บทที่๘
ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับปัจจุบัน พี่แนคช่วยผมได้มาก เขาแนะนำหนังสือหลายเล่มให้ผมอ่านฆ่าเวลายามว่าง พี่แนคหาสุนัขพันธ์เซนต์เบอร์นาร์ดมาให้เลี้ยงหนึ่งตัว มันเป็นลูกหมาขนปุยตัวเล็กน่ารัก แต่กินเปลืองชิบ
ผมมีอะไรต่อมิอะไรให้ทำมากขึ้น ทั้งดูแลสวน เลี้ยงสัตว์ อ่านหนังสือ เขียนบทความ
เอ้อ มีพี่ชายคนหนึ่งที่ผมรู้จักมานานแล้ว เขาเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาสวยงาม
และส่งหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงปลามาเป็นของขวัญวันเกิด
อ๊ะ ผมลืมบอกไปหรือเปล่าว่าผมเกิดวันนี้..
แต่คงไม่สลักสำคัญอะไรเท่าไหร่ สิ่งที่น่าสนใจคือ พี่แนคกลับตื่นเต้นกับหนังสือนี้ และหาปลาสวยงามมาเลี้ยงมั่ง
"อีโธ่เอ๊ย อยากดูปลาไปเดินแถว ๆ ตลาดก็ได้ ทั้งอินทรีแดดเดียว ปลากระตักทอดกรอบ ปลาหมึกดองเค็ม.."
ผมเคยทัดทานเขาไว้แบบนี้ แต่พี่แนคก็แค่หัวเราะแหะ ๆ แล้วก็เทปลาในถุงใส่ตู้อยู่ดี
พี่แนคไม่ได้ให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดผม พี่เขาบอกผมว่า
"นี่ถ้าไม่อายชาวบ้านชาวช่องนะ พี่จะไปหาริบบิ้นใหญ่ ๆ มาผูกโบว์ตัวเองเป็นของขวัญให้เลย"
ผมก็ได้แต่ขำกับความคิดนี้ อย่างไรก็ตาม ในสายตาของผมแล้ว พี่แนคก็เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่สวรรค์มอบให้ผมจริง ๆ นั่นล่ะ (ถึงจะรองจากพันไพรนิดหน่อย ...โอ๊ย พี่แนคอย่าตีหัวผม)
วันนี้แดดแจ่มใส อากาศดี ผมจึงออกมานั่งแช่เท้าในทรายชื้นเป็นการฉลองวันเกิด
พี่แนคนั่งอยู่ข้าง ๆ และหันมาสบตากับผมบ่อยครั้ง เราหัวเราะให้แก่กันโดยไม่มีสาเหตุ
ตอนนี้ผมเป็นเด็กดีแล้วน้า กินยาตรงตามเวลา ไม่แอบคายทิ้งแบบเมื่อก่อน
จะว่าไป ก็รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ ล่ะ หลังได้รับยา บวกกับสภาพแวดล้อมที่ดี ทำให้ผมหายซึมเศร้าได้มาก
ต้องขอบคุณพี่แนคจริง ๆ ที่ไม่ปล่อยปละละเลยผมไปมากไปกว่านี้..
เสียงรถแปลกหูแล่นมาจอดหน้าที่พัก เรียกสายตาของเราให้หันไปมองจากริมหาด
หญิงสาวร่างบางก้าวลงมาจากรถ ในขณะที่ผมเดินเข้าไปหาหล่อน
"ยีนส์ มาไงอ่ะ"
ญินราถอดแว่นกันแดดออก สีหน้าของเธอไม่เหมือนคนที่ตั้งใจจะมาเที่ยวเมืองชายทะเลเลยแม้แต่น้อย
"เรามีเรื่องต้องคุยกันนะพี่นัส"
พี่แนคมองตามอย่างสงสัย ทว่าญินรามองเป็นเชิงว่าขอคุยกันสองคน เขาจึงถอยออกไป
ผมฝืนยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า
"เรื่องอะไรน้อ ที่สำคัญขนาดหอบยีนส์มาถึงนี่ได้ เทพมันทำอะไรให้ยีนส์ไม่สบายใจหรือเปล่า"
"เปล่าค่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น พี่นัสรักพี่เทพใช่มั้ยคะ?"
ผมอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เนื่องจากว่างุนงงและสงสัยว่ายีนส์รู้ความรู้สึกที่ผมเก็บซ่อนไว้ลึกขนาดนี้ได้อย่างไร
"ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ เพราะเราน่ะเหมือนกัน ยีนส์ก็หลงรักพี่เทพอยู่ การหมั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นแผนการของยีนส์เอง แต่ไป ๆ มา ๆ ยีนส์กลับรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ รู้มั้ยล่ะคะ ว่าเพราะอะไร?"
ผมค่อนข้างช๊อคกับเรื่องราวที่ได้รับรู้ ทว่าคำถามนั้นก็ทำให้ผมต้องส่ายศีรษะปฏิเสธโดยอัตโนมัติ
"ตอนที่พี่เทพเขาเมา เขาระบายให้ยีนส์ฟัง เขาบอกว่า เขากำลังหลงรักเพื่อนคนหนึ่งอยู่
เขาคิดว่ารักนี้คงเป็นไปไม่ได้ และเขาเองก็เพียรเก็บซ่อนความรู้สึกตลอดมา
และชื่อของเพื่อนคนที่พี่เทพหลงรัก.."
แววตาของญิณราร้าวรานและเจ็บปวด
"..คือพี่นัส"
ผมยิ่งตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนสองคนที่ใจตรงกัน ทำไมถึงต้องถูกทำให้พลัดพรากจากกันด้วย
มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่...
"ไม่จริงมั้ง แค่เรื่องเข้าใจผิด มันคงอำยีนส์เล่น ๆ"
"อย่าค่ะ อย่าเลย อย่าทำให้ยีนส์ต้องหลอกตัวเองอีกต่อไป
ยีนส์ไม่อาจทนได้ ที่จะได้อะไรมาโดยไม่แฟร์ ยีนส์มานี่ก็เพื่อจะบอกว่า
วันพรุ่งนี้ พี่เทพจะไปต่อโทที่ต่างประเทศแล้ว ยีนส์ก็จะไปด้วยเช่นเดียวกัน
และนี่คือสารท้าดวลของยีนส์ หากว่าพี่นัสแน่จริง ก็ตามมาชิงหัวใจของพี่เทพกลับคืนไปในวันพรุ่งนี้ดูสิคะ"
เธอเหยียดยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนกลับขึ้นนั่งประจำที่คนขับ
ผมรีบเคาะกระจกให้เธอเปิดมาใหม่
"ขอบใจนะ สำหรับสารท้าดวล"
เธอฝืนยิ้มให้ ก่อนออกรถไปทันที ผมรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องต่อสู้กับความต้องการ ความรัก ความหึงหวงภายในจิตใจมากแค่ไหน ถึงสามารถมาแจ้งข่าวนี้กับผมได้
ผมพ่ายแพ้แล้ว พ่ายแพ้ให้กับความแฟร์ของยีนส์...
แต่จะอย่างไร พรุ่งนี้ผมก็จะไปแน่นอนอยู่แล้ว
พี่แนคยืนมองอยู่ห่าง ๆ เขาก้มหน้า แล้วเดินเล่นตามชายหาดต่อ...
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ ผมทั้งประหลาดใจและตื่นเต้น งุนงง สับสนเป็นบางที
ความรู้สึกเก่า ๆ ที่เกิดขึ้นกับเทพถูกขุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สีหน้า แววตา และรอยยิ้มของเขาเหมือนลอยเด่นอยู่ในความรู้สึก
เสียงพี่แนคพลิกตัวทำให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ผมเริ่มโมโหตัวเองที่หลายใจอะไรขนาดนี้
ทำไมผมถึงคิดที่จะทอดทิ้งคนที่ทำดีกับผมตลอดเวลาได้ลงคอ ครั้งพันไพรก็ทีหนึ่งล่ะที่พี่เขายอมเสียสละความสุขของเขาเอง เพื่อหลีกทางให้ผมได้อยู่กับคนที่ผมรัก
ทว่า ความทรงจำครั้งที่ผมได้พบกับเทพบนระเบียงเฟื่องฟ้าหวนกลับมาอีกครั้ง
ผมยังจดจำความหวานแกมเศร้า ความสุขที่คละเคล้าเจือปนกับความทุกข์
ถ้อยคำที่คลุมเครือ การกระทำที่เป็นปริศนาของเทพ มาบัดนี้ ผมรู้แล้วว่าเพราะอะไรกันแน่
เช่นนั้นผมควรจะทำอย่างไรดี?
