระแวงผมไปแล้ว ส่วนผมก็ถ่ายนู่นนี่ไปเรื่อยๆ เดินตามกานต์บ้างหรือไม่ก็ทิ้งเขาไว้คนเดียวตอนที่เขาหยุดอยู่ที่แอ่ง เราทั้งคู่ใช้เวลาที่หน้าหาดพอสมควร ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วและน้ำเริ่มขึ้นสูงจนแอ่งน้ำขังต่างๆหายไปหมดแล้ว ผมยังคงถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินต่อไปแต่กานต์เหมือนจะหมดสนุกแล้วจึงได้แต่เดินเตะน้ำอยู่ข้างๆผม
เมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วเราทั้งคู่ก็ขึ้นจากหาด ผู้คนเริ่มบางตากว่าเมื่อตอนบ่าย ตามถนนมีไฟข้างทางสีส้มเป็นทิวแถว ผู้คนเดินกันตามถนนซื้อของกินข้างทาง ผมกับกานต์แวะไปล้างมือล้างเท้าก่อนที่จะขึ้นรถ
“โห เฟยหน้าแดงหมดเลย” กานต์ทักผม
“อืม” ผมว่า ก่อนจะส่องหน้าตัวเองกับกระจกมองหลัง
“ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” ผมชวน
“ไม่ได้แพ้อาหารทะเลใช่ไหม” ผมถามกานต์
“อาหารทะเลต่างหากที่แพ้เรา” กานต์หัวเราะกับคำพูดของเขาเอง ส่วนผมก็ส่งยิ้มกลับไปให้กานต์
ไม่นานผมก็พากานต์มาถึงร้านอาหารที่ผมจะมาทุกครั้งที่ผมมาหัวหิน สงสัยกานต์คงจะหิวมากเพราะเขาตั้งตากินไม่พูดไม่จาอะไรกับผมเลย ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นานในการจัดการกับอาหารมื้อนี้ พอผมจ่ายเงินเสร็จเราก็พากันมานั่งในรถอีกครั้ง
“ป่ะ กลับบ้านกันเถอะ” กานต์พูดเป็นเชิง ชวนผม
“ไม่อ่ะ คืนนี้เราจะนอนที่หัวหินกัน” ผมบอกกานต์ แล้วจึงสตาร์ทรถ
“เรา?” กานต์ทวนคำพูดผม
“ใช่ หมายถึงเฟยกับกานต์ เราจะค้างที่หัวหินกัน” ผมพูดกับกานต์พร้อมกับที่ผมพยายามถอยรถออกจากที่จอด
“แต่...”กานต์เริ่มจะพูด
“ป๊าเฟยมีคอนโดที่หัวหิน คืนนี้เราจะไปนอนที่นั่นกัน” ผมชิงพูดก่อน
“แต่...”กานต์เริ่มจะพูดอีกครั้ง
“ส่วนเสื้อผ้า ที่คอนโดเฟยมีให้ยืม” ผมขัดกานต์อีกครั้ง
กานต์มีสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมาอีกครั้ง และก็เหมือนเดิมเขายังคงพยายามปกปิดอาการนั้นแต่ผมก็ยังจับได้อยู่ดี ผมแวะซื้อของใช้ในห้องน้ำนิดหน่อยก่อนที่จะเข้าไปที่คอนโด กานต์เดินตามผมโดยไม่พูดอะไรตั้งแต่ลานจอดรถของคอนโดจนกระทั่งถึงห้อง
“ตามสบายเลย” ผมบอกกับกานต์หลังจากที่ผมเปิดประตูให้
“ขอบคุณ” กานต์ตอบผม
