ตอนที่ 6
“ฮั่นแน่ วันก่อนไปเดทมาเหรอ คุณกฤช”เสียงแซวอารมณ์ดีจัดดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง ผมกำลังจูงสายฟ้าเข้าคอกหลังจากพามันออกแรงจนตะวันใกล้ขึ้นที่ขอบฟ้า
ไอ้โจ้ปีนรั้ว ช่วยผมจับม้าเข้าคอกพลางหลิ่วตาล้อกวนประสาท ลูบที่เส้นขนสีน้ำตาลลื่นดั่งกำมะหยี่ของม้าศึกไปมา “แสงฟ้า ลูกพี่เอ็งจะมีคู่แล้ว รู้หรือเปล่า”
“เดี๋ยวข้าเตะกระเด็น”
“แหม อารมณ์ไม่ดีเหรอคุณ” คนพูดยังมีหน้ามายวน มันช่วยเอาถุงมือมาให้ ส่วนตัวเองก็ไปหยิบไม้กวาดเตรียมทำความสะอาดคอกม้า แสงเพชรกับแสงฟ้าถูกผูกไว้ที่มุมหนึ่งชั่วคราว ก้มหน้าเลียน้ำจากอ่างด้วยความกระหาย
“ได้ยินเพลงบรรเลงแว่วมาทุกคืน กินอิ่มนอนหลับเลยล่ะสิ นายน้อยนี่ก็แสนโรแมนติก”
“เอ็งจะล้อเล่นไปถึงไหน ถ้าคุณหนึ่งมาได้ยินเข้าจริงข้าช่วยไม่ได้นะ รับมือยากจะตายชัก”
“แหม ชะรอยคุณกฤชพูดคำเดียวจะอ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้งลนไฟน่ะสิ” มันยังว่าไม่เลิก ผมเองก็ขี้เกียจจะใส่ใจปล่อยไอ้โจ้เพ้อเจ้อตามความคะนองของปากและวัยไปตามเรื่องตามราว “เดี๋ยวนี้ไม่เห็นจะบ่นให้โจ้ฟัง”
“ข้าเคยบ่นนายน้อยให้เอ็งฟังด้วยเรอะ”
“ไม่เคยหรอก” คู่สนทนาว่า หยุดไปพักหนึ่งเมื่อแสงเพชรร้องขึ้นมา แล้วพูดต่อเมื่ออาชาทั้งสองตัวเงียบเสียงลง “แต่เมื่อก่อนคุณกฤชไม่ค่อยชอบนายน้อย ดูหน้าก็รู้”
“เขาเป็นงานข้า งานที่เพิ่มมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ใครจะชอบ ข้าก็ขี้เกียจเป็นนะโว้ย”
“เหมือนกันเสียที่ไหน คุณกฤชไม่ชอบเพราะเขาไม่ถูกใจคุณกฤชเสียมากกว่า น่าจะยียวนใช้ได้ใช่ไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นเวลาโจ้ถามถึงคุณกฤชของโจ้ไม่ทำหน้าซังกะตายขนาดนั้นหรอก”
ไอ้โจ้เป็นคนช่างสังเกต และไม่เคยเดาผิด เถียงไปก็ป่วยการ สิ่งที่มันพูดล้วนเป็นความจริงทั้งหมดผมจึงละความสนใจไป
“เดี๋ยวนี้เขาทำตัวดีใช่ไหม ทำไมถึงดีกันได้ล่ะ”
