ตอนที่ 11
กลางดึก อากาศค่อนข้างเย็นเมื่อผมหลับไปแล้ว แต่ในอ้อมแขนรู้สึกอุ่นเพราะไอร้อนจากกายคนในอ้อมกอด ผมซุกจมูกลงไปในเรือนผม กลิ่นหอมของแชมพูชวนให้ไซ้ลงไปโดยอัตโนมัติ พักเดียวคนในอ้อมกอดก็ขืนตัวออกมาส่งเสียงเชิงรำคาญ
“นอนนิ่ง ๆ ได้ไหม นายทำให้ฉันนอนไม่หลับ”
“ผมมานอนด้วยแล้วยังจะไม่หลับอีกเหรอครับ”
“ก็เล่นอยู่ไม่สุข” หนึ่งตะวันหน้าบูด “อย่าให้ถึงทีฉันยุกยิกบ้างแล้วกัน”
ได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดแล้วผมก็หลุดหัวเราะ ตาคมมองค้อนแม้ยังอยู่ในอ้อมกอด
“ถึงทีคุณหนึ่งแล้วจะเป็นยังไง” พูดพลางโน้มตัวลงแนบจมูกตัวเองลงไปที่หลังใบหูคนตรงหน้า หนึ่งตะวันยิ่งซุกตัวเข้าบดเบียดแผ่นอก แต่ไม่วายเงยหน้าขึ้นมองด้วยความสับสน
“ทำไมเล่นแบบนี้”
“ทำแบบนี้แล้วคุณหนึ่งชอบนี่ครับ”
“ไม่ได้บอกเสียหน่อย” นายน้อยยังคงกระเง้ากระงอด สบตากลมแล้วรู้สึกบางอย่างขึ้นมา หมั่นเขี้ยวระคนวุ่นวายใจ อยากกัดแก้มขาวสักที และบดริมฝีปากสีสดให้แนบสนิทสักครั้ง
เราจ้องตากันและกัน หนึ่งตะวันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ฉันจะจัดการยังไงกับนายดี”
“อยากจัดการยังไงล่ะครับ คืนนี้ผมอนุญาต ตามสบายเลย”
เขาทำเสียงฟึดฟัดในลำคอเหมือนรำคาญใจ จังหวะที่ผมกำลังยิ้มด้วยความเอ็นดูร่างเล็กกว่ากลับยืดตัวมาจูบปากรวดเร็วแล้วหดคอกลับ ผมนิ่ง เหมือนผืนน้ำที่สงบแต่ภายในกำลังแปรปรวน เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าลงไปแล้วอยากจะย้ำอีกครั้งว่าที่ทำเมื่อครู่ไม่เรียกว่าจูบจริง ๆ
“คุณหนึ่ง”
เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบ คนในอ้อมแขนเอาแต่ส่ายหัว ผมยิ้มมุมปาก เชยคางเล็กขึ้นเงย ในจังหวะที่หัวสมองว่างเปล่าก็กดริมฝีปากลงไป บดเบียดรุนแรงและดูดดึงจนสาแก่ใจ ผิวเนื้อของมนุษย์ การใกล้ชิดกันราวกับพร้อมจะหลอมรวมเป็นหนึ่งทำเอาผมร้อนรุ่มไปทั้งร่าง หนึ่งตะวันขยับตัวแนบชิด หน้าขาของเราใกล้กันกระทั่งแนบสนิท เกี่ยวกระหวัดให้สะโพกบดเบียดราวจะสิงกายเข้ากับอีกฝ่าย หนึ่งตะวันพลิกผมให้นอนหงาย เขาปีนขึ้นนั่งบนสะโพก กัดริมฝีปากที่แดงช้ำ เชิดหน้าขึ้น ขณะที่กดเปลือกตาหลุบลงมาสบตากับผม
สะโพกบางขยับตัว เสียดสีกับร่างกายผมจนแข็งขืนและปวดหนึบ
ผมจับเอวเขาไว้ ส่ายหน้าไปมา
“คุณหนึ่ง เล่นสนุกเกินไปแล้ว”
“นายบอกเอง” เขาว่าพลางช้อนตามอง “ว่าคืนนี้จะยอมตามใจฉัน”
หนึ่งตะวันโยกเอวให้สะโพกเสียดสีกันและกันมากขึ้น ร่างกายผมตื่นตัวขึ้นขณะที่อีกฝ่ายถอดเสื้อและโยนลงไปข้างเตียง กล้ามเนื้อลอนเล็ก ๆ ไม่จับตัวแข็ง ผิวของเขาเรียบลื่นยามสัมผัส ปลายนิ้วแตะไล่ระดับจากริมฝีปากผมลงไปเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ หนึ่งตะวันโน้มตัวลงมาจูบ บังคับให้ผมถอดเสื้อและถลกกางเกงผมลงไปถึงหัวเข่า
เขาคลานลงต่ำ ไล่ริมฝีปากลงมายังไหปลาร้า ยอดอกและหน้าท้อง ปลายลิ้นแดงเลียตวัดรอบสะดือก่อนครอบครองเรือนร่างผมด้วยริมฝีปาก
อา...
