น้องกันต์จัดให้ครั้งที่ 26พฤกษ์"พี่พฤกษ์สวัสดีครับ"
ผมหันไปตามเสียงทันทีที่ได้ยินเสียงทักพร้อมกับส่งยิ้มไปให้คนที่เดินเข้ามาหาผม "สวัสดีครับพัทธ์"
"มาแต่เช้าเลยนะครับ" พัทธ์ทักผมลอบมองสำรวจคนตรงหน้า พัทธ์ดู... มีความสุขมากขึ้น ดูมีออร่ามากขึ้น คนที่ทำให้เขามีแบบนี้ก็คงเป็นคุณคินสินะ
"ครับ พัทธ์ก็มาเช้าเหมือนกัน ไม่ได้ไปส่งน้องกันต์หรอ" ผมถามเขากลับในระหว่างที่เราสองคนเดินไปยืนรอลิฟต์ด้วยกัน
"พอดีพี่คินไปส่งน่ะครับ เลยแวะมาส่งผมก่อนแล้วค่อยไปส่งน้องกันต์" แววตาของพัทธ์ดูมีความสุขมากตอนที่พูดถึงสองคนนั้น
เห็นพัทธ์มีความสุข ผมก็ดีใจแม้ในใจจะหน่วงๆ นิดหน่อย"แล้วพี่พฤกษ์ไม่มีคนมาส่งบ้างหรอครับ" คนข้างๆ หันมามอง
"หมายถึงใครละครับ" ผมเดินเข้าไปในลิฟต์ก่อนจะกดให้มันเปิดค้างไว้เพื่อรอเขาเดินเข้ามา
"หมอชลไง ตามจีบพี่อยู่ไม่ใช่หรอครับ" พัทธ์บอก
ผมกรอกตาทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาไปหาผมที่ผับหลังจากนั้นก็ตามติดชีวิตผมยิ่งกว่าเงาอีก ผมรู้ว่าเขาคงเป็นห่วงไม่อยากให้ผมอยู่คนเดียวเพราะคงกลัวผมคิดมากเรื่องพัทธ์
ซึ่งการที่เขาวนเวียนไปมามันก็ทำให้ผมลืมความหน่วงในใจได้เป็นอย่างดี เพราะมันเปลี่ยนเป็นความเหนื่อยใจแทน
"ตามติดพี่ยิ่งกว่าเงาตามตัว หายๆ ไปบ้างเถอะครับ พี่เบื่อ"
พัทธ์หัวเราะ
"ถ้าเบื่อแล้วพี่พฤกษ์ยิ้มทำไมละครับ"ผมชะงักไปทันทีที่พัทธ์พูดจบ มองหน้าเขาตรงๆ ว่าผมไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่ไหม ก่อนที่เขาจะย้ำอีกรอบ "พี่พฤกษ์กำลังยิ้ม ยิ้มเวลาพูดถึงคนที่พี่บอกว่าเบื่อ"
"พี่เปล่าสักหน่อย" ผมขมวดคิ้วปฏิเสธพร้อมกับเดินตามพัทธ์ออกจากลิฟต์เพราะเดี๋ยวตอนสิบโมงมีประชุมอยู่แล้วผมเลยถือโอกาสขึ้นมารอข้างบนเสียเลย
คนที่เดินนำอยู่หัวเราะออกมานิดๆ "พี่พฤกษ์ปากแข็งเป็นด้วยหรอครับ"
"ปากแข็ง ยังไงครับ" ผมถามพร้อมดันประตูห้องทำงานของพัทธ์ให้เปิดออกแล้วรอจนเขาเดินเข้าไปจึงได้เดินตามซึ่งเจ้าของห้องก็พูดขอบคุณผม
"ก็พี่พฤกษ์แทบไม่เคยพูดอะไรที่ไม่ตรงกับใจเลยยังไงละครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวพี่ก็จะพูดตรงๆ เสมอ" เขาอธิบาย "อย่างเวลาประชุมเรื่องไหนไม่ดีพี่ก็จะพูดมาเลยว่าไม่ดี หรืออย่างที่ชอบผมพี่ก็บอกตรงๆ ตามจีบผมตรงๆ แถมยังเดินมาบอกผมตรงๆ อีกว่าพี่พร้อมจะไปถ้าผมเจอคนที่ใช่ แต่เมื่อกี้... เรื่องของหมอชลทั้งๆ ที่พี่กำลังยิ้มแต่กลับบอกว่าไม่ได้ยิ้ม"
พัทธ์ยิ้มกว้างพลางมองผม "คนที่เห็นพี่ยิ้มคือผมนะครับ ไม่ใช่ตัวพี่เอง"
ผมถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ โอเคครับ... ยอมรับก็ได้ว่าผมยิ้ม เพราะเอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้รู้สึกเบื่ออะไรหมอชลหรอก ความรู้สึกมันก่ำกึ่งระหว่างรำคาญกับก็ดี
