┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 4
ซอยเล็ก ๆ ด้านขวามือนั้น ความกว้างแค่พอสำหรับรถเล็กสี่ล้อขับผ่านได้อย่างเต็มฝืน เสียงดังเป็นระยะมาจากฝั่งหนึ่งในซอยซึ่งกำลังก่อสร้างอาคารขนาดย่อม นานทีจะมีคนเดินผ่านสักหน ขนาดร้านขายส้มตำรถเข็นที่จอดอยู่ริมทาง แม่ค้ายังเปิดเพลงลูกทุ่งทิ้งไว้แล้วนั่งสัปหงก
“ครับ ติดธุระครับ”
ธัญญ์เดินทอดน่องเข้าไปในซอย พึมพำกับโทรศัพท์มือถือ ฟังเสียงผู้จัดการบ่นกระปอดกระแปดอยู่อีกปลายสายอย่างไม่ใส่ใจนัก เงียบจนคนบ่นไม่แน่ใจแล้วว่าเขาคล้อยตามหรือกำลังดื้อ สุดท้ายก็คล้ายจนใจ ได้แต่งึมงำเสียงอ่อน
“คราวหลังถ้าจะลา ก็บอกให้มันเร็วกว่านี้หน่อยสิ”
“กะทันหันไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ” เขาปิดท้ายก่อนวางสาย “แต่จะไปเข้ากะกลางคืนแน่นอน”
สัญญาณตัดไป พร้อมกับที่เดินมาจนเกือบสุดซอยพอดี ตรงหน้ามีอาคารสูงห้าชั้นซึ่งเปิดเป็นอพาร์ตเม้นต์ให้เช่า หลังจากย้ายมาอยู่ได้ราวหนึ่งเดือน ก็พบว่าสภาพโดยรวมนั้นไม่เลวนัก
หากเป็นเช่นทุกครั้ง คงก้มหน้าก้มตากลับไปพักผ่อนในห้องพักตัวเอง แต่คราวนี้กลับต้องชะงักฝีเท้าลง ด้วยเห็นร่างสูงใหญ่คุ้นตาของใครคนหนึ่งยืนรีรออยู่ด้านหน้า
ยังไม่ทันได้คิดว่าจะถอยหรือทัก อีกฝ่ายก็เหลือบมาเห็นเข้าพอดีแล้วร้องเรียกขึ้นก่อน
“คุณธัญญ์”
พ้นเสี้ยววินาทีนั้น โอกาสให้ถอยไปตั้งหลักได้หลุดลอยไปแล้ว
“อือ” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับ มองชายหนุ่มที่สาวเท้ายาว ๆ เข้ามาหา แม้เครื่องแต่งกายดูเหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป แต่รูปร่างสูงใหญ่นั้นสะดุดตา ทั้งท่าทางหันรีหันขวางก็น่าสงสัยจนพนักงานรักษาความปลอดภัยของอพาร์ตเม้นต์มองตามตาไม่กะพริบ
“หาที่อยู่ใหม่คุณธัญญ์เจอเสียที”
เขาเหลือบมองผู้ชายตรงหน้า เผลอยืดตัวขึ้นอย่างระมัดระวัง ช่วงหลายเดือนมานี้ ทักษะทางกายภาพและความระแวดระวังเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เจอตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ”
อีกฝ่ายทำตาใสใส่ จากนั้นหัวเราะแก้เก้อ “หลอกไม่ได้เลยจริง ๆ”
“มีแต่คนโง่ที่โดนหลอกซ้ำ ๆ” ธัญญ์พึมพำ
ชายหนุ่มหัวเราะแห้งกว่าเก่า ทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนเรื่องกันดื้อ ๆ
“คุณธเนศเขาบ่นคิดถึงนะครับ”
“บอกเขาว่าผมก็คิดถึง”
ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายแล้วให้ถอนหายใจเฮือก “ปกติใครเขาพูดว่าคิดถึงด้วยสีหน้าแบบนั้นกัน”
“ผมก็แค่พูดอย่างที่เขาอยากได้ยิน” เขาว่าเนือย ๆ เดินนำออกจากบริเวณหน้าอพาร์ตเม้นต์ ก่อนพนักงานรักษาความปลอดภัยจะจ้องพวกเขาจนพรุนไปกว่านี้ “และผมไม่เกี่ยงหรอก ถ้าเขาอยากฟังเรื่องโกหก”
“งั้นคุณธัญญ์ก็ไปโกหกให้คุณธเนศฟังเองสิครับ”
“ยังไม่อยากเจอตอนนี้ ฝากพี่ภาคีบอกไม่ได้หรือครับ”
เจ้าของชื่อชะงักไปนิดหน่อย ด้วยปกติธัญญ์ไม่ค่อยพูดจาด้วยน้ำเสียงขอร้องอย่างนี้กับตน ไหนจะคำเรียก ‘พี่ภาคี’ นั่นอีก ที่ได้ยินประจำ โดยมากมักเป็น ‘คุณ’ นานครั้งจึงมี ‘พี่’ หลุดมาถึงหูบ้าง พอได้ยินเข้าเช่นนั้น ก็เกือบเผลอใจอ่อนไปวูบหนึ่ง
ชายหนุ่มกระแอมเรียกสติตัวเอง “ถึงพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ผลหรอกนะครับ”
“ไม่ได้ผลหรอกหรือนี่” ธัญญ์เอ่ยทวนคล้ายประหลาดใจ แต่สีหน้านั้นนิ่งอย่างกับรูปปั้นหิน “ถ้างั้น..”
