┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดพิเศษ 02
ปีนี้ธัญญ์อายุยี่สิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว
ยังคงหล่อเหลาจับตาขนาดนี้ทั้งที่อายุก็ใกล้เลขสาม ไม่ใช่แค่โชคดีมีรูปเป็นทรัพย์ติดตัวแต่เกิดเท่านั้น ยังต้องอาศัยการดูแลอย่างสม่ำเสมอ จึงสามารถคงความอ่อนเยาว์ไว้ได้โดยไม่ถูกกาลเวลาทำร้าย ภูเมศเพิ่งเข้าใจข้อนั้นก็ตอนมาเดินซื้อสารพัดเครื่องประทินโฉมโหมหล่อของอีกฝ่าย ช่วงที่ลูกชายไปพักบ้านเดียวกับลูกสาวซึ่งอยู่กับอดีตภรรยานั่นละ
พูดแล้วก็เหมือนมาโฆษณาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของคุณผู้ชาย ควบรายการคนอวดแฟนไปด้วยในตัว แต่ช่วยไม่ได้ เจ้าเด็ก—ไม่สิ..ไม่เด็กเลย เจ้าหนุ่มข้างกายเขาวัยใกล้เลขสามเข้าไปแล้ว แต่หน้าตาอย่างกับอายุสักยี่สิบต้น ๆ เดินไปไหนมาไหนต้องมีสาวมองตามจนเหลียวหลังให้หึงเล่นบ่อยครั้ง นานทียังมีผู้ชายจ้องตาลุกวาวด้วยซ้ำ ถึงพอจะนับเป็นเรื่องให้ภูมิใจ แต่ก็น่ากลัวจะได้หวงจนอกแตกตายเข้าสักวัน
เพราะท่าทางไม่ได้คล้ายหนุ่มสำอางรักงามสักนิด ตอนแรกจึงคิดว่าคงมีแค่บำรุงผิวหน้านิดหน่อยพอหอมปากหอมคอตามประสาผู้ชายทั่วไป ลุแก่ความโง่วันนี้เองตอนไปเดินซื้อของด้วยกัน ว่าหน้าหล่อ ๆ นั่นไม่ใช่ของได้เปล่า ต้องผ่านการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี...ดีมาก ๆ
ยิ่งหลังจากพวกเขากลับมาอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข คล้ายว่าฝ่ายนั้นหันมาใส่ใจตัวเอง (และใส่ใจแกมบังคับเขาใช้ของบำรุงอะไรต่อมิอะไรด้วย) มากกว่าเก่า สารพัดครีมที่ของเก่าก็เยอะอยู่แล้วยิ่งเยอะขึ้นไปอีก พอเขาทำหน้าบื้อ ๆ ใส่กระปุก ขวด สเปรย์ และสารพัดสิ่งประทินผิวของเจ้าตัว ธัญญ์กลับยักไหล่เหมือนว่าไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก เมื่อก่อนก็ทำอย่างนี้ปกติอยู่แล้ว ติดที่มีเรื่องราววุ่นวายใหญ่โตช่วงก่อนหน้าจึงละเลยไปบ้าง ตอนนี้ชีวิตมีความสุขดี จะกลับมาใส่ใจเรื่องพวกนี้บ้างก็ธรรมดา