"หวั่นไหวกับหมอชลแล้วละสิครับ" คนตรงหน้าแซวผม ถ้าหากเป็นก่อนที่เราสองคนจะตกลงเป็นพี่น้องกันผมคงไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้แน่นอน
"พัทธ์ก็รู้ว่าพี่ชอบพัทธ์ จะไปหวั่นไหวกับคนแบบนั้นได้ยังไง"
พัทธ์ไม่ได้มีท่าทีชะงักเหมือนเมื่อก่อนเวลาที่ผมบอกชอบ "คนที่ชอบอาจจะคนละคนกับคนที่ใช่ก็ได้นะครับพี่พฤกษ์"
"แล้วพัทธ์คิดว่าคนอย่างหมอชลคือคนที่ใช่สำหรับพี่หรือไงครับ" ผมอดไม่ได้ที่จะประชดออกไปเล็กน้อย พลางนึกไปถึงคนที่ถูกพูดถึง ไม่มีอะไรที่จะบอกได้เลยว่าเป็นคนที่ใช่ ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาหรือนิสัย
"ผมบอกไม่ได้หรอกครับ คนที่จะบอกได้ก็คือตัวพี่พฤกษ์กับตัวหมอชลตั้งหากละครับ" พัทธ์ยิ้มให้ "พี่พฤกษ์เป็นลูกผู้ชายพอที่จะยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเหมือนที่พี่ยอมรับว่าผมสามารถให้พี่ได้เพียงแค่คำว่าพี่น้อง ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะลืมคนที่ตัวเองชอบ แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องลืมนี่ครับ ไม่จำเป็นต้องลืมคนที่เคยชอบแต่มันสำคัญที่ว่าใครอีกคนสำคัญมากกว่าหรือเปล่า"
"พัทธ์อยากจะพูดอะไรกันครับ"
"ไม่รู้สิครับ ผมแค่อยากลองให้พี่พฤกษ์เปิดใจดูอาจจะเข้าใจอะไรมากกว่านี้ก็ได้ ความรักมันไม่เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก แต่มันอยู่ที่ใจ ว่ารักใคร"
ผมถอนหายใจอีกรอบ "พี่จะลองเอาไปคิดดูแล้วกัน ยังไงเดี๋ยวเจอกันตอนประชุมนะครับ" ผมตอบก่อนจะลุกเดินออกจากห้องทำงานของพัทธ์ไปที่สวนตรงระเบียงของชั้นนี้
นั่งหลับตาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เหล็กดัดที่วางเอาไว้และปล่อยความคิดให้มันล่องลอยออกไป ผมลืมพัทธ์ไม่ได้ แต่ผมก็ไม่เจ็บปวดเช่นกันที่เห็นเขามีความสุขกับคนที่เขารัก มันเหมือนเป็นแผลเป็นที่ไม่เจ็บอะไรแล้วแต่แค่ทิ้งรอยเอาไว้ให้นึกถึงที่มาต่อให้ไปลูบไปเกามันก็ไม่เจ็บอีกแล้ว
Rrrrrrrrผมลืมตาก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ที่ส่งเสียงร้องในกระเป๋ากางเกงออกมาดูก่อนจะกดรับ "ครับหมอชล"
(ออกไปทำงานหรือยังครับ) ปลายสายส่งเสียงถามกลับมา
"มาถึงบริษัทได้สักพักแล้วครับ มีอะไรหรือเผล่า"
(ผมจะโทรมาบอกว่าผมไม่อยู่สามวันนะครับ ต้องไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด) เสียงของเขาฟังดูหงอยๆ ยังไงชอบกล (ไม่อยากไปเลย ไม่ได้เจอคุณตั้งสามวัน คิดถึงตายเลย)
ผมส่งเสียงเหอะออกไปซึ่งปลายสายก็หัวเราะออกมา คงรู้ว่าผมกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ "ดี เบื่อหน้าคุณ"
(ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ครับๆ เบื่อก็เบื่อครับ แต่ระวังเถอะจะนอนไม่หลับเพราะไม่ได้เห็นหน้าผม)
