ตอนที่ 28เมื่อกล่าวถึงกลุ่มผู้ดำรงตำแหน่งเป็นราชองครักษ์ ย่อมเป็นผู้ที่สมรสแล้ว ส่วนราชองครักษ์ลาทีฟ ยังนับเป็นผู้ที่มีความอาวุโสผู้หนึ่ง ด้วยมีอายุมากกว่าราชองครักษ์ทุกคน แต่ยินดีกับตำแหน่งหน้าที่ ที่อยู่ในหอตำราและแพทย์หลวงเท่านั้น นอกจากนี้แม่หญิงผู้เป็นภรรยาก็ยังเสียชีวิตไปหลายปีทิ้งไว้เพียงบุตรสาวชื่อลาทิฟา ว่ากันว่า หากไม่มีบุตรสาวรออยู่ที่บ้าน ราชองครักษ์ผู้นี้คงได้ยึดหอตำราหลวงเป็นบ้านพักถาวร
และเมื่อพระราชามีราชโองการให้ออกเดินทางไกล ราชองครักษ์ทุกคนถึงกับต้องทวนถามอีกครั้ง ว่าใช่ราชองครักษ์ลาทีฟจริงหรือ วุ่นวายกันจนหัวหน้าราชองครักษ์บาดาต้องให้ทุกคนหมุนเวียนกันอ่านพระราชโองการ จากนั้นก็พากันคาดเดาว่า ภารกิจครานี้มีการใดเฉพาะ ที่ทำให้ราชองครักษ์ลาทีฟต้องออกเดินทาง
แต่ในความเป็นจริง บทสนทนาระหว่างการเดินทางของราชองครักษ์ลาทีฟกับแม่หญิงพริม เริ่มต้นด้วยเรื่องของเด็กหญิงลาทิฟาที่ผู้เป็นพ่อเล่าอย่างภาคภูมิใจ
“เมื่อเช้าตอนที่พาไปฝากไว้กับตาและยายเขา เพราะพ่อต้องเดินทางไกลหลายวันก็มีท่าทีคล้ายจะร้องไห้อยู่เหมือนกัน แต่แล้วก็กลับเข้มแข็งบอกให้พ่อเดินทางด้วยดี จะว่าไปทางหนึ่งก็ดีใจที่เขาเข้มแข็งขึ้น แต่อีกทางหนึ่งก็กลับผิดหวังที่ลูกสาวไม่ร้องตาม คล้ายเขาไม่ต้องการพ่อแล้ว”
พริมหัวเราะอย่างสดใส “ข้าไม่เคยจากพ่อกับแม่ไปไหนเลย ต่อให้เคยไปพักผ่อนเที่ยวน้ำตกด้วยกัน เราก็ยังไปด้วยกันทั้งหมด”
“น้ำตกที่ใด”
“หุบเขาใกล้กับหมู่บ้านที่ปลูกถั่วงาเจ้าค่ะ เดินทางครึ่งวันเท่านั้น”
“อ้อ....” ราชองครักษ์ลาทีฟลากเสียง “ไว้กลับไปข้าจะพาลาทิฟาไปเที่ยวบ้าง”
“ดีเจ้าค่ะ ตอนที่พวกเราไป เราไปกับบ้านอีก 2 หลังที่อยู่ติดกัน เช่ารถม้าเดินทางไปเที่ยวเล่นจนบ่าย ค่ำลงกินอาหาร ถึงบ้าน ท่านพ่อก็เข้าครัวเตรียมอบขนมปังเลย”
“พ่อของเจ้าน่ะหรือ” พ่อของพริมมีอาวุโสมากกว่าราชองครักษ์ลาทีฟเพียงไม่กี่ปี “เขาไม่พักผ่อนเลยหรือ”
“พักสิเจ้าคะ พ่อหลับมาตลอดทาง กลับมาถึงก็ทำงาน เช้าขึ้นมา ข้ากับแม่ก็เป็นคนขายของ”
“ช่างเป็นครอบครัวที่เกื้อกูลกันเป็นอย่างดี” ราชองครักษ์กล่าวจากใจ