ผมอ้าปากค้างเมื่อความอ่อนนุ่มของช่องปากกลืนกินร่างกายที่ระอุเจียนระเบิดของผมลงไป ลึกจนถึงลำคอ ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดอย่างชำนิชำนาญ เสียงครางเครือดังมาจากท่อนล่าง ผมเลื่อนมือลงไปตามศีรษะเล็ก สอดปลายนิ้วเข้าเรือนผม ชันขาและกดหัวหนึ่งตะวันลงต่ำอีกนิด
“ชอบหรือเปล่า”
“ทำต่อไปครับ”
“บอกสิว่าชอบไหม”
มือเล็กไต่รูดท่อนกายผมเชิงล้อ แนบแก้มลงไปก่อนแตะลิ้นลงบนโคนขา แสงจากไฟด้านนอกสะท้อนให้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของอีกฝ่าย หนึ่งตะวันจูบเบา ๆ ที่ขาหนีบผมครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ไม่ยอมใช้ริมฝีปากให้อีกครั้ง
ความอดทนผมสิ้นสุดลงเมื่อเราสบตากันและพบอาการยิ้มเยาะทางสายตานั่น “ฉันบอกแล้วว่านายต้องตกหลุมรักฉัน”
ไม่ทันให้นายน้อยพูดอะไรต่อ ผมลุกขึ้น บีบปากเล็กให้อ้ากว้าง สอดใส่ความเป็นชายเข้าไป กดศีรษะอีกฝ่ายให้กลืนลึก บังคับให้ผงกหัวเข้าออกราวเครื่องจักร
บอลลูนยักษ์ลอยขึ้นสูง ผมหลับตาลง ใกล้จะแตกสลายและหลั่งออกมาด้วยความจำนน เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นแทรก
พับผ่า!ผมลืมตาขึ้นมา ท้องฟ้ากำลังเปลี่ยนเป็นสีสว่าง นกตัวเล็ก ๆ บินร้องอยู่ด้านนอกเริ่มออกหาอาหารตามธรรมชาติ
ไม่มีนายน้อยที่แสนซน ไม่มีรสรักที่ร้อนเร่า มีเพียงโทรศัพท์เครื่องเก่า ชื่อพี่นุ่นโชว์หรา มีเพียงผมกับร่างกายที่ตื่นตัวเต็มที่ ในอ้อมแขนมีหนึ่งตะวันที่นอนหลับเหมือนลูกกวางสิ้นฤทธิ์
ยกมือขึ้นลูบหน้า เหงื่อกาฬไหลรินออกมาจนชุ่ม ผมถอนหายใจ สะบัดผ้าห่มลุกขึ้น โชคดีที่ยังไม่ได้หลั่งออกมาจริง ๆ
ไม่ใช่เรื่องพิเรนทร์เลยสักนิดที่เมื่อพ้นวัยเยาว์แล้วชายทั่วไปจะมีอาการฝันเปียก
แต่ที่ผมหงุดหงิดจนแทบคลั่งคือคนในฝัน
คนที่ผมกำลังบังคับขืนใจให้ใช้ปากบรรลุความต้องการคือคนที่ผมพร่ำเตือนกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าห้ามรู้สึก
คนที่ผมเคยประกาศกร้าวใส่หน้าว่าไม่มีวันจะรักได้!