ว่าแล้วยังหยิบครีมอะไรไม่รู้มาป้ายที่หลังมือเขา ทา ๆ ถู ๆ เสร็จก็ก้มลงทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่น สาแก่ใจแล้วค่อยคลี่ยิ้มโดยไม่ถามความเห็นคนถูกใช้เป็นที่ลองครีมสักคำ บอกแค่ว่าอันนี้ดี เอาไว้จะซื้ออีก
นึกได้ขึ้นอย่างหนึ่ง ที่ธัญญ์เคยบอกไว้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองเป็นคนเอาแต่ใจมาก ภูเมศเริ่มคิดว่าจะถึงขั้นไหนกันนะ แต่สงสัยจะไม่ใช่แค่ขู่
วันนี้เมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องสารพัดผลิตภัณฑ์สำหรับคุณผู้ชายขึ้นมา ขณะช่วยธัญญ์แยกของซึ่งเพิ่งซื้อเข้าบ้าน เจ้าตัวก็ไม่รู้นึกอะไร วางมือลงแล้วนั่งจ้องหน้าเขาเขม็ง จ้องจนเหมือนจะเก็บรายละเอียดทุกรูขุมขน
เขากระแอมแก้เก้อ มือไม้เกะกะจนหาที่วางไม่ถูกชอบกล ถูกคนตาสวย ๆ อย่างนั้นมองแบบเปิดเผยโดยไม่ยอมบอกสาเหตุ ให้หน้าด้านอย่างไรก็ต้องมีประหม่ากันบ้าง
“มีอะไรติดหน้าฉันรึไง”
“คุณ” ธัญญ์พึมพำ เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมอ่อน ๆ เย้ายวนโชยเตะจมูก
ฝ่ายนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือไล้เบา ๆ เหนือริมฝีปากเขา นัยน์ตาดำขลับมองนิ่งไม่กะพริบสักนิด
“...อะ...อะไร”
“โกนหนวดดีไหมครับ?”
จะบ้าตาย! แค่พูดเรื่องโกนหนวดจำเป็นต้องทำตาใสให้คนอื่นเขาเขินขนาดนี้ไหม
“เพิ่งโกนไปเอง”
“โกนไม่เกลี้ยงนี่นา แถมขึ้นใหม่เป็นตอแล้ว” ธัญญ์งึมงำในคอ ใช้ปลายนิ้วยาว ๆ ดันคางเขาให้หันหน้าซ้ายขวา ดูคาใจกับตอหนวดหร็อมแหร็มที่บางทีเขาก็โกนไม่ทั่วบ้างอะไรบ้าง “มันจักจี้นะ เวลาคุณ—”
พูดแค่นั้นแล้วก็ชะงัก ไม่ยอมออกเสียงต่อ แก้มแดงขึ้นมาอย่างน่าเอ็นดู
เขานั่งเอ๋อไปอึดใจหนึ่ง ค่อยพอเดาได้จากท่าทางและประโยคตอนต้นก่อนสัญญาณจะขาดหาย คิดได้แล้วให้ใจเต้นตึกตัก
มิน่าเล่า ตอนนั้นเคยมีวันที่ไม่ได้โกนหนวด พอฝังครึ่งปากครึ่งจมูกลงไปบนแก้มธัญญ์ ฝ่ายนั้นก็ทำเสียงหงุงหงิงอยู่ในคอแล้วหาเรื่องผละออก แต่ไม่ยักชี้แจงสาเหตุ ที่แท้ก็..