“ข้าจะไปรู้เขาเหรอ ใจนายน้อยเหมือนเรา ๆ เสียเมื่อไร”
“นั่นปะไร เพราะว่าเมื่อก่อนเขาไม่ชอบถึงได้รวนใส่คุณกฤชไง ตอนนี้เขาชอบแล้วก็อยากทำตัวน่ารัก ๆ ให้คุณกฤชสนใจ”
“เอ็งจะจับคู่ข้ากับนายน้อยให้ได้เลยใช่ไหม” พอถูกถามไอ้โจ้ก็ไหวไหล่ แต่ยังคงกวาดเศษหญ้าตามพื้นให้กองอยู่รวมกัน
“โจ้ไม่ได้รังเกียจนะคุณกฤช แต่ที่พูดนี่เพราะห่วงคุณกฤชจริง ๆ โจ้เตือนเพราะความหวังดีนะ คุณกฤชลองสังเกตเอาเถอะว่าเขาเหมือนโจ้กับคุณกฤชหรือออกแนวคุณนุ่นกับคุณกฤชกันแน่ ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับเขาก็อย่าให้ความหวังเขาเลย พูดไปตรง ๆ เถอะ”
“ถ้าเอ็งไม่หยุดพูดเรื่องนี้ก็ไม่ต้องมาคุยกัน ไอ้โจ้ ข้ากับคุณหนึ่งเป็นเหมือนพี่น้อง”
“เอาที่คุณกฤชสบายใจแล้วกัน”
ไอ้เปี๊ยกตัวตันยังไม่เลิกค่อนขอด หลังจากทำความสะอาดคอกม้าเรียบร้อยผมก็ตรงดิ่งกลับบ้านแทนที่จะชวนมันนั่งพักด้วยกันก่อนเหมือนปกติ ไอ้โจ้รู้ว่าผมโกรธเลยไม่ชวนคุยอีก เดินก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือแยกกลับไปที่บ้านพักคนงาน เดี๋ยวสาย ๆ ก็มาพันแข้งพันขาเหมือนเคย
ไฟจากห้องนั่งเล่นของบ้านใหญ่เปิดทิ้งไว้ เมื่อตอนออกไปไม่ทันสังเกต ถ้าเป็นห้องครัวที่มีประตูทางเชื่อมจากบ้านหลังเล็กของผมสว่างจ้าก็ไม่แปลก แม่มักจะลุกมาเตรียมอาหารใส่บาตรกับป้าแววตั้งแต่ก่อนไก่ขันเป็นกิจวัตร
สองขาเปลี่ยนทิศทาง จากที่เดิมจะกลับไปล้างตัวที่บ้านก็วกขึ้นมายังเรือนใหญ่ ไม่ต้องกวาดตามองให้เสียเวลา ที่เปียโนสีดำขลับมีร่างของหนึ่งตะวันนอนคอพับคออ่อนอยู่ไปกับแป้นคีย์บอร์ด โชคดีที่ปิดฝาลงมาแล้วไม่อย่างนั้นเสียงจากการที่แก้มแนบเครื่องดนตรีลงไปคงดังสนั่นไปทั่วทั้งไร่
“คุณหนึ่ง”
ผมเรียกอีกฝ่าย สะกิดเบา ๆ ที่บ่าก่อนดึงให้เขาเอนตัวลุก เจ้าของร่างเล็กปรือตาขึ้นมาดันตัวเองลุกอย่างเกียจคร้าน “นอนที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรครับ”
“อือ...”