หนึ่งตะวัน...“รู้ตัวหรือเปล่าว่าเป็นคนซื่อ”
คำถามแรกเมื่อเอสเปรสโซ่มาเสิร์ฟตรงหน้าหญิงสาววัย 28 เธอกอดอก เอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วใช้มือดันกรอบแว่นตาขึ้นชิดจมูก วันนี้พี่นุ่นแต่งตัวสบาย ๆ แต่งหน้าบาง ไม่ใส่คอนแท็กเลนส์ แต่ก็ยังสวยอยู่ดี ผิดกับผมที่แต่งตัวดีเป็นพิเศษ นั่งรอ ณ ที่นัดหมายสั่งกาแฟจนเย็นชืดคาแก้ว
“กฤช ถ้าชัดขนาดนี้ไม่ต้องมาถามพี่ก็ได้มั้ง”
“เผื่อว่าจะมีทางแก้”
“พี่ไม่รู้นะ” คู่สนทนาพูดพลางยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม “กฤชอาจจะกำลังเหงาด้วย เลยตกหลุมพรางคุณหนึ่งเอาง่าย ๆ”
“หลุมพราง?”
“โธ่ ตากฤช”
หญิงสาวถอนใจระอาอีกครั้ง เอื้อมมือมาโยกหัวผมไปมาเหมือนครั้งสมัยยังคบกันอยู่ “คุณหนึ่งไม่ใช่เด็กอายุสิบสามแล้ว คิดว่าเขางอแงแบบนั้นเสมอเหรอ โอเค พี่ไม่เถียงหรอกว่าเขาอาจจะโยเยกับคุณภูดิศอะไรนั่น โตมาด้วยกัน แถมยังเฝ้าเอาใจกันมาตลอดก็ไม่แปลก แต่เขามาโยเยกับกฤชทำไมนอกจากเรียกร้องความสนใจ คนดี ๆ ที่ไหนจะคึกขึ้นไปขี่ม้าเองทั้ง ๆ ที่ไม่เคยขี่ จำครั้งแรกที่เรียนได้ไหม ทั้ง ๆ ที่มีอาจารย์คอยคุมเรายังกลัวจะตกม้ากันเป็นทิวแถว แล้วหลังจากนั้นอะไร หาเรื่องอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แล้วชวนเพื่อนคนพิเศษมายั่วให้เราหึง ถึงจะผิดแผนไปหน่อยก็เถอะ”
ผมส่ายหน้า “ไม่เข้าใจ คุณหนึ่งเกลียดแม่ผมด้วยซ้ำ”
“ก่อนหน้านี้เขาอาจจะเกลียด กฤชบอกเองไม่ใช่เหรอว่าก่อนที่จะแสดงออกว่าชอบเขาทำตัวเหมือนคนอารมณ์แปรปรวนอยู่ช่วงหนึ่ง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวหงอเดี๋ยวตะเพิด หนึ่งตะวันก็คงสับสนตัวเองไม่แพ้กันหรอก แต่เขาไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่ได้เป็นเกย์เพราะกฤชด้วย เขามีวิธีจัดการกับอารมณ์ตัวเองและวิธีการจัดการกับสิ่งตัวเองอยากได้ได้ดีกว่าที่กฤชคิดไว้”
“แต่พี่นุ่น...เขาอาจจะเอาแต่ใจ แต่ไม่ใช่คนเจ้าแผนการนักหรอกครับ”
“น้อยไปน่ะสิ” หญิงสาวยังคงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบไม่ต่างจากเดิม พี่นุ่นถอดแว่นมาเช็ดเมื่อไอสีขาวเกาะบนกระจก “กฤช อย่าดูถูกภาพคนขี้งอแงว่าไร้พิษภัยเหมือนเด็กใสซื่อเชียว พี่เตือนไว้เลย พวกนี้แหละแผนจีบคนอื่นล้ำลึกนัก”
“พี่นุ่นมองคุณหนึ่งแง่ร้ายไป ผมไม่คู่ควรกับแผนการอะไรของหนึ่งตะวันทั้งนั้นแหละครับ”
“รู้ไหมว่าตัวเองเป็นคนกวนประสาท”
“ครับ?”