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ แต่ที่จริงแล้ว พ่อกับแม่เป็นห่วงพวกลูกค้าเจ้าประจำที่มาซื้อขนมปังทุกเช้าด้วย เราหยุดไปเที่ยวแล้ววันหนึ่ง ทำให้เขาต้องซื้อล่วงหน้าเก็บไว้ หากหยุด 2 วันพวกเขาอาจเปลี่ยนไปซื้อขนมปังที่ร้านอื่นแทน” หญิงสาวถามบ้าง “ท่านเดินทางบ่อยไหมเจ้าคะ”
“ไม่หรอก” ราชองครักษ์ลาทีฟกล่าว “หน้าที่หลักของข้าอยู่ในหอยา หากออกมาก็คือการขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร”
“ท่านยังต้องออกไปเก็บสมุนไพรเองหรือเจ้าคะ”
“หากไม่หาเรื่องออกไปเก็บสมุนไพร ข้าคงไม่ได้ออกจากเขตเมืองหลวงแน่นอน”
พริมหัวเราะสดใส พูดคุยสนุกสนานตลอดการเดินทาง โดยยอมรับกับตนเองว่า การได้พบกับองครักษ์เก้าทำให้ได้เข้าเฝ้าฯ พระราชา ได้พูดคุยกับแม่ทัพ ราชองครักษ์ และองครักษ์หลายคน แต่ละคนล้วนมีบุคลิกที่แตกต่างกันออกไป แม้จะให้ความรู้สึกหวั่นเกรงเพราะตนเองเป็นคนธรรมดา แต่ก็ได้รับรู้เรื่องราวใหม่ๆ มากมายเช่นกัน นอกจากนี้แล้ว ยังได้รู้ว่า บรรดาราชองครักษ์ และองครักษ์เหล่านี้ ต่างก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล หาใช่ผู้ที่คร่ำเคร่งต่อหน้าที่การงานตลอดเวลาจนไม่รู้จักผ่อนคลายแต่อย่างใด
เมื่อถึงเวลากลางคืนที่ต้องพักค้างแรม ราชองครักษ์ลาทีฟก็ไปขอเช่าห้องพักจากบ้านของชาวนาเพื่อให้พริมได้อาบน้ำ และพักผ่อนอย่างสะดวกสบาย แม้จะทำให้ใช้เวลาในการเดินทางนานขึ้นกว่าเดิมถึง 2 วันก็ตาม
เส้นทางที่เดินทางผ่าน ในช่วงแรกคือเส้นทางหลักที่มุ่งตรงไปยังเมืองหน้าด่านของแม่ทัพนาซิม แต่เมื่อไปถึงช่วงท้าย กลับเลี้ยวซ้ายไปทางตะวันตก มุ่งหน้าสู่หุบเขา
เมื่อเข้าสู่เขตหุบเขาราชองครักษ์ลาทีฟจึงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่ององครักษ์เก้ากับผู้ที่พระราชามีราชโองการให้ไปพบ
“เจ้าอาจลำบากใจเมื่อพบหน้าเขา เพราะรู้ว่าเขาทำร้ายองครักษ์เก้าคนรักของเจ้า เพียงแต่อยากให้เจ้าเข้าใจว่า คนผู้นั้นทำเรื่องราวทุกอย่างไปโดยที่ไม่รู้ตัว”
พริมพยักหน้ารับและกล่าวสิ่งที่ได้รับรู้มาก่อนหน้านี้
“ท่านพี่เก้าเคยพาคนผู้นั้นมาที่บ้าน พวกเราสนทนากันอย่างถูกคอ พ่อกับแม่ก็ชอบในอัธยาศัย ต่อมาจึงรู้ว่าเขาเป็นผู้ที่ท่านแม่ทัพพึงพอใจ เรื่องราวของเขาจากนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ผู้คนพูดกันไป จนกระทั่งทราบว่าท่านพี่เก้าถูกเขาทำร้ายที่เรือนจำเวทย์ แต่ท่านพี่เก้าไม่เคยเล่าเรื่องอันใดเลยเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดกล่าวโทษเขาไหม”