“ไปนอนบนห้องดี ๆ เถอะ อย่างน้อยโซฟาก็ได้”
เจ้าตัวพยักหน้าก่อนจะเลื้อยลงไปอีกครั้ง ผมถอนหายใจ เนื้อตัวเหม็นสาบม้าแต่จะปล่อยให้อีกฝ่ายนอนแบบนี้ก็ใจไม้ไส้ระกำไปหน่อย ขออนุญาตนายน้อยในลำคอแล้วช้อนร่างเล็กขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาว เดินไม่กี่ก้าวก็วางลงบนโซฟาหนังเนื้อนุ่มที่มีกองทัพหมอนอิงวางระเกะระกะ ปัดผมหน้าที่ยาวลงมาระดวงตาทั้งสองข้างออก แต่เพียงอึดใจเจ้าตัวก็พลิกตะแคงข้างให้เส้นผมปรกลงมาระใบหน้าใหม่
“ไม่ปลุกนายน้อยไปนอนบนห้องดี ๆ ล่ะกฤช แม่เพิ่งเตรียมกับข้าวใส่บาตรเสร็จ ว่าจะมาปลุกเสียหน่อย ตรงนี้อากาศมันเย็น”
“เดี๋ยวผมไปเอาผ้าห่มมาให้เขาเองครับ แม่ออกไปรอพระเถอะ”
ผมบอกแม่ และเมื่อท่านเดินไปก็ขึ้นไปเอาผ้าห่มในห้องของนายน้อยโดยวิสาสะ กลับลงมาอีกที เขาก็พลิกตัวหันหน้าเข้าหาพนักพิง หมอนที่หนุนหัวอยู่หมิ่นเหม่จะหลุดร่วงลงมาด้านล่าง ผมจับเขาขยับตัวนิดหน่อยแล้วห่มผ้าให้จนมิดถึงคอ ก่อนจะละไปอาบน้ำก็มิวายแอบขยี้กลุ่มผมเส้นบางสีน้ำตาลเข้มด้วยความมันเขี้ยวไปหนึ่งที
“เมื่อคืนก็เข้านอนตามปกติไม่ใช่เหรอครับ”
ช่วงสาย ผมกลับมาจากไร่เพื่อมาดูนายน้อยหนึ่งตะวันด้วยความเป็นห่วง เขายกโน้ตบุ๊กลงมาชั้นล่าง กินขนมไปเปิดเอกสารสั่งซื้อสินค้าในแต่ละเดือนไปด้วย
“อืม สะดุ้งตื่นแล้วนอนต่อไม่หลับเลยลงมาเล่นเปียโน”
“ยังหลับไม่สนิทอีกเหรอครับ”
เขาพยักหน้าโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง คิ้วบางขมวดเข้าหากันแล้วรื้อเอกสารที่กองระเกะระกะอยู่บนโต๊ะทานข้าว
“ไม่คุ้นที่ฉันนอนไม่ค่อยหลับ”
“ไปอยู่อังกฤษได้ตั้งหลายปี ทำไมที่นี่ถึงนอนไม่หลับเสียทีล่ะครับ”
“ฉันมีพอร์ช” ผมคุ้นชื่อนี้ ราวกับนายน้อยเคยเอ่ยถึงแล้วครั้งหนึ่ง “หมอนั่นจะอยู่เป็นเพื่อนตลอด”
“เพื่อนคุณ” พยายามนึกชื่อจนจำได้ว่าไฮโซคนนั้นที่คุณหนึ่งพูดถึงตอนที่ไปเลือกเปียโนด้วยกัน “ที่บอกว่าเป็นเกย์ใช่ไหม”
“อืม ทำไมเหรอ”
เขาเงยหน้าขึ้นมอง เราสบตากันครู่หนึ่งแต่เศษคุกกี้ที่มุมปากทำให้ผมลืมคำพูดที่จะถามต่อ “กินเลอะเทอะครับ คุณหนึ่ง”
คู่สนทนาใช้หลังมือปาดลวก ๆ เห็นแล้วขัดตา ผมหยิบทิชชูที่วางอยู่ไม่ไกลนักมาเช็ดเศษคุกกี้ออก แต่คงแรงไปเพราะเจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่
“เจ็บ!”
ผมยิ้มรับแล้วเผลอเอื้อมมือไปขยี้หัวคนตรงหน้าเบา ๆ ก่อนจะชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายมีสติครบถ้วนไม่ได้หลับสนิทราวลูกแมวขี้เซาเหมือนครั้งก่อน เมื่อดึงมือกลับก็สูดลมหายใจเข้าเต็มที่ว่าอีกฝ่ายคงบ่นยืดยาวตามนิสัย หากแต่ทุกอย่างผิดคาดจากที่คิด นอกจากหนึ่งตะวันไม่โวยวายเสียงลั่นแล้วยังเม้มปากเป็นเส้นตรง สบตากันครู่หนึ่งก่อนผินหน้าไปทางอื่นอย่างคนแพ้ หูเป็นอวัยวะแรกที่แดงก่ำ ก่อนมันจะลามมาที่แก้มนวลลงมาถึงลำคอ
อย่าบอกนะว่า...เผลอนึกถึงคำลูกสมุนว่า บางทีคุณหนึ่งอาจจะพึงพอใจในเพศเดียวกัน และมันทำให้เราก้าวสู่สถานการประดักประเดิดอย่างไม่ทันตั้งตัว
“...................”