เมื่อกานต์เขาไปในห้องเขาก็มองสำรวจไปรอบๆ แล้วก็เดินไปที่ระเบียงห้อง ลมทะเลพัดเข้ามาในห้องเมื่อกานต์เปิดประตูตรงระเบียง เสียงคลื่นทะเลได้ยินชัดเจนแม้ว่าจะอยู่บนตึก ส่วนผมไปจัดการเปิดไฟตามจุดต่างๆ เอาของที่ซื้อมาไปไว้ในห้องน้ำ และโทรบอกที่บ้านว่าผมอยู่ที่หัวหินกับเพื่อน ป๊ากับแม่ไม่ค่อยเป็นห่วงผมเท่าไหร่เพราะเขาเลี้ยงผมอย่างอิสระ ผมจึงไม่มีปัญหาใดๆที่มาโดยไม่ได้บอกป๊ากับแม่ก่อน
“เฟยอาบน้ำก่อนนะกานต์” ผมบอกกานต์ซึ่งยังคงนั่งเล่นอยู่ที่ริมระเบียงเหมือนเดิม
ผมอาบน้ำเสร็จกานต์ก็ยังอยู่ที่ระเบียง ผมเดินเข้าไปหากานต์ เขาหันมามองผมครู่หนึ่งก่อนจะเบี่ยงสายตาไปทางอื่น ยิ่งผมเดินเข้าไปใกล้กานต์ก็ยิ่งดูลุกลี้ลุกลนมากขึ้น ทั้งมองผม ทั้งเบือนสายตาหนี หมุนโทรศัพท์ในมือไปมา
“อาบต่อได้เลยกานต์ ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าอยู่ในตู้ในห้องนอนนะ” ผมบอกกานต์ โดยที่มือขวาชี้ทางไปห้องนอน มือซ้ายจับผ้าขนหนูขยี้หัวตัวเองอยู่
“อือ ขอบคุณ” กานต์ตอบผมแต่เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม
“งั้นเราขอทางหน่อย” กานต์บอกผมที่ตอนนี้ยืนขว้างทางประตูอยู่ เมื่อกานต์พูดจบผมก็เบี่ยงตัวให้เขาจึงเดินผ่านผมเข้าไปในห้อง ตอนที่กานต์เดินผ่านผมไปผมรู้สึกว่าเขาดูเกร็งๆแปลก เหมือนฝืนที่จะไม่เดินมาใกล้ผม
พอกานต์อาบน้ำเสร็จเขาก็เดินตรงไปที่ระเบียงเลยพร้อมกับใช้ผ้าขนหนูขยี้หัวไปด้วย เพราะว่าผ้าขนหนูที่กานต์ใช้เช็ดหัวปิดหน้าเขาอยู่ เมื่อผมเดินเข้าไปยืนข้างๆพอกานต์เปิดผ้ามาเขาจึงตกใจ ผมหัวเราะให้กับอาการตกใจของเขา
“ทำไมยังไม่ใส่เสื้ออีก” กานต์ถามผมคิ้วขมวด
ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย และผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมกานต์ถึงได้ดูเกร็งเมื่อตอนที่เดินผ่านผมเพื่อไปอาบน้ำ เพราะว่าผมถอดเสื้ออยู่นี่เอง
“ทำไมเหรอ” ผมถามกานต์กลับ พร้อมกับก้มมองตัวเอง
“ก็ ก็ เปล่า ก็แค่ถามดู” กานต์ตอบตะกุกตะกัก
ผมแอบขำนิดๆกับอาการของกานต์วันนี้ทั้งตกใจ ทั้งระแวง พอได้ไปไล่จับปูปลาก็ลืม พอตอนนี้ก็กลับมาเกร็งๆกลัวๆผมอีก ความจริงกานต์ไม่น่าจะเกร็งกลัวอะไรผมอีกเพราะมากกว่านี้ก็เคยเห็นมาแล้วนี่
ผมกับกานต์ยืนอยู่ที่ระเบียงกันอีกพักใหญ่ๆ เหมือนกับว่าเราทั้งคู่กำลังเล่นเกมส์ใครเข้าห้องก่อนแพ้ ต่างคนต่างก้มเลื่อนโทรศัพท์ไปมา ไม่ได้คุยอะไรกันเลย กานต์ยังไม่มีท่าทีผ่อนคลายเลยแม้ว่าผมจะใส่เสื้อแล้วก็ตาม
“กานต์” ผมเรียกพร้อมกับเอามือไปแตะที่แขน
“เข้านอนกันเถอะดึกแล้ว” ผมชวน กานต์มองหน้าผมก่อนจะพยักหน้าให้เป็นคำตอบ
