┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 11
เขาใจง่ายเกินไปหรือเปล่า?
หลังทบทวนเหตุการณ์ทั้งหมดอีกครั้ง ภูเมศอดย้อนกลับมาถามตัวเองไม่ได้
ทว่ายังไม่ทันได้คำตอบ หันไปเห็นคนที่นอนตะแคงอยู่ด้านข้าง ความคิดเรื่องนั้นกลับอันตรธานไปง่ายดายเหมือนละอองฝุ่นที่ถูกเป่าทิ้ง
มือข้างหนึ่งของฝ่ายนั้นยื่นมาจับปลายผ้าห่มใกล้กับฝั่งเขาเอาไว้ เขาอาจเออออไปเอง แต่รู้สึกว่าท่าทางดูกล้า ๆ กลัว ๆ เหมือนจะเอื้อมมือมามากกว่านั้นก็ลังเล ครั้นจะถอยออกไปยังไม่อยาก ได้แต่วางอยู่ที่เดิม..ไม่น่าสบายเท่าไร
ภาพนั้นทำให้ต้องเลิกคิ้ว ขณะที่บนริมฝีปากกลับวาดขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา เชื่อว่าธัญญ์คงยังไม่ทันสังเกตในคราวแรก เพราะวินาทีถัดมา เมื่ออีกฝ่ายเหลือบตาขึ้นมาสบกับเขาที่มองอยู่เข้าพอดี จึงเห็นอาการสะดุ้งน้อย ๆ ซึ่งไม่สามารถหลุดรอดสายตาไปได้ในระยะใกล้ขนาดนี้ ต่อให้เจ้าตัวจะแสร้งทำเป็นขยับมือหาที่วางให้สะดวกได้ค่อนข้างแนบเนียนก็เถอะ
“หนาวหรือเปล่า” ภูเมศถามเสียงนุ่ม ทั้งยังนึกเอ็นดูจนยิ้มกว้างออกมา “แอร์เย็นไปไหม”
ประหลาดใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ปกติสุ้มเสียงเขาเป็นอย่างนี้หรือ?
...คิดว่าไม่ใช่
อีกฝ่ายส่ายหน้าน้อย ๆ เก็บมือไว้ใต้ผ้าห่มเงียบเชียบ อย่างกับตอนแรกไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนอย่างไรอย่างนั้น
ภูเมศหัวเราะแผ่ว “ไม่หนาวแล้วไหงซุกใต้ผ้าห่มเป็นดักแด้”
ธัญญ์ไม่ตอบ กลับจ้องหน้าเขาตาแป๋วในความเงียบ
ตอนแรกก็ว่าน่ารักดี ทว่าเมื่อเมื่อเวลาผ่านไป โดนจ้องหนักแถมยังนานอย่างนี้ ชายหนุ่มเริ่มทำตัวไม่ถูกแล้วเหมือนกัน หรือเขาตกหล่นอะไรไปหรือเปล่า
กอด จูบ เล้าโลม ทำรัก...แล้วยังไงต่อ...
นัยน์ตาสีดำขลับยังคงจับอยู่กับใบหน้าเขานิ่ง
ภูเมศถึงกับยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตัวเองแก้เก้อ
มองเป๋งขนาดนี้...คงไม่ใช่ว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อีกแล้วนะ?
“...เอ้อ...” เขากระแอมเบา ๆ พลางขยับตัวอยู่ไม่สุข กระดากใจจะเอ่ยอย่างไรพิกล “..เรื่องเมื่อกี้ก็...อืม...”
ลิ้นไม่ได้ดังใจเลย ได้แต่เร่งตัวเองเงียบ ๆ
ถามไปเถอะน่า ถึงจะยากปากลำบากใจอย่างไร ก็ควรทำให้ชัดเจนไปไม่ใช่หรือ
จากที่วางมืออยู่ตรงท้ายทอยตัวเอง คราวนี้เลื่อนมาเอานิ้วชี้ถูปลายจมูก เงอะงะอย่างถึงที่สุด นึกแล้วให้เจ็บใจอยู่นิดหน่อย เจ้าเด็กเดาความคิดยากตรงหน้านี้ ทำเขากลายเป็นตาลุงจ้องจะกินเด็กสลับกับออกอาการเคอะเขินอย่างกับเป็นวัยรุ่นจนชักสับสนหนัก
“...เรื่องเมื่อกี้ฉันต้องจ่ายด้วยไหม?”
โพล่งออกไปจนได้สิน่า!
หลุดปากแล้วต้องมานั่งลุ้นอีก ว่าคำพูดเขาจะทำบรรยากาศพังครืนอย่างเคยหรือเปล่า
ธัญญ์ไม่ได้ตอบในทันที กลับเม้มปากแน่น หลุบตาลงครู่หนึ่ง จากนั้นเหลือบขึ้นมองเขาอีกหน ก่อนจะกระซิบเสียงแผ่ว ..ด้วยถ้อยคำที่เกินความคาดหมายของเขาเอาการ
“ขึ้นอยู่กับว่าผมเป็นอะไรสำหรับคุณ”
“หือ!?”
