┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 28
แม้จะถอดท่อช่วยหายใจได้เร็ว ทั้งร่างกายของธัญญ์ยังฟื้นตัวอย่างน่าประทับใจ จนอาจนับเป็นของขวัญที่สงวนไว้เฉพาะสำหรับคนวัยหนุ่มสาว ใช้เวลาไม่นานอาการก็เสถียรในระดับที่แพทย์อนุญาตให้เข้าห้องพิเศษได้ แต่สุดท้ายกลับมีแนวโน้มจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกเป็นสัปดาห์ ด้วยเกิดภาวะแทรกซ้อนเรื่องปอดอักเสบติดเชื้อ ผลพวงจากการสำลักน้ำเข้าไปไม่น้อย ต้องอยู่ให้ยาฆ่าเชื้อทางหลอดเลือดดำกันอีกพักใหญ่
อาจนับเป็นโชคดีอย่างหนึ่ง ที่สามารถยุติการช่วยเหลือจากเครื่องช่วยหายใจได้ก่อนพร้อมภูมิจะมาเยี่ยมคุณพี่เลี้ยงคนโปรดเพียงไม่กี่ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นเจ้าลูกชายมาเห็นสภาพธัญญ์เข้า มีหวังคงได้ร้องไห้โฮออกมาเป็นแน่ ขนาดมาเจอตอนถอดท่อช่วยหายใจออกแล้ว สายให้อาหารทางจมูกก็เช่นกัน เหลือเพียงสายน้ำเกลือไม่กี่เส้น นอนลืมตาแป๋วอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤติ เตรียมย้ายออกได้ในไม่ช้า พร้อมภูมิก็ยังทำตาแดง ๆ ขอบตารื้นน้ำ ปลายจมูกพลอยแดงไปด้วย ส่งเสียงสูดน้ำมูกกลบเกลื่อน เกือบจะถลาเข้าไปกอดพี่ธัญญ์ของตัวเอง แต่โดนห้ามไว้ก่อนจากผู้เป็นพ่อ
“พี่ธัญญ์ยังไม่ฟื้นตัวดี” ชายหนุ่มให้เหตุผล “อีกอย่างคุณพยาบาลบอกด้วยว่าไม่ควรให้เด็กมาเยี่ยมในนี้ เดี๋ยวจะกลับไปไม่สบาย นี่ต้องอาศัยเส้นสายนิดหน่อยจากเจ้านายเชียวนะ”
เด็กน้อยพยักหน้าอย่างว่าง่าย จมูกแดง ๆ ครู่หนึ่งก็กลับมาเป็นปกติ ธัญญ์มองทั้งรอยยิ้มน้อย ๆ ลักยิ้มบนแก้มซ้ายที่เขาแสนคิดถึงผุดขึ้นเหมือนว่าเป็นไปโดยไม่รู้ตัว
ภูเมศเห็นอย่างนั้น อดนึกระแวงไม่ได้ ว่าคงกำลังคิดว่าเจ้าลูกชายเข้มแข็งกว่าคนพ่อเสียอีกแน่ ๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เอาจริง ๆ ปฏิเสธไม่ออกว่าวันก่อนตอนยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับธัญญ์หรือเปล่า ตัวเองร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอย่างกับคนเสียสติ แต่แน่นอนว่าเขาไม่ถือเป็นเรื่องขาดความสมเหตุสมผลแต่อย่างใด แค่คิดว่าหากธัญญ์เป็นอะไรไปจริง หากตามไปไม่ทัน หากธเนศไม่ควานหามีดพกแล้วพยายามเริ่มต้นตัดเชือกนั่นก่อน เขาเองลงไปมือเปล่าอย่างนั้นคงไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ไม่กล้าจินตนาการถึงความสูญเสียเลย