ว่าพลาง เงินสดหนึ่งหมื่นบาทที่เพิ่งได้รับมาจากภูเมศก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
ภาคีเลิกคิ้ว ก้มลงมองเงินสลับกับมองหน้าเจ้าของเงิน
“จะซื้อผมหรือครับ”
“ซื้อได้ไหม?”
“ไม่ได้หรอก”
“นี่ก็ไม่ได้หรอกหรือ” ธัญญ์พยักหน้า ทวนคำนิ่ง ๆ แบบเดิมอย่างกับจะกวนประสาท “ผมเข้าใจ คุณเป็นคนดี เงินซื้อคุณไม่ได้”
ถ้อยคำเรียกขานเปลี่ยนกลับไปเป็นอย่างเคยในชั่วไม่กี่ประโยค อีกทั้งคำพูดฟังดูประชดประชันอย่างไรชอบกล ภาคีคิดแล้วห่อเหี่ยวใจอยู่นิดหน่อย ได้แต่พยักหน้าเออออไปตามน้ำ
“หรือไม่ก็เพราะเงินนี่มันน้อยไป”
ภาคีสำลักน้ำลายค่อกแค่ก
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนะครับ ทำไมมองโลกในแง่ร้ายแบบนี้”
“นั่นสิ” คราวนี้ธัญญ์กลับพยักหน้าเห็นพ้องด้วย เล่นเอาคนเปิดประเด็นถึงกับไปต่อไม่ถูก ได้แต่ฟังธัญญ์เอ่ยเสียงเรียบขณะทอดสายตาไปไกล “ผมนี่โตมายังไงนะ คงต้องถามคุณธเนศ”
“คุณธัญญ์”
“คุณเป็นคนดี ผมรู้ เกือบเดือนมานี้ก็คอยตามอยู่แต่ไม่ได้กลับไปบอกคุณธเนศใช่ไหม คุณทำตามหน้าที่ตัวเองเถอะ เพราะผมใช้เวลาเคลียร์ค่าเช่าห้องกับย้ายของแค่ไม่ถึงชั่วโมงเท่านั้น”
“จะย้ายหนีอีกแล้วหรือ”
“อือ” ธัญญ์ตอบมาพยางค์เดียว น้ำเสียงธรรมดาอย่างถึงที่สุด เล่นเอาคนฟังลำบากใจหนัก
“ผมควรลากคุณธัญญ์กลับไปด้วยกันเลยไหม?”
“นั่นสินะ”
ปากว่าอย่างนั้น แต่ขากลับแยกออกเล็กน้อย ทิ้งน้ำหนักลงบนปลายเท้า ท่วงท่าเตรียมพร้อม เชื่อว่าเอาเข้าจริงแล้วคงไม่ยอมง่าย ๆ แน่นอน
ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็นิ่งไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ระบายลมหายใจออกมายาวเหยียด
“คุณธัญญ์”
“ครับ?”
“ช่วงนี้คุณธัญญ์ดูเหมือนจะยุ่งมาก เลยไม่เจอกันเลย ใช้เบอร์โทรศัพท์จากไหนไม่รู้โทรมาครั้งหนึ่ง ฝากบอกว่าคิดถึงคุณธเนศเหมือนกัน ไว้เสร็จธุระแล้วจะกลับ..”
“โอ้..”