"ฝันอยู่หรอครับ" พอผมบอกไปแบบนั้นเขาก็หัวเราะอีกรอบก่อนที่เราจะเงียบกันไปสักพักก่อนที่เขาจะพูดออกมาก่อน
(ยังไงผมไปเตรียมตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวต้องเดินทางแล้วต้องไปแบบไม่ทันตั้งตัวเลย)
"เดี๋ยวครับ!" ผมรั้งเอาไว้ก่อนจะเงียบจนอีกฝ่ายต้องถามซ้ำว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า "ตอนนี้คุณลืมแฟนเก่าของคุณไปหรือยัง"
คราวนี้เป็นเขาที่เงียบไปบ้างแต่ก็ไม่นานผมก็ได้ยินคำตอบจากปลายสาย (ไม่ครับ ผมยังไม่ลืมออมเพราะผมลืมไม่ได้ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนผมก็คงลืมออมไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมยังรักหรืออาลัยอาวรณ์อยู่ ตอนนี้ความรู้สึกเดียวที่ผมมีให้ออมคือความรู้สึกผิดที่ทำร้ายเธอ ผมไม่รู้ว่าพฤกษ์อยากได้คำตอบแบบไหนจากผม แต่ผมก็อยากจะบอกความจริงครับ)
ผมยิ้ม...ใช่
ผมกำลังยิ้มกับคำตอบของเขาซึ่งผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะยิ้มทำไม "ผมอยากรู้แค่นี้แหละครับ คุณไปเตรียมตัวเถอะ"
(โอเคครับ แล้วไว้ผมจะโทรหานะ อย่าลืมคิดถึงผมด้วยนะครับว่าที่แฟน แล้วอีกสามวันเจอกันครับผม)
ลืมคนรักเก่าไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยังรักอยู่บางที... มันอาจจะถึงเวลาที่ผมจะต้องยอมรับตัวเอง ยอมรับความรู้สึกในใจลึกๆ ของตัวเองได้แล้ว
ชลผมค่อนข้างแปลกใจกับคำถามของพฤกษ์ที่ถามผมก่อนที่จะวางสายไป
‘ตอนนี้คุณลืมแฟนเก่าของคุณไปหรือยัง’ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามแบบนั้น ทำไมถึงได้อยากรู้ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่หรือมีใครไปพูดอะไรหรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไงผมก็ยืนยันที่จะตอบเขาไปแบบนั้น อาจจะดูเหมือนเป็นคนรักง่ายหน่ายเร็วที่บอกไปว่าผมไม่ได้รักออมแล้ว มันไม่ใช่ความรู้สึกว่าไม่รักหรอกครับ แต่เพราะความรู้สึกผิดที่มีต่อเธอมันมากกว่า รู้สึกผิดที่ทำให้ออมเสียใจ ที่ทำให้ออมเจ็บปวด และผมก็คงจะรู้สึกแบบนี้กับเธอไปตลอด
มันก็เหมือนอย่างที่พฤกษ์เคยบอก ถ้าหากผมสามารถเลิกรักออมหรือลืมออมได้แล้วผมก็คงเป็นคนที่รักใครไม่จริง แต่ความรักในเชิงชู้สาวของผมที่มีต่ออมมันเปลี่ยนเป็นความรักแบบเพื่อนมากกว่า แม้ว่าออมจะไม่ได้คิดกับผมแบบเพื่อน แม้ว่าออมจะไม่สามารถให้ความรู้สึกดีๆ กับมาได้ก็ตาม
ผมเลิกคิดเรื่องที่พฤกษ์ถามแล้วหันมาเก็บกระเป๋าต่อเพราะต้องมีไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดแบบกะทันหันมากๆ ก่อนจะรีบลงไปข้างล่างเพราะว่าจะมีรถตู้ของโรงพยาบาลมารับไป ผมทักทายเพื่อนๆ หมอที่มาร่วมงานด้วยอยากจะส่งข้อความไปกวนพฤกษ์แต่ก็จำได้ว่าเขามีประชุม เฮ้อ... เบื่อจัง แค่รถตู้ออกจากกรุงเทพฯ ตรงไปชลบุรีผมก็รู้สึกเบื่อแล้ว จะไม่ได้เจอพฤกษ์อีกตั้งสาววันมันต้องเป็นอะไรที่เหงามากแน่ๆ