อาการหูผึ่งมันเป็นอย่างนี้นี่เอง
แววกังวลฉายขึ้นบางเบาแวบหนึ่งในดวงตาสีดำขลับตรงหน้า ทว่าปรากฏอยู่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก่อนจะหายไป เมื่อธัญญ์สูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยออกมาเนิบนาบอย่างคนตัดสินใจแล้ว ราวกำลังเดิมพันกับตัวเอง
“ถ้าเป็นคนขายบริการ ก็จ่ายให้ผมเรตเดิมครับ”
“อ้อ...” ชายหนุ่มพยักหน้า
ตอนนี้เขาไม่รู้แล้ว ว่าตัวเองหรือธัญญ์กำลังทำสีหน้ากระอักกระอ่วนหนักกว่ากัน แต่เขายังทำเหมือนว่าเป็นผู้ใหญ่ผ่านโลกมาเยอะ ย่อมเข้าใจเรื่องนั้นดี แม้ลึก ๆ แล้วยังเผลอคาดหวังอย่างอื่นจนหลุดพึมพำออกมา
“...แล้ว...ถ้าเกิดว่าไม่ใช่...”
นั่นเหมือนโยนหินถามทาง แต่เมื่อไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่าย กลับเป็นการบีบให้ต้องพูดต่อเสียเอง
“ถ้าสมมติว่าเป็นอย่างอื่น...เช่น...อืม....สมมตินะ...แค่สมมติเฉย ๆ”
ท่าทางรอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจนั้นทำเขายิ่งประหม่า จนแล้วจนรอดเลยยังไม่สามารถเอ่ยปากตรงประเด็นสักที ได้แต่พาอ้อมไปอ้อมมาเหมือนแท็กซี่โก่งค่าโดยสาร
“...ถ้าแบบ...ไม่ใช่ซื้อขาย...”
ขณะที่เขาพูดต่อเสียงเบาลง ธัญญ์กลับหดคอจนครึ่งหน้าด้านล่างหายเข้าไปใต้ผ้าห่ม เหลือแต่ดวงตาใสแจ๋วเหลือบขึ้นมองเขาอย่างละล้าละลัง โหนกแก้มที่โผล่พ้นผืนผ้าแต้มสีแดงเรื่อขึ้นเรื่อย ๆ
ระหว่างนั้นมีแต่ความเงียบ...จนรู้สึกว่าเสียงหัวใจซึ่งกำลังเต้นไม่เป็นส่ำนี้ช่างหนวกหูเหลือเกิน เงียบจนเสียงแผ่ว ๆ ของเขาในอีกอึดใจถัดมาได้ยินชัดยิ่งกว่าทุกที
“...ถ้าเผื่อว่าเป็น....เป็นอะไรแบบที่....จูบกันที่ปากได้...”
พูดอะไรหื่นกามอย่างนี้นะ!
“เอ้อ...อ้างอิงตามที่เธอเคยบอก...แบบอะไรนะ....คนรักใช่ไหม...”
บ้าฉิบ! แบบนี้ไม่ใช่ว่ายิ่งน่าอายหรอกเรอะ!?
ระหว่างที่กำลังอยากชกหน้าตัวเองเต็มแก่ กลับได้ยินเสียงตอบอู้อี้ดังออกมาจากใต้ผ้าห่ม
“...งะ...งั้น.....ก็ไม่ต้อง..จ่าย...”
หัวใจเหมือนจะระเบิดตูมอยู่ในอก
ไม่อยากเชื่อหูเลย ให้ตายเถอะ นี่ใช่ครั้งแรกหรือเปล่าที่เขาได้ยินพี่ธัญญ์ผู้เก่งกาจฉาดฉานของคุณลูกชายกำลังพูดจาตะกุกตะกัก สำคัญคือจุดที่น่าตกใจไม่ใช่เรื่องเงิน แต่เป็นความหมายแฝงในคำพูดซึ่งแทบไม่สามารถนับได้ว่าเป็นประโยคนั่นต่างหาก
แม้ยังไร้การยืนยันในรายละเอียด แต่ไม่มีใครเอ่ยเรื่องนั้นให้ลงลึกกว่าเก่าอีก
ส่วนเขาถือว่าทั้งหมดค่อนข้างชัดเจนใช้ได้
อย่างน้อยก็ชัดพอสำหรับการตัดสินใจดึงผืนผ้าที่คลุมครึ่งหน้าอีกฝ่ายลงช้า ๆ
แม้ลังเลในคราวแรกอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็โน้มใบหน้าลงถูปลายจมูกตัวเองลงบนผิวแก้มสีแดงเข้มเบา ๆ จนพอใจ จึงค่อยเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงริมฝีปาก ทว่าใช้เพียงแต่จมูกคลอเคลียอยู่เช่นนั้น
สุดท้ายกลับเป็นธัญญ์ที่ยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขา ขยับใบหน้าจนเรียวปากแตะกันแผ่วเบา
นุ่ม...แล้วยังอุ่นอีกด้วย...