“...บอกแบบนี้โอเคไหมครับ”
ลักยิ้มชวนมอง ปรากฏขึ้นเป็นรอยบุ๋มน้อย ๆ บนแก้มซ้าย บ่งบอกว่าเจ้าตัวพึงพอใจกับข้อเสนอ
“แต่ถ้าคุณธเนศเอาจริง อย่างไรก็ตามตัวเจอ เรื่องนั้นคุณธัญญ์ก็รู้”
“ผมเข้าใจ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น ช่วยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเถอะนะครับ” ธัญญ์หันกลับมาสบตาคู่สนทนาตรง ๆ “ผมไม่ทำพี่ภาคีเดือดร้อนแน่นอน เรื่องนั้นพี่ก็รู้ใช่ไหม”
“รู้สิครับ ที่ผ่านมามีแต่คุณธัญญ์จะช่วยผมทั้งนั้น”
ธัญญ์ไม่ตอบคำ จมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ภาคีเป็นคนจิตใจดี ผู้ชายคนนี้ซื้อไม่ได้ด้วยคำพูดรื่นหูหรือการกระทำประจบประแจง ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน หากจะมีอะไรที่สามารถซื้อใจคนคนนี้ได้..คงเป็นบุญคุณ
เพราะบุญคุณนั้นดิ้นไม่หลุด หากลองได้สร้างบุญคุณกับใครสักคนแล้ว มันจะคงอยู่อย่างนั้นไปตลอดชีวิต และชายหนุ่มตรงหน้า ก็เป็นคนจำพวกที่จะยึดมั่นกับเรื่องที่ว่าเสียด้วยสิ ธัญญ์สังเกตเห็นลักษณะนิสัยนี้ของอีกฝ่ายมาตั้งแต่ตัวเองยังเป็นวัยรุ่น
“พี่มีบุญคุณกับผม” เขาเปรย
ชายหนุ่มยกมือเกาท้ายทอยเขิน ๆ “คุณธัญญ์ต่างหากที่มีบุญคุณกับผม”
นั่นละที่เขาอยากฟัง เพื่อยืนยันว่ายังใช้มันซื้ออีกฝ่ายได้โดยเจ้าตัวไม่ทันเอะใจด้วยซ้ำ
“ขอบคุณนะครับ” ธัญญ์ว่าพลางค้อมศีรษะน้อย ๆ จากนั้นหมุนตัวเดินกลับไปทางอพาร์ตเม้นต์
“แต่ถึงยังไง” ภาคีร้องตามหลัง “ถ้าเล่นสนุกจนพอใจแล้ว ก็กลับไปหาคุณธเนศบ้างเถอะนะครับ”
เขาชะงัก หันกลับมามองอีกฝ่ายเต็มตา ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้เป็นพี่น้องต่างมารดาของเขา ผู้ชายที่เป็นลูกนอกสมรสซึ่งเขากล้าบอกว่าอีกฝ่ายมีชีวิตดี ๆ อยู่ได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะเขา..
“พี่ตามดูผมมาเกือบเดือน หรืออาจจะนานกว่านั้น แต่ดูไม่ออกหรอกหรือ?”
“เอ๋?”
ธัญญ์คลี่ยิ้มสงบนิ่ง ความจริงจังฉายชัดในแววตา อย่างที่น้อยครั้งนักจะมีคนได้เห็น
“ผมไม่ได้เล่นสักหน่อย”
“นั่น!”
เจ้าลูกชายตัวแสบตาไวกว่าเขาเสียอีก พอเห็นพี่ธัญญ์ที่ดูจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นคนโปรดในเวลาอันรวดเร็ว กำลังเดินหัวยุ่งออกมาจากร้านสะดวกซื้อตอนเช้า ก็รีบกระตุกแขนเสื้อเขายิก ๆ “พ่อดู พี่ธัญญ์หน้าง่วงมาก ฮ่า ๆ”
“หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเชียวนะเรา”
พูดไม่ทันขาดคำ เด็กชายก็หันไปเปิดกระจกรถ โบกไม้โบกมือให้เจ้าหนุ่มในชุดพนักงานเซเว่น พลางร้องเรียกไปด้วยเสียงใส
“พี่ธัญญ์ มาเร็ว ไปกินเต้าหู้”
ภูเมศหลุดขำออกมานิดหน่อย มองตามร่างสูงโปร่งของคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้รถ
หน้าตาเจ้าตัวง่วงนอนจะแย่ แต่ลูกชายเขานี่สิ ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเหมือนยิ่งคึก ตอนแรกเขาตั้งใจจะมารับคนเดียว แล้วค่อยไปเจอกันที่บ้าน แต่พร้อมภูมิตะแง้ว ๆ จะขอตามมาด้วยให้ได้ ทั้งที่ปกติ เช้าขนาดนี้ยังนอนไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ สุดท้ายจึงเป็นอย่างที่เห็น
ธัญญ์เปิดประตูเข้ามานั่งเบาะหลังไม่ทันไร คุณลูกชายก็ปีนตามไปนั่งด้วยหน้าตาเฉย ปล่อยที่นั่งข้างคนขับว่าง ทิ้งเขาเป็นพนักงานขับรถจำเป็นเสียอย่างนั้น
ระหว่างทาง สองคนข้างหลังคุยกันหงุงหงิง หรือว่ากันตามจริง เป็นพร้อมภูมิพูดเจื้อยแจ้วเสียมากกว่า แทบไม่ได้ยินเสียงธัญญ์เลย แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังดูชอบอกชอบใจอยู่ตลอด จนกระทั่งเมื่อไรไม่รู้ที่เสียงค่อย ๆ เงียบหายไป เมื่อมองกระจกส่องหลังอีกครั้ง ผู้โดยสารที่ดูท่าจะยังนอนไม่อิ่มมาทั้งสองคนก็เอนตัวพิงกันหลับปุ๋ย
รถจอดตรงไฟแดง ภูเมศจึงได้มีโอกาสเอี้ยวคอไปมองด้านหลังชัด ๆ ฝ่ายลูกชายเขานั้นตื่นเช้ากว่าเวลาปกติเป็นชั่วโมง ๆ เพราะอยากมาด้วย ส่วนเจ้าเด็กประหลาดที่เพิ่งรับตัวมา เมื่อคืนก็ทำงานกะกลางคืน นั่งรถเจอแอร์เย็น ๆ อากาศกำลังสบายเช้านี้ สุดท้ายหลับไม่รู้เรื่องกันทั้งคู่เชียว
เด็กชายขยับปากงึมงำฟังไม่รู้เรื่องออกมานิดหน่อย ก่อนศีรษะจะค่อยเอนลงช้า ๆ จากที่ซบต้นแขนคนข้างกายอยู่ ก็เริ่มไถลลงเรื่อย สุดท้ายเอนวูบ ภูเมศรีบเอื้อมมือจะไปช่วยดันไว้ก่อนเพราะกลัวลูกตื่น แต่ไม่ทันแล้ว ใจนึกว่าลูกชายสะดุ้งตื่นแน่ ๆ แต่ปรากฏว่าตำแหน่งที่เอียงจนหล่นตุบลงมานั้น ซบลงบนตักธัญญ์พอดิบพอดี
พร้อมภูมิผวาอยู่เฮือกหนึ่ง แต่ยังไม่ทันตื่นขึ้นมา มือข้างหนึ่งของธัญญ์ก็ย้ายมาวางแหมะบนศีรษะเจ้าตัวเล็ก เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทันทีจนดูเหมือนไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองใด เจ้าของมือท่าทางจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ..