แล้วมันก็ไม่ผิดจากที่ผมคิดเอาไว้เท่าไหร่ แม้ว่าช่วงกลางวันผมจะลืมความเหงาไปบ้างเพราะการสัมมนาเรื่องโรคภัยต่างๆ แต่พอหลังจากที่เลิกสัมมนาแล้วเนี่ยสิ ไม่รู้ว่าเพราะเจ้าของโครงการรวยล้นฟ้าจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรหรือเพราะโรงแรมที่ใช้ในการจัดสัมมนาไม่มีลูกค้าเลยพวกผมผู้เข้าร่วมถึงได้ห้องพักกันคนละห้อง แล้วนี่แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกเหงามากๆ ตอนแรกคิดว่าถ้ามีรูมเมทก็คงมีเพื่อนคุยบ้าง แต่นี่นอนคนเดียวผมเลยยิ่งคิดถึงว่าที่แฟนเข้าไปใหญ่
ธรรมดาทุกวันจะได้เจอหน้า แม้บางวันจะเพียงแค่แปบเดียวอย่างช่วงพักกลางวันหรือตอนเย็นแต่ก็ต้องไปเจอ แล้วปกติก็มักจะได้ยินเสียงด่าเสียงว่า ฝ่ามือฝ่าเท้าที่มาประทับบนตัว พอวันนี้มันไม่มีอะไรแบบนี้รู้สึกเหงา แล้วก็เหมือนขาดอะไรบางอย่างไป
หลังจากที่กินข้าวที่ห้องอาหารของโรงแรมเสร็จแล้วผมก็ขึ้นมานอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงไลน์ไปหาพฤกษ์เจ้าตัวก็ไม่อ่านไม่ตอบ ไม่รู้หายไปไหน
รู้ไหมว่ามีคนคิดถึงสุดท้ายเลยส่งรูปตัวเองทำหน้าหงอยๆ ไปให้เพื่อคนทางนั้นจะเห็นใจเปิดข้อความอ่านแล้วตอบกลับมาบ้าง
PRUK: อะไรของคุณ ว่างมากหรือครับ
เสียงแจ้งเตือนพร้อมกับหน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏให้เห็นข้อความเข้าทำเอาผมรีบคว้ามาเปิดอ่านทันทีก่อนจะส่งตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
Chon M.D.: ก็คิดถึงอะ ทำไรอยู่ครับ
และคราวนี้ก็ไม่ต้องรอนานเหมือนครั้งแรกเพราะหลังจากที่ผมกดส่งไปมันก็ขึ้นว่าอ่านแล้วทันทีก่อนที่ข้อความจะถูกส่งกลับมาอีกรอบ
PRUK: พึ่งกลับมาถึงบ้าน
PRUK: วันนี้มีไปกินข้าวกับพวกคณะกรรมการด้วยกันเลยกลับช้า
ผมยิ้มเมื่อเขาเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงพึ่งกลับถึงบ้านทั้งๆ ผมยังไม่ได้ถามกลับไปเหมือนเขาให้ความสำคัญกับผมยังไงก็ไม่รู้สิครับ รู้สึกดี
Chon M.D.: คิดถึง ไม่มีคนมาถีบแล้วนอนไม่หลับ
ผมพิมพ์ตอบกลับไปก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์หัวเราะไปด้วย แล้วผมก็ต้องหัวเราะออกมาเมื่อเขาส่งสติ๊กเกอร์หมียกขาถีบกลับมาให้ผม
PRUK: ผมว่าคุณไปพบเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์บ้างก็ดีนะ ดูท่าจะอาการหนักแล้ว
PRUK: ผมไปอาบน้ำก่อน เหนียวตัวจะแย่แล้ว
เมื่อเขาบอกมาแบบนั้นผมก็เลยบอกโอเคก่อนจะวางโทรศัพท์ลงข้างๆ ตัว ก่อนหน้านี้ผมยังรู้สึกเซ็งอยู่เลยแต่พอได้คุยกับพฤกษ์ผมรู้สึกว่าอารมณ์เซ็งๆ เมื่อครู่มันหายไปหมดเพราะตอนนี้ผมกำลังยิ้มอยู่ หลังจากที่เขาส่งข้อความกลับมาอีกรอบผมก็เลือกจะกดโทรศัพท์โทรหาเขาแทน ไม่รู้หรอกว่าจะคุยอะไรหนักแต่ก็อยากโทรไป กว่าชั่วโมงที่ผมถือสายไว้แบบนั้นแต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมาก แต่ก็ไม่ได้กดวางสายจนเห็นว่ามันดึกมากแล้วผมเลยให้เขาไปนอน