“ไปทานข้าวกันไหมครับ คุณหนึ่งหิวหรือยัง” ผมถามทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงกว่า คู่สนทนารับในลำคอ แล้วก้มหน้าลง พร้อมกับหดมือลงไปใต้โต๊ะ ส่วนผมก็ยืนนิ่งอยู่พักใหญ่แม้จะเสนอแนวทางให้หลุดพ้นจากสถานการณ์บ้า ๆ นี้ไปแล้วก็ตาม
“บ่ายนี้...” หนึ่งตะวันเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาในสถานการณ์ที่ต่างคนต่างกระอักกระอ่วน โดยที่ยังคงก้มหน้าอยู่ในท่าเดิม “สอนขี่ม้าหน่อยสิ”
“อะ...เอาไว้วันอื่นดีกว่าครับ”
“โกรธเหรอ”
เมื่ออีกฝ่ายถามขึ้นมา ผมก็ไล่เรียงความคิดว่ากำลังรู้สึกอย่างและทำอะไร ผมกับเขาเป็นเสมือนพี่น้อง แม้จะเพิ่งมาคุยกันดี ๆ เมื่อไม่นานมานี้แต่อย่างน้อยความสัมพันธ์ก็ไม่ควรจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายแสดงออกมา นึกถึงความใจดี ความอดทนที่มอบให้ แรกเริ่มมันเป็นไปตามหน้าที่ก่อนจะผันเป็นความเอ็นดูตามปกติของเพื่อนมนุษย์ แต่เขากลับหลอกใช้ความใจดีนั่นใกล้ชิดราวกับผมเป็นไอ้งั่งที่ค่อย ๆ ถูกล่อลวงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หัวใจผมเต้นแรงขึ้น กว่าจะรู้ตัว ผมก็เริ่มโกรธอีกฝ่ายเข้าแล้วจริง ๆ กระนั้นก็ยังควบคุม เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกับใบหน้า
“ผมจะไปโกรธคุณหนึ่งเรื่องอะไรล่ะครับ แค่เมื่อคืนเห็นคุณพักผ่อนน้อย ไม่อยากให้หักโหม วันนี้ดูบัญชีดีกว่า จะได้ไม่เพลียมาก”
“ถ้าไม่ได้โกรธ....” คู่สนทนาตอนนี้ต่างจากคนที่เจอกันวันแรกลิบลับ เขาขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังคงหลบตาไม่เลิก นั่นทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าขณะพูดผมไม่ได้เจือไปด้วยรอยยิ้มเหมือนก่อน นายน้อยอาจจะเข้าใจว่าใจเราตรงกัน อะไรก็ตามแต่ แต่มันทำให้หนึ่งตะวันร้องขออะไรที่ทำให้ความอดทนเส้นสุดท้ายของผมขาดลง “ตอนกลางคืนมาอยู่เป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม อย่างน้อยให้ฉันหลับ...”
“คุณพอร์ช เพื่อนคุณอาจจะใช้โอกาสนี้ในการเข้าหาคุณหนึ่งนะครับ แต่มันไม่ใช่วิสัยปกติของผู้ชายปกติเขาทำกัน”
“ผู้ชายปกติ? นายหมายถึงอะไร”
“คุณหนึ่ง” ผมข่มเสียงให้เรียบ ถอนหายใจทิ้งแล้วมองหน้าอีกฝ่ายที่ยอมสบตากันตรง ๆ ในที่สุด “ชายรักชายไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับกันในสังคมต่างจังหวัดนะครับ คนเมืองอาจจะมักง่าย ทำอะไรไม่คิดให้ถี่ถ้วนเพราะวิถีชีวิตที่ดำเนินไวจนเกินไป แต่ที่นี่ไม่เหมือนที่นั่น”
“..............”