ธัญญ์ระบายลมหายใจออกยาว ทั้งที่เปลือกตาปิดพริ้ม ดูสะลึมละลือแต่ยังไม่ตื่น มือที่ขยับน้อย ๆ ลูบบนศีรษะเด็กชายแผ่วเบา
ไม่ถึงอึดใจ ทั้งสองคนก็นิ่งสนิท ขนาดภูเมศส่งเสียงหัวเราะหึ ๆ อยู่ใกล้ขนาดนี้ยังไม่กระดิกสักนิด เห็นแล้วถึงกับเผลอยิ้มกว้างปากแทบฉีกถึงหู ไม่ยักรู้ว่าทั้งสองจะสนิทสนมกันได้ไวเกินคาด โดยเฉพาะกับคนพิลึกอย่างธัญญ์ที่บ่นเองแท้ ๆ ว่าไม่ชอบเด็ก แต่ที่เห็นอยู่นี่ ออกจะเข้ากันได้ดีไม่ใช่หรือไร
ในรถเงียบสงบ ภูเมศครึ้มอึกครึ้มใจมาตลอดทาง กระทั่งเมื่อถึงบ้านจอดรถเรียบร้อย จะหันไปปลุกมนุษย์ขี้เซาทั้งสอง ได้มีอันต้องหุบยิ้มไม่ลงอีกรอบ การปลุกคนให้ตื่นกลายเป็นเรื่องลำบากใจเหนือความคาดหมายขึ้นมาทันที
ถ้าจะหลับกันได้น่าเอ็นดูขนาดนี้..
บนตักพี่ชายนิสัยประหลาด ไอ้ตัวเล็กอ้าปากหวอหลับปุ๋ย มือหนึ่งกอดแขนอีกฝ่ายไว้แน่น ส่วนอีกมือกำกางเกงเจ้าของตักไว้ ขณะที่คนโตกว่านั้นดูจะหลับสบายไม่ต่าง คอพับคออ่อนไปพิงอยู่กับหน้าต่างกระจก แขนข้างที่โดนกอดก็โอบเด็กชายไว้หลวม ๆ เช่นกัน
ปลุกใครก่อนดี..
ชายหนุ่มรีรออยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจเรียกผู้ใหญ่ก่อน
“ธัญญ์”
ลมหายใจเจ้าของชื่อไม่สะดุดสักนิด
“ธัญญ์?”
เอาอย่างไรดี? ให้เรียกดังกว่านี้ก็เกรงจะทำลูกชายตกใจตื่น
ภูเมศยกปลายนิ้วขึ้นถูจมูกแก้แก้อโดยไม่มีใครเห็น พลางชะเง้อตัวเข้าไปใกล้อีกหน่อย
แดดอ่อนสีส้มละมุนต้องใบหน้าเสี้ยวหนึ่งของธัญญ์ ย้อมให้สีหน้านิ่งสงบนั้นดูอ่อนโยนกว่าปกติ
โดยไม่ทันรู้ตัว ก็เผลอจ้องอยู่เป็นนาน ทั้งยังขยับตัวเข้าไปใกล้จนเกือบจะปีนเบาะอยู่แล้ว
ใต้แสงสว่างของดวงอาทิตย์ยามเช้า นอกจากเครื่องหน้าดึงดูดสายตา ยังเพิ่งสังเกตเห็นไฝเม็ดเล็ก ๆ ที่หลังใบหู แผลเป็นจาง ๆ เป็นรอยยาวราวสองเซนติเมตรที่ใต้คาง และแผลเป็นรูปเส้นตรงเล็ก ๆ อีกแห่งตรงลำคอ น่าสงสัยว่าไปได้มาจากไหน ทั้งที่ผิวหน้าออกจะเกลี้ยงเกลาขนาดนี้
ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเป็นเด็กหน้าตาดีจริง ๆ ปากอิ่ม จมูกได้รูป นัยน์ตาดำขลับเวลาจ้อง...มา....