ถ้าช่วยเอาไว้ไม่ได้ ถ้าไปไม่ทัน ถ้า...ถ้า...ถ้า....มีแต่ความคิดน่ากลัวที่ชวนให้รู้สึกว่าคงจะต้องเสียใจไปจนวันตายลอยอยู่เต็มหัว
แต่คนที่เป็นห่วงแทบตายก็มานอนอวดลักยิ้มอยู่ตรงนี้แล้ว
ใบหน้ามีสีเลือดฝาด ดวงตาดำสนิทกระจ่างใสกว่าเมื่อวานมาก ผมเผ้ายุ่งไปหมดแต่กลับคิดว่าแบบนี้ก็น่ารักดี ริมฝีปากยังแห้งผากอยู่นิดหน่อย แต่อีกไม่นานคงกลับไปอิ่มเต็มเหมือนเก่า จะดูแลให้กลับมาเหมือนเดิม...ไม่สิ...ให้ดีกว่าเดิม ให้สดใสกว่าเดิมแน่ ๆ
เขามองลูกชาย ที่เมื่อตั้งตัวได้แล้ว ก็เริ่มออกปากเล่าเรื่องค่ายของทางโรงเรียนให้ฟังเป็นคุ้งเป็นแคว ไปไหนมาบ้าง ทำอะไร เล่นอะไร ตอนไหนสนุก ตอนไหนน่าเบื่อ ยิ้มเล็กยิ้มน้อยตอนบอกว่ามีของฝากด้วยละ แต่ตรงนี้ไม่สะดวก เดี๋ยวค่อยเอาให้ทีหลัง
ธัญญ์ผงกศีรษะรับเป็นครั้งคราว สีหน้าอ่อนโยน ทั้งที่ดูให้ความสนใจกับเด็กชายเต็มที่ แต่มือข้างหนึ่งก็ยังยื่นออกมาทางเขาเงียบ ๆ ปลายนิ้วเกี่ยวกันหลวม ๆ แต่เมื่อเขากุมมือนั้นเอาไว้ อีกฝ่ายก็กระชับนิ้วมือกลับ จากนั้นเกาะหนึบไม่ยอมปล่อยอีกเลย
ให้ตายเถอะ น่ารักจนหัวใจจะไม่ไหวเอาจริง ๆ นั่นละ ขนาดยังไม่ทันได้ทำอะไรมากมายเลยแท้ ๆ เขาทั้งรอคอยทั้งกลัวใจอีกฝ่ายตอนหายดีกลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้งจริง ๆ จะอ้อนขนาดไหนกันนะ ถ้าเขากลายเป็นตาแก่หื่นกามที่จ้องแต่จะกระโจนใส่แค่โดนลูกไม้นิด ๆ หน่อย ๆ ของฝ่ายนั้นจะทำอย่างไรดี
ความคิดลามกจกเปรตผิดที่ผิดเวลานั้น ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคุณพยาบาลคนเดิม เพิ่มเติมคือสายตาละเหี่ยแกมหมั่นไส้ ดูจะเริ่มทำใจกับเขาที่แจ้นมารอหน้าประตูตั้งแต่เปิดให้เยี่ยมผู้ป่วยรอบเช้า จากนั้นก็รอที่เดิมเป็นคนแรกอีกเมื่อถึงเวลาเปิดให้เยี่ยมผู้ป่วยรอบเที่ยง และเช่นเดิม รอบเย็นก็มาเสนอหน้ารอเป็นคนแรกเช่นกัน
เท่านั้นไม่พอ เย็นนี้ยังพ่วงลูกชายช่างจ้อมาด้วย ทั้งที่เด็กไม่ควรมาเยี่ยมในนี้ ภาคี—หรือไม่ก็เงิน—ดูจะมีอำนาจกว่าที่คิด ผู้เป็นเจ้านายติดต่อกับหัวหน้าพยาบาลประจำหอผู้ป่วย จากนั้นคุยโทรศัพท์กับใครสักคนแค่ไม่กี่ประโยค ก็ได้รับอนุญาตว่าปล่อย ๆ เข้ามาเถอะ แค่สักครู่หนึ่งก็ยังดี ก่อนจะขอตัวไปจัดการธุระของตัวเอง
คงเป็นเรื่องงานศพ