“ที่ไร่นี้ไม่มีใครเป็นเกย์”
“เป็นเกย์แล้วมันยังไง”
“ผมไม่รู้ว่าคุณหนึ่งอาจจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนที่ผมพูดแบบนี้ หรือบางทีอาจจะร้อนตัวขึ้นมาเอง แต่ผมอยากบอกคุณด้วยความหวังดีว่าอย่าทำอะไรที่สังคมทที่นี่รับไม่ได้ดีกว่า ใคร ๆ ก็รู้ว่าพวกนี้มักจะหลอกใช้มิตรภาพและความใจดีของเพื่อนผู้ชายคิดสกปรกด้วยทั้งนั้น มันน่ารังเกียจ”
หนึ่งตะวันลุกขึ้นยืน เก้าอี้ขูดครืดกับไม้ปาเก้ เขาจ้องหน้าผมนิ่ง แววตาแดงก่ำด้วยความไม่พอใจ “นายไม่มีสิทธิ์พูดแบบนี้ เป็นเกย์ไม่เห็นน่ารังเกียจตรงไหน ดีกว่าหญิงแท้ชายแท้ที่ลักกินขโมยกินเงียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างมีครอบครัวเป็นไหน ๆ”
“คุณหนึ่งหมายความว่าไง”
“ฉันแค่พูดไปตามที่รู้มา คนที่น่ารังเกียจคือแม่นายต่างหาก!”
“คุณหนึ่งจะพาลคนอื่นก็เอาที่สบายใจเถอะครับ ผมขอพูดแค่ในส่วนของผม ผมไม่ได้เป็นเกย์ ไม่ชอบเกย์ และจะไม่มีวันชอบด้วย”
เราจ้องหน้ากันเนิ่นนาน ก่อนริมฝีปากได้รูปนั่นจะแสยะยิ้มยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง นายน้อยโกรธจัด โกรธมากกว่าครั้งไหน ๆ นับตั้งแต่เรารู้จักกันตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
เขาไม่แม้แต่กะพริบตาเมื่อพูดประโยคนั้น
“จำคำพูดของตัวเองไว้แล้วกัน”
“ผมจำแน่ คุณเองก็เหมือนกัน มองปากผมแล้วอย่าลืม”
“......”
“ผมไม่มีวันชอบผู้ชาย”
“นายจะชอบฉัน” หนึ่งตะวันพูดเสียงนิ่ง ดวงตาแข็งกร้าวยิ่งกว่าคราวไหน “นายจะตกหลุมรักฉันโดยไม่รู้ตัว จำคำฉันไว้ด้วยแล้วกัน!”
ความจริงแล้ว หนึ่งตะวันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
ผมถอนหายใจ ทรุดตัวลงนั่งริมสระน้ำกว้างที่ตั้งอยู่ห่างจากไร่และโรงบ่มออกมาอีกที มองดวงตะวันสีส้มค่อย ๆ จมหายไปกับเส้นกั้นของหุบเขา ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีหม่นพลางปาก้อนหินลงน้ำ
หลังจากมีปากเสียงกัน ผมก็เลี่ยงมาทำไร่ จนเห็นว่าเริ่มโพล้เพล้ก็สั่งคนงานให้เลิกแล้วหลบมาอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ตรงนี้ไม่ค่อยมีใครมากวนเพราะอยู่ห่างจากย่านของที่พักพอสมควร