พริมส่ายหน้าทันที “ข้ารับรู้เรื่องราวผ่านผู้อื่น ส่วนท่านพี่เก้าเองก็ไม่ได้เล่าเรื่อง ข้าไม่อาจกล่าวโทษเขาได้”
“พระราชาส่งเจ้ามาก็ด้วยเหตุนี้” ราชองครักษ์ลาทีฟกล่าวสรุป “หากเขาเห็นว่า ทั้งเจ้าและองครักษ์เก้าไม่ได้ถือโทษอันใด เขาน่าจะยอมกลับไปกับเรา”
“หากข้าไม่สามารถพาเขากลับไปได้ละเจ้าคะ” พริมถามอย่างเป็นกังวล
“สำคัญคือเจ้ามา และแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ถือโทษ” เมื่อพริมยังไม่ค่อยเข้าใจ อีกฝ่ายจึงอธิบายต่อ “คนผู้นั้นทำร้ายองครักษ์เก้า ไม่ว่าในตอนที่ลงมือจะรู้ตัวหรือไม่ แต่เมื่อหนีมาก็แสดงให้เห็นว่ารู้ตัวแล้ว และเพราะองครักษ์เก้าดีกับเขามาโดยตลอด สำนึกรู้ผิดรู้ชอบจะรบกวนจิตใจ การแสดงให้เห็นใจจริง ว่าเจ้าไม่ได้กล่าวโทษเขา อาจช่วยให้เขาตระหนักถึงหน้าที่สำคัญต่อเมืองวันได้”
พริมพูดเบาๆ “เป็นเช่นนี้เอง ข้ากังวลมาตลอดว่าข้าไม่มีเวทย์ใด เป็นเพียงหญิงชาวบ้าน”
“แต่เจ้ามาในฐานะตัวแทนขององครักษ์เก้า”
หญิงสาวคลี่ยิ้ม “หากข้ากล่าวเท็จ เขาจะรู้ไหมเจ้าคะ”
“เท่าที่รู้มาเขามีเวทย์ทั้ง 4 แต่อ่านจิตไม่ได้นะ” ราชองครักษ์ลาทีฟหันมายิ้มสนุก “หรือเราจะลองดู”
“ไม่ดีกระมังคะ” พริมกังวล “ท่านมีเวทย์เหมือนกัน คงเอาตัวรอดได้ แต่ข้าไม่มีเวทย์....”
บทสนทนาขาดหายเมื่อเข้าสู่เขตหมู่บ้านในหุบเขา
แม้พริมจะไม่ค่อยเดินทางออกมานอกเมือง แต่ก็เชื่อว่าที่นี่ต้องเป็นหมู่บ้านที่เคยสวยงามน่าอยู่เป็นอย่างยิ่ง
จากทุ่งนา สวนผัก เรือนหลังใหญ่ที่เคยเป็นโรงตีเหล็กอยู่ทางด้านหน้า ถัดเข้าไปจึงเป็นกลุ่มบ้าน
แต่บัดนี้ทั้งหมดเหลือเพียงเศษของความเสียหาย ต้นไม้ใหญ่เพิ่งผลิใบ ทุ่งนาและสวนผักที่ถูกละเลย ซากโรงเหล็กเหลือเพียงเศษกองไม้ ซากบ้านหลายหลังที่ถูกเผาทำลาย เว้นเพียงบ้าน 2 หลังที่โดดเด่นอยู่กลางหมู่บ้าน กับคนผู้หนึ่งที่แปลงผักเล็กๆ ทางด้านหลังกำลังยืนมองมา
เมื่อเข้ามาใกล้ ราชองครักษ์ลาทีฟลงจากที่นั่งคนขับ แล้วไปผูกม้าไว้กับตอไม้ที่ด้านหน้าซากอาคารหลังใหญ่ที่น่าจะเคยเป็นโรงตีเหล็ก
ขณะที่พริมลงจากรถเอง แล้วมายืนอยู่ทางด้านหลังของผู้อาวุโสกว่า
ระหว่างนั้น อีกฝ่ายก็กลับวิ่งเข้ามาหาพร้อมถือจอบมาด้วย