หดหู่ขึ้นมาเมื่อนึกได้ถึงเรื่องนี้
คุณธเนศคนนั้น ดูเหมือนธัญญ์จะยังไม่รู้ว่าได้จากไปแล้ว ธัญญ์เองก็ยังไม่ถามถึงสักคำ แต่อย่าเพิ่งบอกตอนนี้น่าจะดีกว่า คนที่เหมาะสมจะพูด ไม่แน่ใจว่าควรเป็นเขาหรือภาคี ในเมื่อฝ่ายนั้นเองก็มีศักดิ์เป็นพี่ชาย ถือเป็นคนในครอบครัวมาก่อนแม้ไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด
แต่จะใครก็ช่าง หากคนบอกเป็นเขา คิดว่าอยากรอให้อาการธัญญ์ทั้งทางกายและสภาพจิตใจดีขึ้นอีกหน่อยเสียก่อน
ได้รับคำเตือนจากพยาบาลว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว อีกอย่างจะเตรียมการย้ายผู้ป่วยออกจากหอผู้ป่วยวิกฤติเพื่อจัดการเตียงสำหรับเตรียมรับผู้ป่วยหนักรายอื่น พร้อมทั้งคำแนะนำว่าจะไปรอที่ห้องพิเศษที่จองไว้เลยก็ได้
สองพ่อลูกพยักหน้ารับ ตัวคนป่วยเองน่าจะได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู แต่มือที่จับอยู่ไม่ยักขยับสักที เมื่อก้มลงไปจ้องหน้า เจ้าตัวก็ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าหมั่นไส้
“ธัญญ์” เขายิ้ม กระซิบเสียงนุ่ม “ดื้อ”
ริมฝีปากที่เชิดขึ้นน้อย ๆ นั่น เป็นไปได้ก็อยากโน้มตัวไปจูบให้หนักเลย แต่ตอนนี้ทำได้ที่ไหน ได้แต่จ้องอย่างคาดโทษ
เห็นเขาลังเล จะแกะมือออกก็ไม่กล้าอยู่ครู่ใหญ่ คงสาแก่ใจตัวแสบแล้ว ถึงได้นึกจะปล่อยก็ปล่อยกันดื้อ ๆ นั่นละ ทิ้งมือเขาร่วงผล็อยพลางขยับตัวเองให้อยู่ในท่าที่สบาย
พร้อมภูมิหลุดหัวเราะคิกออกมาทีหนึ่ง
เขาชะงัก เหลือบมองลูกชายที่ทำยักไหล่เหมือนไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษ ได้แต่ยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เก้อ แต่สุดท้ายก็เขินจนร้อนไปทั้งหน้า หัวเราะอ่อนใจออกมาเบา ๆ
“แล้วเจอกันที่ห้องพิเศษนะครับ”
ธัญญ์ว่า เสียงทั้งแผ่วทั้งแหบ เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ถอดท่อช่วยหายใจ หมอบอกอาจเป็นเพราะเส้นเสียงยังมีอาการระคายเคืองหลงเหลืออยู่บ้างจากท่อนั่น แต่อีกไม่นานก็จะหายเป็นปกติ
แม้คิดถึงเสียงทุ้มต่ำเนิบนาบของเจ้าตัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าสุ้มเสียงแบบนี้เซ็กซี่อย่างร้ายกาจ
“พี่ธัญญ์เสียงเซ็กซี่มาก!” ไอ้ลูกชายยิ้มร่า ทักแบบตรงไปตรงมา เหมือนอ่านความคิดในหัวพ่อเป็นคำพูดไม่มีผิด ถอดแบบกันมาเปี๊ยบจริง ๆ