ภูเมศพอใจสัมผัสนั้นไม่น้อย ถึงกับครางเสียงต่ำในลำคอ ครู่หนึ่งกลับเปลี่ยนเป็นรุกเร้าเชยชิมตรงนั้นตรงนี้อย่างย่ามใจ ทว่ายังไม่ทันได้ไปไกลกว่าจูบ กลับยั้งใจตัวเองไว้ก่อน ทำเพียงขบริมฝีปากล่างอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นการส่งท้ายก่อนจะผละออกมาอย่างแสนเสียดาย
ธัญญ์ทำตาปริบ ๆ ดูเหมือนเจ้าตัวก็ยังรู้สึกว่านี่มันออกจะค้างคาไปสักหน่อย
“อย่าทำหน้าอาลัยอาวรณ์อย่างนี้ได้ไหมล่ะเราน่ะ!” เขาบ่น พลางเขกหัวอีกฝ่ายทีเล่นทีจริง เห็นธัญญ์หดคอหนีทั้งที่ริมฝีปากล่างซึ่งเพิ่งถูกขบยังแดงเจ่อแล้วให้นึกขันทั้งใจเต้นโครมคราม “อยากให้ฉันแปลงร่างเป็นปีศาจจอมหื่นหรือไง”
“ก็เป็นอยู่แล้วนี่ครับ ไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย”
ฟังพูดเข้าสิ!
ภูเมศส่ายหน้าแรง ๆ พ่นลมหายใจเฮือก จากนั้นหิ้วปีกอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่ง
พอลำตัวตั้งตรงขึ้นมา ผ้าที่คลุมอยู่ก็ร่วงลงไปกองกับเอว เห็นร่างกายเปลือยเปล่าท่อนบนได้ถนัดตา รอยแดงประปรายตามต้นคอและแผ่นอกจากฝีมือเขาเองปรากฏชัดในเวลากลางวันแสก ๆ เล่นเอาคนมองใจคอไม่ค่อยดี จ้องนานเข้าให้หวิว ๆ แถวท้องน้อยอย่างไรพิกล กลัวใจจะเผลอจับผลักหงายลงไปกับเตียงอีกรอบทั้งที่เพิ่งดึงขึ้นมานั่ง
“ไปอาบน้ำแต่งตัว” เขากัดฟันสั่ง
“ทำไมล่ะครับ”
“อยากโป๊ออกไปข้างนอกหรือ?”
เขาทำยียวนบ้าง กะว่าไม้นี้เด็ดสุด ดูเป็นผู้นำแบบเผด็จการนิด ๆ เหมือนพระเอกในละครก็เท่ดีไม่หยอก
ธัญญ์มองเขานิ่งอยู่อึดใจหนึ่งคล้ายประเมินสถานการณ์ จากนั้นกลับคลี่ยิ้มละมุน ลุกขึ้นจากเตียงทั้งร่างเปลือยเปล่า แม้ใบหูยังคงสีแดงจัด ทว่าตีสีหน้าสงบนิ่งได้แนบเนียนอย่างที่สุด
“ผมออกไปแบบนี้ก็ได้นะ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”
“ว่าสิ!” เป็นเขาเองที่ร้องลั่น “ฉันว่าแน่แหละ!”
ระยะเวลาให้ได้กระหยิ่มใจช่างแสนสั้นเหลือเกิน จอมเผด็จการที่เออออไปเองรีบปรี่เข้าไปเอาผ้าห่อเอวอีกฝ่ายไว้แทบไม่ทัน รวบตัวไว้ได้แล้วกอดรัดจากด้านหลังจนแน่นด้วยความมันเขี้ยว คนอะไรจะกวนประสาททั้งสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาได้ขนาดนี้
เสียงหัวเราะเบา ๆ ของตัวต้นเหตุยิ่งพาให้อารมณ์ยิ่งปั่นป่วนเข้าไปอีก
“กอดแน่นอย่างนี้ก็ไปไหนไม่ได้สิครับ”
“..อะ...อ้อ...”
หน้าม้านไปนิดหน่อย แม้จะเสียดาย แต่ก็คลายวงแขนออกเก้อ ๆ
“ว่าแต่จะไปไหนหรือครับ”
ภูเมศกระแอมเบา ๆ เสมองไปทางอื่น “ไปหาอะไรกินข้างนอกกัน”
“เดท?”
“ไม่ใช่”
ตอบอย่างไว ทำธัญญ์ถอนใจเฮือก ก้มลงเก็บเสื้อผ้าตัวเองบนพื้นขึ้นมาสวมไว้ก่อนลวก ๆ
“ไม่เห็นต้องปฏิเสธจริงจังขนาดนั้นเลย อย่างน้อยน่าจะเว้นช่องว่างให้ผมหวังบ้าง”
ภูเมศชะงักไป ยิ่งอีกฝ่ายนิ่งโดยไม่รู้สีหน้ายิ่งกังวลขึ้นมา รีบอ้อมไปดูอีกทาง
แต่เขาน่าจะรู้อยู่แล้ว โดนหลอกกี่หนไม่เคยจำสักที
อีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่...
จนได้สิ! แถมยังมีหน้ามายิ้มแบบที่ทำคนแก่กว่าหัวใจจะวายอีก!