“ไหนเคยบอกว่าไม่ได้บ้าจี้ไง” เขากระเซ้า
แก้มแดง ๆ นั่นดูจะขึ้นสีจัดกว่าเก่า ทั้งที่เจ้าตัวยังใช้วิชากล้ามเนื้อหน้าอัมพาตอยู่ได้ นิ่งสนิทเว้นแต่เห็นสีเลือดฝาดชัดเจนบนผิวนั่นเอง เป็นเสียอย่างนี้จะไม่ให้มันเขี้ยวความขี้เก๊กจนอยากจับฟัดวันละหลาย ๆ หนได้อย่างไร
“มันเหมือนกันที่ไหน” สุดท้ายธัญญ์ก็อุบอิบออกมาจนได้ “คุณลองเอาแปรงสีฟันขนบาน ๆ ถูแก้มตัวเองดูสิ”
กะ...ก็แค่ตอหนวดเอง บางทีมีลืมโกนบ้างแต่ก็ไม่เคยถึงกับปล่อยรกหน้า เพราะต้องแต่งตัวเป็นทางการทำงานเข้าออกบริษัทพบปะผู้คน โดนเปรียบเทียบหนวดบนหน้าเป็นแปรงสีฟันขนบาน ๆ นี่มันออกจะสะเทือนหัวใจหนุ่มวัยใกล้สี่สิบอยู่นิดหน่อย ถึงกับเผลอยกมือลูบรอบปากตัวเองอย่างวิตกจริต
ขณะที่ยังมัวแต่อึ้งจนไม่ทันได้ต่อความยาว ธัญญ์ก็ลุกขึ้นยืน มือหนึ่งคว้าผลิตภัณฑ์อะไรไม่ทราบได้ที่เพิ่งซื้อมาสองสามอย่าง อีกมือดึงเขาให้ลุกตาม กึ่งดึงกึ่งลากไปทางห้องน้ำ ยกเก้าอี้ไปวางไว้หนึ่งตัว จากนั้นย้อนกลับมาผลักเขาเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูตามหลังอย่างกับจะพามาทำมิดีมิร้าย
“ล้างหน้าก่อนครับ” ปากสั่งเสียงเรียบ ส่งโฟมล้างหน้ายี่ห้อโปรดของเจ้าตัวให้เขาจัดการตัวเอง
ถึงจะยังงง ๆ แต่ก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ขณะหลับตาวักน้ำใส่หน้า ได้ยินเสียงน้ำไหลจากอีกด้าน เหลือบมองไปเห็นธัญญ์กำลังรองน้ำอุ่นใส่กะละมังใบเล็ก
เมื่อธัญญ์ยกกะละมังจิ๋วนั่นกลับมาทางนี้ เขาก็ล้างหน้าเสร็จพอดี
ตามมาด้วยคำสั่งที่สอง
“ทีนี้คุณนั่งนิ่ง ๆ”
ว่าพลาง เขย่งขึ้นนิดหน่อย กดไหล่เขาให้ย่อตัวลงหย่อนก้นบนเก้าอี้
ไม่เปิดโอกาสให้ได้อ้าปากซักไซ้ ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นถูกจับโปะเข้ามาเต็มหน้าอย่างกับจะแกล้ง
เขาดึงผ้าลง เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ทว่าธัญญ์เพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ อย่างน่ารัก ดูอารมณ์ดีเหลือประมาณ หลังจากแกล้งโปะผ้าเข้ามาจนน้ำหยดเต็มเสื้อเขาแล้ว จึงค่อยเปลี่ยนเป็นใช้ผ้าขนหนูผืนเดิมซับนุ่มนวลบนผิวหน้า ท่าทางตั้งอกตั้งใจ น้ำหนักมือที่กดลงมาไม่มากไม่น้อย อุณหภูมิของน้ำอุ่นชุ่มผ้าทำเขาแทบเคลิ้ม
