ตอนที่ 24เมื่อเรือขององครักษ์แซนเทียบท่าเรือ แม่ทัพเชมัลก็หันมามองคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านข้างเชิงถาม
อาเม่ยหันมายิ้มกว้าง “พี่ใหญ่รอมคนใช้ดาบใหญ่ พี่รองซันคนเล่นไฟที่ให้คำแนะนำข้าเป็นคนแรก พี่สามแซนคือคนที่บังคับเรือพาเรากลับมา และอีกคนคือท่านพี่ฮูดา พ่อบ้านของพวกเรา”
มือใหญ่โอบไหล่บางเข้ามากอดแล้วก้มลงจูบหน้าผากสวย
เมื่อก้าวลงจากเรือองครักษ์ทั้ง 3 ทำความเคารพ แล้วตามแม่ทัพกลับมาที่ค่ายทหาร
ขณะที่องครักษ์ฮูดาช่วยแต่งกายให้กับแม่ทัพเชมัล เพื่อไปเตรียมตัวเข้าเฝ้าฯ ก็ถามไถ่ถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่เกาะห่างไกลเป็นอย่างไรบ้าง เพราะองครักษ์แซนที่ทุกคนฝากให้เป็นธุระจัดการเรื่องราวต่างๆ กลับถูกไล่กลับ และแทบไม่รู้เรื่องราวอันใดเลย นอกจากแม่ทัพเชมัลพยายามรักษาอาเม่ยโดยลำพัง
แม่ทัพเชมัลกล่าว “ข้าควรดูอาการของเสี่ยวเม่ยอีกสักวันสองวัน และยังไม่ไว้วางใจว่าเวทย์ดำจะหมดไปจริง ขณะที่เรื่องความทรงจำ...เม่ยจำเก้า ตง และโปไม่ได้”
มือที่กำลังช่วยแต่งกายหยุดชะงัก “อาจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกด่าน” จากนั้นฮูดาก็เล่าเรื่องของเก้าที่พระราชามีคำสั่งให้คุมขังไว้ที่คุกผู้ใช้เวทย์
“เหตุใดพระราชาจึงมีรับสั่งเช่นนั้น”
“ราชองครักษ์บาดาบอกว่า เป็นเพราะเสนาบดีหลี่และพระชายา 2 พ่อลูกคู่นี้” องครักษ์ฮูดาถอนหายใจ “พี่ใหญ่รอมพยายามมองในแง่ดีว่า อย่างน้อยเก้าก็ปลอดภัยจากเวทย์ต่างๆ หากอยู่ในนั้น แต่การที่องครักษ์ของแม่ทัพเชมัลต้องไปอยู่ในคุกเช่นนี้ เป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติของท่าน”
องครักษ์ฮูดายังคงเป็นผู้ที่ยกให้เรื่องของแม่ทัพเชมัลเป็นเรื่องสูงสุดอยู่เสมอ
“พ่อลูกคู่นี้ ไม่ละเว้นจากการหาโอกาสกำจัดท่านให้พ้นทางของพวกเขา”
แม่ทัพเชมัลปล่อยให้เพื่อนเก่ากล่าวคำเพื่อบรรเทาความคับข้องใจ จนเมื่อออกนอกห้องพบองครักษ์ซัน และ แซนรออยู่
ในกลุ่มผู้ใช้เวทย์ ล้วนดูแลอาเม่ยได้ หากอาเม่ยแสดงถูกเวทย์ดำครอบงำ แต่ในกลุ่มผู้ที่ไม่ต้องการจะดูแลต้องมีองครักษ์ฮูดารวมอยู่ด้วย
ดังนั้นแม่ทัพเชมัลจึงมอบให้องครักษ์รอมเป็นผู้ดูแล
อาเม่ยเองก็เข้าใจเรื่องนี้ จึงไม่ประหลาดใจ เมื่อพี่ใหญ่รอมเข้ามาพูดคุยในระหว่างเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ดวงตาสีแปลกมองเตียงนอน 2 เตียงในห้องพัก
“ท่านพี่บอกว่า ตงผู้ใช้เวทย์เสียงเพลงเป็นเพื่อนร่วมห้องของข้า แต่ข้านึกเรื่องราวของเขาไม่ออก”
องครักษ์รอมนั่งลงที่เตียงขององครักษ์ตง ขณะที่กล่าวคำ “หากพบเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตงเจ้าอาจนึกออก เช่นเดียวกับตอนที่เจ้าพบพระราชาก็นึกเรื่องราวของพวกเราออก”
แต่อาเม่ยก็ยังไม่สบายใจ “การที่พวกเราพักในห้องเดียวกัน ย่อมต้องสนิทกันมาก แต่เหตุใดข้าถึงนึกถึงเรื่องของเขาไม่ออก นึกหน้าก็ไม่ออก เป็นความว่างเปล่าที่ช่างรบกวนจิตใจ” เมื่อสวมเครื่องแบบเสร็จ อาเม่ยก็กล่าวต่อ “ตอนที่อยู่บนเกาะ ข้าทำร้ายแม่ทัพ เขารักษาข้าด้วยการขับเลือดดำ” เมื่อองค์รักษ์พี่ใหญ่พยักหน้า อีกคนจึงนึกได้ว่า นี่ย่อมเป็นเรื่องที่พี่ใหญ่รู้อยู่แล้ว “หากข้าแสดงอาการออกมา หรือทำร้ายท่านพี่อีก ข้าอยากขอรบกวนท่าน...”