“แก่แดด” ธัญญ์ตอบ ยกมือยีผมพร้อมภูมิเบา ๆ ทว่าสายตามองคนพ่ออย่างกับจะรู้ทัน ทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรแท้ ๆ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าขี้โกงชะมัด
“ผมกับพ่อไปรอที่ห้องพิเศษนะ” พร้อมภูมิหัวเราะร่า จูงมือพ่อไว้ด้วย มืออีกข้างโบกไปมาอย่างร่าเริง “พ่อจองไว้เรียบร้อย”
ช่วยไม่ได้นะ ก็น่ารักกันทั้งคู่นั่นละ
คิดอย่างนั้น ขณะมองสองคนที่เขารักที่สุดในชีวิตพยักหน้ากันหงึกหงัก
ที่ว่าเป็นห้องพิเศษนั้น ดูจะพิเศษระดับวีไอพีของโรงพยาบาลเลยทีเดียว ห้องหับกว้างขวาง เฟอร์นิเจอร์ภายในเป็นสีโทนอบอุ่นสบายตา สวยงามแต่เรียบง่าย ฝั่งที่เชื่อมกับระเบียงเป็นกระจกทั้งแถบตั้งแต่เพดานจรดพื้น มีม่านบังตาแขวนอยู่ มองออกไปผ่านม่านที่เปิดไว้ครึ่งหนึ่งจะเห็นทิวทัศน์ของเมืองใหญ่จากมุมสูง ในเวลาค่ำอย่างนี้ แสงไฟจากตึกรามวิบวับกระจัดกระจายคล้ายหมู่ดาวบนผืนดิน
ถึงจะเป็นเขาที่จองห้องไว้ แต่คนจัดการหลัก ๆ รวมถึงเรื่องค่าใช้จ่ายก็ภาคีนั่นละ แม้มองอีกแง่ ก็เป็นเงินของบ้านธัญญ์นั่นเอง ท่าทางจะทั้งรักทั้งเทิดทูนน้องชายต่างสายเลือดคนนี้เอามากจริง ๆ พอคิดอย่างนั้นขึ้นแล้ว อดไม่ได้จะหึงอยู่นิดหน่อย
ขณะยืนมองพยาบาลช่วยจัดที่ทางสำหรับเสาแขวนน้ำเกลือให้คนป่วย คนที่กำลังนึกถึงก็โผล่มาพอดี
“คุณธัญญ์” เสียงนำมาก่อน เดินตรงเข้ามาอย่างกับสุนัขที่จงรักภักดีต่อเจ้าของ ไม่เหมือนเจ้านายไฟแรงในที่ทำงานสักนิด ที่ผ่านมาไม่รู้ใช้ชีวิตพี่น้องกันอย่างไร
เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียก ดวงหน้านิ่งสงบ ไม่ใช่แววตารักใคร่อย่างที่เขามักเห็นมองมาทางตัวเองแต่อย่างใด จนคิดว่าเรื่องที่เผลอหึงขึ้นมาแวบหนึ่งนั่นก็ปล่อยไปเถอะ อย่าคิดมากให้ปวดหัวเลย
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหมครับ” ภาคีว่า พลางมองสำรวจรอบตัวว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ “ทานได้หรือเปล่า อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหม”
“อยากกินของหวาน” ธัญญ์ตอบอย่างผิดคาด แต่ไม่ได้พูดกับภาคี กลับหันมามองทางเขา “คุณภูช่วยซื้อให้หน่อยได้รึเปล่า”
ถูกระบุมาว่า
‘คุณภู’ ทั้งที่ปกติเรียกเขาแค่
‘คุณ’ เฉย ๆ แท้ ๆ ได้ยินแล้วเขินบอกไม่ถูก แม้คิดว่าไม่ใช่เวลามาเขินสักหน่อย