“ให้ตายเถอะ หยุดทำหน้าแบบนั้นสักทีได้ไหม”
ธัญญ์เอียงคอ “แบบไหนครับ”
ถามกลับทั้งที่รู้อยู่แล้วแน่ ๆ เพราะรอยยิ้มซึ่งวาดบนริมฝีปากนั้นยิ่งชวนมองกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“แบบที่กำลังทำอยู่นั่นละ”
“เอ๋...?” ตัวยุ่งลากเสียงยาว บนใบหน้าผุดรอยยิ้มหวานหยดแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่รู้จักกันจนบัดนี้ เขาเพิ่งได้ตระหนักว่าตัวเองยังรู้เรื่องเกี่ยวกับอีกฝ่ายน้อยนิดนัก
ดวงตาคู่นั้นหยีลง พวงแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีปากขยับช้า ๆ ทั้งที่ยังวาดเป็นเส้นโค้งชวนมอง กระซิบถ้อยคำเสียงอ่อน
“แบบนี้น่ะหรือครับ”
นี่มันจงใจยั่วกันไม่ใช่หรือไง
เร็วเท่าความคิด ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไป รวบท้ายทอยคนตรงหน้าแล้วกดศีรษะอีกฝ่ายให้ก้มลงซบหน้ากับอกตัวเอง ยื่นคางไปกดกลางกระหม่อมไว้ด้วยไม่ให้ได้เงยขึ้นมองเด็ดขาด ระหว่างนั้นยังอุตส่าห์ได้ยินเสียงคนช่างจ้อผิดเวลาอู้อี้ขึ้นมาอีก
“ผมรู้แล้ว คุณชอบแบบนี้จริง ๆ ด้วยสิ”
ฟังแล้วร้อนตัวขึ้นมาทันที
“แบบไหน”
ธัญญ์นิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วให้คำตอบแบบที่ไม่รู้จะขำหรือเขินมากกว่ากัน
“ลูกแกะน้อย”
“หือ!?”
“คุณชอบให้ผมทำตัวเหมือนเป็นลูกแกะน้อยใช่ไหม”
แม้ไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่เขาคิดว่าตัวเองพอเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อได้เลา ๆ นั่นยิ่งชวนให้รู้สึกตัวเองเป็นภัยสังคมอย่างไรพิกล ในเมื่อคิดตามแล้วดูมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน หากมาเล่นลูกอ้อนเหมือนเป็นลูกแกะน้อยอย่างเจ้าตัวกล่าวอ้างจริง แล้วจะอดใจไม่ให้กระโจนใส่ได้อย่างไร
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะอาการหนักถึงขนาดนั้นสักหน่อย...
หรือเปล่า?
“...ฉันไม่ได้เป็นคนแบบนั้นนะ”
“ผมรู้”
“รู้ว่าไงเนี่ย” ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว ก้มลงมองคนที่ยืนให้จับซุกอกนิ่ง ๆ “เราเข้าใจตรงกันหรือเปล่า”
“ตรงสิครับ คุณเป็นคนดี เป็นพ่อที่ดีด้วย”
“พูดงี้ฉันเขินแย่”
“เวลาคุณเขินก็น่ารัก”
ภูเมศสำลักค่อกแค่กเบา ๆ เมื่อกี้แค่บอกเขินพอเป็นพิธี แต่ตอนนี้เริ่มเขินจริง ๆ แล้ว
ความจริงเขาว่าคนพูดต่างหากที่เวลาเขินแล้วน่ารัก ทว่าไม่สามารถเอ่ยตรงไปตรงมาได้เหมือนอย่างธัญญ์สักที ผิดกับคนตรงหน้านี้ไปไกลโข พอเป็นเรื่องความรู้สึกต่อเขา เจ้าตัวพูดออกมาได้หน้าตาเฉย ใจดีบ้างล่ะ น่ารักบ้างล่ะ ขณะที่เรื่องของตัวเองกลับอมพะนำปากหนัก กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีส่วนที่เขาไม่รู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายมากมาย และไม่รู้ด้วยว่าทำอย่างไรจึงจะง้างปากออกมาได้ หากเจ้าตัวไม่คิดอยากเปิดเผยมันด้วยตัวเอง
“นี่...เอาไว้เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟังบ้างเป็นไง”
ธัญญ์ผงกศีรษะขึ้นมองเขาอย่างชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่
“เรื่องผมไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ”
ว่าเพียงแค่นี้ จึงค่อยคลี่ยิ้มบางเบา ชัดเจนออกปานนั้นว่าทำเพื่อกลบเกลื่อน แต่เขาไม่ได้ถามอะไรต่อ มองอีกฝ่ายขยับตัวออกจากอ้อมแขน ทิ้งท้ายเพียงว่าขอเวลาอาบน้ำแค่ไม่นาน
เดินเคียงจนไหล่แทบเกยกันกลางที่สาธารณะเช่นนี้ ไม่รู้คนนอกจะมองมาอย่างไรบ้าง
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงคิดมากให้วุ่นวาย แต่ปัจจุบันกลับลืมสนใจเรื่องเหล่านั้นไปเสียสนิท
ภูเมศต้องประหลาดใจกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคราวที่นึกขึ้นได้ถึงวิถีชีวิตแบบเดิม ๆ ของตัวเองก่อนมาเจอกับธัญญ์ และพบว่าความรู้สึกไปจนถึงพฤติกรรมหลายอย่างเปลี่ยนไปจนแม้แต่ตัวเขายังคาดไม่ถึง
อย่างตอนเดินคู่กันออกจากโรงหนังเช่นนี้ มือที่โอบไหล่อีกฝ่ายอย่างเป็นธรรมชาติตั้งแต่ผ่านทางออก ก็ยังวางของมันอยู่ตำแหน่งเดิมกระทั่งโผล่มาด้านนอก จากหางตาเห็นสาววัยรุ่นสองสามคนมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาระยิบระยับ ทั้งยังรอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าพวกเธอ จึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่อากัปกิริยาของผู้ชายสองคนที่พบเจอได้บ่อยนัก
แต่เห็นท่าทางแบบนั้นของคนนอกแล้วรู้สึกอย่างไรน่ะหรือ?