ราชองครักษ์ลาทีฟ ไม่คิดที่จะเสแสร้งว่าเดินทางผ่านมา แต่กลับทักทายอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าคงเป็นต้าซัน”
อีกคนก็พยักหน้ายอมรับเช่นกัน แม้ราชองครักษ์ยามนี้จะไม่ได้สวมเครื่องแบบ แต่คนที่คุ้นเคยกับการทำงานในวังก็ยังนึกรู้
“ท่านมาจากวังหลวงหรือ”
“ใช่”
ต้าซันถือจอบแนวขวางท่าทางพร้อมสู้กับอีกฝ่าย “ถ้าจะเอาเม่ยไป ท่านต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
ราชองครักษ์ลาทีฟยิ้มขำ “ข้าคือราชองครักษ์ลาทีฟ ส่วนนี่คือแม่หญิงพริม”
“พริม...คนรักขององครักษ์เก้าน่ะหรือ”
ต้าซันมองหญิงสาวทางด้านหลังที่พยักหน้ายอมรับ แล้วหันไปถามราชองครักษ์ด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายลง
“พวกท่านมาทำไม”
“พวกเราแค่ต้องการให้พวกเจ้าเลิกหลบหนี และกลับไปร่วมทัพ”
ต้าซันเกาหน้าผากตนเอง จากที่ทำงานในวังหลวง ทำให้เคยได้ยินเรื่องของราชองครักษ์ผู้นี้มามิใช่น้อย “เรื่องที่จะไม่ให้หลบหนีน่ะทำได้ แต่เรื่องไปร่วมทัพ เม่ยคงไปไม่ได้แล้ว”
ราชองครักษ์ลาทีฟถาม “เม่ยเป็นอย่างไร”
“เม่ยไม่สบาย” ต้าซันบอกแล้วถามอีกครั้ง “ท่านใช้เวทย์ใช่ไหม”
“ข้าเป็นราชองครักษ์ย่อมใช้เวทย์ และเป็นหมอยาช่วยพระราชารักษาองครักษ์เก้า ส่วนพริมไม่มีเวทย์”
คนซื่อยังไม่ค่อยแน่ใจ “ถ้าท่านรักษาองครักษ์เก้า ก็คง...ไม่เป็นอันใด แต่เจ้า” นั่นคือพริม “เม่ยทำร้ายท่านเก้านะ”
“ที่ข้ารู้ก็คือท่านพี่เก้าไม่ได้ผูกใจเรื่องนั้น”
ต้าซันดึงผมตนเอง “ข้าได้ยินผู้คนพูดถึงองครักษ์เก้าในแง่นั้นมาตลอด เจ้าเองก็เหมือนกัน พวกคนดีผิดที่ผิดทาง แต่ว่าเม่ยเขา....ถ้าท่านเป็นหมอยาก็..ลองดูก็คงได้”
“หากเจ้าไม่แน่ใจ ลองบอกอาการของเม่ยให้ข้าฟังก่อนได้หรือไม่”
ราชองครักษ์ลาทีฟกล่าวอย่างใจเย็น ด้วยเข้าใจความกังวลของต้าซันนักดนตรีแห่งวังหลวงผู้นี้เป็นอย่างดี
..ตนเองก็ไม่มีเวทย์ แล้วกลับพาน้องชายที่ถูกเวทย์ดำหลบหนีมาตามลำพัง ช่วงเวลาที่ผ่านมาคงคิดกังวลวุ่นวายมากมาย