เจาะจงตัวบุคคลขนาดนั้น ดูชัดเจนว่ามีเรื่องอยากคุยกับภาคีตามลำพัง
เขากระแอมเรียกสติ ถ้าอย่างนั้นคงช่วยไม่ได้ เขาไม่อยากคาดคั้นหรือเร่งรัดธัญญ์อีกแล้ว หากอยากเล่า เขายินดีรับฟัง แต่หากไม่อยากให้รู้ ก็จะไม่บีบบังคับ บทเรียนที่ผ่านมาสาหัสเกินพอ เหตุจากความงี่เง่าอย่างไม่เข้าท่าของตัวเองว่าทำไมธัญญ์ไม่เล่าให้ฟังทุกอย่าง ไม่ได้คิดสักนิดว่าฝ่ายนั้นอาจมีเรื่องที่เป็นแผลใจรุนแรงเกินกว่าจะเอ่ยออกมาได้ง่ายดาย
“อืม" ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิด ไหน ๆ จะซื้อ ก็อยากเลือกให้ถูกใจสักหน่อย "อยากกินอะไรล่ะ”
“เค้กก็ได้”
“เค้ก?” เขาพยักหน้าพึมพำ กวักมือเรียกลูกชายที่ยกมือสวัสดีภาคีช้าไปหน่อยเพราะมัวแต่งง จากนั้นวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างว่าง่าย “ไม่ค่อยรู้ว่าอันไหนอร่อยไม่อร่อยด้วยสิ ภูมิมาช่วยเลือกกับพ่อหน่อย”
พร้อมภูมิพยักหน้า หันไปทางพี่เลี้ยง ส่งยิ้มเป็นเชิงบอกว่าไว้ใจผมเถอะ จากนั้นจูงมือกับพ่อ แกว่งแขนไปมาอย่างร่าเริง เดินออกจากห้องไปด้วยกันสองคน
ร้านขายของหวานมีขนมละลานตาไปหมด คิดถูกแล้วที่พาพร้อมภูมิมาด้วย อย่างน้อยก็ไม่เขินมากที่ผู้ชายวัยอย่างเขาเดินด้อม ๆ มอง ๆ ร้านขนมซึ่งตกแต่งได้หวานแหววสุดขีด
ผิดกับลูกชายวัยย่างสิบขวบที่เดินอ่านป้ายชื่อเค้กแต่ละชิ้นอย่างไม่เคอะเขิน เริงร่าสมวัยจนคนพ่อพลอยเดินเลือกอย่างสบายใจไปด้วย
“ทีรามิสุ” พร้อมภูมิชี้ อีกมือกระตุกแขนเขาเบา ๆ “พี่ธัญญ์ชอบอันนี้”
“หืม?” เขาเลิกคิ้ว ก้มลงมองตามสายตาลูกชายไปยังขนมหน้าตาน่ารักนั่น “ทำไมรู้ว่าชอบล่ะ”
“พี่ธัญญ์เคยซื้อเค้กให้ ซื้อส่วนของตัวเองด้วย พอนั่งกินเจ้านี่แล้วก็แอบทำหน้ามีความสุข แต่ดันหันมาบอกผมว่าห้ามกินของหวานบ่อยนะ นอกจากอ้วนแล้วก็ประโยชน์น้อยด้วย ทั้งที่ตัวเองเป็นคนซื้อมาแถมยังนั่งกินด้วยกันแท้ ๆ”
พร้อมภูมิเจื้อยแจ้ว ฟังแล้วอดขำไม่ได้ รู้สึกตัวเองพลาดอะไรดี ๆ ช่วงที่อยู่ด้วยกันไปโข เจ้าลูกชายก็ไม่เห็นเคยเล่าให้ฟังสักคำ ว่าไปแล้วเกือบปีมานี้ คนที่อยู่กับธัญญ์มากที่สุดอาจไม่ใช่เขา แต่เป็นคุณลูกชายตัวแสบเสียมากกว่า
คิดแล้วก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง ที่ภาคีเปรย ๆ ขึ้นมาเมื่อวานนี้
“เจ้าภูมิ”
“ครับ?”
“เอ...คุ้น ๆ ว่าเราเคยโดดเรียนไปทำอะไรสักอย่างหรือเปล่านะ?”