ซับบ้างนวดบ้างอยู่เป็นสิบนาทีเห็นจะได้ ธัญญ์ค่อยเลื่อนปลายนิ้วหัวแม่มือไปตามแนวไรหนวดบนใบหน้าเขาอีกหน ส่งเสียงอืมในลำคออย่างพออกพอใจ จากนั้นละเลงครีมโกนหนวดที่เพิ่งซื้อมาลงเต็มครึ่งหน้าด้านล่างของเขา กระซิบเสียงทุ้มต่ำข้างหู
“อยู่นิ่ง ๆ ทำตัวเป็นคุณลุงที่น่ารักสักแป๊บนะครับ”
ได้ยินแล้วไม่รู้ควรดีใจหรือเสียใจมากกว่ากัน แต่เห็นรอยยิ้มละลายใจสุด ๆ นั่นของธัญญ์ เขาจะทำอะไรได้นอกจากยอมเป็นตาลุงว่าง่าย นั่งนิ่งให้จับโกนหนวดแต่โดยดี ชี้ซ้ายเป็นซ้าย ชี้ขวาเป็นขวาแบบหมดข้อโต้แย้ง
ธัญญ์ดูอารมณ์ดีเอามากจริง ๆ ครู่หนึ่งก็ถึงขั้นฮัมเพลงออกมา เรียกพี่ได้ไหมแล้วจะให้ค่าขนมหมื่นห้าอะไรสักอย่างที่เคยไปได้ยินชายตาบอดร้อง คราวนี้กลับมาหลอกหลอนอีกครั้งแบบรีอะเรนจ์ผ่านเสียงทุ้มต่ำนุ่มหูของธัญญ์ แต่ไม่ยักรู้ว่าร้องเพลงไม่ได้เรื่องจนขนาดฟังอย่างลำเอียงให้เต็มที่ ก็ยังเหมือนฟังเสียงสวดมนต์มากกว่าร้องเพลง
พอเขาจะหลุดขำเต็มแก่ (ทั้งขำเสียงธัญญ์และขำเจืออนาถตัวเองที่เหมือนจะโดนแกล้งไม่จบไม่สิ้น) เสียงเพลงเหมือนบทสวดนั่นก็ชะงัก ธัญญ์ใช้ตาดำ ๆ จ้องเป๋งประหนึ่งกำลังคาดโทษ มือข้างหนึ่งถือมีดโกนหนวดโบกไปมา อีกข้างยึดคางเขาไว้แน่น
“ยุกยิก”
ยังมีหน้ามาบ่นเขาอีก
“เมื่อยนี่” เขายักไหล่ เถียงข้าง ๆ คู ๆ ไปอย่างนั้น ความจริงไม่เมื่อยสักนิด ต้องสารภาพว่าเพลินมากต่างหากถึงจะถูก
ยิ่งเห็นใบหน้าคนรักในระยะใกล้ ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มนี่หล่อเหลือเชื่อเอาจริง ๆ ผิวหน้าเนียนหมดจดจนอดไม่ได้ต้องยื่นมือไปลูบแผ่วเบา หลังมือคลอเคลียอยู่บนผิวเรียบลื่น แต่พอใบมีดโกนหนวดโฉบเข้ามาในลานสายตาคล้ายจะเตือนว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ ก็ได้แต่ถอยออกมาอย่างอ้อยอิ่ง ระหว่างละมือยังไม่วายไล้แผ่วเบาจนสุดปลายนิ้วอย่างแสนเสียดาย
“อีกนิด” ธัญญ์ว่า คงเห็นว่าปลายนิ้วเขาแฝงความอาลัยอาวรณ์เหลือประมาณ จึงยื่นหน้าเข้ามางับข้อนิ้วสุดท้ายของเขาเข้าให้หนึ่งหน จงใจแกล้งอีกแล้วแบบไม่ต้องสงสัย
ช่างยั่วจริง ๆ ให้ดิ้นตาย!