“หลังจากที่เม่ยทำร้ายท่านเก้า และคนอื่นที่เรือนจำเวทย์แล้ว ข้าก็พาเขาหนีมาที่นี่ เพราะไม่รู้ว่าจะหลบหนีไปที่ใด แต่ตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงบัดนี้....เม่ยคล้ายลืมทุกอย่าง ทั้งเวทย์ของเขาด้วย....แต่ก็...ไม่รู้สิ....ถ้าท่านบอกว่าเป็นหมอยา...ก็...ลองดูแล้วกัน....” คนซื่อกล่าวคำที่แทบไม่เป็นประโยค แต่เมื่อจะเดินนำเข้าไปที่หมู่บ้าน ก็ยังไม่วายหันมากล่าวย้ำ “ไม่มาจับกุมเม่ยแน่นะ เพราะข้าจะไปช่วยเม่ย แล้วพวกท่านจะไม่พบเจอเขาอีกเลย ช่างเมืองวัน ช่างพระราชา ข้าไม่สนใจผู้ใดทั้งนั้น นอกจากน้องของข้า”
พริมอดไม่ได้ที่จะปิดปากหัวเราะคำกล่าวซื่อๆ ของต้าซัน จนทำให้อีกฝ่ายหันมามอง
“หัวเราะอันใด”
พริมพูดเสียงสดใส “ข้าคิดว่าตนเองเป็นกังวลอยู่คนเดียว ที่แท้ท่านก็เป็นกังวลมากเช่นกัน”
“ไม่ให้กังวลได้อย่างไร นั่นน้องชายข้านะ”
“หากท่านราชองครักษ์คิดจะพาน้องชายของท่านกลับไป คิดว่าจอบนั่นจะขัดขวางได้หรือ”
ต้าซันหันไปกล่าวกับราชองครักษ์ “ท่านกล่าวแล้วนะ ว่าเพียงให้พวกเราเลิกหลบหนี และเม่ยกลับไปร่วมทัพ ไม่ใช่การจับกุมกลับไป”
“เป็นเช่นนั้น” ผู้อาวุโสให้คำมั่น
อาเม่ยที่ราชองครักษ์ลาทีฟและพริมได้พบ ในบ้านไม้หลังเล็ก ไม่ได้แตกต่างจากที่เคยพบในวังหลวง
ผมสีเงิน ดวงตาสีแปลก ผิวขาวจัด เพียงสวมเสื้อผ้าสีหม่นแบบที่ชาวบ้านในแถบนี้สวมใส่
เมื่อต้าซันพาทั้ง 2 คนเข้ามา อาเม่ยเพียงมองมาด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่มีทีท่าว่าจะจำทั้ง 2 คนได้
“ข้ารู้มาว่าเจ้าไม่ค่อยสบายก็เลยจะมารักษา”
ระหว่างกล่าวคำ ราชองครักษ์ลอบใช้เวทย์ทดสอบว่า อาเม่ยยังมีเวทย์ใด และพบว่าเวทย์ทั้ง 4 ของอาเม่ยยังอยู่ครบถ้วนเพียงแต่เบาบางลงมาก และถูกซ่อนไว้อย่างมิดชิด!
“ข้าสบายดี” อาเม่ยตอบแล้วหันไปต้มน้ำเพื่อชงชาต้อนรับแขก จากนั้นไม่ว่าจะตั้งคำถามอย่างไร อาเม่ยก็ไม่ได้กล่าวคำอีก เพียงชงชาให้ แล้วกลับมาแกะสลักไม้
ต้าซันเองก็อับจนปัญญา จึงถามไถ่เรื่องที่พัก
“บ้านของพวกเราจริงๆ อยู่ค่อนไปทางด้านหลัง” ต้าซันชี้ไปทางหลังหมู่บ้าน “แต่มันถูกเผาจนเหลือแต่ถ่าน เหลืออยู่ 2 หลังที่ยังพอเหลือเสา เหลือหลังคาให้หลบแดดหลบฝน พวกเราก็เลยพักที่หลังเล็ก ระหว่างที่ซ่อมหลังใหญ่”
บ้านทั้ง 2 หลังอยู่ติดกัน มองผ่านหน้าต่างก็ยังมองเห็นบ้านอีกหลังที่อยู่ในสภาพทรุดโทรม ย่ำแย่จนต้าซันเกรงใจพริมที่เป็นหญิง
“พวกท่านจะอยู่สักกี่วัน”
ราชองครักษ์ลาทีฟคิดคำนวณ “ขอเวลาสัก 3 วัน หากเม่ยยังไม่ยอมให้รักษา พวกเราก็จะกลับไป”
“เช่นนั้น พวกท่านพักที่เรือนใหญ่เถิด ข้ากับเม่ยจะมาพักที่หลังเล็กเอง”