เด็กชายชะงักกึก
จากนั้นก็เริ่มตะกุกตะกัก
“..หะ...หา? โดด...เรียน...หรือครับ?”
คิดในใจว่าโกหกไม่เก่งเลย สู้พี่เลี้ยงเจ้าเล่ห์คนนั้นไม่ได้สักกระผีก ซึ่งความจริงอาจจะนับเป็นเรื่องดีแล้ว
“ไม่ว่าอะไรหรอก” เขาออกตัวก่อน “แค่ถามเฉย ๆ”
พร้อมภูมิยืนบิดตัวไปมาอยู่ไม่สุขครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าจำยอม แต่ยังไม่วายบ่นอุบอิบ
“...พี่ธัญญ์ไม่รักษาสัญญานี่นา”
เขาเลิกคิ้วยิ้ม ๆ “เกี่ยวอะไรกับพี่ธัญญ์ล่ะ”
“ก็พี่ธัญญ์สัญญาแล้วว่าจะไม่บอกพ่อ”
“พ่อก็ไม่ได้รู้มาจากพี่ธัญญ์สักหน่อย”
“อ้าว?” ไอ้ตัวเล็กหน้าเหวอ “งั้นจากพี่ตัง!?”
“มีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยเรอะ!?”
“อ้าว!?” อีกรอบ “ไม่ใช่พี่ธัญญ์ ไม่ใช่พี่ตัง แล้วจะใครล่ะ หรือว่าคนที่ร้านอาหาร”
ภูเมศโคลงศีรษะอ่อนใจ ทั้งตลกแกมเอ็นดูความซื่อของลูกชาย ไป ๆ มา ๆ ก็สารภาพเกลี้ยงตั้งแต่ยังไม่ทันอธิบายรายละเอียด รู้หมดว่าโดดเรียนไปกับใคร แล้วไปที่ไหน มีผู้ร่วมรู้เห็นเหตุการณ์เป็นใครบ้าง
“ไปตามพี่เขากลับสินะ” ชายหนุ่มถอนใจเฮือก ความผิดเขาเองแท้ ๆ ยังต้องให้ลูกชายแอบไปเบิกทางก่อน น่าขายหน้าจริง ๆ
“ก็พ่อเล่นตัวนี่นา” พร้อมภูมิก้มหน้าบ่นงุบงิบ “พี่ธัญญ์รอพ่ออยู่ตั้งนาน แต่พ่อไม่ไปง้อเขาสักที”
“รอหรือ?”
“เขารอแต่พ่อคนเดียว”
ภูเมศได้ยินแล้วถึงกับชะงักไป ยกมือขึ้นปิดปาก ทั้งอยากหัวเราะและร้องไห้ออกมาพร้อม ๆ กัน
“พ่อครับ?” คุณลูกชายร้องเรียกด้วยสายตาสงสัย แต่เขาโคลงศีรษะเป็นเชิงบอกว่าไม่มีอะไร
เจ้าพี่เลี้ยงจอมกวนนั่น ไม่รู้จะน่ารักไปถึงไหน อย่างกับเป็นแมวเหมียวที่โดนไล่ตะเพิดจนกระโจนขึ้นไปบนต้นไม้สูง จากนั้นลงไม่ได้จนต้องคอยคนมารับ แต่ทั้งอย่างนั้นก็ไม่ยอมร้องเหมียวเรียกใครมาช่วย เพียงแต่รอเฉพาะคนที่ตัวเองอยากรออยู่เงียบ ๆ อย่างน่าสงสาร
กว่าจะสงบจิตสงบใจได้ก็ครู่ใหญ่ จึงค่อยส่งเสียงเรียก โอบไหล่ลูกชายไว้หลวม ๆ
“ภูมิ”
“ครับ?”
“ถ้าเกิดว่า...” เขาย่อตัวลง สบตากับพร้อมภูมิ “ถ้าเกิดว่าต่อจากนี้ พ่ออยากให้พี่ธัญญ์อยู่ด้วยกันกับพวกเราไปตลอด...เป็นคนในครอบครัว...”