“ข้าไม่รับปากเจ้า เพราะต่อให้เจ้าทำร้ายคนทั้งเมืองวัน ท่านแม่ทัพก็จะปกป้องเจ้าเช่นเดิม”
“ท่านกล่าวเกินไป”
องครักษ์รอมยิ้มขำ “แม่ทัพของเราเป็นเช่นนั้น และเจ้าควรเชื่อมั่นในความรักของเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง”
ดังนั้นเมื่อออกมาจากที่พักขององครักษ์จึงพบว่า แม่ทัพเชมัลเป็นฝ่ายรอองครักษ์น้องเล็กของกลุ่ม
อาเม่ยยิ้มกว้าง จะกล่าวคำพูดบางอย่าง แต่กลับหยุดชะงักไม่กล่าวออกมา องครักษ์ฮูดาจึงถามขึ้น
“คิดอันใดอยู่”
อาเม่ยเกาท้ายทอย “ข้าเคยพูดล้อแม่ทัพ และจำได้ว่ายังมีคนอยู่ใกล้ๆ ที่คุยกับข้า แต่...นึกไม่ออก”
“เดี๋ยวก็นึกออก” องครักษ์ซันพี่รองของกลุ่มกล่าว “พวกเราสมควรไปเข้าเฝ้าฯ พระราชาได้แล้ว”
“นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ ที่พวกท่านบอกกับข้าเช่นนี้”
“อันใดกัน” องครักษ์ซันที่มีอารมณ์ร่าเริงหันมาทำหน้าตาตื่นตระหนก “นี่เจ้าลืมวิธีการนับไปด้วยเช่นนั้นหรือ”
อาเม่ยทำปากยื่น องครักษ์ซันก็กล่าวต่อ “ไม่ได้การแล้ว นอกจากข้าต้องสอนเรื่องระเบียบกองทัพ ข้าจะต้องสอนวิธีการนับ แล้วต้องสอนการอ่านด้วยหรือไม่”
“สอนสิ ท่านต้องสอนวิธีการสั่งอาหารท่านลุงดาให้กับข้าด้วย เพื่อที่เวลาที่ข้าสั่งหมี่ผัดแล้วจะไม่ต้องกินข้าวกับผัดผักอีก”
เสียงหัวเราะดังก้อง ก่อนที่จะทั้งหมดจะออกเดินไปยังพระราชวัง
อาเม่ยมองรูปขบวนที่คุ้มครองแม่ทัพเชมัล ยิ่งเต็มไปด้วยคำถาม
ขบวนที่ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามองครักษ์รอมที่เป็นพี่ใหญ่จะเดินนำหน้าเสมอ แต่องครักษ์ซันที่เป็นพี่รองเดินเคียงข้าง จากนั้นซ้ายและขวาของแม่ทัพจึงเป็น องครักษ์แซน และองครักษ์ฮูดา ขณะที่รั้งท้ายคืออาเม่ย น้องเล็กของกลุ่ม
....ไม่สิ!