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่พฤกษ์ดูแปลกกว่าเดิมไปนิดหน่อย ปกติเวลาผมบอกคิดถึงหรือบอกรักถ้าอยู่ใกล้ๆ ก็โดนถีบไปแล้วแต่ถ้าคุยโทรศัพท์ก็จะโดนด่า หาว่าบ้าบ้าง โรคจิตบ้างทั้งๆ ที่ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวสักเท่าไหร่ แต่คราวนี้พอผมบอกว่าคิดถึงเขาทำเพียงแค่เสียง เหอะ ใส่แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรผมจนผมรู้สึกแปลกใจ แล้วก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้
การสัมมนาในอีกวันต่อมาก็ยังคงผ่านไปอย่างเข้มขนและน่าเบื่อปนๆ กันไป วันนี้เป็นวันที่ผมจะได้กลับแล้วซึ่งผมดีใจมากแทบการสัมมนายังมีแค่ครึ่งวันเช้าเท่านั้น หลังจากเสร็จมื้อกลางวันที่โรงแรมผมก็เดินไปขึ้นรถตู้ของโรงพยาบาลที่มาจอดรอรับอยู่ก่อนแล้ว รออีกสักพักจนหมอร่วมโรงพยาบาลผมมาครบรถตู้ก็ออกจากโรงแรมแล้วตรงกลับกรุงเทพฯ ทันที
ผมลงที่คอนโดก่อนจะโยนบรรดาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าใส่ตะกร้าเอาไว้เพื่อเตรียมเอาไปซัก สำรวจตัวเองว่ายังหอมฉุยไม่เหม็นเรียบร้อยก็คว้ากุญแจรถแล้วตรงดิ่งลงไปที่จอดรถทันทีก่อนจะขับรถไปที่บ้านของพฤกษ์ ไปเวลานี้ก็เจอครับผมสืบมาแล้วเรียบร้อย(จากน้องพัทธ์)ว่าวันนี้พฤกษ์ไม่ได้เข้าบริษัท และเวลาที่เขาไม่เข้าบริษัทเขาก็มักจะเก็บตัวเองอยู่กับบ้านไม่ออกไปไหนแน่นอน
"สวัสดีครับป้าสาย" ผมยกมือไหว้สวัสดีป้าสาย ป้าที่คอยดูแลบ้านให้กับพฤกษ์ แต่เจ้าตัวนับถือป้าสายเหมือนญาติผู้ใหญ่
"อ้าว... คุณหมอวันนี้มาแต่วันเลยนะคะ" ป้าสายทักกลับ ผมกับป้าสนิทกันเรียบร้อยแล้วครับ รวมไปถึงคนงานคนอื่นๆ ในบ้านของพฤกษ์ด้วย เล่นเข้าออกบ้านนี้เป็นว่าเล่นเลยนินา
"ครับ พอดีพึ่งกลับมาจากสัมมนาไม่ต้องเขาเวรเลยแวะมา ว่าแต่พฤกษ์อยู่ใช่ไหมครับ"
"อยู่ค่ะ หมกตัวดูหนังอยู่ในห้องนั่นแหละค่ะ ไม่ยอมออกไปไหนหรอกค่ะคนนี้" ป้าสายพูดไปก็หัวเราะไป
"อย่างนั้นผมขอตัวขึ้นไปหาเขาก่อนนะครับ"
"ตามสบายเลยค่ะ"
ผมยกมือไหว้ป้าสายอีกรอบก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้อง ป้าสายเองก็รู้ดีครับว่าผมกำลังตามจีบพฤกษ์อยู่ แล้วก็รู้ด้วยว่าตัวพฤกษ์ไม่ได้ชอบผู้หญิงเพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจเลยครับว่าทำไมเวลาผมมาหาพฤกษ์ป้าสายจะทำเพียงแค่ยิ้มแล้วก็บอกว่าตามสบาย
ผิดเปิดประตูห้องนอนที่เข้าออกบ่อยพอๆ กับห้องของตัวเอง เจ้าของห้องยังไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่สนใจจอโทรทัศน์ที่ฉายหนัง ผมค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้แบบไม่ให้เกิดเสียงดังมากนัก
หมับ!