“เหวอ!?”
ภูเมศตกใจแทบหงายหลัง
ธัญญ์มองเขาตาแป๋ว ไม่รู้ตื่นตั้งแต่เมื่อไร กระซิบแผ่วเบาแค่พอได้ยินสองคน
“จะขโมยจูบหรือครับ?”
“ใครว่ากันเล่า”
“ก็เห็นจ้องซะใกล้”
“เธอต่างหากที่จ้องฉัน”
“ได้ครับ..ผมจ้องคุณ” ธัญญ์เออออแล้วพูดต่อ “..ที่ยื่นหน้ามาจ้องผม”
เด็กนี่.. เขาถึงกับถอยไปนวดขมับ ต่อให้ที่ว่ามานั่นจะเรื่องจริงก็เถอะ
ยังไม่ทันได้แก้ต่างอะไรต่อ ก็เหลือบเห็นพร้อมภูมิขยับตัวหยุกหยิก หยีตาขึ้นสู้แสง ท่าทางงัวเงีย พอเห็นว่าเจ้าของตักที่ตัวเองซบอยู่เป็นใคร รอยยิ้มเผล่พลันผุดขึั้นบนใบหน้าเด็กชาย
“พี่ธัญญ์”
เรียกคนอื่นก่อนพ่อตัวเองอีกแน่ะ
“พ่อทำผัดเต้าหู้ไว้เยอะแยะเลย”
ว่าแล้วก็หัวเราะชอบอกชอบใจ ลุกขึ้นดึงแขนอาคันตุกะซึ่งกำลังทำหน้าเพลียชีวิตให้ตามเข้าบ้าน
ผัดเต้าหู้ทรงเครื่อง ไข่พะโล้ใส่เต้าหู้เยอะ ๆ แล้วยังมีแถมเต้าหู้ทอดอีกเป็นกรณีพิเศษตามที่อุตส่าห์อ้อนพ่อให้ทำเพิ่ม ทว่าแผนการที่เตรียมมาแก้มือมีอันต้องชะงัก เต้าหู้ถูกส่งเข้าปากพี่ธัญญ์ต่อเนื่องจนชิ้นสุดท้าย..
ทั้งที่บอกเองว่าไม่ชอบ แต่ไหงกินเกลี้ยงอย่างเอร็ดอร่อยขนาดนี้ เด็กชายพร้อมภูมิข้องใจหนัก
“ไหนบอกไม่ชอบกินเต้าหู้ไง”
สีหน้าอีกฝ่ายนิ่งสนิท แต่นัยน์ตากลับฉายแววนึกสนุกเป็นประกายเล็ก ๆ
“เมื่อวานไม่ชอบ วันนี้ชอบแล้ว”
“ขี้โกงนี่นา”
พี่ธัญญ์ยื่นมือมาดีดหน้าผากเขาเบา ๆ “วิ่งตามความชอบของคนน่ะ เหนื่อยออกนะ”
“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”
“นายไม่รู้หรอก ว่าพรุ่งนี้ใครสักคนจะชอบหรือไม่ชอบอะไร”
“โลเล” พร้อมภูมิบ่นหงุงหงิง
ขณะที่ลูกชายตีความอย่างตรงไปตรงมา ผู้เป็นพ่อซึ่งคอยฟังอยู่เงียบ ๆ อย่างตั้งอกตั้งใจนั้นฟุ้งซ่านไปไกลกว่าหลายโยชน์
“นั่นสิเนอะ” ธัญญ์พึมพำอย่างไม่ใส่ใจนัก ก้มลงรื้อค้นในกระเป๋าเป้ของตัวเอง จากนั้นหยิบบางอย่างส่งให้พร้อมภูมิที่กำลังทำหน้ามุ่ย
ทันทีที่เห็นว่ากล่องสี่เหลี่ยมแบน ๆ ในมือคู่กรณีเป็นใคร เด็กชายก็ทำตาโต หน้ามู่ทู่และแก้มอูมป่องอย่างไม่สบอารมณ์เต็มแก่เมื่อครู่นี้เปลี่ยนเป็นบานแฉ่งทันที แผ่นดีวีดีการ์ตูนสามแผ่นชูอยู่ตรงหน้า เรื่องเดียวกับครั้งโดนหลอกให้กินผักคะน้าเมื่อวันก่อน
“นั่น!” พร้อมภูมิตาวาว ถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วถลามาใกล้
“ให้..” ธัญญ์เว้นช่วงครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “...ยืม”
“โธ่!”
ผิดคาดกันทั้งพ่อทั้งลูก พร้อมภูมินั้นนึกว่าอีกฝ่ายจะบอกว่าให้เลย ขณะที่ภูเมศคิดว่าจะเป็น ‘ให้เช่า’ ยังเผลอส่งสายตาไม่อยากเชื่อใส่ตัวแสบที่ขูดรีดเขาอย่างกับอะไรดี แต่ทีกับลูกชายเขากลับให้ยืมของกันง่าย ๆ
ทางด้านพร้อมภูมินั้นแม้จะผิดหวังนิดหน่อย แต่เด็กชายก็รับมาพลางกระโดดหย็องแหย็ง อ่านคำบรรยายด้านหลังกล่องพบว่าเป็นตอนต่อจากที่ฉายในโทรทัศน์พอดี เห็นดังนั้นแล้วให้ยิ้มร่า ไม่ลืมขอบคุณอย่างที่พ่อเคยสอน จากนั้นถอยกลับมาตรงเก้าอี้ของตัวเอง
ครืด...