“แค่นิ้วหรือไง เป็นเด็กน้อยจริง ๆ” เขาข่มใจ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ขอใช้โควต้าของคนอายุมากกว่าให้เกิดประโยชน์ ด้วยการทำหน้าเจนโลก มองอีกฝ่ายเหมือนมองเด็กไม่ประสีประสา พลางชี้ที่ริมฝีปากตัวเองที่รอบ ๆ ยังเต็มไปด้วยครีมโกนหนวด พูดต่อแบบหน้าด้านสุดชีวิต “อยากยั่วจริงก็กล้า ๆ หน่อยไอ้หนู”
เขารอลุ้นว่าอีกฝ่ายจะยื่นหน้าเข้ามาจูบตามคำท้าหรือเปล่า ทว่าธัญญ์นิ่งไปครู่ใหญ่ จากนั้นแก้มสองข้างค่อยอูมขึ้นน้อย ๆ น่ารักจนเขาแทบเสียจริตลงไปดิ้นกับพื้นอยู่รอมร่อ ต้องกลั้นยิ้มเก๊กขรึมอย่างลำบากยากเย็นเต็มที ยิ่งเมื่อเห็นแก้มอูม ๆ นั่นเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ โพรงจมูกเขาก็ชักร้อนอย่างไรพิกล
มัวรอคนช่างยั่วแต่เขินเองประจำแล้วมันไม่ทันใจ สุดท้ายจึงได้ยื่นหน้าไปละเลงครีมโกนหนวดที่พอกอยู่รอบปากกับใบหน้าอีกฝ่ายอย่างสุดแสนมันเขี้ยว จงใจเอาตอหนวดถูแก้มเจ้าคนขี้แกล้งที่อ่อนกว่าเขาตั้งเป็นสิบปี ถือเสียว่าแกล้งมาแกล้งกลับไม่โกง
ธัญญ์หดคอหนี จากหางตาเห็นใบหูแดงแจ๋เหมือนกำลังจะลุกไหม้ ขยับตัวหยุกหยิกแต่ไปไหนไม่ได้เพราะโดนเขากอดหมับเอาไว้เรียบร้อย
ประเดี๋ยวเดียว ผิวเนียน ๆ ของเจ้าตัวก็เต็มไปด้วยครีมโกนหนวดของเขา แต่สาแก่ใจตาลุงที่เจ้าตัวชอบล้อเลียนเสียที่ไหน ต่อให้ครีมเลอะเทอะเต็มหน้าอย่างไรเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ ซ้ำยังยิ่งเอาตอหนวดเข้าถูไปมาอย่างได้ใจเสียอีก
ที่ผิดคาดคือเมื่อแกล้งหนักเข้า อีกฝ่ายถึงกับตัวอ่อนยวบในอ้อมแขนเขาไปเลยนี่แหละ
“งื้อ”
งื้อ?
ไม่อยากจะเชื่อหู เจ้าคนหน้านิ่งส่งเสียง ‘งื้อ’ ออกมาอย่างกับลูกแมว อยู่ด้วยกันมาเป็นปี ๆ ไม่ยักเคยได้ยินมาก่อน แต่แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่เคยปล้ำเอาหนวดถูแก้มอีกฝ่ายอย่างกับเป็นไอ้โรคจิตหนักขนาดนี้มาก่อนเช่นกัน
มีดโกนหนวดหล่นอยู่บนพื้นแต่ไม่มีใครสนใจเก็บ
ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม หรี่ตามองตัวแสบที่คู้หลังอยู่ในอ้อมแขน เริ่มสงสัยว่าที่มาบังคับจับเขาโกนหนวดนี่คงไม่ใช่แค่เพราะจักจี้อย่างเดียวเสียแล้ว...
เมื่อมีสมมติฐาน ก็ต้องพิสูจน์
คิดเออออกับตัวเองเช่นนั้นแล้ว จึงสวมวิญญาณตาลุงโรคจิตอีกหน ถูแก้มตัวเองตรงที่ยังมีหนวดเป็นตอให้เกลือกไปทั่วหน้าอีกฝ่าย
“อ๊ะ!”
คราวนี้ธัญญ์ถึงกับร้องเสียงหลง ทรุดลงมานั่งคร่อมบนต้นขาเขาด้วยท่วงท่าล่อแหลมซึ่งไม่กล้าฟันธงว่าเจตนาหรือไม่...แต่ก็ไม่เลวนักหรอก..เขาคิดในใจพลางถูไถใบหน้าต่อ
“...คุณ!” รู้ตัวว่าเล่นสนุกมากไป ก็ตอนอีกฝ่ายโพล่งออกมาอีกพยางค์ “ลุง!”