“ได้อย่างไร” พริมโต้แย้ง แต่ต้าซันยกมือ
“ที่นี่เป็นหุบเขา กลางคืนยังมีสัตว์ป่าลงมา ควรพักอยู่ในที่ปลอดภัย”
จากนั้นต้าซันก็หันไปบอกน้องชายหุงหาอาหารมื้อค่ำต้อนรับแขก ส่วนตนเองออกไปช่วยราชองครักษ์ลาทีฟขนย้ายข้าวของเข้ามาที่บ้าน ทั้งช่วยย้ายม้าเข้ามาอยู่ใกล้ที่พักกว่าเดิม
คืนนั้นต้าซันกับอาเม่ยช่วยกันก่อกองไฟเล็กๆ 2 กองไว้ใกล้ที่พัก
“เม่ย เจ้ารู้จักพวกเขาหรือไม่”
แต่อาเม่ยกลับหันมามองหน้าพี่ชาย “พี่ใหญ่รู้จักพวกเขามิใช่หรือ”
“ตอนที่ทำงานในวังเคยเห็นท่านลาทีฟจากที่ไกลๆ ส่วนพริมเพิ่งจะเคยพบกันก็วันนี้แหละ” พี่ชายถามอีกครั้ง “เจ้าไม่รู้จักพวกเขาหรือ”
อาเม่ยส่ายหน้า “เขาบอกว่าจะมารักษาข้า คิดว่าท่านไปตามพวกเขามาเสียอีก”
“ก็.....” ต้าซันคนซื่อเกาท้ายทอยตนเอง “ข้าไม่ได้ไปตาม แต่มีผู้ใหญ่ในวังหลวงส่งมา”
“ท่านก็กว้างขวางเหมือนกันนะ” อาเม่ยตอบ
“ข้าไม่ได้กว้างขวางอันใด” ต้าซันถอนหายใจแล้วพาน้องชายกลับมาที่พัก
เช้าวันถัดมา ต้าซันตื่นมารดน้ำผัก เห็นราชองครักษ์ลาทีฟยืนอยู่ที่สุสานด้านหลังของหมู่บ้าน จึงเดินไปพูดคุย
“คนในหมู่บ้านข้างเคียงช่วยกันฝังศพคนในหมู่บ้านน่ะ”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่นี่”
ต้าซันเล่าตามที่ได้ยินมา “เราเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบ้านช่างเหล็ก หมู่บ้านของเราตีดาบแต่วันหนึ่งก็กลับถูกโจรป่าบุกเข้ามาเผา ไม่มีผู้ใดรอด เหตุเกิดในวันเดียวกับที่ผู้นำของบ้านช่างเหล็กที่อยู่หมู่บ้านถัดไปถูกคนร้ายฆ่าตาย วันถัดมาคนในหมู่บ้านใกล้เคียงก็เข้ามาช่วยฝังศพของคนในหมู่บ้าน”
“แล้ว....ที่เม่ยฝึกเวทย์”
ต้าซันหันมามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆ “เป็นวิหารที่อยู่บนเขา มีผู้เฒ่าทั้งสี่พักอยู่ เม่ยฝึกกับพวกเขา แต่ตอนที่พวกเรากลับมาอีกครั้งพบผู้เฒ่าดินอยู่เพียงคนเดียว ท่านเป็นคนที่หาตัวเจอยากยิ่ง ยิ่งอยากเจอยิ่งไม่ได้เจอ ไม่อยากเจอกลับมายืนอยู่หน้าอะไรทำนองนั้น ตอนที่มาถึงข้าพาเม่ยไปหา แต่ผู้เฒ่าบอกว่ารักษาเม่ยไม่ได้”
“หากมีเวลาข้าอยากไปพูดคุยกับเขา”
“ข้าพาท่านไปได้ หากมีวิธีใดที่จะช่วยเม่ย ข้ายินดีทำทุกอย่าง” ต้าซันอาสา
แต่เมื่อทั้ง 2 คนจะเดินกลับมาที่พัก ราชองครักษ์ลาทีฟ พบความผิดปกติของหลุมฝังศพใหม่