..โดยไม่ลืมจะเอาเท้าเกี่ยวขาเก้าอี้ไว้ ให้แน่ใจว่าจะไม่โดนลากออกไปอย่างครั้งก่อน เหลือบตาลงมองเห็นว่าขายาว ๆ ของธัญญ์ยื่นมารอไว้อยู่แล้ว จึงนึกกระหยิ่มว่าคราวนี้ไม่พลาดอีก หย่อนก้นลงนั่งพร้อมสายตาผู้ชนะ
ทว่าคราวนี้เกิดผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย ขาเก้าอี้แบบพับที่ถูกพร้อมภูมิใช้เท้าเกี่ยวแล้วลากเข้าหาตัวนั้นงออยู่ระดับหนึ่งแล้วจากตอนที่ถูกลาก เมื่อทิ้งน้ำหนักลงไป ขาข้างนั้นก็พับลงทันที
“เหวอ!”
เก้าอี้ล้มโครม แผ่นการ์ตูนหลุดมือลงกระทบพื้นจนกล่องเปิดอ้า แล้วยังโดนเก้าอี้ล้มทับซ้ำอีกที แต่เด็กชายไม่เจ็บไม่ปวดตรงไหนสักนิด ขอบคุณความไวของพี่ชายข้าง ๆ ที่คว้าตัวเขาไว้ทันการ
“พะ..พี่ธัญญ์...”
“โทษพี่ไม่ได้นะ” ขนาดเพิ่งถลามาหิ้วปีกเด็กชายเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว ก็ยังจะทำเสียงเนือยใส่
ไอ้ตัวเล็กยังดูตกใจไปอีกหลายวินาที กว่าจะลุกขึ้นยืนเขิน ๆ เต็มสองขาตัวเอง ก้มลงเก็บแผ่นดีวีดีที่กระเด็นหลุดจากกล่อง ทว่าเมื่อเห็นสภาพของที่เพิ่งโดนเก้าอี้ทับ ก็ได้แต่เงยขึ้นมองเจ้าของแผ่นตาปริบ ๆ พร้อมรอยยิ้มเหยเก
“...กล่องแตกเลย”
“ช่างเถอะ”
ภูเมศกวักมือเรียกลูกชายมานั่งเก้าอี้ทางฝั่งตัวเองแทน ส่วนธัญญ์ก้มลงหยิบ ๆ จับ ๆ ขาเก้าอี้ให้กางออกอย่างเก่า ขณะที่เด็กชายเกาะแขนพ่อ มองตามท่าทางไม่ทุกข์ร้อนนั้นตาละห้อย หน้าจ๋อยไปถนัดตา
ชายหนุ่มลูบผมพร้อมภูมิเบา ๆ พลางเหลือบมองธัญญ์ไปด้วย เห็นเจ้าตัวไม่ว่าอะไร ก็หันมาพูดกับลูกชาย “เอาน่า..”
“ขอโทษครับ” พร้อมภูมิพึมพำ
เห็นลูกเซื่องลงขนาดนี้ ภูเมศอดไม่ได้ต้องเข้ามาช่วยกู้สถานการณ์ หันไปต่อรองกับอีกฝ่าย “ขอโทษทีนะ เก้าอี้มันคงไม่ดีแล้ว ของนั่นซื้อมาแผ่นละเท่าไหร่ ฉันซื้อต่อได้ไหม”
ว่าพลางทำใจไปด้วย เขาได้โดนเจ้าเด็กจอมไถขูดรีดมันมืออีกแน่
ทว่า..
“ไม่ขายครับ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว
“ไม่ขาย?”
“ครับ”
“แล้ว..”
“ให้”
สั้น ๆ และชัดถ้อยชัดคำ แต่ถึงได้ยินชัดเต็มสองรูหูอย่างไรก็ยังไม่น่าเชื่ออยู่ดี ต่อให้พร้อมภูมิจะร้องเฮไปแล้วก็เถอะ
“ว่าไงนะ”
“ให้ครับ”
“ให้ยืม?” ภูเมศยังไม่วายจะถามย้ำ “ให้เช่า? ให้อะไร”
“ให้...ให้เฉย ๆ” คราวนี้ธัญญ์หลุดหัวเราะกับหน้าเหลอหลาของอีกฝ่าย “คุณเข้าใจอะไรยากกว่าลูกชายอีก”
เขายกมือลูบท้ายทอยแก้เก้อ “ก็เมื่อกี้ยังบอกให้ยืมอยู่แท้ ๆ”
เด็กหนุ่มหันไปลอบยักคิ้วให้เจ้าตัวเล็ก ได้รับรอยยิ้มแฉ่งกลับมา “พวกคุณน่าแกล้งกันทั้งคู่ ผมจะบอกว่าให้เฉย ๆ แต่แรก แต่เห็นหน้าแล้วอดไม่ได้นี่..”