ไม่ใช่ความรู้สึกไม่สบายใจ อับอาย หรือไม่ชอบแน่นอน ความคิดแรกที่แวบเข้ามากลับเป็นพะวงเรื่องของคนข้าง ๆ ว่าจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่า
ทว่าครั้นเหลือบมองธัญญ์ว่ามีทีท่ากระกระอ่วนบ้างไหม ก็พบว่าใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายยังคงนิ่งสนิทเช่นเคย เมื่อสังเกตเห็นว่าเขามองอยู่ นัยน์ตาเจ้าตัวจึงหยีลงน้อย ๆ พร้อมมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มละมุน ผิวแก้มกลายเป็นสีชมพูเรื่ออยู่ครู่หนึ่งอย่างน่าฝังจมูกลงไปสักฟอดใหญ่ ภาพพจน์ลูกแกะน้อยอย่างเคยพูดไว้ไม่รู้ตั้งใจหรือเป็นไปโดยธรรมชาติ แต่หากยิ้มอย่างนี้เป็นแต่แรกคงโดนจับฟัดจนตัวเปื่อยไปนานแล้ว
หยุดเลย! นี่มันกลางห้างเชียวนะ
ถึงกับต้องร้องห้ามตัวเองอยู่ในใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ธัญญ์ถาม เสียงเนิบนาบเช่นเคย แต่คนฟังกลับรู้สึกว่ารื่นหูเป็นที่สุด
“เปล่า”
เห็นธัญญ์ไม่ว่าอะไรกับท่าทางอย่างนั้น เขาเลยไม่ว่าอะไรบ้าง ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย
“เธอว่าสาว ๆ พวกนั้นเห็นพวกเราแล้วเขาจะคิดว่าเราเป็นอะไรกัน”
“พ่อลูกมั้งครับ”
ชายหนุ่มสำลักเสียงขึ้นจมูก “พ่อลูกเชียวเรอะ!”
ธัญญ์ผงกศีรษะน้อย ๆ ทำทีเป็นลองใคร่ครวญดูอีกหน
“อา..แต่ปกติถ้ามีลูกชายโตหน่อย เขาก็ไม่ค่อยโอบไหล่กันแบบนี้แล้วสินะครับ”
“ใช่ไหมล่ะ” ภูเมศเออออ มองคู่สนทนาด้วยสายตาเกือบจะเรียกว่าคาดหวัง
“แต่ผมก็ดูอายุห่างจากคุณเกินกว่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่เดินกอดคอกันด้วยสิ”
ทำไมรู้สึกเหมือนถูกหลอกด่าว่าแก่..
เขาโบกมือข้างที่ยังว่างไปมา นี่มันขุดหลุมดักตัวเองชัด ๆ
“ช่างเถอะ” ว่าพลางทำท่าจะดึงมือที่โอบไหล่ฝ่ายนั้นออก ทว่าธัญญ์รั้งไว้ทั้งรวดเร็วและเบาหวิว สมกับเป็นมือไวที่ฉกกระเป๋าสตางค์เขาไปได้หลายต่อหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว ดึงข้อมือเขาให้วางลงที่เดิมบนไหล่ตัวเอง พลางพึมพำขณะเสมองไปฝั่งร้านของเล่นที่มีตู้โชว์แบบจำลองหุ่นรบวางเรียงอยู่
“ถ้าไม่รังเกียจ ก็วางไว้อย่างนี้เถอะครับ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน
รังเกียจหรือ? นั่นห่างไกลจากความจริงไปโข เขาไม่มีเรื่องความรังเกียจอยู่ในหัวเลยแม้สักกระผีก
“ทำไมถึงคิดว่าจะรังเกียจล่ะ”
อีกฝ่ายคงไว้ซึ่งบุคลิกเนิบนาบเช่นเคย ไม่เรียกร้อง ไม่เร่งรัด มือที่จับเขาไว้เมื่อครู่ก็ปล่อยลงข้างกายตัวเองเช่นกัน เอ่ยเสียงเรียบเรื่อยเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ “คุณหันไปเห็นผู้หญิงตรงนั้นหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็เปลี่ยนท่าทืไปนิดหน่อยน่ะครับ”
แต่คนฟังกลับสนใจประเด็นอื่นอันชวนให้ใจพองโตมากกว่า
“สังเกตฉันอยู่หรือ?”