ทุกครั้งที่มีปัญหา ผมจะมานั่งตามลำพัง ตกผลึกความคิดตัวเองให้ได้ก่อนกลับไปเจอแม่และป้าแวว หากแต่คราวนี้ทบทวนเท่าไรก็หาทางแก้ไม่เจอ ผมเป็นลูกน้องของคุณชนินทร์ เป็นพี่เลี้ยงชั่วคราวของหนึ่งตะวัน เริ่มแรกเขาพยศเหมือนเด็กดื้อ ไม่นานเลย ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนผมเดาใจไม่ถูกก่อนที่มันจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากคืนที่ฝนตกหนักวันนั้น
ผมไม่ได้เกลียดเขา ไม่ได้รังเกียจเกย์อย่างปากว่า จะพูดให้ถูกคือตกใจและผิดหวังมากกว่า ผมเถียงกับไอ้โจ้คอเป็นเอ็น แถมทำมันงอนทุกครั้งที่พูดว่าความสัมพันธ์ของผมกับนายน้อยมีแค่มันเท่านั้นที่คิดไปไกล ไม่ได้ระแวดระวังว่าอีกฝ่ายจะเผลอมีใจให้ตัวเองในฐานะชู้สาวจริง ๆ แม้แต่น้อย
ใช่ หนึ่งตะวันไม่ได้พูดออกมา แต่ดวงตาของนายน้อยซื่อสัตย์เกินไป ประจวบรวมกับปฏิกิริยาอื่น ๆ แล้วผมก็หาข้อโต้แย้งยากเต็มทนว่าหนึ่งตะวันอาจไม่ได้รู้สึกเหมือนที่ตัวเองกังวล
ว่าแล้วก็ถอนหายใจทิ้งอีกที
ความรู้สึกตอนนี้คงเปรียบกับคนถูกหักหลังและไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับมันได้อย่างไร ปรึกษาใครก็ไม่ได้ ยิ่งคุยกับตัวเองยิ่งสับสนว่าเผลอไปทำอะไรให้อีกฝ่ายเกิดพิศวาสขึ้นมา เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเหมือนลักษณะทั่วไปของชีวิตผม แต่เมื่อมองย้อนกลับไป อะไร ๆ ก็เริ่มเด่นชัดขึ้นว่ามันมีความพิเศษบางประการซ่อนอยู่ในการแสดงออกของหนึ่งตะวัน เป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่ทันสังเกต หรืออาจจะสังเกตแต่ไม่คิดจะตีความหมายมันให้ลึกซึ้ง
คนเราจะรักใคร่ชอบพอกันง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ?
เมื่อลองทบทวนถึงรักแรก ผมก็ตอบได้ทันทีว่าอาการตกหลุมรักมันเกิดขึ้นง่ายมาก อย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ ผมเห็นหน้าพี่นุ่นครั้งแรก เขายิ้มให้แฟนตัวเองที่อยู่ด้านหลัง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มเลียบ ๆ เคียง ๆ เพื่อจะหาช่องทางจีบอีกฝ่ายแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าหล่อนมีคนรักอยู่แล้วก็ตาม
ความรักคล้ายคนเป็นโรคภูมิแพ้ ไม่รู้ว่าแพ้อะไรเมื่อไร รู้ตัวอีกทีก็จามฟุดฟิดหยุดไม่ได้เสียแล้ว
ผมปาก้อนหินลงน้ำ ภาพผืนน้ำที่กระจายตัวเป็นวงกว้างสะท้อนกับแสงสีส้มยามตะวันรอน มีเงาของผมขยุกขยุยตามระลอกคลื่น ก่อนที่มันจะสงบนิ่งอีกครั้งและมีเงาของใครอีกคนยืนเบื้องหลังอย่างเงียบเชียบ
“ว่าแล้วว่าต้องหนีมาที่นี่” ไอ้โจ้ว่า แต่ไม่นั่งลงด้วยเหมือนเคย “ทะเลาะกับนายน้อยเหรอครับ”