โอย มันร้าว
ตอนที่กำลังสำนึกว่าหยุดแกล้งดีกว่า เกือบปล่อยมือแล้ว กลับรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ดุนดันอยู่บนต้นขาตัวเอง
เมื่อก้มลงมองไปยังต้นตอ ธัญญ์ที่ลุกหนีไม่สำเร็จเพราะติดมือเขาคล้องรอบเอวไว้ก็ยิ่งคู้ตัวลงกว่าเก่าเหมือนจะปกปิดการเปลี่ยนแปลงนั้น หน้าตาแดงเถือกไปถึงไหนต่อไหน
ครั้นเอื้อมมือลงไปกุมส่วนที่โป่งพองผ่านเนื้อผ้านั้นไว้ อีกฝ่ายก็สะดุ้งโหยง
“นี่...” เขาพึมพำ “..เพราะหนวดหรือ?”
ฝ่ายนั้นเอาศีรษะโหม่งคางเขาทีหนึ่งแทนคำตอบ
เขาหัวเราะ ทั้งเขินทั้งเอ็นดูท่าทางคนรัก กระชับวงแขนรอบตัวอีกฝ่ายไว้แน่นขึ้นอีก “แล้วอย่างนี้จะมาบอกว่าเหมือนเอาแปรงสีฟันขนบาน ๆ ถูหน้าไม่ได้นะ”
“เหมือนกันนั่นแหละ” ธัญญ์ตัดพ้อเสียงอู้อี้
“เอาแปรงถูหน้าแล้วเธอจะแข็งแบบนี้หรือไง”
ถูกโหม่งปลายคางอีกทีโทษฐานพูดจาวิตถาร แต่ตรงส่วนนั้นของคนโหม่งก็ยังขยายขนาดขึ้นอีกในอุ้งมือเขา เมื่อล้วงผ่านขอบกางเกงเข้าไป สัมผัสร้อนผ่าวจากผิวเนื้อและส่วนปลายที่เริ่มชื้นทำเขาใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“แบบนี้ก็แย่สิ” เขางึมงำเสียงแหบพร่า “เป็นอย่างนี้ใครจะไปมีแก่ใจโกนหนวดกันล่ะ”
ว่าพลางขยับมือ ดึงทั้งกางเกงและชั้นในอีกฝ่ายลงมากองอยู่ตรงเข่า พอทำท่าจะอิดออดเขาก็เอาหน้าถูไถเบา ๆ ไปทีหนึ่งค่อยว่าง่าย วาดสองมือเกี่ยวรอบต้นคอเขาแทนที่ยึดเกาะ ถึงกับทำเสียงน่ารักแบบที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อย ๆ ออกมาให้คนฟังใจเต้นตึกตัก
“หึ ๆ”
แม้แต่เสียงหัวเราะในลำคอของตัวเองก็ยังฟังเหมือนไอ้โรคจิตจนละอายแก่ใจอยู่นิดหน่อย
แค่นิดหน่อยเท่านั้นแหละ...