จุ๊บ!
ผลัวะ!
"เฮ้ย! เป็นไรไหม ผมขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ" เจ้าของห้องที่หันมาเห็นร้องถามด้วยความตกใจทันที
ส่วนผมนี่... นั่งนับดาวอยู่บนพื้นหลังโซฟาแล้วครับ ตั้งใจจะทำเซอร์ไพรส์ด้วยการกอดแล้วก็หอมแก้ม กลับเจอเซอร์ไพรส์กว่าเพราะคนตรงหน้าดันสะดุ้งด้วยความตกใจแล้วปล่อยหมัดมาเสยคางผมเต็มๆ
"ต้อนรับผมได้ถึงใจจริงๆ เลยนะ" ผมสะบัดแล้วลูบคางตัวเอง
"ก็ใครใช้ให้เล่นอะไรแบบนี้ละ มันเงียบๆ ก็ตกใจสิดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ปล่อยหมัดไปหนักกว่านี้" แทนที่จะสงสารเห็นใจกันละไม่มีเลย ดีหน่อยที่พฤกษ์ยื่นมือมาให้ ผมเอื้อมมือไปจับแต่ดึงคนที่ไม่ทันตั้งตัวให้ล้มลงไปแทนที่จะดันตัวเองลุกขึ้นจนเขาร้องอย่างตกใจ
หมับ!
ผมกอดเขาเอาไว้แน่นทันทีที่เขาล้มลงมา ถึงจะจุกไปบ้างเพราะขนาดตัวที่พอๆ กันล้มลงมาเต็มแรงแต่ไม่เป็นไร ขอกอดก่อน
"อะไรของคุณ"
"คิดถึง ขอกอดหน่อย ไม่ได้กอดตั้งหลายวัน" ไหนๆ ก็ได้กอดแล้วขอหอมด้วยเลยแล้วกัน
"เฮ้ย! พอเลยหมอชล!"
"เดี๋ยวดิ อีกนิดนึง" ผมรัดเขาเอาไว้แน่น ขาก็ล็อคมือก็กอดไม่ให้ดิ้นไปไหนหรอก บอกเลย
คิดจะหนีจากหมอชลธีสุดหล่อ ไม่ง่ายนะครับคุณพฤกษ์สุดท้ายพฤกษ์ก็ยอมแพ้ครับผมเลยได้ทีทั้งหอมทั้งกอดจนพอใจจึงยอมปล่อยเขา ซึ่งพอคลายอ้อมกอดออกปุ๊บพฤกษ์ก็รีบเด้งตัวออกจากผมทันที "คิดถึงนะเนี่ย คิดถึงกันบ้างไหม"
"ทำไมต้องคิดถึงด้วย ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย" เขาทำหน้าหงุดหงิดใส่ก่อนจะเดินกลับไปนั่งดูหนังต่อ ผมเลยอ้อมไปนั่งข้างเขาบนโซฟา ข้างแบบว่า ชิดกันเลย
"ขยับไปสิ จะมานั่งเบียดทำไมครับ โซฟาออกจะกว้าง" ไม่พูดอย่างเดียวยกขามายันผมอีก ว่าที่แฟนผมนี่ปากว่าขาถึงตลอดเลย
"ก็อยากนั่งใกล้ๆ อะ พฤกษ์ขึ้นมานั่งตักผมก็ได้นะ"
"อย่ามาตลกครับคุณหมอ"
ผมหัวเราะขำท่าทางของเขาเพราะพฤกษ์เป็นฝ่ายขยับห่างออกจากผมเอง แล้วเมื่อผมบอกจะให้เขามานั่งตักพร้อมกับจะโผเข้าไปหาเขาอีกรอบ พฤกษ์ก็ใช้ทั้งมือทั้งเท้ายันผมเอาไว้ได้ทันก่อนที่ผมจะล้มลงไปทับ อยากจะรู้จริงๆ เลยว่าจะมีใครได้เห็นเขาในแบบนี้บ้างไหมนะ
"ลุกไปสิ มันหนักนะ" เขาเริ่มโวยวายเพราะผมยังไม่ลุก ขาข้างนึงของเขาวางอยู่ที่พื้น ส่วนอีกข้างหรอครับยันผมเอาไว้ มือทั้งสองข้างก็ดันไหล่ผมเอาไว้ด้วย
"นี่... คุณเคยแสดงท่าทางอะไรแบบนี้กับใครบ้างไหม" ผมถามแต่ก็ยังไม่ยอมขยับตัวไปไหน