“เรื่องของเจ้านาย”
“ป้าสายใจให้มาตามน่ะครับ นายน้อยแอบเอาแสงเพชรไปวิ่ง ตกม้าแล้วข้อเท้าไม่ค่อยจะดี ลุกเดินไม่ได้ ไม่รู้เอ็นฉีกหรือขาหัก นอนโอดโอยอยู่ที่บ้าน”
ผมเลิกคิ้วขึ้น ถอนหายใจก่อนลุกขึ้นยืน “นานหรือยัง”
“เมื่อครู่เองครับ ป้าสายใจโทรเรียกผมให้ช่วยหาคุณกฤช แต่ไม่มีใครเห็นผมเลยลองมาดูที่นี่ จะขับรถกอล์ฟเองหรือให้ผมขับให้ครับ”
ผมยื่นมือออกไปแทนคำตอบ ที่ไร่ตะวันฉายมีรถกอล์ฟสำหรับใช้ภายในแต่ไม่บ่อยนักที่มันจะมีประโยชน์ ส่วนมากแล้วจะถูกหยิบมาใช้งานเฉพาะเวลาที่คุณชนินทร์อยากเยี่ยมชมทั่วไร่ หรือไม่ก็วันที่มีเหตุเร่งด่วนฉุกเฉินอย่างวันนี้
ไม่มีบทสนทนาใดใดเกิดขึ้นระหว่างผมกับสมุนคนโปรด เมื่อถึงเรือนใหญ่ผมก็โยนกุญแจคืนมัน วิ่งเข้าบ้าน ผมไม่ร้อนรน จะพูดให้ถูกคือไม่รู้สึกว่าตัวเองร้อนรนเลยสักนิดจนกระทั่งยืนหอบแฮกหน้าประตู หนึ่งตะวันนั่งอยู่บนพื้น ที่ขามีแม่คอยประคบน้ำแข็ง ส่วนป้าแววนั่งกอด กดหัวอีกฝ่ายชิดอกเป็นการปลอบประโลมใกล้ ๆ
แม่ผมดีกับเขาขนาดนี้ทำไมถึงได้พ่นถ้อยคำร้ายกาจไม่น่ารักแบบนั้นออกมาได้
ลักกินขโมยกินอะไร บ้าบอสิ้นดี“ขี่ม้าเป็นหรือไงถึงเอามันออกไปอย่างนั้น!” ผมถามเสียงดุแต่กลับมีคนที่ดุกว่านั้นคอยปราม
“ตากฤช!”
“แม่ไม่ต้องห้ามผม รอบนี้ต้องคุยให้รู้เรื่อง ถ้ายังดื้อไม่เข้าเรื่องแบบนี้แล้วยังคอยหนุนหลังเมื่อไรจะโต คุณไม่ใช่วัยรุ่นอายุสิบต้น ๆ แล้วนะหนึ่งตะวัน เมื่อไรจะหยุดสร้างเรื่องเสียที”
“ฉันขอให้นายสอนแล้ว!”
“ผมบอกว่ามันยังไม่ถึงเวลา!”
“มันไม่มีวันถึงเวลา นายเกลียดฉัน นายรังเกียจฉัน! คิดว่าฉันง้อหรือไง คิดว่าฉันไม่มีศักดิ์ศรีจนต้องพึ่งพานายไปเสียทุกอย่างเลยเหรอ คอยดูเถอะ ฉันจัดการที่นี่ได้เมื่อไรอย่างแรกที่จะทำคือเฉดหัวนายออกไป”
“อย่าอวดดีทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรให้อวด!”
“พอแล้ว!” แม่ยังคงเป็นคนที่เสียงดังที่สุด เธอลุกขึ้นยืน มองผมด้วยสายตาแข็งกร้าว และออกคำสั่งในลักษณะเดียวกับแววตา “ใช่เวลาที่จะทะเลาะกันหรือไง กฤช ไปเตรียมรถ พานายน้อยเข้าไปหาหมอในเมือง”
ผมถอนหายใจทิ้งด้วยความไม่พอใจแต่ก็ยอมไปหยิบกุญแจรถกระบะออกมาใช้ เลื่อนรถจากโรงจอดมาไว้หน้าบ้านแล้วเดินวนขึ้นมารับนายน้อยที่ยังคงนั่งคอแข็งอยู่
“เดี๋ยวผมไปกับคุณหนึ่งเอง แม่กับป้าแววอยู่บ้านนี่แหละ”
“ห้ามทะเลาะกันอีก เข้าใจไหม”