“พี่ก็ว่าเราไม่รู้ตัวหรอก ชอบกวนใจคนอื่นเรื่อยแล้วก็มาดีกับเขาเหมือนไม่เคยก่อเรื่องให้ใครวุ่นวายใจ” พี่นุ่นสบตากับผม รอบนี้บราวนี่อุ่นร้อนมาเสิร์ฟบทสนทนาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง
“แต่นั่นเป็นเสน่ห์ที่ร้ายกาจที่สุดของเราเลย พี่ไม่แปลกใจหรอกถ้าคุณหนึ่งเขาจะชอบ แล้วก็แทบไม่แปลกใจเลยที่แผนการของหนึ่งตะวันจะทำให้กฤชหวั่นไหว เราเป็นคนชอบดูแลคนอื่น ปากมอมบ้างแต่เอาใจเก่ง ถึงจะเอาใจแบบกระด้าง ๆ ก็เถอะ คุณหนึ่งก็แค่ทำตัวว่าอยากถูกเอาใจเท่านั้น hit to the point กฤชไปไหนไม่รอดแล้ว ช่างมันเถอะเรื่องของหนึ่งตะวัน กฤชต่างหาก รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง อย่างน้อยก็ใจ คิดยังไงกับเขา”
ผมอึกอักในลำคอ “ถ้าคุณหนึ่งเป็นผู้หญิง…”
“แต่แม้ว่าคุณหนึ่งเป็นผู้ชาย ใคร ๆ ต่างรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้น กฤชก็รักไปแล้ว”
“อาจจะไม่ใช่”
“หรืออาจจะใช่” พี่นุ่นเคาะนิ้วกับโต๊ะ ผมหลบตาลงต่ำ มองโต๊ะกระจกสะท้อนภาพไม่แน่ใจในแววตาของตัวเองชัดเจน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำว่าอาจจะ ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครให้คำตอบได้
“เพศเราก็เหมือนกับชุดที่สวม เหมือนกันกับหมวกที่ใส่ ถอดออกมาเราก็ต่างเป็นคนเหมือนกัน กฤชกังวลอะไร ถ้าเขาเป็นคนดีที่ไม่ทำร้ายกฤชก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“มันก็ใช่ แต่ว่า...” ผมยังคงหาข้อแย้ง ใคร่ครวญถ้อยคำที่หญิงสาวผู้เคยเป็นที่รักเอ่ยอยู่ในอก ผมรู้สึกอย่างไรมันชัดเจน กลายเป็นว่าผมจะสามารถก้าวผ่านเส้นเขตที่มีในใจได้อย่างไรต่างหาก
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์จะยอมรับกับตัวเองว่าคนที่ตกหลุมรักไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เคยเป็น คงยากพอ ๆ กับการสอนให้คุณหนึ่งกลับใจมาชอบเพศตรงข้ามนั่นแหละ ไม่มีอะไรง่าย มันซับซ้อนและสับสนจนผมต้องยกมือขึ้นนวดขมับ
“แนะนำสาวให้เอาไหม ลองคุยกันดู ถ้ากฤชยังไม่แน่ใจว่าที่รู้สึกกับลูกชายเจ้าของไร่คนนั้นคือรักจริง ๆ แค่วูบไหวไปตามประสาคนเหงา หรือถ้ากลัวว่าเป็นเพราะความใกล้ชิดก็ออกจากไร่มาทำคลินิกกับพี่”
หลังจากปล่อยให้ความเงียบงันดำเนินไปพักใหญ่พี่นุ่นก็เสนอทางเลือก ผมไม่สามารถตอบได้ นึกถึงหน้าหนึ่งตะวันยามร้องขอไม่อยากให้มาเจอพี่นุ่นแล้วก็แน่นในอก
“ผม...”