เด็กชายยืนฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีทีท่าประหลาดใจสักนิด
“...เป็นคนรักของพ่อ เป็นเหมือนพ่ออีกคนของเรา อืม หรือลูกสะดวกใจจะเรียกเขาพี่ธัญญ์เหมือนเดิม หรือถ้าเราอาจจะเรียกเขาอย่างอื่นแล้วแต่เขาจะพอใจ” ภูเมศยักไหล่ รำคาญใจในความประหม่าของตัวเองพิกล “..อะไรทำนองนั้น”
“เป็นแฟนพ่อ” พร้อมภูมิทวนให้ง่าย ๆ “ก็เป็นอยู่ไม่ใช่หรือครับ?”
เขาอ้าปากหวอ
“ตอนผมไปหาที่ร้านก่อนพ่อจะไปพาพี่ธัญญ์กลับมา เขาก็บอกเองว่ารักพ่อ ถ้ายอมให้กลับไปอยู่ด้วยรอบนี้ ถึงจะไล่ก็ไม่ไปเด็ดขาด” ลูกชายพูดเป็นฉาก ๆ “แล้วถ้าผมงอแงไม่ยอมให้เขาอยู่อีก เขาจะเขี่ยผมทิ้งแล้วยึดพ่อเป็นของตัวเองเลย ร้ายกาจสุด ๆ”
ปากที่อ้าค้างอยู่แล้ว ก็ยังอ้ากว้างได้อีก ขากรรไกรล่างแทบจะร่วงหล่นลงพื้น หน้าร้อนผ่าวจนเหมือนได้ยินเสียงดัง
‘ฉ่า’“...เขาน่ะหรือ...พูดอะไรอย่างนั้น”
ลูกชายพยักหน้าแรง ๆ สีหน้ามั่นใจเต็มเปี่ยม “เต็มสองหูเลยแหละ ตอนพูดยังจ้องเขม็ง บอกให้มองตาอีกต่างหาก”
ชายหนุ่มเอามือกุมอกเสื้อ ขยำจนเป็นรอยยับ อีกมือก็ยกขึ้นปิดหน้าผาก เหมือนขาจะไม่มีแรงอีกแล้ว แก่เกินไปหรือไงนะ
ทั้งสุขทั้งเศร้าบอกไม่ถูก ทำไมไม่เคยรู้ตัวเลยว่าได้รับความรักขนาดนี้ แล้วยังจะกล้าพูดไม่ดีกับธัญญ์จนฝ่ายนั้นต้องออกจากบ้านเป็นครั้งที่สอง ถึงขั้นเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง มีความเป็นไปได้สูงว่าตั้งใจฆ่าตัวตายเพราะเขา
ความคิดเดิมกลับมาอีกครั้ง ถ้าช่วยไม่ทันละก็...ถ้าธัญญ์ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งเหมือนอย่างตอนนี้ ถ้าหากเป็นธัญญ์ที่จบชีวิตลงในรถนั่น....ถ้าหาก....
“..พ่อ?” ลูกชายก้มลงมอง ยกมือขึ้นลูบแก้มเขาแผ่วเบา เมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างก็ทำหน้าตกใจ กระซิบเสียงตระหนก “พ่อร้องไห้หรือครับ?”