“ครับ” ผมตอบให้ทุกคนสบายใจ สัญญากับตัวเองว่าจะพยายามทำตามที่รับปากไว้ “เขาจะปลอดภัยกลับมา ผมไม่ฆ่าทิ้งเสียกลางทางหรอก”
“ตากฤช”
“ผมรับปากแล้ว ผมจะสงบปากสงบคำ ตกลงนะครับ ถึงโรงพยาบาลแล้วจะโทรบอกแม่อีกที”
ว่าแล้วก็เดินไปพยุงอีกฝ่ายขึ้นนั่งบนโซฟาแล้วย่อตัวลงนั่งกับพื้นโดยหันหลังให้ หนึ่งตะวันยังตั้งคอตรง เมินไปอีกทาง ผมข่มใจแล้ว ไม่อยากพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่กระด้างแต่ก็ห้ามไม่ได้ ผมกำลังโมโห เขาทำให้ทุกอย่างมันแย่ และแย่ลงทั้ง ๆ ที่ระหว่างเรากำลังเป็นไปได้สวยในแง่ของมิตรภาพ
“ขึ้นหลังผม”
“ไม่”
“อย่าทำตัวให้เป็นตัวปัญหา”
ผมเอี้ยวตัวกลับไปมอง คู่สนทนาเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนยอมโน้มตัวลงมาสู่แผ่นหลังกว้าง แขนเล็กโอบรอบคอผม ขาทั้งสองแยกออกจากกกันเกี่ยวไว้รอบเอวโดยที่มือของผมรองก้นไม่ให้อีกฝ่ายร่วงหล่น ร่างกายของนายน้อยอุ่น เมื่อแผ่นอกแนบแผ่นหลัง ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย
“ฉันเกลียดนาย”
ผมรู้ว่าเขาโกหก แต่เหมือนหนึ่งตะวันจะพยายามยืนยันด้วยการออกแรงรัดคอผมให้หายใจไม่ออก ได้ผล ผมไอโขลกและหน้าแดงก่ำเพราะเลือดคั่ง เมื่อสาแกใจแล้วเสียงหัวเราะหยันก็ดังขึ้น เขาโน้มตัวลงมาส่งเสียงราวปีศาจนั่นชิดใบหูราวกับได้รับชัยชนะแบบเด็ก ๆ
“ฉันจะเกลียดนาย”
“อย่างน้อยตอนนี้มันก็ตรงกันข้าม”
ผมกระซิบเสียงรอดไรฟัน และแรงรัดที่คอเกิดขึ้นอีกครั้ง รอบนี้ท่าทางจะรุนแรงกว่าเก่า โชคดีที่ผมปรามไว้ก่อน “ถ้าคุณทำผมเจ็บอีก ผมปล่อยคุณร่วงแน่ หนึ่งตะวัน อยากจะเห็นนักว่าขาเดี้ยง ๆ นี่จะมีปัญญายืนได้ถึงวินาทีไหม”
“ฉันเกลียดนาย” คราวนี้เขาทุบอึกบนแผ่นหลัง แต่ผมไม่ได้ปล่อยตามที่ขู่ แม่กับป้าแววส่งสายตากำชับว่าให้เลิกทะเลาะกันเสียที และกลายเป็นผมเหมือนเคยที่ยอมยุติก่อน
หนึ่งตะวัน ไอ้คุณหนูบ้าอำนาจ เอาแต่ใจ ไม่รู้จักโต และจอมฉวยโอกาส
ผมควรจะเป็นฝ่ายพูดว่าเกลียดเขาก่อนแท้ ๆ เชียว
TBC
หราาาาาาาาาาาาาาาา เกลียดเค้าจริงหราาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
สรุปคืออิกฤชนางหยอดคุณหนึ่งน้อยของเราจนได้เรื่องค่ะ ฮาาาา เดี๋ยวคอยดูกันว่าเกลียดลงมั้ย ฮึ ใครมันวิ่งหน้าตั้งมาตอนรู้ว่าคนดื้อบางคนเจ็บหนออออ โอยยย ไม่เคยเขียนพระเอกแบบนี้เลย ทำไมเขียนไปหมั่นไส้นางไป 
ตอนต่อไปเจอกันอาทิตย์หน้าค่ะ ไปคิดก่อนว่าคนเกลียดกันอยู่ด้วยกันสองคนแล้วให้ทำอะไรดี อุฮิๆ