ปล่อยให้เทวาที่ผมมุ่งหวังมาหลายสิบปีต้องหลุดลอยไปอย่างนั้นหรือ
หรือจะปล่อยแก้วมณีซึ่งมีอยู่ในมืออยู่แล้วให้ร้าวรานและแตกสลายเป็นผุยผงจากความผิดหวังและความเจ็บปวดซ้ำสอง
ผมเฝ้าแต่คิดวนเวียนด้วยความหนักใจ จนกระทั่งผลอยหลับไปในที่สุด..
เสียงแก้วและภาชนะกระทบกัน มาพร้อมกับกรุ่นกลิ่นกาแฟหอม ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาสู่ห้องครัวอันพี่แนคจัดเตรียมกาแฟและขนมยามเช้าเอาไว้
เขายิ้มอบอุ่นให้ และเริ่มบทสนทนาแรก..
"เมื่อวานพี่ได้ยินหมดแล้ว พอดีว่าพี่หูดีมากไปหน่อย ขอโทษด้วยนะ"
ผมตกใจจนถ้วยกาแฟแทบหลุดจากมือ
"ไปสิ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก พี่เคยบอกนัสเสมอนี่นา ว่าพี่พร้อมจะหลีกทางให้ อีกอย่างเทพก็มาก่อนพี่ด้วยซ้ำ
เขาย่อมมีสิทธิ์เต็มที่ในตัวนัสเป็นแน่"
"แต่... "
"อย่าลังเลกับความรู้สึก อย่าโกหกตัวเอง พี่จะมีความสุขมากที่สุด หากว่าเห็นนัสมีความสุข
พี่ไม่อยากเห็นนัสเสียใจทีหลัง หากว่าไม่ได้กล่าวคำนั้นออกไป"
พี่แนคตบไหล่ผมแรง ๆ จนถ้วยกาแฟแทบกระฉอก
"ไปเลยไอ้น้องชาย ลองสู้ดูสักตั้ง แล้วค่อยกลับมาซบอกพี่ก็ยังไม่สาย"
ผมยิ้มขอบคุณ ขอบคุณที่เขาทำให้ผมตัดสินใจได้ ผมรีบไปอาบน้ำแต่งตัว
เพื่อเตรียมไป เมื่อผมออกมา พี่แนคยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
"อ้าวพี่ ไปอาบน้ำสิครับ"
"ทำไมล่ะ พี่รอฟังข่าวดีอยู่บ้านก็ได้"
"พี่แนคครับ ผมอยากแนะนำพี่ชายของผมให้รู้จักกับเพื่อนสนิทน่ะ ไม่ได้เหรอคร้าบ"
พี่แนคลุกขึ้นด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง
"เอ้า น้องชายว่าไงพี่ก็ว่าตามล่ะนะ"
เพียงไม่กี่นาที เราก็อยู่บนรถของพี่แนคระหว่างทางเข้ากรุงเทพเพื่อไปดอนเมือง
ผมกระสับกระส่ายตลอดทาง..
เรามาถึงท่าอากาศยานซึ่งผู้คนคลาคล่ำ ผมแทบไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย และยืนเก้ ๆ กัง ๆ แถวห้องพักผู้โดยสาร
พี่แนคจึงอาสาว่าจะไปสอบถามประชาสัมพันธ์ให้ แต่ผมต้องไปซื้อเบียร์กระป่องหนึ่งจากคอฟฟี่ชอปในสนามบินมาให้พี่แนคเป็นการตอบแทน
ผมก้าวเข้าไปยังร้านกาแฟที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายเป็นกันเอง ทว่าหรูหราในความธรรมดานั้น
ผมบอกกับพนักงานว่าขอเบียร์กระป๋องหนึ่ง และยืนรอที่หน้าเคาเตอร์
ทันใด เสียงทุ้มนุ่มที่ผมจำได้ติดหูและเต็มตื้นในหัวใจก็ดังขึ้นจากโต๊ะเบื้องหลัง
"คาปูชิโน่แก้วนึงครับ ใส่ครีมเยอะ ๆ นะครับ"
ผมแทบไม่เชื่อหู เหมือนก้อนอะไรบางอย่างแล่นมาที่หัวอก มันทำให้ผมตันไปหมด และผมก็หันไปช้า ๆ
พันไพรนั่งอยู่นั่น เบื้องหน้าของเขามีแจกันสีฟ้าอ่อนรับกับช่อดอกฟอเกทมีนอตช่อเล็ก ๆ ในแจกัน
เขายังเหมือนเดิมทุกประการ ไม่ว่าดวงตาระยิบแพรวพราว รอยยิ้มยั่วที่ประดับไรหนวดจางบริเวณเรียวปากบาง
และเขี้ยวเสน่ห์ซึ่งเผยอออกมายามเขายิ้ม
"ไพร.."
ผมประหลาดใจยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ แต่อีกฝ่ายกลับพูดกลั้วหัวเราะ
"มาสินัส มานั่งนี่สิ ไง ได้ข่าวว่าเป็นเด็กดื้อนะเราน่ะ"
ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผมนั่งลงตรงหน้าเขา และปล่อยให้หยาดไข่มุกใสร่วงพราวลงสู่พื้น
"ยังขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะครับ อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนักสิ หืม"
"ทำไมนาย ก็ยังอยู่นี่นา ทำไม ทำไมไม่ยอมมาหาผมบ้าง ทำไมปล่อยผมไว้กับความเหงา..ทำไมกัน"
พันไพรเอื้อมมือมาไล้ข้างแก้มของผมด้วยปลายนิ้ว เขาปาดเอาน้ำตาของผมให้เกลื่อนไปทั่วข้างแก้ม
"ผมเคยบอกนัสเมื่อไหร่กัน ว่าผมจะอยู่ห่างไกลจากนัส ก็คนมันรักแล้วนี่จะปล่อยให้คลาดสายตาได้อย่างไร"
ผมพยายามหยุดสะอื้น ผมรู้แล้วว่าพันไพรอยู่ใกล้ ๆ ผมตลอดมา และจะตลอดไป
และในที่สุด ผมก็ถาม..
"ไพร นายรู้ใช่มั้ยว่าผมจะถามอะไร?"
พันไพรยิ้มบาง เขาบิดขี้เกียจช้า ๆ
"ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะครับว่านัสจะถามอะไร คนเราแต่ละคนย่อมมีมุมมองของตนที่แตกต่างกันในแต่ละเรื่อง
และหลายเรื่อง ที่นัสควรเป็นคนตัดสินใจเอง ผมเองก็ไม่รู้หรอก ว่านัสให้คุณค่ากับสิ่งใดมากกว่ากัน
แต่ผมก็ภูมิใจนะ ที่ครั้งหนึ่ง นัส..เลือกผม"
ผมนิ่งอึ้ง เขารู้ความลำบากใจของผมจริง ๆ ด้วย แต่แล้วเขาก็บอกให้ผมตัดสินใจเองอีกครั้ง
"จะว่าไป นัสไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านนานแค่ไหนแล้วล่ะ?"
การตัดสินใจใหม่ ๆ ยิ่งพลุ่นพล่านเข้ามาในทุก ๆ ที พันไพรพลันผุดลุกขึ้น
"โอเค ผมคงต้องไปแล้ว ถึงนัสจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงผม แต่อยากให้นัสรู้เอาไว้ว่า
..I'll be always with you.."
ผมไม่อยากละสายตาไปจากเขา แต่เสียงแกร๊กของประตูร้านทำให้ผมตกใจและหันไปมอง
เพียงผมหันกลับมา โต๊ะตัวนั้นก็เหลือเพียงแจกันดอกฟอเกทมีนอตและเก้าอี้เปล่า ๆ
ถ้วยคาปูชิโน่ควันกรุ่นตั้งอยู่เบื้องหน้า ..ผมกระซิบขอบคุณเขาเบา ๆ จากการช่วยตัดสินใจ
เอาล่ะ ผมรู้แล้วว่าผมควรจะทำอะไรต่อไปดี..
--------------------------------------------------------
PEAK : หายกลับไปทำใจให้พร้อมมาครับ และรับมือกับหลาย ๆ เรื่อง ตอนนี้บทสุดท้ายแล้วครับ คราวนี้ลงจนจบล่ะ
Tifa : น้องเจสไม่ว่างอ่ะคับ ติดงานเจ้าแม่ไททาเนีย 555+
แต่ก็ฝากบอกว่าคิดถึงเพื่อนสาวคีน่าอย่างแรงเหมือนกัน คริคริ
nOn†ღ : พี่แนคเป็นแฟนคนแรกของผมครับ แต่ผมไม่เคยตอบแทนความดีเขาเลย ผมทำร้ายเขาและเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกผิดอยู่นาน แต่ตอนนี้ก็กลับมาคุยกันใหม่แล้วครับ หลาย ๆ อย่างที่ไม่เคลียร์ก็เคลียร์ และผมก็ถูกปลดออกจากความรู้สึกผิดนั้น