"ท่าทางแบบไหนของคุณ" พฤกษ์ขมวดคิ้ว
"ก็แบบที่คุณมักจะแสดงออกเวลาอยู่กับผมไง เดี๋ยวด่าเดี๋ยวถีบ หรือขมวดคิ้วใส่ผมแบบนี้"
ผมยิ้มกว้างเมื่อเขาทำเสียง เหอะ อย่างที่ชอบทำก่อนจะตอบคำถามผม "ไม่มีใครเขาโรคจิตแบบคุณหรอกนะ"
"อย่างนั้นก็แสดงว่าคุณแสดงออกแบบนี้กับผมคนเดียวอย่างนั้นสิครับ"
"ก็ใช่นะสิ จะถามอะไรนักลุกไปสักทีเหอะมันหนักนะคุณหมอชลธี"
ผมขยับตัวนั่งดีๆ พร้อมกับออกแรงดึงจนพฤกษ์เซมาทางผมแล้วก็กอดเอาไว้อีกรอบ "ดีใจนะเนี่ยที่คุณเป็นแบบนี้กับผมคนเดียว"
"อยากภูมิใจนักก็เชิญ แต่ปล่อยผมด้วยผมจะดูหนังต่อ ดูไม่รู้เรื่องแล้วเนี่ย" เขาโวยวายออกมาอีกรอบ ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็รู้สึกว่าเขาดู...
น่ารัก ไปหมดทุกอย่าง
ผมนั่งมองหน้าพฤกษ์ ส่วนเจ้าตัวก็นั่งดูหนังไปแต่ผมเห็นเขาขมวดคิ้วบ่อยๆ คงเพราะผมเอาแต่จ้องเขาแบบไม่วางตา เชื่อได้เลยอีกไม่นานเขาจะต้องหันมาโวยวายเรื่องที่ผมเอาแต่จ้องหน้าเขาแน่นอน
"นี่!!" เห็นไหม ไม่ทันขาดคำเลย ผมนี่รู้ใจว่าที่แฟนผมดีเหมือนกันนะครับเนี่ย ผมยิ้มกว้างรับเมื่อพฤกษ์หันมาทำหน้าหงุดหงิดใส่ผม "คุณจะมานั่งจ้องหน้าผมทำไม จะทำอะไรก็ไปทำสิ มารบกวนคนอื่นอยู่ได้"
"ผมรบกวนที่ไหนครับ ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว คุณก็ดูหนังไปสิ"
"แต่คุณเอาแต่จ้องผม แล้วผมจะไปมีสมาธิดูหนังได้ยังไงละโว้ย"
"หือ?" ผมแกล้งเลิกคิ้วขึ้น ทำหน้าแปลกใจก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ "นี่พอผมมาอยู่ข้างๆ คุณก็ไม่มีสมาธิแล้วหรอ ผมนี่ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะเนี่ย"
ผมนึกขำท่าทางที่เหมือนอยากจะต่อยผมสักหมัดของหมัดของเขา แต่เขาก็ไม่ได้ทำนอกจากถอนหายใจออกมาแล้วจัดการปิดโทรทัศน์ "ผมจะไปกินข้าวแล้ว เชิญคุณนั่งอยู่ตรงนี้ตามสบาย"
"แล้ววันนี้คุณไม่มีงานหรอ ถึงไม่ได้เข้าบริษัท" ผมดึงแขนพฤกษ์เอาไว้ก่อน ค่อนข้างแปลกใจที่เขาไม่ได้เข้าบริษัท เพราะปกติแล้วเขาจะเข้าไปทำงานตลอดยกเว้นวันไหนที่มีพบลูกค้านอกสถานที่หรือมีประชุมที่อื่นเขาก็จะไม่เข้า หรือไม่ก็เมื่อไม่สบาย แต่วันนี้ลูกค้าก็ไม่ต้องไปพบ ประชุมก็ไม่มี แล้วดูท่าทางก็ไม่ได้ป่วยหรือไม่สบายเลยสักนิด
ที่จริงตั้งใจจะถามตั้งแต่เข้ามาแล้วแต่มัวแต่แกล้งเขาเพลินไปหน่อยเลยลืม
"ผมจะหยุดบ้างไม่ได้หรือยังไงครับ" เขาดึงแขนออกซึ่งผมก็ยอมปล่อย เพราะผมตั้งใจจะตามเขาลงไปข้างล่างอยู่แล้วไม่จับก็ได้