เขาเอี้ยวตัวจูบธัญญ์ที่ข้างขมับซ้ำ ๆ ละเลงครีมโกนหนวดจนเละเทะอย่างได้ใจ
เริ่มคิดว่าเลี้ยงหนวดเป็นตอไว้เอาคืนเจ้าคนขี้แกล้งท่าจะดีเหมือนกัน
“ช่วงนี้คุณพ่อหน้าตาสดใสจังนะครับ”
ผ่านไปราวสามเดือน ขนาดเจ้าลูกชายยังเอ่ยทัก
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็โดนบังคับให้โกนหนวดจนเรียบเกลี้ยง ตามด้วยสารพัดครีมบำรุงผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้นยังถูกลากไปออกกำลังกายบ่อย ๆ เมนูอาหารที่บ้านก็เต็มไปด้วยอาหารสุขภาพที่ชักจะหรูหราขึ้นทุกที ฝีมือที่ได้รับการถ่ายทอดจากคนที่ธัญญ์กับเจ้าหนุ่มพนักงานเสิร์ฟร้านกุหลาบขาวเรียกว่า ‘ตาลุงผี’ นั่นประมาทไม่ได้เลย
เขาพิจารณาเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก...จะว่าอย่างไรดี...แม้อาจฟังดูหลงตัวเองอยู่นิด ๆ แต่ก็เหมือนจะดูดีขึ้นจริง ๆ นั่นละ ทั้งผิวพรรณ รูปร่าง และบุคลิก
แน่ชัดว่าคงไม่ใช่แค่คิดไปเอง ก็ตอนธัญญ์ชูกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก ๆ ลายกระต่ายน้อยสีหวานแหววแผ่นหนึ่งขึ้นมาต่อหน้าเขาด้วยท่าทางนิ่งสงบ
ด้วยความสัตย์จริง ถึงจะยังมองไม่ถนัด แต่เขาไม่คุ้นกระดาษแผ่นนั้นแม้แต่น้อย กระทั่งลายมือที่เขียนอยู่ก็เช่นกัน ไม่รู้ว่าธัญญ์เอามาให้ดูอย่างนี้มีความหมายอะไรแอบแฝง
“มันอยู่ในกระเป๋าเสื้อคุณ” ธัญญ์เฉลย ยื่นกระดาษเข้ามาใกล้อีกหน่อย
ตอนนั้นจึงได้เห็นชัด ๆ ว่าบนกระดาษมีชุดตัวเลขที่คงจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์ เขียนไว้ด้วยลายมือน่ารักเหมือนลายมือผู้หญิง ต่อท้ายด้วยประโยค ‘แล้วโทรมานะคะ จะรอค่ะ’ ตามด้วยลงชื่อเจ้าของลายมือว่า ‘แอปเปิ้ล’
เขาอ้าปากหวอ พยายามนึกแทบตายว่าเจ้าสิ่งนี้มาโผล่ในกระเป๋าเสื้อเขาได้อย่างไร แล้วแอปเปิ้ลนี่เป็นใครกัน ครู่หนึ่งจึงย้อนความไปได้ถึงงานพบปะของบริษัทเมื่อไม่กี่วันก่อน เหมือนจะมีหญิงสาวตัวแทนจากบริษัทคู่ค้าชื่อนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่เห็นรู้ว่ากระดาษนี่มาโผล่ในกระเป๋าเขาตอนไหน
เมื่อก่อนเคยโดนธัญญ์ล้วงกระเป๋าเอาของไปแล้ว หรือคราวนี้จะถูกสาวล้วงกระเป๋าเอาอะไรยัดใส่ คิดไปก็อาจพอมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน
“แอปเปิ้ลนี่อร่อยไหมครับ” ธัญญ์ว่าเสียงเรียบ พลิกกระดาษไปมา “คุณชอบแอปเปิ้ลหรือเปล่า”
น่ากลัวจริง ๆ
“ฉันไม่รู้มันมาโผล่ในกระเป๋าได้ไง” เขาร้อนตัว รีบแก้ต่างเป็นพัลวัน “จริง ๆ นะ เพิ่งนึกชื่อเขาออกเมื่อกี้นี้เองด้วยซ้ำ”