ธัญญ์เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก้มหน้าก้มตาพูดเสียงเบาใต้ปลายจมูก “ตลอดเลย”
ถ้าใจเต้นหนักจนหัวใจวายตายไปตอนนี้เลยจะทำอย่างไรดีนะ
เขายอมรับว่าไม่รู้ตัวจริง ๆ นั่นละ แต่ใครใช้ให้ช่วงหลังมานี้ ธัญญ์คอยจะยิงตรงแสกหน้าเขาตลอดกันเล่า
“ผมน่ะมือเบา ตีนแมว ตาไว คนที่เคยรู้จักกันยังบอกว่าน่าไปเป็นโจรชะมัด” อีกฝ่ายพูดคล้ายติดตลก อย่างกับเดาใจเขาได้จากแค่เห็นสีหน้า “คุณไม่รู้ตัวก็เรื่องธรรมดา”
ทั้งที่เคยคิดว่าเจ้าเด็กนี่มีดีแค่หน้าตา กวนประสาทหน้านิ่งผสมแกล้งเด็กไปวัน ๆ อยู่ด้วยกันไปกลับพบว่าหัวไว ทำงานเก่งใช่ย่อย เอาเข้าจริงก็รักเด็กอีกต่างหากเพียงแต่ไม่ยอมรับ ดูอย่างตอนนี้ที่พาเดินเข้าร้านของเล่นเฉย เดาได้ไม่ยากว่าคงตั้งใจมาหาอะไรให้ลูกชายอีกแล้ว ระยะหลังมานี้ภูเมศยังเพิ่งตระหนักขึ้นมาอีกอย่าง ว่าเบื้องหลังความพิลึกเหล่านั้น นิสัยอีกฝ่ายน่ารักน่ากอดเอามากจริง ๆ
"ได้แต่คิดว่าถ้าไม่รังเกียจก็คงดีนะครับ”
“ไม่หรอก”
เขายกนิ้วขึ้นถูปลายจมูกตามความเคยชินเวลารู้สึกเคอะเขินหรือทำตัวไม่ถูก เป็นอาการที่อดีตภรรยาเขามักบ่นอยู่เสมอว่าเธอไม่ชอบ แต่ธัญญ์กลับมองมาด้วยรอยยิ้มที่แฝงในแววตา งึมงำเสียงเบาจนต้องเงี่ยหูฟัง
“ผมชอบเวลาคุณทำท่าอย่างนั้นนะ”
“เห?”
นิ้วชี้เขาชะงักค้างอยู่ตรงจมูก
“บางทีผมก็คิดไปว่าผมทำให้คุณเขินได้ด้วย น่าดีใจจัง”
ภูเมศถึงกับอ้าปากค้าง ครู่หนึ่งก็หัวเราะหึ ๆ ออกมาอย่างครึ้มอกครึ้มใจเต็มแก่ เด็กบ้าคนนี้จะไม่ให้เขาหยุดพักหายใจหายคอบ้างเลย
“คิดไปเองหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ”
“ไม่ได้คิดไปเองหรอก”
ชายหนุ่มขยับตัวเบียดอีกฝ่ายเข้าไปอีกจนไหล่ซ้อนกันเกือบครึ่งตัว อีกนิดจะกลายเป็นโอบจากข้างหลังอยู่แล้ว ไม่สนใจสายตาคนรอบข้างอีกต่อไป ก้มลงกระซิบชิดริมหูฝ่ายนั้น
“ข้อแรก ฉันไม่เคยรังเกียจ"
ธัญญ์หดคอลงเล็กน้อย ขณะที่เขาก้มตามลงไปอีกเพื่อจะพึมพำใกล้ ๆ
"ข้อสอง ใช่ ฉันคิดว่าตัวเองค่อนข้างจะ...อืม...เป็นอะไรคล้าย ๆ เขินในบางที เพราะคำพูดพวกนี้ของเธอนี่ละ...”
ภูเมศหยุดพักเพื่อสูดลมหายใจเข้าลึก ข่มใจพูดต่อโดยกดเสียงต่ำลงอีก
“และถ้ายังเจื้อยแจ้วแบบจงใจแกล้งฉันอย่างนี้ไม่หยุดละก็ กลับบ้านจะทำให้ลงจากเตียงไม่ได้ไปเป็นวันเลย”
“จะกล่อมผมนอนหรือ?”
“ธัญญ์!”
อีกฝ่ายยังทำไม่รู้ไม่ชี้ พูดเสียงเรียบโทนเดียวประหนึ่งจงใจกวน
“ผมขี้เซา ถ้าจะนอนจริงผมจำศีลได้เป็นวันเลยนะ อีกอย่างเตียงคุณก็หลับสบายดีด้วย”
ภูเมศมันเขี้ยวเหลือประมาณ ฉวยจังหวะนั้นล็อคตัวอีกฝ่ายเข้ามุมอับ ก้มลงจนปลายจมูกเกือบชิดกัน กระซิบแผ่วพอให้ได้ยินแค่สองคน
“ใครว่าจะให้หลับกันไอ้หนู เดี๋ยวเรากินมื้อเย็นก่อนกลับบ้าน”
“อา..”