“เป็นห่วงความรู้สึกเขาเหรอ”
ผมพยักหน้า ไม่มีข้อโต้แย้ง คู่สนทนาถอนหายใจวางมือซ้อนบนหลังมือผม ออกแรงบีบเชิงให้กำลังใจ รอยยิ้มของพี่นุ่นยังคงเป็นมิตรและสวยงาม
“เราไม่จำเป็นต้องอยู่กับกฎเกณฑ์ตลอดไปหรอกนะกฤช โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เรามองอะไรอย่างเป็นเหตุเป็นผล ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องคู่กับผู้ชาย ความรักต่างหากที่จะจับคู่ให้กัน”
“ถ้ากฤชแคร์คุณหนึ่งขนาดนี้ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วแหละ ปล่อยให้มันเป็นตามธรรมชาติ เชื่อพี่เถอะ เห็นกฤชเป็นแบบนี้แล้วไม่สบายใจเลยแฮะ พ่อหนุ่มคนเก่งของพี่นุ่นหายไปไหน”
“ผมอ่อนแอเสมอกับเรื่องนี้ พี่ก็รู้” หญิงสาวยิ้ม ตีมือผมสองทีก่อนจัดการกับบราวนี่ร้อนที่สั่งมาจนเย็นชืด
“อย่าคิดมากเลย”
สัตวแพทย์หญิงยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงแบบเดิม เพลงรักในร้านกาแฟบรรเลงไปเรื่อย หนึ่งในนั้นเป็นเพลงที่หนึ่งตะวันเคยนำมาเล่นก่อนนอน ผมประสานมือวางตรงหน้าพยายามไม่คิดอะไรอย่างคำแนะนำแต่กลับยิ่งคิด มองออกไปข้างนอกในวันฟ้าใสแต่จิตใจกลับไม่สงบ ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น ผมก็มีเพียงหนึ่งตะวันในมโนความคิดไม่หายไปไหน
“ผมคงรักเขาจริง ๆ ล่ะครับ”
ท้ายที่สุดก็ยอมรับกับตัวเอง เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แค่นยิ้มอย่างยอมจำนนความจริงที่ประจักษ์แต่ต้น ไม่มีใครหนีหัวใจตัวเองได้
ผมพ่ายแพ้ต่อคำปรามาสครั้งนั้นแล้วจริง ๆพระอาทิตย์ตกดิน อากาศในตอนกลางวันที่ร้อนระอุยังส่งกรุ่นไอขึ้นจากพื้นดินไม่หาย ผมจอดรถกระบะไว้ในโรง ถือถุงขนมที่พี่นุ่นฝากให้แม่มาถุงใหญ่
น่าจะใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว ในบ้านของนายน้อยยังคงสงบเงียบ มีเสียงคนอยู่ในครัว แน่นอนว่าเป็นแม่ผมและป้าแววกำลังช่วยกันทำกับข้าวขะมักเขม้น
“ข้าวต้มเหรอครับ”
กลิ่นลอยออกมาจากหน้าประตู แม่หันหน้ากลับมายิ้มให้ ผมชูถุงของฝากเจ้าประจำขึ้นโชว์หรา “พี่นุ่นฝากมาให้แม่กับป้าแวว”
“น้องนุ่นนี่น่ารักเสมอเลยนะจ๊ะ” ป้าแววว่า ส่งสายตาล้อเลียน “มีแววรักเก่าจะรีเทิร์นบ้างไหมตากฤช”
“โธ่ ป้า พี่นุ่นเขาจะแต่งงานวันนี้วันพรุ่งแล้วครับ”
“เห็นห่วงหาอาทรกันดี” หญิงคนเดิมแซวไม่เลิก ผมยิ้มก่อนปฏิเสธ