อ้อ...ชายหนุ่มพยักหน้างง ๆ เขาอยู่ในสถานะเป็นฝ่ายถูกแกล้งตั้งแต่เมื่อไรกัน? แล้วมีอย่างที่ไหน เครื่องไถเงินเคลื่อนที่อย่างธัญญ์ที่กับแค่กินข้าวเป็นเพื่อนยังคิดเงิน จะเอาของมาให้ลูกชายเขาง่าย ๆ อย่างนี้ คงไม่ใช่ว่าเอาแผ่นหนังหรืออะไรแปลก ๆ ปนมาด้วยหรอกนะ นึกแล้วก็อดไม่ได้จะหยิบแผ่นดีวีดีทั้งสามมาพลิกสำรวจ
อีกฝ่ายเหมือนรู้ทัน เอ่ยเบา ๆ พอได้ยินกันสองคน “ผมไม่สอดแผ่นหนังโป๊มาให้ลูกชายคุณหรอก”
พูดจบก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ น่ามันเขี้ยวอย่างถึงที่สุด!
หลังจัดการมื้อเช้ากันเรียบร้อย ยังมีเวลาเหลือเฟือให้นั่งดูการ์ตูนอีกสักตอน ก่อนจะถึงเวลานัดไปรับลูกสาวคนเล็กซึ่งอยู่กับอดีตภรรยา
พร้อมภูมินั่งกระแซะธัญญ์ที่สะลึมสะลืออยู่ฝั่งหนึ่งของโซฟา ด้านหน้าเป็นจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายการ์ตูนจากแผ่นดีวีดีที่ธัญญ์นำมาให้ ส่วนภูเมศนั่งกอดอก มองทั้งจอและสองคนข้างหน้าอยู่อีกทีจากเก้าอี้ด้านหลัง บอกตัวเองว่าเพื่อจะได้ดูแลลูกชายใกล้ชิด แต่อีกจุดประสงค์ที่ไม่ค่อยอยากยอมรับเท่าไร คือจะได้สังเกตท่าทีเจ้าหนุ่มผู้เป็นแขกไปด้วย
เพลงจบตอนดังขึ้น เด็กชายที่นั่งจ้องจอตาแป๋ว จึงได้เบนความสนใจกลับมายังพี่ชายซึ่งกำลังเคลิ้มใกล้หลับเต็มที
“พี่ธัญญ์”
ภูเมศพลอยหูผึ่ง รอฟังว่าสองคนจะคุยอะไรกัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่อาศัยลูกชายถามนั่นถามนี่แล้วรอฟังไปด้วย
ทว่าหลังพร้อมภูมิเรียกหา เว้นช่วงตั้งไปนาน เจ้าของชื่อก็ยังไม่ตอบ จนเด็กชายต้องหันไปเขย่าแขนเบา ๆ อย่างเรียกร้องความสนใจ
“พี่ธัญญ์ นี่..พี่ธัญญ์”
ท่าทางจะทนรำคาญไม่ไหว จึงครางออกมาอย่างขอไปที “อือ”
“สนิทกับพ่อเหรอ”
ใจเต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ เขาเงี่ยหูรอฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
ทว่ารอจนเพลงการ์ตูนจบ รอจนหัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบสักแอะ
“พี่ธัญญ์ อย่าเพิ่งหลับสิ!”
เวรกรรม
“พี่ธัญญ์!”
“อือ” หลังรับคำส่ง ๆ จากนั้นก็นิ่งไปอีก
“ง่า” พร้อมภูมิร้องครวญในลำคอ ขณะที่ผู้เป็นพ่อเพียงแต่หัวเราะเบา ๆ อย่างปลงตก ชะโงกหน้าเข้ามาหาลูกชายพลางไล่ให้ไปอาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วได้ออกจากบ้านกันเสียที
อิดออดอยู่พักหนึ่ง เด็กชายจึงยอมลุกจากโซฟา แต่ไม่วายจะเหลียวมองคนข้าง ๆ ส่งท้าย ท่าทางหมายมั่นปั้นมือว่าเสร็จแล้วจะต้องก่อกวนจนตื่นมาเล่นกันให้ได้
ภูเมศรอกระทั่งลูกชายลับสายตาไปได้ครู่ใหญ่ จนแน่ใจว่าเหลือแค่เขากับธัญญ์ จึงได้ย้ายร่างตัวเองไปนั่งข้างกันบนโซฟาแทน โคลงศีรษะอ่อนใจให้กับคนที่ทำคอเอียงซบพนักพิงโซฟาหลับปุ๋ย
ง่วงเหงาหาวนอนขนาดนี้ พอเข้าใจได้อยู่หรอกว่าเพิ่งออกจากทำงานกะกลางคืนมา เขาคิดอย่างเห็นอกเห็นใจ จ้องคนหลับอยู่ได้ครู่ใหญ่ ตัวเองก็เอียงศีรษะซบพนักพิงโซฟาบ้างโดยหันหน้าเข้าหา ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดริมฝีปาก
“จ้องขนาดนี้..ผมลำบากนะครับ”
ภูเมศสะดุ้งเฮือกกับเสียงเนิบ ๆ นั้น อีกฝ่ายยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ ครั้นจะอ้าปากถามเรื่องรู้ได้อย่างไรว่าถูกมองอยู่ ก็นึกขึ้นได้ว่าการที่ตัวเองรู้สึกถึงลมหายใจอีกฝ่าย ย่อมหมายถึงคนตรงหน้าต้องรับรู้ได้เช่นกัน ว่ามีใครหายใจรดอยู่ใกล้ ๆ ให้ตายเถอะ..