“กินให้เยอะ ๆ แล้วคืนนี้อย่าหมดแรงไปซะก่อนล่ะ”
ธัญญ์เพียงแต่ยิ้มรับน้อย ๆ
มาดวางเฉยของเจ้าตัวเกือบสมบูรณ์แล้ว หากแก้มสองข้างไม่คงสภาพสีแดงเรื่ออยู่ได้อีกหลายนาที
แม้ภูเมศจะยืนกรานหนักแน่นว่าอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เดทอย่างธัญญ์ถามแน่นอน แต่ความรู้สึกหวามไหวในอกกลับคอยแย้งอย่างแข็งขันยิ่งกว่าตัวต้นเรื่องอย่างธัญญ์เสียอีก
พวกเขาออกไปดูหนังข้างนอก เดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย ซื้อของเล่นเป็นหุ่มรบจำลองฝากลูกชาย สุดท้ายกินมื้อเย็นนอกบ้านกันจนอิ่มแปล้ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำแล้ว
จากที่ขู่ไว้เสียเยอะแยะว่าจะไม่ให้หลับอย่างนั้นอย่างนี้ เอาเข้าจริงกลับเพียงแค่นอนกอดกันเฉย ๆ หากแต่อิงแอบแนบแน่นกว่าที่เคย อีกอย่างพร้อมภูมิไม่อยู่บ้าน ธัญญ์จึงไม่จำเป็นต้องย่องออกจากห้องเขาแต่เช้ามืด นอกจากได้เห็นหน้าเป็นคนสุดท้ายก่อนนอน ยังได้พบเป็นคนแรกตอนเช้าอีกด้วย
สรุปว่าคืนนั้น ใครหมดแรงหลับไปก่อนก็ยากจะเดา แต่เขาคิดว่าคงผล็อยหลับไปในเวลาใกล้เคียงกัน พอคิดอย่างนั้นก็ให้ครึ้มอกครึ้มใจบอกไม่ถูก หากได้ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกแบบนี้ทุกเช้าคงดีไม่น้อย
ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นธัญญ์หลับปุ๋ย นอนมองอยู่นานเข้า เขายังตัดใจลุกจากเตียงไม่ได้สักที ทั้งไออุ่นในอ้อมแขน ไหนจะเปลือกตาหลับพริ้มเหมือนไม่มีอะไรต้องกังวลนั่นอีก ยิ่งหมู่นี้ดูยิ้มบ่อยขึ้นกว่าตอนพบกันใหม่ ๆ มากนัก แววตาเป็นประกายค่อยเหมาะกับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเจ้าตัวขึ้นหน่อย ไม่ใช่เดี๋ยวก็แฝงแววเศร้าบ้าง เฉยชาบ้าง อย่างกับคนผ่านความหนักหนาของโลกนี้มาเนิ่นนาน
ชายหนุ่มยกหลังมือขึ้นเกลี่ยผิวแก้มฝ่ายนั้นเบา ๆ สัมผัสเรียบเนียนยังคงอยู่เช่นเดิม ผิวดีอย่างกับลูกคุณหนู ทั้งยังหน้าตาดีมากจริงนั่นละ เป็นผู้ชายที่จัดว่าหล่อเหลาคมคาย หากเป็นหญิงก็คงจะสวยจัดจนหนุ่ม ๆ ใจละลายแน่นอน
ดูเอาเถอะว่าขนาดเป็นผู้ชาย ยังทำเอาคนมองใจตุ๊มต่อมถึงเพียงนี้ นึกเอ็นดูใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายจนถึงกับขโมยจูบแผ่วเบาบนหน้าผาก อดค่อนขอดเบา ๆ ไม่ได้ ว่าคนอวดอ้างตัวเองเหมาะจะเป็นขโมยที่ไหนกัน ยอมให้ถูกลักจูบตอนหลับเอาได้ง่ายดายนัก ขี้โม้เสียมากกว่า
ภูเมศโคลงศีรษะเบา ๆ จะเอ้อระเหยนานกว่านี้ก็ใช่ที่ ไปทำงานสายพอดี ได้แต่คลี่ยิ้มอ่อนใจกับตัวเอง ถือโอกาสอีกสักหน ก้มลงแนบริมฝีปากตนกับของคนหลับแผ่วหวิว เบาเหมือนขนนกร่วงลงบนผิวน้ำ ถึงกับต้องกลั้นหายใจด้วยกลัวจะทำให้ตื่น จากนั้นจึงค่อยตัดใจลุกจากเตียงเงียบ ๆ ไปจัดการธุระส่วนตัวเตรียมออกจากบ้าน
เจ้าของบ้านเดินออกไปไม่ทันไร คนที่เพิ่งถูกหาว่าขี้โม้ค่อยลืมตาขึ้นมองตาม มือหนึ่งยกขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง อีกมือขยุ้มอยู่ที่อกเสื้อ
อุ่นซ่านตั้งแต่ในอก แผ่ลามไปทั้งตัวเลยทีเดียว แค่เอาปากมาแตะเบา ๆ เท่านั้นเอง
ธัญญ์หลับตาลงอีกหน แนบใบหน้าและเนื้อตัวลงกับไออุ่นและกลิ่นกายจาง ๆ ของอีกฝ่ายที่ยังอ้อยอิ่งอยู่บนที่นอน ไม่รู้เขาทำเป็นหลับได้เนียนเกินไป หรือผู้ชายคนนั้นซื่อบื้อจนดูไม่ออกเองกันแน่
น่ารัก
อยากอยู่ด้วยให้นาน ๆ
เขานอนนิ่งอย่างนั้นครู่หนึ่ง จึงค่อยลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา จากนั้นเดินเข้าห้องครัว ก้ม ๆ เงย ๆ ตัดสินใจทำไข่ออมเล็ตอย่างที่หัดทำมานับครั้งไม่ถ้วนจนคล่องตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้ เตรียมไว้รอชายหนุ่มที่ยังอาบน้ำแต่งตัวไม่เสร็จ
ทั้งที่ก่อนไม่เคยสนใจงานครัวสักนิด แต่พอนึกถึงว่าภูเมศจะยิ้มอย่างไร จะยกมือขึ้นลูบท้ายทอยหรือเอานิ้วถูจมูกแบบไหนเวลาเขาทำอะไรให้ แค่ฝึกทำอาหารไว้บ้างไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด
ยิ่งเห็นว่าเจ้าตัวที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เตรียมบึ่งออกจากบ้าน แต่พบว่าเขาเตรียมมื้อเช้าไว้ให้ กลับยิ้มหน้าบานแล้วนั่งกินอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้ดูรีบไปสักหน่อยยังอุตส่าห์ชมว่าอร่อย ต่อให้เมนูยากกว่านี้ก็ยังอยากหัดทำให้อยู่ดี
“อ้อ ใช่” ภูเมศร้องขึ้น ตอนเกือบเดินออกไปถึงประตูบ้าน “เดี๋ยวบ่ายแก่ ๆ จะมารับนะ”
“รับ?”