.....ขบวนไม่ได้เป็นเช่นนี้ ช่องว่างที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลายังคงรบกวนจิตใจ
.....มีครั้งที่แม่ทัพเดินเคียงข้างกับใครอีกคน
.....และข้างๆ ข้าคือองครักษ์อีก 2 คน หนึ่งในนั้นคือคนที่พักอยู่ห้องเดียวกัน
ขบวนนี้มีคนที่หายไป 3 คน
3 คนที่ยังเป็นเช่นช่องว่างของสถานที่ ของการสนทนา และเรื่องราวต่างๆ
ยิ่งทุกคนบอกว่า ไม่นานก็จะจำได้ แต่เมื่อยังจำไม่ได้ก็ยิ่งรำคาญใจตนเอง
เมื่อเข้าสู่พระราชวัง แม่ทัพเชมัลเดินนำเข้าสู่ห้องทรงงาน ยังมีเสนาบดีหลายคนที่ยังอยู่ในห้อง
อาเม่ยจดจำทุกคนได้ แต่เมื่อเห็นผู้ที่นั่งอยู่ข้างพระราชาฟารัค องครักษ์น้องเล็กก็กลับมีใบหน้าซีดเผือด หลังการถวายทำความเคารพแล้วก็ได้แต่ยืมก้มหน้ารับฟังคำสนทนาของผู้คนในห้อง
เหตุผลของการเดินทางเข้าเมืองหลวงกระจ่างชัด!
ได้ยินที่พระราชามีรับสั่งถาม อาเม่ยตอบไปเพียงไม่กี่คำ จนถูกล้อว่า กลับมาเมืองหลวงอีกครั้งกลับกลายเป็นคนที่กล่าวคำน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้นจึงเป็นการสนทนาเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
เมื่อกลับออกมา ที่นอกพระราชวัง อาเม่ยจึงจะขอแยกไปเยี่ยมต้าซันผู้เป็นพี่ชาย แม่ทัพเชมัลจึงขอให้กลับไปพูดคุยกันที่ค่ายทหาร
และเป็นอีกครั้งที่มีการเอ่ยถึงชื่อขององครักษ์เก้า ที่ให้อย่างไรอาเม่ยก็นึกใบหน้าและเรื่องราวของคนผู้นี้ไม่ออก แต่รู้ว่าต้าซันถูกคุมขังอยู่กับองครักษ์เก้า
“ต้าซันไม่มีเวทย์ เหตุใดจึงถูกขังในคุกผู้ใช้เวทย์”
“พระราชาอาจต้องการให้ต้าซันช่วยดูแลเก้า” องครักษ์รอมเป็นผู้ตอบ และเสนอความเห็น “แต่ถึงตอนนี้ เก้าก็ดีขึ้นมากแล้ว การคุมขังอาจเพื่อบรรเทาความไม่พอใจของพระชายากับเสนาบดี พรุ่งนี้พวกเราควรไปเยี่ยมในเวลาที่พระราชาเสด็จ”
“หากจะพิจารณาคดีนี้ ก็จะต้องมีท่านพี่นาซิมกับแม่หญิงพริมมาด้วย” แม่ทัพเชมัลกล่าวหลังฟังเรื่องราวอยู่นาน
“เช่นนั้นก็ถามพระราชาในวันพรุ่งนี้เถิด”
“ที่ไม่พูดคุยกันเรื่องนี้ ในตอนที่พวกเราเข้าเฝ้าฯ ก็เพราะเสนาบดีหลี่ใช่หรือไม่” อาเม่ยถามขึ้น
“เป็นเช่นนั้น” องค์รักษ์ซันกล่าว “ไว้รอกราบทูลเป็นการส่วนพระองค์น่าจะดีกว่า”
จากนั้นองครักษ์ฮูดาก็ชักชวนทั้งหมดไปรับประทานอาหารและสนทนากันต่อที่โรงอาหารของลุงดา พ่อครัวที่แสนเข้มงวด อิ่มจากอาหารก็ชักชวนกันไปดื่มต่อที่ร้านเหล้าด้านหน้าค่ายทหาร
เมื่อมาถึงอาเม่ยก็ยิ้มขำ
“ยิ้มอันใด” แม่ทัพเชมัลหันมาถาม
อาเม่ยหันมายิ้มหวาน “ขี้เมาหน้าค่ายทหาร”
แม่ทัพเชมัลหันมากอดไหล่คนตัวเล็กไว้ “เจ้าเด็กหนีแม่มาเที่ยวเล่น วันนี้พวกเราทุกสมควรดื่มกันให้เต็มที่!”