"ก็ผมสงสัยนี่ครับ ปกติเห็นคุณไปทำงานตลอด หรือว่าไม่สบายรึเปล่า"
พฤกษ์ไม่ตอบแต่กลับเดินไปที่ประตูห้องนอนของเขาแทน และก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกไปผมก็ได้ยินคำตอบจากเขา คำตอบที่ทำเอาผมชะงักไปก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
"ก็วันนี้คุณกลับจากไปสัมมนานิ"คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ แต่มีความหมายแฝงอยู่ในนั้นมากหมาย เพราะวันนี้ผมกลับจากสัมมนา และเขาคงจะรู้ว่าอย่างแรกที่ผมกลับมาถึงก็ต้องมาหาเขา เขาถึงได้... ไม่ไปทำงานสินะ
แบบนี้ก็ถือว่าพฤกษ์เองก็คิดถึงผมหรือเปล่าครับ?************************************************
ตอนนี้ยกให้คู่รองหน่อยนะคะ กลัวคนอ่านจะลืมคู่นี้กันไปเสียก่อน ส่วนคนที่คิดถึงน้องกันต์อดใจรอกันนิ๊ดนึงนะคะเดี๋ยวน้องกลับมาแน่นอนค่ะ สำหรับตอนนี้อาพฤกษ์เริ่มเข้าสู่ช่วง ‘เปิดใจ’ แล้วค่ะ ก็อย่างที่เคยบอกเนอะว่าอาพฤกษ์เนี่ยเขาก็แมนๆ แล้วก็ยอมรับทุกอย่างแบบแมนๆ เหมือนกัน เมื่อเขาคิดและตัดสินใจได้เขาก็จะยอมรับความรู้สึกนั่น แต่พอดีว่าคู่กรณี(?)ที่ต้องเปิดใจด้วยดันเป็นหมอชลค่ะ ถ้าอาพฤกษ์ยอมรับตรงๆ ละก็หมอชลต้องดีใจจนเต้นแน่นอน เพราะฉะนั้นอาเลยเป็นพวกปากแข็งกับคนนี้ค่ะ เป็นคนอื่นนี่อาจจะบอกตรงๆ ไปแล้วว่าคิดถึงเหมือนกันนะ แต่พอเป็นผู้ชายทะเล้นกะล่อนคนนี้อาเขาเลยเลือกที่จะบอกแบบอ้อมๆ แทน น่ารักไปอีกแบบเนอะ ฮ่ะๆๆๆ
เหมือนมีคนพูดถึงดราม่าว่าถ้าดราม่าจะหนักไหมหรืออะไรสักอย่างแนวๆ นี้ อืม... ดราม่าอีกไม่นานก็จะถึงแล้วค่ะ แต่หนักไหม... ก็ไม่หนัก(มั้งคะ) ฝั่งคู่หลักนี่ฟางก็ไม่รู้จะจำกัดความว่าเป็น ดราม่า ได้ไหมเพราะไม่มีปัญหาเรื่องครอบครัวไม่ยอมรับฝั่งพี่คินแน่นอนค่ะเพราะอะไร เหมือนจะเคยเขียนไว้แต่ถ้าไม่รู้อีกไม่นานก็รู้ค่ะ ดราม่าของคู่นี้คือ ‘พ่อน้องกันต์’ ส่วนดราม่าฝั่งคู่รองคือ ‘ครอบครัวอาพฤกษ์’ บอกไว้เลย ให้เตรียมตัวกันล่วงหน้า 555555555555555 สปอยแค่นี้พอ แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ ^^
แวะไปคุยกันในเพจเฟสบุ๊คของฟางกันเยอะๆนะ ไปคุยกันได้นะคะ https://www.facebook.com/fgc32yaoi
สำหรับคนที่เล่นทวิตเตอร์และอยากพูดคุยถึงนิยายเรื่องนี้ช่วยกันติดแฮชแท็ก #น้องกันต์จัดให้ ด้วยนะคะ มาเล่นกันเยอะๆ เลยนะ ฟางเข้าไปส่องตลอดนะคะ แล้วจะแวะไปคุยด้วยค่ะ