“ใช่”
“ไปไหนครับ”
“ไปรับเจ้าภูมิด้วยกัน”
ธัญญ์มองอีกฝ่ายนิ่ง รอคำอธิบายเพิ่มเติม
“ลืมแล้วหรือ เมื่อวานเจ้าภูมิไปค้างกับน้องเพลง เดี๋ยววันนี้ต้องไปรับกลับจากโรงเรียน”
“ไม่ลืมครับ” เขาพยักหน้า เข้าใจกรณีพิเศษที่ภูเมศจะไปรับลูกชายกลับจากโรงเรียนหลังไปค้างกับอดีตภรรยาและลูกสาว เพียงแต่สงสัยว่าปกติเขาไม่ได้ไปด้วยเสียหน่อย
“ดี” ภูเมศยิ้มกว้าง ดูอบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ เอื้อมมือมาลูบผมเขาเบา ๆ “วันนี้รอฉันล่ะ ไปรับลูกด้วยกัน”
หัวใจเหมือนจะเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง
ไปรับลูกด้วยกัน?
คนซื่อบื้อคนนี้ได้คิดก่อนพูดออกมาหรือเปล่านะ
“...ผม”
“อาจจะกะทันหันไปหน่อย...แต่ก็...”
อีกฝ่ายยกนิ้วมือขึ้นถูปลายจมูกเบา ๆ ท่าทางเคอะเขิน
“ยังไงก็ช่วยอยู่ดูแลลูกฉันด้วยกันเถอะนะ”
เขาพยายามหายใจเข้าออกช้า ๆ นิ้วมือตัวเองเกี่ยวกันแทบเป็นปมไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
ทั้งอยากหัวเราะและอยากร้องไห้เลย
“บอกไว้ก่อนว่าผมเกลียดเด็กนะครับ”
“เรื่องนั้นฉันรู้”
“ถ้าตอนหลังจะเอาเรื่องนั้นมาอ้างไม่ให้ช่วยดูแลลูกแล้ว...ผมไม่ยอมหรอกนะครับ”
ภูเมศยิ้มละมุน รวบเอวเขาเข้าไปใกล้
“ทำหน้าอะไรแบบนี้" ได้ยินเสียงอีกฝ่ายบ่นเบา ๆ "ได้ไปทำงานสายกันพอดี”
ก่อนริมฝีปากพวกเขาจะถูกดึงดูดเข้าแนบสนิทกัน
To be continued…เฮือกกกก มาแล้วค่ะ เป็นนิยายรายเดือนไปจริง ๆ ด้วย
่รูปก็ยังไม่ได้วาดค่ะ ค้างไว้ตั้งแต่ตอนที่แล้ว ยังหาเวลาวาดไม่ได้เลย ฮือ ต๊ะไว้ยาว ๆ ก่อนนะคะ เอานิยายก่อนเนอะ กระซิก
ไม่ได้เขียนฉากอัศจรรย์นาน เล่นมุกตัดเลยตัดเลยชับ ๆ ๆ ซะเลยค่ะ เปิดพืันที่สำหรับจินตนาการ เดี๋ยวจะมีแต่เรื่องใต้สะดือ << ข้ออ้าง หงุงง
ตอนนี้จะว่าเป็นช่วงเวลาสงบสุขก็ว่าได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้จะไม่สงบสุขหรอกนะคะ (ฮา) เขียน ๆ ไป ก็รู้สึกคุณภูเมศนี่มุ้งมิ้งจริง เสะขี้อายนิด ๆ เราก็ชอบนะคะ เอ็นดู 5555
แล้วพบกันงวดหน้า ยังไงถ้าแบ่งเวลาได้จะพยายามต่อให้ไวขึ้นค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ค้างนาน ;3;
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า *จับรวบกอดด*