ทั้งหมดดื่มเหล้ากันจนดึกจึงกลับเข้าค่ายทหาร มีเพียงองครักษ์ฮูดาที่แยกกลับบ้าน
แม่ทัพเชมัลส่งอาเม่ยที่หน้าห้องพัก
“ไม่ไปพักที่บ้านข้าจริงหรือ”
“ท่านพี่นอนให้สบายสักคืนเถิด”
แม่ทัพก้มลงจูบหน้าผาก เข้าใจว่าอาเม่ยอาจต้องการเวลาที่จะอยู่ตามลำพัง หลังจากที่อยู่ด้วยกันตลอดเวลามาหลายวัน
“อย่าได้เป็นกังวล ทั้งเรื่องของเจ้า และต้าซัน ให้ข้าจัดการเอง”
อาเม่ยยิ้มจาง “ข้าเชื่อว่าท่านพี่ทำได้ แต่เรื่องนี้ซับซ้อน” ทั้งยิ่งแก้ไขอาจยิ่งทำให้ความขัดแย้งบานปลาย เมื่อผู้ที่จะต้องต่อกรด้วยมีทั้ง คนในเมืองวันอย่างเสนาบดีหลี่ และคนต่างเมืองที่เมืองเหนือ “ข้าเชื่อว่า สุดท้ายแล้วปัญหาจะคลี่คลายลงได้”
แต่ในคืนนั้นทหารยามก็เข้ามาแจ้งหัวหน้าองครักษ์รอมว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้นต่อเสนาบดีหลี่
องครักษ์รอมจึงเรียกทุกคนออกไปพบแม่ทัพ แต่ยังไม่รอให้ทุกคนออกมาจากห้องก็มาแจ้งเรื่องให้แม่ทัพทราบก่อน
ในตอนที่องครักษ์ซันและแซนไปถึงจึงได้ยินเพียงคำถามทวนซ้ำของแม่ทัพ
“ในบ้านของท่านเสนาบดีน่ะหรือ”
“ขอรับ” องครักษ์รอมตอบ แล้วหันมาหาอีก 2 คนที่เพิ่งเข้ามาในห้อง แจ้งข่าวเรื่องที่มีผู้พบศพเสนาบดีถูกสังหารในห้องนอน แล้วถามถึงอีกคนที่ไม่ได้อยู่ในที่นี้
“เม่ยเล่า”
องครักษ์แซนตอบว่าอาเม่ยไม่ได้อยู่ในห้องพัก
“เสี่ยวเม่ยมีเรื่องวุ่นวายใจ รบกวนแซนตามหาเม่ยให้ด้วย ส่วนรอมกับซันตามข้าไปที่บ้านท่านเสนาบดี”
บ้านพักของเสนาบดีเป็นกลุ่มบ้านหลายหลังที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน พร้อมด้วยการวางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เมื่อไปถึงมีเจ้ากรมการเมือง และองครักษ์ฮูดารออยู่แล้ว
ห้องนอนของเสนาบดีเป็นห้องพักแบบที่มี 2 ชั้น ชั้นแรกมีโต๊ะกลมตัวหนึ่ง กับเก้าอี้ และตู้ไม้วางเครื่องตกแต่ง ด้านในจึงเป็นเตียงนอน และตู้เก็บของใช้ส่วนตัว ขณะที่ภริยาของเสนาบดีพักอีกห้องหนึ่งที่มีผนังและประตูส่วนห้องนอนเชื่อมต่อกัน เจ้ากรมการเมืองรายงานให้ฟังว่า ปกติแล้วพ่อบ้านจะเข้ามาเตรียมน้ำสะอาดไว้ให้ท่านเสนาบดีก่อนรุ่งสาง โดยจะวางไว้บนโต๊ะเล็กในห้องนอน แต่เมื่อเช้านี้ สังเกตเห็นประตูห้องนอนชั้นในปิดไม่สนิท คิดว่าท่านเสนาบดีตื่นนอนแล้วจึงเปิดประตูเข้ามาดูและพบว่าเสนาบดีเสียชีวิตแล้ว โดยยังมีมีดสั้นปักอยู่ที่อกด้านซ้าย
ขณะที่ประตูห้องนอนที่เชื่อมต่อกับห้องของภริยาของเสนาบดียังปิดจากทั้ง 2 ฝั่งเช่นเดิม นางหลับสนิทและไม่ได้ยินเสียงผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อต้องตื่นขึ้นมาเพื่อรับรู้ว่าเสนาบดีถูกคนร้ายสังหาร นางก็ได้แต่ร่ำไห้ ขณะที่กำลังพูดคุยพระชายาก็เสด็จมาพร้อมกับพระราชา