ผู้อาวุโสกว่าไม่ได้ตั้งคำถาม หากแต่หันไปมองต้าซัน
คนหนุ่มเกาท้ายทอยตนเองแล้วจึงเปิดปากเล่าเรื่อง “เช้าวันถัดมาจากวันที่เดินทางมาถึงข้าพบศพขอทานคนหนึ่งอยู่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ จึงนำมาฝัง แต่ถัดมาอีกสัปดาห์หนึ่งก็พบศพคนชรา เป็นคนที่เคยอยู่บ้านติดกันในเมืองหลวง ถามเม่ยว่าได้ยินอะไรผิดปกติหรือไม่ เม่ยบอกว่าไม่ได้ยิน”
“เจ้าคิดว่าคนลงมือเป็นใคร”
“ข้าไม่รู้” ต้าซันตอบตามตรง “พวกเราไม่มีอาวุธ มีแต่มีดทำครัว กับจอบเสียมอย่างที่ท่านเห็น แต่อาวุธที่คนร้ายใช้ ทำให้เกิดแผลทะลุหลัง” คนซื่อใช้กิ่งไม้ขีดรูปให้อีกฝ่ายดู “แบบนั้นมันต้องใช้อาวุธยาวใช่หรือไม่”
ราชองครักษ์พยักหน้าว่าใช่ แล้วเหลียวมองรอบตัว “หลังจากนั้นพบอีกหรือไม่”
“ไม่มีแล้ว แต่ก็ยังต้องคอยระวังตลอด ยิ่งพบว่า เป็นคนที่เคยเห็นหน้ากันอยู่ทุกวันด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ข้าเป็นกังวล คิดอยู่ว่าถ้าจวนตัวขึ้นมา คงต้องพาน้องหนีไปอีก แต่ในชีวิตข้าออกจากที่นี่ก็คือเข้าเมืองหลวง ทั้งชีวิตรู้อยู่แค่นี้ แต่ถ้า.....”
ราชองครักษ์ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “อย่าเพิ่งคิดร้อนใจ ข้าจะคุยกับเม่ยสักหน่อย แล้วจะไปถามพวกพ่อเฒ่า หากไม่อยากพาเม่ยกลับเข้าเมืองหลวง ข้าก็ยังพอจะหาที่หลบซ่อนให้พวกเจ้า 2 คนพี่น้องได้”
ผู้อาวุโสกว่าเชื่อคำกล่าวของต้าซัน เพราะจากการตรวจสอบไม่พบว่าอาเม่ยมีกลิ่นคาวเลือด ย่อมหมายถึงการที่ไม่ได้ฆ่าใคร
แต่กลับนึกสงสัยคนผู้หนึ่งที่กลับกลายเป็นคนเหลวไหลในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เมื่อกลับมาถามอาเม่ย บางสิ่งในดวงตาบอกว่าอาเม่ยรู้ว่าใครเป็นผู้ลงมือสังหาร แต่กลับไม่กล่าวคำใดอีก ราชองครักษ์จึงเปลี่ยนไปสนทนากับผู้เฒ่าบนยอดเขาแทน
ยอดเขาสูงตระหง่านมีสิ่งปลูกสร้างสลักลงไปในหุบเขาซึ่งเป็นวิหารเก่า ส่วนที่พักของผู้เฒ่า 4 คนผู้เชี่ยวชาญ ดิน น้ำ ลม และไฟ กลับเป็นบ้านพักหลังเล็กๆ ที่ปลูกอยู่แยกห่างจากกัน และบัดนี้มีผู้เฒ่าที่เชี่ยวชาญเวทย์ดินเหลืออยู่เพียงลำพัง ที่บ้านหลังเล็กซึ่งอยู่ห่างออกมา
เมื่อเป็นเวทย์ดินเกี่ยวข้องโดยตรงกับจิตใจ ทำให้เมื่อราชองครักษ์มาถึง ก็แทบไม่ต้องกล่าวคำใด