ใช้เวลาไม่นานกับการตั้งตัว หลังพ้นช่วงตกใจ ชายหนุ่มไม่ได้ถอยหนี กลับขยับเข้าใกล้อีกนิด
“แกล้งหลับหรอกหรือ?”
“เพราะตอบลำบากน่ะครับ”
“หือ?”
คราวนี้อีกฝ่ายลืมตาขึ้นมอง สีดำขลับในนั้นยังมีประกายของวัยเยาว์ทออยู่เบาบางตอนอธิบายต่อ “ลูกชายคุณยังเด็ก ผมจะไปตอบเองว่าสนิทหรือไม่สนิท คงไม่ดีเท่าไรใช่ไหมล่ะครับ”
ภูเมศนึกขึ้นได้ถึงเรื่องเมื่อครู่ ตอนที่พร้อมภูมิเรียกถาม แต่อีกฝ่ายไม่ตอบสักที จึงได้เข้าใจความหมายของเด็กหนุ่ม นึกชื่นชมอยู่ลึก ๆ ในความรอบคอบนั้น แต่เขาเองก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน
“แล้วสนิทไหมนะ” เขาลองหยั่งเชิง
ธัญญ์ไม่ต่อปากต่อคำ เพียงแต่หลุบตาลงต่ำ พึมพำเบา ๆ
“เรื่องนั้นแล้วแต่คุณ”
“งั้นเราสนิทกัน” เขาสรุป และดูเหมือนข้อสรุปนี้จะทำอีกฝ่ายแปลกใจเอาการ แต่ไม่เท่ากับประโยคถัดมาแน่นอน “มาเป็นพี่เลี้ยงเด็กไหม?”
หลังจากชะงักไปนิดหน่อย ธัญญ์ก็ตอบกลับมาอย่างไร้เยื่อใย “ผมเกลียดเด็ก คุณไม่เห็นหรือ ผมจะทำลูกคุณตกเก้าอี้หลายรอบแล้ว”
แล้วก็เอื้อมมือไปคว้าตัวไว้ได้ทุกรอบด้วยสิ...ภูเมศต่อให้ในใจ ก่อนจะย้อนด้วยประโยคคุ้น ๆ ของใครบางคน
“เมื่อวานไม่ชอบ วันนี้อาจชอบ”
“ก็อปคำพูดผมแบบนี้ไม่ช่วยอะไรหรอก”
“วันนี้ไม่ชอบ พรุ่งนี้อาจชอบ” ชายหนุ่มว่าต่อเสียงนุ่ม พลางเอื้อมมือเอานิ้วเขี่ยปอยผมอีกฝ่าย เกลี่ยเบา ๆ ไปเหน็บไว้ข้างหู
เมื่อเส้นผมที่ปรกหน้าอยู่ถูกเกี่ยวออก จึงเห็นผิวแก้มแต้มสีระเรื่อบางเบา อดไม่ได้จะเฉียดปลายนิ้วไปโดนระหว่างที่ดึงมือกลับ
ผิวลื่น แก้มอุ่น...
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับเขา จึงเกิดความคิดว่าถ้าเป็นไปได้ ก็อยากสัมผัสอีก
“ธัญญ์?”
เสียงกระซิบนั้นทุ้มต่ำ ซ้ำยังใกล้จนไอร้อนจากลมปากทำขนที่ต้นคอคนฟังลุกชัน
ธัญญ์เม้มปากเป็นเส้นตรง เงียบไปครู่ใหญ่อย่างชั่งใจ สุดท้ายก็ถามออกมาเบา ๆ
“เงินดีไหม?”
ภูเมศยิ้มน้อย ๆ
รู้ดีว่านั่นหมายถึงตกลง
To be continued…
กลับมาอัพแล้วค่ะ แฮร่กส์
ขอบคุณงาม ๆ ที่เข้ามาอ่าน คอมเม้นต์ และบวกเป็ดนะคะ //กราบบ
มีแรงฮึดขึ้นมาเลยค่ะ *กอดก่าย*

แปะรูปเด็กชายพร้อมภูมิ ไม่ค่อยถนัดวาดโชตะเลยค่ะ แต่ที่คิดไว้ก็น่าจะหน้าตาประมาณนี้ เด็ก ๆ นี่ดีจังเลย ขโมยซีนคุณพ่อน่าดู (ฮา)

แล้วพบกันงวดหน้าค่ะ ,,>3<,,