พระองค์ทรงรับรายงานแล้วมีรับสั่งให้เร่งหาคนร้ายให้ได้ จากนั้นก็เลี่ยงออกมาพูดคุยกับแม่ทัพเชมัลเป็นการส่วนพระองค์
เสร็จแล้วแม่ทัพก็กลับออกมาพร้อมกับเหล่าองครักษ์
ทันทีที่แม่ทัพแยกออกไป พระชายาก็รับสั่งถามเรื่องราวต่างๆ ทันที
“เจ้ากรมเมืองยังต้องซักถามผู้คนในบ้าน เกี่ยวกับช่องทางที่คนร้ายเข้ามา และเรื่องของศัตรูคู่แค้นด้วย แต่ระหว่างนี้ คงไม่เหมาะหากท่านแม่จะพักอยู่ที่ห้องติดกัน” พระราชาตัดสินพระทัย “พวกเราจำต้องปิดบ้านหลังนี้ และรบกวนท่านแม่ไปพักที่เรือนรับรองสักวันสองวัน”
ภริยาเสนาบดีที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าได้แต่พยักหน้าเห็นพ้อง พระชายาจึงทูลขออยู่กับท่านแม่จนกว่าพิธีศพของเสนาบดีจะเสร็จสิ้น
“แม้จะมีราชองครักษ์อยู่รอบตัว แต่พวกเจ้าก็สมควรระวังตัวให้มาก”
แม่ทัพเชมัลกลับออกมาจากบ้านพักของเสนาบดี ก็ตรงกลับมาที่ค่ายทหาร
องครักษ์ซันเข้ามารายงานว่าอาเม่ยอยู่ที่โรงครัว
“เสี่ยวเม่ยไปทำอะไรที่โรงครัว”
“ไปช่วยพ่อครัวดา บอกว่า นอนไม่หลับ แต่.....” องครักษ์ซันลังเล
แม่ทัพเชมัลเพียงหันมามอง แล้วก็ก้าวเดินต่อไป
ที่หลังครัว ส่วนที่กันไว้สำหรับการเตรียมเนื้อสัตว์ กลิ่นคาวเลือดยังเจืออยู่ในอากาศ
อาเม่ยอยู่ในครัว นั่งเก้าอี้ตัวเล็กกำลังทำปลาตัวสุดท้ายสำหรับเตรียมทำอาหารในวันนี้
ใบหน้าซีดขาว ดวงตาที่มองปลาในมือไร้ความรู้สึก
จนกระทั่งร่างกายสูงใหญ่คุกเข่าลงข้างๆ ส่งเสียงเรียกหาอย่างอ่อนโยน อาเม่ยก็สะดุ้งสุดตัว
“เสี่ยวเม่ย กลับบ้านกันนะ”
ดวงตาที่หันมามองแวบแรกนั้น ดั่งจำไม่ได้แล้วค่อยสั่นไหว “ท่านพี่...”
“ล้างมือ แล้วกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยมากินข้าวเช้ากัน” แม่ทัพเชมัลจับมือผอมบางไปล้างให้ กล่าวถึงสิ่งที่กำลังทำให้ ทุกสรรพเสียงในครัวที่วุ่นวายยามเช้าพลอยเงียบกริบ
“เจ้าทำปลาเป็นด้วยหรือนี่ ทุกครั้งข้าจะเป็นคนทำให้เจ้ากินเสมอ กลับบ้านกันนะ แล้วถ้านอนไม่หลับอีก ก็อย่าได้เดินไปทั่ว เพราะผู้อื่นไม่รู้ว่าเจ้าหายไปที่ใด พลอยค้นหาเจ้าให้วุ่นวาย ไปเรียกข้าที่ห้องพักก็ได้ อย่างน้อยข้าก็พอจะเป็นเพื่อนคุยให้เจ้าได้”
พ่อครัวดาสะกิดบอกกับองครักษ์ซัน “เจ้าตัวเล็กนั่นไม่สบายสินะ”
องครักษ์ผู้ร่าเริงพยักหน้า พ่อครัวก็เลยบอกต่อ “ถ้าไม่สบายแล้วมาที่นี่ครัวนี่ก็ไม่เป็นอันใดหรอก ไม่ได้รบกวนผู้ใด แล้วผู้คนเยอะแยะ ได้ช่วยกันดูแล จะไม่ให้ไปไหนไกล”
องครักษ์ซันหันไปส่งยิ้มกว้าง “ขอบใจมาก”
หากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีผู้ใดหนักใจ
องค์รักษ์เม่ย ผู้ที่ปรากฏตัวด้วยกลิ่นควันไฟจางๆ ในเวลานี้กลับมีกลิ่นคาวเลือดจาง ที่ไม่จำต้องถามไถ่องค์รักษ์พี่ใหญ่รอม ก็สามารถรู้ได้ ว่านั่นไม่ใช่เลือดของปลาหรือไก่ในครัวนี้
แต่มันคือกลิ่นคาวเลือดมนุษย์!
*-*จบตอนที่ 24*-*