“ข้าบอกคนที่เป็นพี่ชายไปแล้ว ว่ารักษาคนที่เป็นน้องชายไม่ได้ ต่อให้ส่งหมอยาอย่างเจ้ามาพูดคุย คำตอบของข้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม”
“ข้ามีคำถามมากมาย”
“เจ้ารู้คำตอบอยู่แล้ว” ผู้เฒ่าบอกปัด ขณะที่หันไปเกลี่ยสมุนไพรในถาด ที่ทำให้ความสนใจของราชองครักษ์เปลี่ยนไปครู่หนึ่ง
“นั่นคือน้ำตาฟ้าสมุนไพรล้างพิษ”
ดอกไม้น้ำสีฟ้า ที่ตากแดดแล้วจะกลายเป็นสีขาว สามารถล้างพิษทั่วไปได้
“ใช่” ผู้เฒ่าอธิบายต่อ “ต่อให้ใช้น้ำตาฟ้าจนหมดแผ่นดินก็ช่วยไม่ได้หรอก เพราะเจ้าคนนั้นถูกเวทย์ดำ”
ราชองครักษ์พยักหน้า ลูบคาง “ข้านึกสงสัยว่า เขาถูกเวทย์ดำจากที่ไหน ในเมื่อเมืองวันห้ามใช้เวทย์ดำ”
“ห้ามแล้วทุกคนต้องทำตามหรือไร เมืองวันมีพลเมืองเท่าไหร่ เจ้าใสซื่อขนาดนั้นเชียวหรือ”
แม้ถ้อยคำที่ผ่านมาจะมีแต่คำจิกกัด แต่ผู้เฒ่าดินก็หาได้ไล่ราชองครักษ์กลับไป เช่นนี้แล้วอาจเป็นไปได้ว่า เมื่อต้าซันพาอาเม่ยมา แล้วพบกับถ้อยคำเช่นนี้ จึงคิดไปว่าพ่อเฒ่าปฏิเสธการรักษา
แต่ที่จริงแล้วพ่อเฒ่า เพียงต้องการกล่าวว่า อาเม่ยถูกเวทย์ดำจากคนในเมืองวันนี้เอง และพ่อเฒ่าไม่สามารถรักษาได้
“เช่นนี้แล้ว พ่อเฒ่ามีวิธีการใดบ้าง เพราะเรื่องราวยุ่งยากพัวพัน อย่างน้อยข้าเพียงต้องการให้เขาสมัครใจเดินทางกลับไปที่ค่ายทหาร เพื่อให้คนผู้หนึ่งกลับไปทำงานของตนเอง”
“สำนึกของคน ใช้ยาไม่ได้ พูดบังคับก็ยิ่งไม่ทำ” พ่อเฒ่ามองมาด้วยสายตาเหยียดหยาม “เจ้านี่โง่กว่าที่คิดนะ ไหนบอกว่าเป็นราชองครักษ์ คิดว่าจะฉลาดกว่านี้เสียอีก”
ราชองครักษ์งงไปชั่วครู่แล้วหัวเราะเสียงก้อง
เมื่อกลับลงมาจากเขา ราชองครักษ์รอจนกระทั่งต้าซันไม่อยู่ใกล้แล้ว จึงถามกับอาเม่ยว่า คนที่สังหาร 2 ศพนั้นยังมาที่นี่อีกหรือไม่ อาเม่ยหยุดมือที่แกะสลักไม้ แล้วส่ายหน้า จากนั้นไม่ว่าจะพูดจะถามอย่างไรอาเม่ยก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
แม้ 3 วันนี้จะพาอาเม่ยและต้าซันกลับเมืองหลวงไม่ได้แต่ราชองครักษ์ก็พึงพอใจการทำงานของตนในระดับหนึ่ง
“นี่เป็นการเดินทางที่ดีจริงๆ” ราชองครักษ์กล่าวเบาๆ พลางพยักหน้าให้อาเม่ย มองพริมที่กำลังสอนต้าซันซ่อมแซมเสื้อผ้าให้
อาเม่ยหันมามองราชองครักษ์แล้วคลี่ยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
*-*จบตอนที่ 28*-*