หยดน้ำอุ่น ๆ ต้องปลายนิ้วเด็กชาย เป็นน้ำตาไม่ผิดแน่นอน
ผู้คนที่เดินผ่านเริ่มมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ
ภูเมศส่ายหน้า เอาสันมือกดเปลือกตาตัวเองอยู่อึดใจหนึ่ง จนแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีอะไรไหลออกมา จากนั้นลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ยิ้มให้พร้อมภูมิ
“ขอโทษที ซึ้งไปหน่อย”
ลูกชายกะพริบตาปริบ ๆ ดูไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็พยักหน้าโดยดี เสริมบทสนทนาก่อนหน้านี้อย่างไร้ข้อกังขา
“หลังจากกลับมารอบนั้น พี่ธัญญ์ก็เป็นแฟนพ่อ ตกลงว่าจะอยู่กับพวกเราไปตลอดอยู่แล้วนี่นา”
“นั่นสินะ” ชายหนุ่มพยักหน้าตอบ “เราต้องช่วยกันดูแลเขาดี ๆ หน่อยแล้ว เกิดหนีไปละแย่เลย”
“เขาไม่หนีไปไหนหรอก” พร้อมภูมิว่า ยังไม่รู้เรื่องราวที่เกิดระหว่างตัวเองไปเข้าค่ายมาสามวัน รู้แค่พ่อบอกว่าเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยบนท้องถนน รถที่โดยสารตกลงไปในน้ำ แต่ทั้งพ่อและพี่เลี้ยงคนนั้นหนีออกมาได้ทันเวลา ไม่เป็นอะไรร้ายแรง แค่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสักระยะ
เพราะรู้เท่านี้ จึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าหลังกลับมาคราวนั้น ธัญญ์จะไม่หนีไปไหนแน่นอน
“พี่ธัญญ์รักพ่อจะตายไป”
ภูเมศพยักหน้า เต็มตื้นในอกจนพูดไม่ออกไปอีกพักหนึ่ง ชี้มือชี้ไม้ให้พนักงานหยิบทีรามิสุใส่กล่องให้เสียเยอะแยะจนต่อให้ช่วยกินกันสามคน—แถมภาคีด้วยอีกหนึ่งก็ได้—รวมเป็นสี่ ก็คงกินไม่หมด
“เยอะไปแล้วครับพ่อ” ลูกชายท้วง แต่ก็ช่วยกันหิ้วถุงด้วยสองมือ “กินไม่หมดเดี๋ยวบูดนะ กินเยอะไม่ได้ แต่ถ้ากินเหลือ พี่ธัญญ์ก็จะดุเอาเหมือนกัน”
“เอาใจยากจังเลยนะพี่เลี้ยงคนนี้” เขาเปรยทั้งรอยยิ้มละมุน
“นั่นสิน้า”
“ต้องช่วยกันดูแลให้ดีเชียว ช่วยกันรักเขาให้เยอะ ๆ เลย”
“ก็นั่นสิน้าาา” ลูกชายลากเสียงยาวกว่าเก่า แสดงความเห็นด้วยเต็มที่ “ถึงพี่ธัญญ์จะดื้อไปหน่อยก็เถอะ”
"ดื้อหรือ? จริงด้วยสินะ" ภูเมศเออออ "เรียกอย่างนั้นก็คงได้"
"ใช่ไหมล่ะ"
กลางเดือนธันวาคม อากาศไม่หนาวมาก แต่ก็นับว่าอุณหภูมิต่ำลงอย่างสังเกตได้จากเมื่อสัปดาห์ก่อน ลมหนาวโชยมาวูบหนึ่ง ไล้แผ่วเบาบนผิวของผู้คนที่สัญจรไปมา
สองคนพ่อลูกหิ้วกล่องเค้กพะรุงพะรัง เดากันว่าปีนี้จะหนาวจริงหรือเปล่า หนาวได้ถึงสัปดาห์ไหม แล้วพี่ธัญญ์จะออกจากโรงพยาบาลทันก่อนคริสต์มาสไหมนะ ถ้าออกทันแล้วจะทำอะไรฉลองกันสามคนดี
“นั่นสิ” ภูเมศพยักหน้ากับลูกชาย แต่ในใจก็มีอะไรคิดไว้อยู่เหมือนกัน
สิ่งที่ตั้งใจอยากทำมาพักใหญ่ แต่เกิดเหตุการณ์ช่วงสามสี่วันนี้ขึ้นก่อน จึงไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยสักที
คนคนนั้นจะทำหน้าอย่างไรนะ อยากรู้จนแทบอดใจไม่ไหว
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v