นี่จะนับเป็นครั้งแรกของผมได้ไหม ที่ได้นอนเตียงเดียวกับกานต์เพราะว่าเมื่อครั้งที่แล้วนั้นผมจำอะไรไม่ได้เลย
บรรยากาศบนเตียงนอนนั้นอึดอัดอย่างมาก ความรู้สึกมันไม่เหมือนเวลามานอนกับเพื่อนคนอื่นๆ มันอาจจะเป็นเพราะว่าเวลามากับพวกเพื่อนๆผมจะคุยกันสนุกสนานแม้กระทั่งตอนที่จะนอน แต่กับกานต์ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรด้วยและเขาเองก็คงไม่รู้จะพูดอะไรกับผมเหมือนกัน ตอนนี้กานต์ก็ได้แต่นอนหันหลังให้ผมส่วนระยะห่างนั้นคือห่างมาก ช่องว่างระหว่างผมกับกานต์นั้นสามารถเอาเพื่ออีกสองคนมานอนด้วยได้สบายๆ
“กานต์ หลับแล้วหรือยัง” ผมหยั่งเชิง กานต์พลิกนอนหงายแทนคำตอบ
“เป็นไงบ้างวันนี้” ผมถาม
“สนุกดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าเฟยบอกเราก่อนว่าจะมาหัวหิน” กานต์ว่า
“แต่ก็ขอบคุณนะที่พามา” กานต์เสริม
“เหรอ งั้นเฟยพามาเที่ยวอย่างนี้แล้ว เฟยขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม” ผมอยากเห็นสีหน้าขอกานต์ว่าเป็นอย่างไร เพราะอย่างน้อยก็อาจจะเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่แสงที่ลอดผ้าม่านเข้ามาก็ไม่พอทำให้ผมมองเห็นหน้ากานต์
“ได้สิ” กานต์ตอบ
“พอเปิดเรียนแล้ว กานต์ไม่ต้องมาดูเฟยซ้อมได้ไหม” ผมคิดว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่กานต์จะยอม
“เราคิดว่ามันไม่เกี่ยวกันนะเฟย” กานต์ว่า
“แล้วทำไมกานต์ต้องมาดูเราซ้อมทุกวันด้วย” ผมย้อนถาม
“เพราะว่าเราเป็นแฟนกันไง” กานต์ตอบ
ผมถอนหายใจกับคำตอบของกานต์ ผมไม่ชอบเอาซะเลยเวลาที่กานต์บอกว่าผมเป็นแฟนเขาหรือเราเป็นแฟนกัน มันเหมือนเป็นการพยายามสะกดจิตให้ผมเชื่อ ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้มันเลยทำให้ผมรำคาญ และนั่นก็รวมไปถึงทุกครั้งเวลาที่เขามานั่งดูผมซ้อมด้วย
“แต่เฟยรู้สึกอึดอัด” ผมบอกกานต์หวังอยากให้เขาเข้าใจ
“เฟยควรชินได้แล้วนะ” กานต์บอกผมเสียงเรียบ ก่อนจะพลิกตัวหันหลังให้ผม
นี่ผมคงไม่สามารถต่อรองอะไรกับกานต์ได้เลยใช่ไหม เพราะว่าคลิปวีดีโอคลิปนั้นคลิปเดียว ถ้าไม่มีมันผมคงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพอย่างนี้
“เฟยไม่อยากให้เราไปดูเฟยซ้อมขนาดนั้นเลยเหรอ” กานต์พูดขึ้น แต่ผมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
“งั้นคืนนี้เฟยนอนกอดเราหน่อยสิ” กานต์ยื่นข้อเสนอ
ขอบคุณครับ