ธัญญ์มองเขาพลาง เอียงคออย่างน่ารัก แต่เป็นความน่ารักที่ดูอันตรายแปลก ๆ
ครู่หนึ่งเจ้าตัวก็ถอนหายใจเฮือก ส่งยิ้มน้อย ๆ กึ่งขำกึ่งอ่อนใจ
“เชื่อครับ” อีกฝ่ายว่า “เชื่อคุณ แต่กับคนอื่นก็อีกเรื่อง”
พูดจบก็มองเขาอย่างพินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า ช่วงเวลาแบบนี้อย่างกับลูกแมวเหมียวที่จู่ ๆ ก็แปลงร่างเป็นเสือ
“สงสัยจะบำรุงดีไปหน่อย” วันนั้นได้ยินธัญญ์พึมพำทำนองนี้ซ้ำ ๆ อยู่สองสามครั้งเห็นจะได้ “หล่อไปสินะ”
หลังจากนั้น อีกฝ่ายก็ดูจะลดความพยายามในการแต่งหล่อเขาลงอย่างมีนัยสำคัญ ปล่อยเขาดำเนินการดูแลหนังหน้าตัวเองด้วยมาตรฐานที่เตี้ยลงระดับหนึ่ง
เว้นก็แต่เรื่องตอหนวดนี่ละที่ยอมไม่ได้เลยจริง ๆ โผล่มาเมื่อไรเป็นจับโกนเมื่อนั้น
ไม่กี่วันถัดมา ภูเมศลูบผิวบริเวณคางและเหนือริมฝีปากเนียนเกลี้ยงของตัวเองหลังใช้อาฟเตอร์เชฟ พลางยิ้มผ่านกระจกให้กับธัญญ์ที่ยืนมองอยู่ข้างหลัง
เห็นหน้าตาท่าทางที่มาด้อม ๆ มอง ๆ แล้วนึกรักใคร่ขึ้นมาเต็มอก เขายิ่งฉีกยิ้มกว้างพลางกวักมือเรียกฝ่ายนั้น
ธัญญ์เดินเข้ามาหาอย่างว่าง่าย กอดเอวเขาไว้จากข้างหลัง ซบหน้าผากลงมาเหมือนจะอ้อนอยู่เงียบ ๆ
เขากระหยิ่มยิ้มย่อง เอื้อมมือไปลูบผมคนข้างหลังที่คล้ายคืนร่างเป็นลูกแมวในที่สุด
“ผลไม้เย็นนี้มีแอปเปิ้ลล่ะ” ธัญญ์งึมงำกับแผ่นหลังเขา “จะหั่นเป็นชิ้น ๆ ไว้รอนะครับ”
ไอ้ตรง ‘จะหั่นเป็นชิ้น ๆ’ นี่ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าทำเสียงน่ากลัวพิกล
ครั้นเหลียวไปมองด้วยความสงสัย คนพูดกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
หลังจากนั้น แม่สาวนามแอปเปิ้ลก็หายไปจากการพบปะระหว่างบริษัทคู่ค้า เห็นภาคีผู้เป็นเจ้านายโคลงศีรษะน้อย ๆ พลางยิ้มอ่อนใจ ส่งรายชื่อคนที่เขาต้องไปพบชุดใหม่มาให้แทน
“ระวังหน่อยสิ” เจ้านายเตือน ไม่ระบุชัดเจนว่าหมายถึงเรื่องอะไร แต่สบตาเป็นนัยคล้ายรู้กัน
ภูเมศเริ่มระแคะระคายว่าตัวเองคงอยู่กลางดงเสือเป็นแน่แท้
แต่เมื่อคิดถึงคนที่เดี๋ยวเสือเดี๋ยวแมวซึ่งเย็นนี้จะ ‘หั่นแอปเปิ้ลเป็นชิ้น ๆ’ รอเขาอยู่ที่บ้าน ก็เผลอส่งรอยยิ้มเพ้อฝันให้กับดินฟ้าอากาศ ลูบคางเกลี้ยงเกลาของตัวเองจากการถูกบังคับโกนหนวดทุกวันไปด้วย
ถึงเป็นเสือก็ออกจะน่ารักไม่ใช่หรือไง
ทั้งน่ารักและเอาแต่ใจมาก ๆ เลยเสียด้วยสิ
-------------------------
งวดพิเศษค่ะ ให้เขาหวาน ๆ ตะมุ้งตะมิ้ง (รึเปล่านะ) กันบ้างเนอะคะ ฮา
พอเขียนจบแล้วก็คิดถึงเรื่องนี้จัง แล้วไว้พบกันงวดพิเศษถัด ๆ ไป ตามโอกาสค่ะ ม้วฟฟฟฟ *กอดก่ายคนอ่าน*