“ไม่ใช่ในแง่ชู้สาวหรอกครับ แล้วคุณหนึ่งเป็นยังไงบ้างครับวันนี้”
ป้าแววถอนใจหนัก “ไอ้โจ้มันพาไปเล่นน้ำตั้งแต่เที่ยง กลับมาเหมือนจะมีไข้น่ะค่ะ ป้าให้ทานยาพักไปแล้ว ไม่รู้ดีขึ้นหรือยัง”
“เล่นน้ำที่ไหนครับ”
“ลำธารข้างหลังโน่นแหละค่ะ” ป้าแววพูดพลางส่ายหน้า “แดดร้อนแท้ ๆ ป้าห้ามก็ไม่ฟัง กฤชไปอาบน้ำอาบท่าสิ เดี๋ยวป้าวานขึ้นไปดูนายน้อยหน่อย”
ผมพยักหน้า มองขึ้นไปชั้นบนแล้วถอนใจ ก่อเรื่องให้ได้ทุกวันสิน่า
ประตูห้องไม้สีน้ำตาลแก่เป็นภาพที่คุ้นชินในสายตา ผมเคาะประตูไม่กี่ครั้งเหมือนเคยแล้วถือวิสาสะเปิดมันออก ในมือถือถ้วยข้าวต้มร้อน ๆ กับยาแก้ไข้ ลดน้ำมูก เจ้าของห้องนอนหลับสนิทกระทั่งผมเปิดมุ้งเข้าไป เอาหลังมือวางบนหน้าผากหนึ่งตะวันก็ปรือตาเปิด
“ออกไปเล่นน้ำมาหรือครับ”
เขาพยักหน้า พลิกตัวหนี ผมดึงไหล่ไว้ให้หันหน้ากลับมา “ลุกมากินยาก่อนครับ ได้เวลาแล้ว”
หนึ่งตะวันนิ่งเงียบ แต่ยอมทำตาม ชายหนุ่มผุดตัวลุกจากเตียงมายังโต๊ะที่วางถ้วยข้าวต้ม สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ไหวหรือเปล่าครับ”
เขาพยักหน้า ตักข้าวต้มทานไม่กี่คำก็วางช้อนลง ผมได้แต่เฝ้ามองอาการนั้นด้วยความไม่สบายใจ เพราะป่วยหรืองอน เพราะไม่พอใจอะไรหรือเปล่า กระทั่งเขายอมกินยาและวางแก้วน้ำลงผมก็ยังไม่ละสายตาไปไหน
“เดี๋ยวฉันจะอาบน้ำ”
“เช็ดตัวไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“ไม่ได้เป็นหนักขนาดนั้น นายเอาถ้วยไปเก็บเถอะ”
หนึ่งตะวันก้มหน้าลง หลุบสายตาต่ำ ผมพยายามค้นหาความผิดปกติจากท่าทางนั้นก็พาลคิดไปว่าหนึ่งตะวันอาจจะเพลีย ยกมือขึ้นลูบหัวอีกฝ่ายโดยปราศจากคำพูดก่อนยกถ้วยข้าวต้มลงมาโดยไม่คาดคั้นให้อีกฝ่ายทานต่อ
“คุณกฤช คุณกฤช!”
เสียงตะโกนเรียกเมื่อผมล้างถ้วยชามที่อ่างล้างในครัวดังขึ้นจากทางหน้าต่าง ชะโงกหน้าออกไปเห็นไอ้โจ้ปีนกระถางต้นไม้โผล่มาหน้าแฉล้ม
“นายน้อยเป็นไงบ้าง”
“ไม่สบาย เอ็งนี่ก็พาคุณหนึ่งไปเล่นไม่รู้เรื่อง”
“คุณกฤชนั่นแหละทิ้งนายน้อยไปหาสาว” ไอ้โจ้บ่นในลำคอแต่ผมได้ยินชัด เดินไปหยิบขนมที่ซื้อมาจากในเมืองแบ่งมันไม่ให้งอนที่หนีเข้าเมืองไปคนเดียวไม่ยอมเรียก “ง้อโจ้น่ะแค่นี้ก็ได้แหละ แต่นายน้อยน่ะเขาไม่งกขนมนา”
“อะไรของเอ็ง”
“นายน้อยงอนตั้งแต่ตื่นแล้ว ไม่รู้เรื่องเลยใช่ไหม เขาว่าผู้ชายซื่อบื้อนี่ท่าจะจริง โจ้เห็นซึม ๆ เลยชวนไปเล่นน้ำ กว่าจะยิ้มได้ เล่นเอาโจ้เหนื่อยไปหลายตลบ”
“งอน?”
“ก็ใช่น่ะซี” มันว่าพลางโดดลงจากกระถางมาแกะขนม “เขาสนิทกับคุณกฤชที่สุด คุณกฤชก็รู้ นอกจากคุณพอร์ชก็มีแค่คุณกฤชไม่ใช่เหรอที่นายน้อยเรียกหาบ่อย ๆ เล่นทิ้งเขาไปหาสาวตั้งแต่รุ่งสางใครบ้างจะไม่น้อยใจ โจ้ยังงอนเลย”
“เลอะเทอะ”
“อ้าว ไม่เชื่อกันอีกแหนะ” ลูกสมุนเอาขนมเข้าปากเคี้ยวตุ้ย พูดต่อทั้ง ๆ ที่ขนมคาปากนั่นแหละ “รีบไปง้อเลย งอนตุ๊บป่อง จะหาว่าโจ้ไม่เตือน”
ผมถอนใจพยักหน้ารับคำ หลังจากล้างจานเสร็จแล้วก็กลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง หนึ่งตะวันนอนหันหลังตะแคงข้างอยู่บนเตียงเหมือนเดิม มองออกไปนอกหน้าต่าง คิดว่าคงไม่หลับเพราะเปิดเพลงจากมือถือทิ้งไว้ หลายสิ่งผุดพราวขึ้นมาในความรู้สึก หนึ่งตะวันจะรู้สึกแบบไหนเมื่อตื่นมาแล้วพบว่าบนเตียงกว้างไม่มีใคร มื้อเช้าที่เคยมีผมเรียกทานอาหาร ตอนเที่ยงที่แวะเข้ามาหาบ้างกลับไม่มีเหมือนอย่างเคย ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่านั้นคือผมรู้ดีว่าเขารู้สึกอย่างไร นอกจากไม่ตอบรับแล้วยังทำตัวราวกับไม่เคยรับรู้สิ่งเหล่านั้นมาตลอด
ผมเปิดมุ้งเข้าไป เจ้าของห้องยังคงแน่นิ่ง พระอาทิตย์เพิ่งจมผ่านหุบเขาไปเมื่อไม่นานนัก ผมแตะมือบนเอวบาง ล้มกายลงข้าง ๆ ยังไม่ถึงเวลาที่ใครจะเข้านอน แต่เราต่างไม่มีคำพูด เคียงข้างกันและปล่อยให้เงามืดของรัตติกาลคืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ
“คุณหนึ่งครับ”
ผมเรียกเสียงเบาจนแทบจะกระซิบ หนึ่งตะวันพลิกตัวกลับมา ซุกเข้าหาอ้อมอก กอดผมไว้สั่นไปทั้งร่าง ผมยกมือลูบแผ่นหลังกว้าง ซุกสันจมูกลงบนเรือนผมสีอ่อน จูบซ้ำเบา ๆ เหนือขวัญกระชับอ้อมแขนให้อีกฝ่ายสะอื้นในอ้อมกอด
“นายมันไอ้ทุเรศ กล้าดียังไงทิ้งฉันไปหาผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ ฉันบอกว่าไปได้ไม่ได้หมายความว่าให้ไปจริง ๆ เสียหน่อย นายกอดฉันไว้ทั้งคืนนะ! ไอ้กฤช ไอ้เฮงซวย! บอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าไม่รักก็อย่ามาทำแบบนี้! ไม่ต้องมากอดฉันเลย”
ถึงแม้พูดแบบนั้น หนึ่งตะวันกลับกอดผมแน่นขึ้นราวกับกลัวว่าจะหายไป เขาสะอื้นโดยที่ผมปราศจากซึ่งคำพูดใด ๆ มาปลอบประโลม
“สนุกมากใช่ไหมมาปั่นหัวกันแบบนี้ ไอ้เด็กเปรต”
ผมไม่ตอบ ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่กำลังถูกปั่นหัว ที่แน่ ๆ คือผมไม่สงบเอาเสียเลยตั้งแต่ดวงตะวันดวงนี้ปรากฏขึ้น
กลิ่นแชมพูลอยหอมติดจมูกเมื่อผมผละใบหน้าออกห่างจากศีรษะ เช็ดน้ำตาที่อาบข้างแก้มชายหนุ่มด้วยมือทั้งสองข้าง สบตากันวูบหนึ่งก่อนนายน้อยจะหลบด้วยการซุกใบหน้าเข้าอ้อมอกของผมใหม่
“ฉันเกลียดนาย ฉันจะเฉดหัวนายทิ้งก่อนนายจะได้ทิ้งฉัน คอยดู”
“ครับ” ผมรับคำในลำคออย่างไม่รู้จะพูดอะไร “ผมจะคอยดู”
หนึ่งตะวันหยุดสะอื้น ทุบลงที่อกผมดังปึ้ก
“ไอ้กฤช ไอ้เด็กกวนตีน!” TBCสวัสดีเที่ยงๆ วันอาทิตย์ค่ะ แฮ่~ นังกฤชเลิกซึนแล้วค่ะ เตรียมยกทัพไปตีนายน้อย /เปรมเลยสิหนึ่งตะวัน
เจอกันอีกทีวันพุธค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ
