** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน  (อ่าน 86617 ครั้ง)

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
เรื่องนี้เป็นนิยายความรักระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเรื่องแรกของผม
และเคยลงครั้งแรกที่เว็บพันทิปเมื่อประมาณสี่ปีก่อนครับ
เรื่องนี้ค่อนข้างดำเนินไปอย่างเชื่องช้า(รึเปล่า?)  และออกแนวเศร้านิด ๆ อบอุ่นหน่อย ๆ
อยู่กึ่ง ๆ ระหว่างความจริงและความฝัน  และคงไม่หวือหวาอย่างความรักวัยรุ่น
ก็ขอให้ทุกท่านทนอ่านไปหน่อยนะครับ  ^ ^

 :oni3:








อ้างถึง

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 






 


*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
ที่ตัดสินไม่ได้ว่าควรจะเป็นอะไรใช้สีครามเขียว








บทนำ




สายลมแผ่วพัดให้สมุดปกน้ำเงินไพลินพลิกเปิดออก  หน้ากระดาษขาวที่เต็มไปด้วยอักษรแห่งความทรงจำกำลังเต้นรำกับสายลมนั้นหน้าต่อหน้า  ผมยกแขนที่ทับมุมหนึ่งของปกหนังสือไว้  แล้วจรดปลายปากกาลงบันทึกเรื่องราวต่อไป  ..เรื่องราวของผม  และ

                                                  ...หวังเทวา






   แสงจันทร์อ่อนนวลสาดส่องผ่านผ้าม่านระบัดพลิ้วด้วยสายลมยามดึก     เงาร่างของใครสักคนที่กำลังยืนอยู่บนระเบียง  กระตุ้นความสนใจใคร่รู้ของผม  และเรียกให้ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้ ๆ

"นั่นใครน่ะ?"  

คล้ายดั่งหลุดจากมนต์สะกด  เงาร่างสูงที่ยืนนิ่งประดุจดั่งปฏิมากรหินอ่อนเมื่อครู่กลับคืนสู่ชีวิต   ใบหน้าที่ซีดขาวเนื่องจากแสงจันทร์กระตุกรอยยิ้มซึ่งผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีตรงมุมปาก   ลักยิ้มเล็กที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจกลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด  

"ไง  ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ  นัส"  

ผมชะงักปลายเท้า    ความงุนงงสงสัยและความประหลาดใจเข้าเกาะกุมห้วงความคิด   แต่แล้วความประหลาดใจก็เปลี่ยนเป็นความดีใจอย่างถึงที่สุด  

"เฮ้ย!  เทพ     เทพ...  ใช่ เทพมั้ย?    เฮ้ย..  ไม่ได้เจอกันนานเป็นไงมั่งวะ"  

ทว่า  ท่าทีและคำพูดละล่ำละลักของผมไม่ได้แพร่เชื้อความตื่นเต้นจากการพบกันโดยมิได้คาดหมายไปสู่เขาเลย   เทพ   หรือ 'ดั่งเทวา' เพื่อนรักแต่ครั้งอดีตของผมเพียงแต่แตะริมฝีปากเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว  

“จุ๊ ๆๆ  อย่าเอ็ดไป  ทำเป็นตื่นตูมไปได้     พอดีวันนี้รู้สึกอยากมาหาแกว่ะ   แกเคยเล่าให้เราฟังหลายครั้งแล้วว่าระเบียงที่บ้านของแกชมจันทร์ได้สวยที่สุด"  

ผมพยักหน้าช้า ๆ   ดวงจันทร์เพ็ญลอยอยู่กึ่งกลางของท้องฟ้าสีนวลเนื่องด้วยรัศมีจันทรา   แสงสีขาวตกกระทบกับพื้นปูกระเบื้องของระเบียงจนขาวโพลน   ราวระเบียงอันก่อจากปูนถูกเลื้อยปกคลุมไว้ด้วยเถาเฟื่องฟ้าอันไต่จากเบื้องล่างขึ้นมาชูช่อไสวทางเบื้องบน  เป็นบรรยากาศที่ดูราวกับสรวงสวรรค์   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เมื่อมีเทพบุตรหนุ่มรูปงามยืนอยู่เบื้องหน้าด้วย  

"เฮ้  มองอะไรเรานัก  เราก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเท่าไหร่หรอก   ยกเว้นแต่ว่า....    หล่อขึ้นเยอะ  ก็แค่นั้นเอง"

  "ถุยส์   ไอ้หลงตัวเองเอ๊ย     ว่าแต่...มาเยี่ยมเราเพื่อชมจันทร์แค่นั้นหรอกรึ    ชักอิจฉาดวงจันทร์เสียแล้วสิเนี่ย"  

  เทพหลุดหัวเราะพรืดด้วยความขบขัน  เมื่อผมใช้สำนวนออดอ้อน    

"โถ โถ  ไอ้นัสเพื่อนเลิฟ  เราก็คิดถึงแกเหมือนกันแหละวะ  ไม่งั้นจะมาทำไม   แล้ว....เป็นไงบ้างล่ะ?"  

"อืม  ก็สบายกายดี  ไม่เจ็บไม่ไข้อะไร   แต่หัวใจ  อาจจะมีนิดหน่อย"  

"อ่า  ..แล้วแฟนล่ะ  มีหรือยัง?"  

ดวงตาสีสนิมเข้มจับจ้องมายังผมพร้อมกับคำถาม  บ่งให้ทราบว่าผมไม่มีทางเลี่ยงการตอบไปได้   ผมก้มใบหน้าเพื่อหลบสายตาของเขาและชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะตอบเขาว่าอย่างไรดี  

"ไม่มี.."  

"หา!"  

"ไม่มี     ..ยังหลงรักคนที่แอบชอบอยู่"  

ผมไม่กล้าสบสายตาเขา  เลยไม่ทราบว่าบัดนี้เทพมีสีหน้าอย่างไร  แต่เสียงทุ้มเจือเศร้าของเขากลับเรียกให้ผมต้องเงยหน้ากลับขึ้นมองใบหน้าเขาอีกครั้ง  

"อืม  เหมือนกันเลย"  

"นายก็มีคนที่แอบรักอยู่หรือ?"  

เทพไม่ตอบคำถาม  เขาเหยียดยิ้มกว้างพร้อมกับสร้างรอยลักยิ้มชวนหลงใหลขึ้นอีกครา  ผมไม่อาจคาดเดาถึงความคิดของเขาได้    

"ตัดใจไม่ได้  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้   น่าเศร้าเนอะ"  

ผมรับคำเบา ๆ ในลำคอ  ทั้ง ๆ ที่อยากจะถามใจแทบขาด  ว่าใครคือคนที่เพื่อนรักของผมพูดถึง  แต่เพราะผมรู้ดีว่าถึงอย่างไรเขาก็คงจะไม่บอก  ผมจึงยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิม

สายลมพัดพรูมาอีกวูบ  ผมก็เหมือนสะดุ้งตื่นจากฝัน  เมื่อคนตรงหน้ากลับหายไปจากที่ที่เขาอยู่อย่างไร้ร่องรอย  ความว่างเปล่าทางเบื้องหน้าทำให้ผมต้องตบแก้มตนเองเบา ๆ   แทบจะไม่อยากเชื่อว่า  เสียงที่คิดถึง  ใบหน้าที่คะนึงหา  และคนที่เฝ้าใฝ่ฝันทุกวันคืนเมื่อครู่  เป็นเพียงภาพฝันยามดึก      

ผมยิ้มเศร้า ๆ ให้แก่เถาเฟื่องฟ้าเบื้องหน้า  ก่อนที่จะหันหลังกลับไป  และก้าวช้า ๆ  เพื่อเข้าสู่ตัวบ้าน

"ลาก่อน  นัส เพื่อนรัก"
  
ผมสะดุ้ง  เมื่อเสียงเดิมนั้นแว่วมาจากเบื้องหลังอีกครา   แต่ก็ไม่หันกลับไป และส่ายศีรษะเบา ๆเมื่อทราบดีว่านั่นเป็นเพียงฝัน...  



....ที่ไม่มีวันเป็นจริง



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-09-2010 12:06:16 โดย THIP »

@#Jackie#@

  • บุคคลทั่วไป
Re: หวังเทวา - [Magical Realistic Story]
«ตอบ #1 เมื่อ23-05-2008 20:50:54 »

จิ้มครับ จะรอติดตามตอนต่อไปครับ  :m4:

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
Re: หวังเทวา - [Magical Realistic Story]
«ตอบ #2 เมื่อ23-05-2008 21:11:15 »

ขอบคุณคุณแจ๊คกี้ที่มาเจาะไข่ให้ผมไม่เหงาครับ  อิอิ

 :oni1:




บทที่ ๑



 
[ความฝัน]
 

                "เฮ้ย!ป๊อกเก้าเด้งเว้ย"

เสียงเริงร่าอย่างมีชัยแกมสะใจนิด ๆ จากคนฝั่งตรงกันข้ามทำให้ผมหน้าเสียนิด ๆ

ผมวางแผ่นกระดาษลายข้ามหลามตัด และดอกจิก ในมือลงอย่างเสียดาย  เพราะแต้มรวมเพียงแค่แปดเท่านั้น

               "เห้-เอย  เสียอีกแล้ว  แม่มเซ็งว่ะ"

               "ขอโทษครับน้อง  เสียอะไรหรือครับ  ให้พี่ช่วยซ่อมให้มั้ยครับ"

เสียงนุ่มของบุคคลที่ผมคุ้นเคยดี  เพราะเคยพบเจอกันบ่อยมาก  ดังมาจากเบื้องหลัง  เรียกหยดเหงื่อให้ตกติ๋ง ๆ ข้างหน้าผาก

            "เฮ้ย  พ่อมา  เผ่นเว้ย"

ไอ้เจ๋ง  ตัวตั้งตัวตีพาคนมาเล่นไพ่กลางป่าข้างโรงเรียนเผ่นก่อนเพื่อนตามด้วยนักพนันหนุ่มอื่น ๆ  ที่กระเจิงกันป่าราบไปคนละทิศละทาง

"แหะแหะ  พี่สารวัตรนักเรียนสุดหล่อครับ    อ่า..ช่วยปล่อยมือออกจากคอเสื้อผมหน่อยได้มั้ยคับ"

จะใครซะอีกล่ะ  ผมโดนทิ้งไว้คนเดียวอีกแล้ว   ความเชื่องช้างุ่มง่ามของผมทำให้ตกเป็นเป้าหมายของพี่ปองในการจับกุมอยู่เสมอ ๆ

"เห็นจะไม่ได้หรอกกระมังครับ  น้องนัสที่รัก    เราเจอกันหลายครั้งแล้ว  และน้องก็ไม่เข็ดหลาบซะที  ยังไงก็ ช่วยให้ความร่วมมือกับพี่  ไปเยี่ยม ผบ.นิรันดร์ ซะดี ๆ เถอะครับ"

ใบหน้ายิ้มแย้มของพี่เขาช่างน่ากลัวอะไรอย่างนี้   เพราะความกระหายเลือดที่ซ่อนไว้แทบไม่มิดหลังหน้ากากทำให้ผมเสียวสันหลังวาบเป็นระยะ

 "โถ พี่ปองคร้าบ  เห็นแก่น้องแก่นุ่งเถิด  แค่พักผ่อนหย่อนใจยามเว้นว่างจากการเรียนนิด ๆ หน่อย ๆ นี่ต้องไปพบท่าน ผบ.สุดโหดด้วยหรือครับ    ปล่อยผมไปเถอะนะครับ  นะคร้าบ"

พี่ปองส่ายหน้าด้วยความระอาใจ  แต่รอยยิ้มเหี้ยมก็ยังคงประดับอยู่ที่มุมปากเช่นเดิม

"แหม  น้องครับ  ไม่เนียนเลยจริง  ดูนี่สิ"   พี่แกสะบัดแผ่นกระดาษขนาดเอสี่ออกมาแสดงแก่ผม

"ตารางเรียนของน้องบ่งชัดว่า   ตอนนี้อยู่ในคาบคณิตศาสตร์นะครับ ดังนั้นข้อแก้ตัวแรกเป็นอันตกไป"

ผมอึ้งกิมกี่เลยน่ะสิ  เพิ่งทราบบัดนี้เองว่าพี่ปองยอมลงทุนหาข้อมูลมาเพื่อจับผมให้ได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ แต่อย่างไรก็ตาม  ผมก็ยังไม่ละความพยายาม

"งั้นปล่อยผมไปเถอะครับ  ผมจะรีบทำตัวเป็นเด็กดีไปเรียนคณิตศาสตร์เดี๋ยวนี้เลย   คิดดูสิครับ  หากว่าจับผมไป  ผมต้องพลาดคาบเลขเป็นแน่   ในฐานะสารวัตรนักเรียนผู้ทรงเกียรติจะปล่อยให้การเรียนการสอนต้องชะงักงันหรือครับ"

"พี่ไม่สนครับว่าน้องจะพลาดอะไรไป   แต่กฎต้องเป็นกฎ!"

"กฎถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์   ดังนั้นย่อมปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพสถานการณ์และสังคมเพื่อให้เหมาะกับมนุษย์นี่ครับ"

พี่ปองขมวดคิ้วเล็กน้อย  มือที่จับอยู่เริ่มคลายนิดหน่อย  เนื่องจากกำลังครุ่นคิดวิธีตอบโต้กับรุ่นน้องหัวหมอ

"แต่พี่ไม่เห็นควรว่าควรจะปรับเปลี่ยน   ดังนั้นไปกับพี่เหอะ"

ผมตีสีหน้าเศร้าด้วยมาดของดาราออสการ์

"ถ้าพี่เห็นควรเช่นนั้น   ...ก็แล้วแต่พี่เถอะครับ   แต่ว่า"

ดวงตาผมกลอกไปมาอย่างระวังระไว

"ผมคงไม่อาจอยู่ร่วมสนทนาต่อได้  ขอตัวก่อนนะคร้าบ"     ผมเอื้อมมือคว้าบ่วงเชือกที่ห้อยลงมาจากต้นไม้สูงลิบแล้วกระตุกหนึ่งที  ก่อนพาร่างลอยสูงขึ้นไปสู่คาคบไม้นั้น

ผมโหนร่างขึ้นสู่ทางลับเหนือป่าอันทอดเชื่อมต่อระหว่างต้นไม้สูงแต่ละต้น   ดวงตาสีสนิมเข้มที่ซุ่มมองอยู่แล้วในคาคบไม้  เรียกให้ผมหันไปสบ  และยิ้มให้
   
"เจ๋งมากเลยว่ะเทพ"   นิ้วโป้ที่ชูให้การันตีเป็นอย่างดี  และเรียกรอยยิ้มกว้างขวางจากหนุ่มน้อยตรงหน้า

"พี่ปองคร้าบ  ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร  ผมขอตัวก่อนนะคร้าบ  แล้วโอกาสหน้าเชิญใหม่   ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

หัวหน้าสารวัตรนักเรียนสุดโหดแห่งมัธยมหก  แทบเต้นผางด้วยความแค้นใจ  เมื่อเหยื่อเซื่อง ๆ กลับกลายเป็นเสือดาวเปรียวเผ่นโผนขึ้นไปสู่ที่ที่เขาตามไม่ถึงในพริบตา

"คอยดู   พี่จะให้  ผบ.นิรันดร์มาเผาที่นี่ให้ราบ    คราวนี้แก  ไอ้นัส  แก...แก"

ผมผิวปากหวืออย่างไม่ใส่ใจ  ก่อนสะกิดสีข้างของไอ้เทพ  ให้นำทางไปสู่ฐานบัญชาการ(บ่อน)ต่อไปจากบันไดพาดมากมายเหนือกิ่งไม้



[อดีต]

เสียงอื้ออึงดังขึ้นในหัวของผม  ปลุกให้ผมตื่นจากความฝันยามกลางวัน    ความฝันพิลึกพิลั่นพิสดาร  และใครบางคนที่ยิ่งนำความประหลาดใจมาให้

                          "เทพ..."

ผมทวนชื่อนั้นเบา ๆ เมื่อปาดน้ำลายออกจากมุมปาก  และเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะไม้โปร่งภายใต้ตัวอาคารหลังใหม่ล่าสุดของโรงเรียน   คนในฝันคนนั้นของผมคือใครกันแน่    ผมจำได้ว่าผมไม่เคยรู้จักเขามาก่อน      แต่ดวงตาของเขานี่สิ   ชวนให้คุ้นเคย  ด้วยความสดใสของดวงวงกลมสีน้ำผึ้งอ่อนอันล้อมรอบแก้วตาสีสนิมเข้มสดใสพราวราวกับแย้มยิ้มได้   ...ช่างแตกต่างจากผม   ผู้มีดวงตาสีดำสนิทอันเคลือบด้วยฝ้าของน้ำแข็ง  และความหม่นหมองอยู่เป็นนิจ

ลมหนาวแห่งเดือนธันวาคมพัดให้หนังสือที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะเบื้องหน้าผมเปิดหน้ารัวถี่จนเสียงกระดาษตีพั่บ ๆ   และส่งผลให้กระดาษแข็งสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กปลิวกระเด็นออกจากจุดที่คั่นหนังสือไว้ด้วย

"Exodia The Forbidden One"

ไม่ทันที่ผมจะลุกจากโต๊ะขึ้นเพื่อเก็บกระดาษแข็งแผ่นเล็กแผ่นนั้น   มือขาวสะอาดของใครบางคนก็หยิบมันขึ้นมาจากพื้นและยกดูใกล้ ๆ

"เทพ!"

ผมหลุดปากเรียกชื่อของชายหนุ่มซึ่งผมไม่เคยรู้จักออกมา   เมื่อสายตาของผมไล่จากมือเรียวยาวนั้นสู่ดวงหน้ารูปไข่  และจ้องลงไปในดวงตาสีสนิมพราวระยับนั้น

 "อ้าว  นัสรู้จักเราแล้วหรือนี่   อ่ะนี่ของนาย"

ผมรับกระดาษแผ่นเล็กอันมีภาพศีรษะของปีศาจที่ถูกโซ่ล่ามไว้จากมือของเขาโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  เพราะการที่พบกับใครซึ่งเพิ่งเข้าฝันเมื่อครู่นั้นยากที่จะทำใจให้เชื่อได้

 "นายเป็นใคร ?"

ฝ่ายตรงกันข้ามเกาหัวแกรกด้วยความงุนงง  "อ้าว  ก็เมื่อครู่ยังเรียกชื่อเราถูกเลย"

 "ไม่อ่ะ  เราเดาเอา"

 "เดาแม่นจริง     เราชื่อเทพ  หรือดั่งเทวา    อยู่ห้อง ม.4/1 "

เมื่อเขายังเห็นผมทำหน้างง  เขาจึงอธิบายเพิ่มเติม  "ก็ห้องเดียวกับนายนั่นแหละนัส"

ผมยังไม่หายเอ๋อ   ก็ไม่แปลกอะไรที่ผมจะจำใครรอบตัวไม่ได้เลย   เพราะว่าผมมักจะสร้างโลกส่วนบุคคลเพื่อเก็บตัวไว้ในนั้นคนเดียวเสมอ  นายเทพโบกมือให้ผมก่อนหันร่างเดินจากไป

"ยินดีที่ได้รู้จักนะนัส   แล้วเจอกัน"

ผมหยิบบัตรแผ่นนั้นเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อพลางหาวอย่างไม่ใส่ใจ  และซบศีรษะลงบนหนังสือเล่มเดิมอีกครั้ง    เหมือนจะหลับ  แต่ไม่...  สายตาของผมยังคงจ้องตามร่างสูงโปร่งที่เดินจากไปทางเบื้องหน้าอย่างสนใจ

                        เทพเหรอ   หน้าตาไม่เลว  นิสัยก็คงไม่เลว.....

และนี่  ก็เป็นการพบกันอย่างเป็นทางการครั้งแรกของผมกับเทพ    เด็กหนุ่มผู้สดใสร่าเริง  และขี้แกล้งจนน่าเตะ





โต๊ะตัวสุดท้ายทางมุมขวาของห้องมักจะถูกผมใช้เป็นที่นั่งประจำ  เนื่องจากว่ามันเป็นจุดที่มืดที่สุด   และห่างไกลจากผู้คนมากที่สุด  ผมเดินเข้าไปยังที่นั่ง  เผื่อพบกับใครบางคนยิ้มเผล่ให้จากที่นั่น

เทพนั่นเอง   เพียงไม่กี่ชั่วโมงเขาก็ถือสิทธิ์เข้ามายุ่มย่ามกับอาณาจักรส่วนตัวของผมแล้วงั้นรึ    มันจะมากเกินไปหรือเปล่า

ผมไม่ค่อยพอใจเขาเท่าใดนัก  จึงเปลี่ยนใจไปนั่งตรงกลุ่มโต๊ะตัวที่ว่าง ๆ ตัวอื่นแทน

              เทพเก็บยิ้ม  เขารวบเอาข้าวของบนโต๊ะ  และตามมานั่งข้าง ๆ ผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย    ผมทั้งฉิวทั้งขำกับการที่เขาถือวิสาสะเอามาก ๆ    แต่ด้วยความที่ผมขี้เกียจพูด  จึงได้แต่นั่งเงียบ ๆ  อยู่ที่โต๊ะตัวเดิม  และเปิดหนังสือการ์ตูนเล่มเดิมออกอ่าน       





เราทั้งคู่  ไม่ได้พูดอะไรกันแม้แต่ประโยคเดียวตลอดชั่วโมง ...

              คาบเรียนต่อมา    ผมนั่งกลุ้มอยู่กับที่อยู่เดิมของตนที่เพิ่มสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมเข้ามาอีกชนิด  นายเทพอีกแล้ว    ผมถอนหายใจด้วยความกังวล  เมื่อนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงตามรังควาญผมนัก   ความเงียบที่น่าอึดอัดครอบคลุมระหว่างเราทั้งคู่

ผมลอบมองเสี้ยวหน้าของเขาที่คร่ำเคร่งกับการจดเลคเชอร์   รู้สึกว่าเทพจะเป็นคนที่ขยันน่าดูเลยทีเดียว   ผมปรายตามองไปที่คิ้วโก่งดุจคันศร   ดวงตากลมรีคล้ายเมล็ดอัลมอลด์   และจมูกโด่งพอประมาณอันประดับอยู่บนดวงหน้านวลรูปไข่

ไอ้ตี๋นี่  หล่อไม่เบา

แต่ผมไม่ได้จ้องหน้าเขานานนัก  เพราะฝ่ายที่ถูกลอบมอง  กลับหันมาสบตาผม   ทำให้ผมต้องรีบก้มหน้างุดลงอ่านหนังสือในมือของตนเองอย่างไว้เชิง

คราวนี้เป็นรอบที่ผมต้องรู้สึกอึดอัดจากสายตาของใครบางคนที่นั่งข้าง ๆ บ้างเสียแล้ว     เมื่อไอ้เทพ  ไม่คิดจะปิดบังการจ้องมองอย่างสนอกสนใจที่มีต่อผมเลยแม้แต่น้อย         จนในที่สุด  ผมก็ทนไม่ไหว  และตวัดสายตาจ้องสวนกลับอย่างหาเรื่อง

"มองไร"

รอยยิ้มนั้น  เริ่มจากรอยบุ๋มที่ข้างแก้มทั้งสองของเทพ  ซึ่งค่อย ๆ บุ๋มลึกลงไปเรื่อย ๆ และลามไปทั่วดวงหน้าและดวงตา   กลายเป็นรอยยิ้มขบขันกว้างขวางอย่างจริงใจ

"ฮ่าฮ่าฮ่า   เดี๋ยวก็รู้"

ผมงี้โคตรหงุดหงิด  เมื่อหางเสียงท้ายของเทพตวัดสูงขึ้นอย่างน่าฉงน และน่าสนใจใครรู้  ว่าอะไร  คือสิ่งที่เขาว่าเดี๋ยวก็รู้   โชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่ทราบ  ที่ผมหัวอ่อนเกินกว่าจะต่อปากต่อคำอย่างที่ใจคิด    ผมจึงได้แต่ก้มใบหน้าลงทำสิ่งที่ทำค้างอยู่ต่อ  โดยพยายามอย่างเต็มที่  ที่จะไม่สนใจกับสายตาจาบจ้วงไร้มารยาทนั่น

"นัสเล่นการ์ดยูกิด้วยเหรอ ?"

คำถามแรกที่เขาเอ่ยปากถามในชั่วโมงนี้  สะกิดความสนใจจนผมต้องถามซ้ำอีกรอบ

"หา  ว่าไงนะ"

"นัสเล่นยูกิด้วยเหรอ  เมื่อเที่ยงเราเห็นนายมี        Exodia The Forbidden One"

ผมปรายตามองเขาอีกครั้งด้วยความไม่ไว้วางใจ   

 "นายเป็นสายของพวกสารวัตรนักเรียนหรือเปล่าน่ะ    เราจะบอกให้รู้นะ   การ์ดเกม  ไม่ใช่การพนัน  แค่เล่นสู้กันแล้วก็แพ้ ก็ชนะ  จบ  แค่นั้น "

"เออ  เรารู้อยู่หรอก  ว่ามันไม่ใช่การพนัน    นัสนี่ขี้ระแวงเป็นบ้าเลย"

ก็ระแวงน่ะสิ  ตั้งแต่ ผบ.นิรันดร์มีคำสั่งกวาดล้างการ์ดเกมทุกชนิด  โดยไอ้พี่ปองเป็นหัวเรือใหญ่ในการนำจับ   จนผมเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะเมื่อหัวเที่ยง  เฮ้อ  เด็กดีอย่างผมจะไปเกี่ยวข้องกับการพนันได้อย่างไรล่ะ

                                "น้องเราก็เล่น"

                                "แล้วไง"

เขาเอียงคอเล็กน้อยแล้วยักไหล่    ลักยิ้มของไอ้เทพนี่ยียวนเป็นชะมัด

                                   "ก็ไม่ไง.."

เราทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่ง     จนกระทั่งนายเทพเริ่มการสนทนาอีกครั้งเมื่อออดหมดคาบดังขึ้น

                                              "เราก็เล่นเป็นนะ   แล้ววันหลังจะมาเล่นด้วย"

เทพดึงกระเป๋าขึ้นสะพายหลังและลุกจากเก้าอี้    ผมกำลังตื่นเต้นที่จะมีเพื่อนในวงการเพิ่มอีกคน    ผมอยากจะถามเขาว่า  วันหลังน่ะเมื่อไหร่....

บางที  ถ้าผมรู้ว่า   วันหลังที่เขาพูดจะไม่มีวันมาถึงอีกเลยชั่วชีวิต  ผมอาจจะดึงแขนเขาไว้เดี๋ยวนั้นก็เป็นได้
แต่น่าเสียดาย  ที่มนุษย์ธรรมดาไม่อาจล่วงรู้ลิขิตฟ้า   จึงต้องปล่อยตนให้เป็นตัวหมากของเทพเจ้าแห่งโชคชะตาให้จับเดินเล่นตามใจชอบ

และบัดนี้  ใครบางคน  กำลังกลั่นแกล้งผมด้วยการจับตัวหมากของผม และเทพ  มาเดินในกระดานเดียวกัน..






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2008 15:30:50 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ ChiiCaLorz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
Re: หวังเทวา - [Magical Realistic Story]
«ตอบ #3 เมื่อ23-05-2008 22:35:53 »


มาเป็นกำลังใจให้คับ มาต่อเยอะๆนะ รออ่านอยู่ค๊าฟ  :o8:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1
Re: หวังเทวา - [Magical Realistic Story]
«ตอบ #4 เมื่อ23-05-2008 22:44:25 »

 :m4: :m4:
มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ :L2: :L2:
ตามอ่านต่อนะคะ :m1:

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
ที่ตัดสินไม่ได้ว่าควรจะเป็นอะไรใช้สีครามเขียว

คุณ ChiiCaLorz, คุณ romaneeya  ขอบคุณมากคร้าบ  ดีใจมีคนมาอ่านตั้งสองคน  แหะแหะ  ^ ^
พระเอกชื่อแปลกนิดหนึ่งนะครับ  ชื่อ  ธ มนัส (ทะ-มะ-นัด)  แปลว่าหัวใจแห่งราชา หรือหัวใจแห่งผู้เป็นใหญ่
ส่วนเพื่อนพระเอกชื่อ  ดั่งเทวา  ออกแนวลิเกนิดนึง  ความหมายก็ตรงตามชื่อ  อิอิ






 
ดอกทองกวาวสีแสดร่วงโปรยลงเกลื่อนทางเดินกว้างอันทอดยาวเข้าสู่ตัวโรงเรียน    เสียงกระซิบกระซาบของสายลมแห่งฤดูหนาวล้อผ่านซอกใบไม้  ผสานกับเสียงเฮฮาของเด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่หลายกลุ่มกลางสนามบาสข้างทางเดิน  ถูกผมลงความเห็นว่า  'เอะอะวุ่นวาย'

ผมกระชับกระเป๋าให้แนบชิดกับหลัง   กระเป๋าของผมค่อนข้างหนัก  เพราะเตรียมหนังสือเรียนทุกวิชา  ซึ่งผมไม่คิดแม้แต่จะหยิบออกมาอ่าน    แสงแดดอุ่น ๆ ยามเช้าไล่ระตามซอกคอและผิวเนื้อตรงแขนส่วนที่อยู่นอกร่มผ้า มันคงจะแผดกล้าเผาผมให้ร้อนรนราวกับถูกย่างสดกลางสนามในเวลาไม่นานนัก   

"นัส  เฮ้  ไอ้นัส" 

ใครบางคนกำลังเรียกผม   และถ้าผมเดาไม่ผิดล่ะก็.... 

         "อะไร     กรรม์   เรียกอะไรแต่เช้า" 

หนุ่มน้อยร่างใหญ่ตาตี่ ๆ    ผิวออกสีน้ำตาลจาง ๆ   นั่งถือแผ่นกระดาษแข็งเรียงเป็นรูปพัดในมือ   เขานั่งอยู่บนม้าหินอ่อนบนพื้นยกระดับเหนือเอวจากถนนข้างโรงยิมขนาดใหญ่ 

ผมยิ้มบาง ๆ ให้เขา  แล้วก้าวขึ้นตามบันได  เพื่อไปสู่ม้าหินอ่อนนั้น

กรรม์เหยียดยิ้มเครียด ๆ   ซึ่งผมมักจะมองว่าไอ้หมอนี่ขี้เก๊กชิบ  เสียงแหบพร่าของหนุ่มวัยกำลังแตกพานอธิบายถึงเหตุผลที่เขาเรียกผมมา 

          "เนี่ย  เราได้การ์ดมาใหม่    พอดีพี่ที่ไปญี่ปุ่นซื้อมาฝาก"

                       "ไปซื้อทำไมที่ญี่ปุ่น  ใช้ของก๊อปดีกว่า เงินตราไม่รั่วไหล"

             "โธ่เอ๊ย  ไอ้นัส  ทำเป็นพูดดีไป   แกก็ใช้ของนอกเหมือนกันล่ะวะ"

 ผมได้แต่หัวเราะหึหึ ในลำคอ   เมื่อกรรม์พูดได้จี้ใจดำ 

                              "นัส  Exodia The Forbidden One  แกขาดส่วนขาซ้ายใช่มะ"

   นัยน์ตาของเพื่อนผมเป็นประกายพิกล 

                          "อ่ะใช่  แล้วไง"

                                        "งั้นดูนี่     แอ่นแอ๊น..."

 เขาค่อย ๆ เปิดมือออก  และเลื่อนการ์ดที่บังการ์ดอีกใบ     ผมสูดหายใจลึกยาวด้วยความตื่นเต้น  เมื่อเห็นของสะสมที่ผมตามหามานานเพื่อให้ครบชุด  อยู่ในมือของกรรม์

                                    "เฮ้ย   หามาได้ไง" 

                         "ฮั่นแน่ะ    อยากได้ใช่มั้ยล่ะ" 

ผมพยักหน้ารัวเร็ว    ผมรู้ว่าอย่างไรกรรม์ก็ต้องให้ผมอยู่แล้วแน่ ๆ  เพราะเขาขึ้นชื่อเรื่องความใจป้ำมาก

                         "งั้นวันอาทิตย์เจอกันที่บ้านเรา   มีอะไรดี ๆ ให้ดู"

                                    "ok  ได้เลย   มาสักตามะ  ก่อนเข้าแถว"

 กรรม์เก๊กยิ้มรับ  ก่อนหยิบกองการ์ดมาสับให้เรียงสุ่ม   และเริ่มกระบวนการเล่น

ผมแทบจะไม่ต้องห่วงเรื่องสารวัตรนักเรียนเลยเมื่ออยู่กับกรรม์   เพราะเขาค่อนข้างนักเลง ๆ   หรือเรียกอีกอย่างว่าขาใหญ่    เราสองคนแตกต่างกันมาก   กรรม์  เล่นกีฬาเก่ง  ชำนาญวิธีการต่อสู้ประชิดตัวแบบคอมมานโด   ซึ่งเขาก็เคยถ่ายทอดให้ผมท่าสองท่า     ขณะที่ผมค่อนข้างอ่อนแอ     และไร้พรสวรรค์ทางด้านกีฬาอย่างถึงที่สุด    ผมคิดว่า  สาเหตุที่ทำให้เรามาเป็นเพื่อนกันได้  ก็คงเป็นเพราะมีความชอบในเกมการ์ดชนิดเดียวกันกระมัง

                            "ปีหน้า  เราจะไปอเมริกา"

 คำเปรยโดยไม่มีปี่ขลุ่ยของกรรม์ทำให้ผมตกใจจนแทบตกเก้าอี้

                                 "หา!" 

                        "เราได้เข้าโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนน่ะ   ก็เลยต้องไปอยู่ที่โน่นสักพัก"

              "นัส   เราเป็นห่วงแกว่ะ     อยากให้แกมีเพื่อนสักคนนอกจากเรา.."

 ผมหลบสายตาของเขาที่จ้องมองมา   เพราะกรรม์มักจะทำตัวเป็นองครักษ์ให้ผมเสมอ   คอยปกป้องผมจากพวกชอบหาเรื่อง   ที่อยากทำคนไม่มีทางสู้แบบผม 

ช่วยไม่ได้  ก็ผมมันอยากอ่อนแอเองนี่...    แต่จะว่าไป   ก็ไม่รู้ว่าที่กรรม์คอยช่วยผมตลอดนั้น   เป็นเพราะว่าเขาถือว่าผมเป็นเพื่อนรักของเขาจริง ๆ  หรือว่าเพียงเพราะสำนึกผิด  ที่ครั้งแรกที่เราพบกัน  เขาก็ทำผมจนเกือบเป็นเจ้าชายนิทราเสียแล้ว 

ผมคงคิดมากเกินไป  เพราะจวบจนถึงวันนี้   กว่าสามปีมาแล้ว  ที่เขาก็ยังเป็นเพื่อนผู้แข็งแกร่ง  พร้อมเป็นแรงหนุนไม่ว่าในด้านพละกาย  หรือกำลังใจ  ให้ผมตลอดมา 

ทำให้  ความจริงที่ว่า  ผมต้องมีชีวิตอยู่ตัวคนเดียวโดยปราศจากเขา  เป็นเรื่องที่ค่อนข้างโหดร้าย

                    "เราก็มี...  เพื่อนร่วมห้องไง" 

           "หึหึ  ไอ้พวกนั้นน่ะเหรอ  แกยังนับพวกมันเป็นเพื่อนอีกเหรอวะนัส"

                  "ไม่รู้ดิ   อย่างน้อยก็อาจ...จะมีสักคนนึง"

 ใบหน้ายียวนของเทพลอยเด่นขึ้นมาในห้วงสมอง   ผมชักเกลียดตนเองที่ไปประหวัดนึกถึงจอมกวนรายนั้น

              "แกมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วไอ้นัส"

                "ไม่หรอก  เราว่าเรามองโลกในแง่ร้ายกว่าใครนะ"

           "แกไม่เคยเกลียด  ไม่เคยโกรธ  ไม่เคยคิดจะแก้แค้นไอ้พวกที่เคยกลั่นแกล้งแกเลยแม้แต่น้อย  เนี่ยเหรอ  มองโลกในแง่ร้ายของแก      เราอยากรู้จริง ๆ ว่ะ  ...ทำไมแกถึงยังยิ้มได้อยู่ฮึ นัส"

 ผมหลุบตาลงต่ำ  และจัดการรวบรวมกองการ์ดอันกระจายเกลื่อนโต๊ะให้รวมกอง  และเก็บใส่กล่องพลาสติกอันสำหรับไว้จัดเก็บการ์ดพวกนี้โดยเฉพาะ 

                  "ไปกันเถอะ    ใกล้เวลาเข้าแถวแล้ว    ไว้เจอกันตอนเที่ยงนะกรรม์"

 ผมคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายหลัง  และรีบสาวเท้าจากไป     ทว่า   คำถามสุดท้ายจากกรรม์ทำให้ผมต้องหยุดชะงัก

         "ทำไมแกถึงไม่ตอบ..."

 ผมสูดลมหายใจลึกอีกครั้ง 

             "เพราะว่าแม้แต่เราเอง   ก็ยังไม่ทราบคำตอบที่นายถาม   ..แล้วเจอกัน"

 ไม่ต้องหันไปมอง  ผมก็รู้ดีว่ากรรม์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม  และมองตามเงาหลังของผมด้วยความครุ่นคิด  ผมกระตุกรอยยิ้มเฉยชาดุจหน้ากากมาสวมใส่อีกครั้ง  เมื่อเสี้ยวหน้าของตนพ้นจากเงาของอาคารมาสู่โลกอันมีแสงตะวันสาดส่องไสวเบื้องนอก





เสียงลากยานของป้าแก่แห่งวิชาประวัติศาสตร์ชวนให้ง่วงเป็นบ้าเช่นทุกวัน    ผมปิดปากที่หาวกว้างจนเห็นลิ้นไก่สีเนื้อภายในปาก   พร้อมกับพ่นลมออกมาด้วยความเซ็งในอารมณ์   เสียงปากกาขีดแกรก ๆ กับกระดาษเนื้อดีข้าง ๆ ทำให้ผมอดที่จะเหลือบมองไอ้คนนั่งข้างไม่ได้   จะว่าไป  ผมก็ชักชินเสียแล้วล่ะที่นายนี่นั่งเป็นสากหินอยู่คู่กับผมที่หลังห้องอยู่เสมอ

เขาเหยียดยิ้มอีกแล้ว..  เมื่อพบว่าผมเป็นฝ่ายลอบมองเขาก่อน

ผมขมุบขมิบปากเจริญพรเขาในใจ  แต่ก็น่าแปลก   ถ้าผมรำคาญเขาจริง ๆ  ผมก็คงจะหนีไปเรื่อย ๆ ได้แท้ ๆ   แต่ดูเหมือนเทพจะมีความลึกลับน่าค้นหา  และน่าสนใจอย่างประหลาด  จึงทำให้ผมต้องยอมทนถูกเขากวนประสาทด้วยสงครามเย็นอยู่แบบนี้

เอ  หรือจะเป็นการจีบมาเป็นเพื่อนแบบใหม่ที่ไม่เคยลงบันทึกไว้ในกินเนสต์บุ๊คมาก่อน   เอาเหอะ  อย่างไรผมก็ต้องคอยดูต่อไป   คนหล่อ ๆ น่ารัก ๆ อย่างนายเทพนี่  ยังไงก็น่าอยู่ใกล้  ฮ่า ฮ่า ฮ่า

                 “ขอยืมปากกาแดงหน่อยนะ”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบประโยค  ปากกาแดงของผมก็อันตรธานไปปรากฏในมือของเทพทันใด    ให้ตายสิ  ไอ้หมอนี่ถือวิสาสะเป็นบ้า

                   “ทีหลังไม่ต้องขอก็ได้นะ  หยิบได้ตามสบายเลย”

                            “ไม่ได้หรอก   เราต้องพูดตามมารยาท”

ชิชะ  มันยังไม่รู้ว่าผมประชดอีก

                 เทพขีดเส้นลากจบบรรทัดเสร็จแล้วจึงคืนไว้ที่เดิม

                                                “ขอบคุณครับ”    ผมขอบคุณมันเพื่อประชดอีกรอบ

                         “ไม่เป็นไร”

แน่ะ  มันยังรับมุกอีก     ฮึ้ย  ไอ้หมอนี่

                                   “ทำไมนัสไม่จดบ้างล่ะ  เห็นนั่งอ่านแต่การ์ตูนทั้งวัน”

                                           “เราจำได้  เลยขี้เกียจจด”

                            “จำได้แน่เร้อ   งั้นติวให้เราหน่อยดิ๊”

หางเสียงลากสูงอย่างไม่เชื่อ  และประโยคท้ายก็ท้าทายกันเห็นเห็น

                                            “ติวตัวต่อตัวน่ะหรือ ?”

  เทพเอื้อมแขนข้างขวามาโอบถึงไหล่ผมอีกข้างพร้อมกับยื่นใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมเพื่อกระซิบ

                             “อืม   เราอยากรู้  ว่านัสจะแน่สักแค่ไหน”

ผมสะดุ้งเมื่อแขนของเขาวางบนไหล่   ประสบการณ์ไม่ดีบางประการ  ทำให้ผมกลัวการถูกเนื้อต้องตัวจากผู้อื่น  ผมค่อย ๆ เบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของเขาอย่างสุภาพ  ปากก็ตอบไป

                           “เราไม่แน่หรอก  ที่บอกว่าจำได้ก็โม้ไปงั้น ๆ”

แววตาเยาะ  ถูกส่งจากนายเทพชั่ววูบหนึ่ง  ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงจดเลคเชอร์ต่อ   และในขณะนั้นเอง  อาจารย์ก็เอ่ยปากถามขึ้นมา

                    “นักเรียนรู้มั้ย  เหตุใดรัชกาลที่ห้าจึงถูกขนานนามว่า พระปิยะมหาราช”

ทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง  ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งก่อนที่จะมีผู้กล้าลุกขึ้นมาตอบ  คำถามพวกนี้  ส่วนใหญ่ผมก็รู้คำตอบดี  และเชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนก็ทราบ  ทว่า  มักจะไม่ค่อยอยากตอบกัน  เพราะจะเป็นจุดเด่นเกินไป   แต่วันนี้  ไม่รู้อะไรดลใจให้นักเรียนหลังห้องอย่างผมยกมือขึ้นเพื่อขอตอบคำถาม

อาจารย์พยักหน้าให้ก่อนที่ผมจะลุกขึ้นจากเก้าอี้    ปรายตามองเทพซึ่งจ้องมายังผมด้วยความสนอกสนใจเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ภายในห้อง

             “ครับ   พระปิยะมหาราช   หมายถึงมหาราชาผู้เป็นที่รักของปวงชน  เนื่องจากคุณานูปการในพระราชกรณียกิจของพระองค์  เช่นการเลิกทาส  การจัดตั้งสภาแผ่นดินสองสภา   การปฏิรูปการศึกษาโดยจัดตั้งโรงเรียนระบบใหม่   จัดตั้งศิริราชพยาบาลเป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของประเทศไทย  จัดตั้งกรมไปรษณีย์   สร้างทางรถไฟหลวงสายแรกแห่งประเทศไทย...”

                         “พอ ๆ   เอาล่ะ  ปรบมือให้นายธ มนัสหน่อย”

เสียงปรบมือดังมาจากทั่วห้อง  ทว่าคนข้างๆ ผมกลับนั่งด้วยท่าทางเนือยๆ ราวกับว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆ 

                 “เก่งนิ    แต่น่าเสียดาย  ยังสรุปความได้ไม่ดีนัก”

ผมรู้สึกแทบอยากจะฆ่าคนข้าง ๆ  เพราะมันก็ยังไม่วายกัดนิด ๆ หน่อย ๆ    แต่ด้วยนิสัยรักสงบผมจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และเปิดการ์ตูนหน้าที่อ่านค้างอยู่  เพื่ออ่านต่ออย่างไม่ใส่ใจ










   “ไปกินข้าวด้วยดิ”

        “หา!”

             “ไปกินข้าวเที่ยงด้วยดิ”

ผมแทบจะไม่เชื่อหู  เมื่อจอมกวนคนนั่งข้างถามผมแบบนั้น

                                       “วันนี้เราไม่กิน  ไม่หิวอ่ะ   นายไปคนเดียวเหอะ”

                   “ฮ่าฮ่า  อย่าโม้น่า   เห็นนัสห่อข้าวมากินทุกวัน    วันนี้ไปกินกับเราที่โรงอาหารหน่อยจะเป็นไรไป”

                                    “ไม่อ่...”

                        “ไม่ปฏิเสธใช่มั้ย  เราถือกระเป๋าให้นะ    รีบตามมาล่ะ”

เทพคว้ากระเป๋าของผมขึ้นพาดหลังแล้วก้าวยาว ๆ ออกไปล่วงหน้าทันที   ผมโมโหจนแทบควันออกหู  เมื่อมันมาทำเหมือนบังคับกันกลาย ๆ

                                        “ให้ไว นัส เดี๋ยวไม่มีโต๊ะว่าง”

แต่ดวงตาพราวระยับ  รอยยิ้มสดใส และลักยิ้มน่ารักตรงข้างแก้มทำให้ผมโกรธเขาไม่ลง   จำต้องลากร่างตามเขาไปอย่างเชื่องช้าแทน

                           “นายนี่อืดอาดเป็นบ้า”

เทพตบหลังผมด้วยกระเป๋าของผมเองในมือ  จนผมเซแทบล้ม

                                      “เฮ้  นายทำอะไรเพื่อนเรา”

เสียงแหบห้าวของคนที่ผมรู้จักดีดังมาจากใต้อาคาร   เมื่อกรรม์เห็นถนัดว่า กระเป๋าของผมอยู่ในมือของเทพ  และเขาก็กำลังผลักผมอยู่

ผมคว้ากระเป๋าคืนจากนายเทพ  และช่วยแก้ต่างให้เขา

                                 “ป่าว  นี่เทพ  เพื่อนเราเอง”

               กรรม์ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ และหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด          “อืม  แล้วนี่จะไปไหนกันล่ะ”

เทพยิ้ม  แต่ไม่ตอบคำถาม  ร้อนถึงทูตสันถวไมตรีจำเป็นอย่างผมต้องกล่าวแทนอีกครั้ง   

            “กำลังจะไปกินข้าวกันน่ะ   กรรม์ไปด้วยกันป่ะ”

                      “ไม่หรอก   เรากินแล้วน่ะ   นัส  อย่าลืมนะเว้ย วันอาทิตย์”

คราแรก  ผมคิดว่าบุคลิกยียวนกวนส้นตรีนของเทพจะทำให้กรรม์เขม่นเสียอีก   แต่น่าแปลก  ที่ทั้งคู่ดูเหมือนเข้ากันได้ดี

                                   “เออ  ไม่ลืมหรอก  แล้วเจอกัน”

เมื่อกรรม์เดินเลี่ยงไปอีกทาง  ผมก็ทำท่าจะแยกตัวออกไปจากเทพบ้าง

                                                    “เดี๋ยวสิ  จะไปไหนน่ะ นัส”

เทพคว้าแขนผมไว้ในทันที...

                    “ไปกินข้าว”

                  “โรงอาหารไปทางนู้น  ไม่ใช่ทางนี้”

                           “เฮ้ย  เราพูดสักคำหรือเปล่าว่าเราจะไปกินที่โรงอาหาร”

           “เอ๊ะ”   เทพเอียงคอมองอย่างน่าหมั่นไส้  “เมื่อครู่นายก็ยังบอกกับเพื่อนของนายเลยว่า จะไปโรงอาหารกับเรา   เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านโกหกไม่ดีนะคร้าบ”

            “เพราะฉะนั้น”   กระเป๋าถูกบังคับปลดจากมือผมอีกครั้ง   “ตามเรามาเหอะน่า”

เทพยิ้มน่ารักอีกแล้ว  ยิ้มแบบที่เหมือนกับรู้ว่าผมไม่สามารถปฏิเสธเขาได้

  โต๊ะหินกลมใต้ร่มไม้  ซึ่งนั่งไว้ด้วยผู้คนกลุ่มหนึ่ง   ผมรู้สึกคุ้นตาพวกเขาอย่างบอกไม่ถูก  จนกระทั่งเทพพาผมเดินเข้าไปใกล้

                         “ไงเทพ  ไงนัส มากินข้าวกัน”

ผมตีสีหน้าเอ๋ออีกแล้ว  เพราะความประหลาดใจที่ผมไม่รู้จักพวกเขาแต่พวกเขากลับรู้จักผม

          “อืม   ป่องป๊อง  เขยิบหน่อยสิ”

ผมรู้จักชื่อเพิ่มอีกคน  คือคนที่ทักผมเมื่อครู่  เขาตัดผมทรงรองสั้นเกรียน  โชว์ศีรษะรูปไข่โดดเด่น

เทพผลักผมให้นั่งลงกับเก้าอี้หินอ่อนอันล้อมรอบวงนั้น   ผมก้มหน้างุดหลบสายตาของทุกคนที่จ้องมองมาจากรอบ ๆ ด้าน

        “สวัสดีนัส”     เสียงลากยานคางจากหนุ่มร่างอวบฝั่งตรงกันข้ามเรียกให้ผมตอบกลับด้วยเสียงเบาหวิวไม่แพ้กัน

                                        “อืม  สวัสดี”

                       “เรา  เสนานะ  ถ้านายจำได้  พวกเราทุกคนอยู่ห้องเดียวกับนายหมด”

ผมถึงค่อยเงยหน้าขึ้นและสังเกตแต่ละคน  ฝั่งตรงข้ามผมคือเสนา  และคนที่ติดกับเสนา  ผมว่าผมจำได้  เพราะเขาค่อนข้างโดดเด่นในห้องพอสมควร

       คนที่นั่งข้างเสนียิ้มให้ผม   มีคนเคยว่าใบหน้าของนายนี่คล้ายกับดาราเกาหลี  เขาจึงได้ฉายาว่า คิม แทนชื่อเล่น   แต่ผมว่าเขาหน้าเหมือนเด็กญี่ปุ่นมากกว่า   เพราะผิวบางขาวอมชมพูกับดวงตาตี่ภายใต้คิ้วหนาดก   และริมฝีปากบางแดงระเรื่อเหมือนกลีบดอกไม้สด

คิม   ล้วงกระเป๋าเสื้อ  และคว้าแว่นสายตากรอบรีอันเล็กมาใส่  เพื่อที่จะได้มองเห็นผมชัดขึ้น

              “นายคือ คิม..”

คิมยิ้มรับอย่างร่าเริง  เสียงของเขาซึ่งแหบคล้าย ๆ เป็ด  คงจะเป็นเพราะยังคุมเส้นเสียงได้ไม่ดีนัก

                         “ใช่  นัส  คาบที่แล้วนายเจ๋งมาก”

ดูท่าคิมจะเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้ความสามารถก่อนอย่างอื่น   แต่ก็ไม่น่าแปลกอะไร  เพราะตัวเขาเองนั้นเป็นกลุ่มเด็กหัวกะทิโครงการช้างเผือกของโรงเรียน    โดยวิชาที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดคงจะเป็นชีววิทยา

        “เราชื่อเพรียงพร้อม”     น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลจากคนข้าง ๆ   เรียกให้ผมหันไปพบกับดวงหน้าซึ่งยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจ    ผมกลืนน้ำลายลงคอนิดหน่อย  เมื่อพบว่า  พวกที่นั่งล้อมหน้าล้อมหลังของผมอยู่ในตอนนี้  คือ จตุราชาแห่งห้องคิงส์ของโรงเรียน

   “นัส  เอาข้าวออกมากินสิ  เดี๋ยวหมดคาบพักเที่ยง”   เทพเร่งผม  เมื่อเห็นผมยังอิดเอื้อนอยู่

“เพื่อนๆ  เราไปโรงอาหารก่อนนะ  ฝากนัสด้วย”       โหย  ดูมัน  สั่งเสียยังกับฝากดูแลสัตว์เลี้ยง

ผมจึงจำต้องเอากล่องข้าวที่แม่ห่อให้มาเป็นอาหารกลางวันออกมาอย่างเสียไม่ได้    ตอนนั้น  สิ่งนี้เคยเป็นปมด้อยของผมอย่างยิ่ง  ที่ครอบครัวไม่ยอมให้ซื้ออาหารจากแม่ค้าที่โรงเรียน  แต่เมื่อคิดได้  ผมก็รู้สึกภูมิใจมาก  ที่ได้รับประทานอาหารผสมความรักความห่วงใยของมารดาในทุก ๆ วัน




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2008 08:55:11 โดย Kirimanjaro »

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
ที่ตัดสินไม่ได้ว่าควรจะเป็นอะไรใช้สีครามเขียว







บทที่ ๒




               "เทพครับ..."

                             "หืม.."

                  "เมื่อไหร่เราจะได้เจอกัน ?"

            "เอ้า  เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ"

"พูดจาเหมือนคนเหลวไหลเลยนะเทพ"

              "เราเคยบอกนายแล้วไง   ชะตากรรมก็เหมือนลม  พัดเราให้มาพบกันได้  ก็พัดให้เราแยกจากกันได้  สักวัน  เมื่อลมเปลี่ยนทิศ  เราก็อาจจะได้เจอกัน"


  ผมถอนหายใจพร้อมกับกระดกเครื่องดื่มรสขมในกระป๋องประทับลายสิงห์ให้ล่วงเข้าสู่คอหอย   เสียงน้ำทะเลซัดมาซู่ซ่าจากเบื้องล่างผา  เสียงของเทพค่อย ๆ จางไปจากความทรงจำทุกที  เหมือนกับรอยคลื่นบนหาดซึ่งค่อย ๆ เลือนหายไปเรื่อย ๆ ในทุกคราที่น้ำซัดเข้าหาฝั่ง

ผมยื่นมือออกไปเบื้องหน้าในระดับสายตา  ลมทะเลหวีดหวิดพัดพรูผ่านซอกนิ้ว   ผมจับจ้องที่มือของตนเอง  เพื่อรอ...
รอว่าเมื่อไหร่ลมจะเปลี่ยนทิศ....

กระป๋องในมือถูกกระดกขึ้นจ่อกับปากอีกครั้ง  แต่ครั้งนี้  มือแกร่งอีกข้างกลับรั้งมันไว้

                     "พอเหอะนัส  อย่าดื่มอีกเลย"

ใครบางคนที่เป็นห่วง  ใครบางคนที่อบอุ่น  ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม    เขาค่อย ๆ ไล้ปลายนิ้วปาดน้ำตาที่เปรอะข้างแก้มของผมออกเบา ๆ

                           "พี่แนค  ผมลืมเค้าไม่ได้  ผมขอโทษ...ผมไม่ควรจะได้รับความรักจากพี่"

                    "ร่าเริงไว้ไอ้น้อง     ไม่ว่าอะไรที่นัสอยากได้  ไม่ว่าใครที่นัสต้องการ  พี่ชายคนนี้พร้อมเสมอที่จะเป็นกำลังหนุนให้น้องชายสุดที่รัก"

ผมก้มหน้านิ่ง   กระป๋องในมือตกลงไปที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้   ทรายสีขาวละเอียดกระเซ็นสาด  เมื่อชายที่อยู่ข้างหมุนตัวจะเดินจากไป

                       "เดี๋ยวพี่หาน้ำผลไม้มาให้ดื่ม   จะได้ไม่เมาค้างไง"

          "พี่แนค"      มือของผมไขว่คว้าอีกมือของอีกคนไว้

                                                "อย่าเพิ่งไปครับ  อยู่เป็นเพื่อนผม..."

ผู้ถูกเรียกชะงักเท้า       เขาคุกเข่าลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าและยกมือข้างที่ผมยุดไว้มากุม  และจุมพิตลงบนปลายนิ้วเบา ๆ

"พี่อยู่เป็นเพื่อนเราได้เสมอนั่นล่ะ   พร้อมที่จะคอยตลอดชีวิต     หัวใจของนัสจะโบยบินไปไหน  จะรักใครก็ได้  แต่พี่   จะเตรียมหัวไหล่ไว้ให้ซบยามที่นัสเหนื่อยกลับมาเสมอ"

ทำไมกันนะ  ยิ่งผมฟังข้อความนี้ผมก็ยิ่งเศร้า   ทำไมผมถึงไม่สามารถที่จะดีพอให้ได้เสี้ยวหนึ่งของความรักของเขาเลยแม้แต่น้อย

สายลมพัดพรูมาอีกวูบหนึ่ง  ในมุมที่แตกต่าง

                                   .......และนั่น  ผมก็รู้สึกได้ว่า     สายลมกำลังเปลี่ยนทิศ



สายตาของเราทั้งคู่ถูกดึงไว้ด้วยเครื่องมือสื่อสารชิ้นเล็กบนโต๊ะ     มันส่งเสียงเพลงที่ผมจำเนื้อไม่ได้แล้ว
ผมเอื้อมมือคว้ามันมาดูด้วยใจเต้นระทึก   และยิ่งหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นเบอร์ของคนโทรมา
ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกดรับสาย  พี่แนคยิ้มให้แล้วลุกขึ้นถอยออกห่างอย่างเงียบ ๆ

                               "ไง  เทพ  สบายดีมั้ย   งานเป็นไงบ้าง"

ผมพยายามปั้นเสียงร่าเริงที่สุดกรอกลงไปในสาย  ด้วยหวังว่าเสียงที่ตอบรับกลับมาจะสดใสไม่แพ้กัน
                        ทว่า...คนอีกฟากกับตอบรับด้วยน้ำเสียงเนือย ๆ ไร้ชีวิตชีวา

                             "อืม  ก็คงงั้นมั้ง   ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน  เราไปหาได้มั้ย ?"

                   "เราอยู่บังกะโลเก่าหัวหิน  เฮ้ย  จะมาจริง ๆ น่ะเหรอ   จากกรุงเทพมันไกลนะเว้ย"

สายหลุดไปแล้ว  เหลือเพียงเสียงสัญญาณ ตื๊ด ๆ ดังไม่หยุด

            ผมเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์   เพื่อพบกับเงาร่างของพี่แนค  ซึ่งอาบย้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามตกดิน  เขาหันหน้าไปทางทะเล  ที่ซึ่งประกายคลื่นล้อแสงสนธยาจนเป็นประกายทองอร่าม

                    "พี่ต้องกลับแล้วล่ะ..."

เขากล่าวโดยไม่หันหน้ากลับมา         "ดูแลตัวเองด้วยนะเรา   อย่าดื่มมากนัก  แล้วอย่านอนดึกด้วย  เดี๋ยวโทรมพอดี"

ผมอยากจะโผเข้าไปกอดร่างนั้นเป็นที่สุด   แต่สิ่งที่ผมทำเพียงแต่ฝืนยิ้มและไม่ปล่อยคำพูดใด ๆ เล็ดรอดออกมา

"โชคดี  แล้วเจอกัน"   

ผมมองเงาร่างเดียวดายนั้นเดินจากไปตามแนวชายหาดจนลับตา   ผมทำถูกหรือทำผิดกันแน่  ที่ปล่อยให้คนที่รักผม  และผมก็รักเขาจากไปแบบนี้...         
                               เพื่อแลกกับ...
                                  โชคชะตาของสายลมที่หาความแน่นอนไม่ได้....













อะไรบางอย่างกำลังสั่นเขย่าอยู่บนหัวไหล่ของผม   มือของใครบางคนที่พยายามยื้อยุดผมออกจากโลกแห่งนิทรา

                "นัส  ตื่น    อาจารย์มองแล้ว"

เทพนั่นเอง  เขาเขย่าหัวไหล่ผมด้วยมือขวา  และก้มหน้าลงมาใกล้ผมจนแทบจะมองเห็นขนตาทุกเส้นของเขา
สายตาของเขาเหลือบจ้องไปเบื้องหน้า   และเมื่อผมมองตาม  ป้าแก่หน้าตาบูดบึ้งก็รออยู่อีกปลายแห่งครรลองจักษุแล้ว   ผมยันกายขึ้นมาจากท่าหลับนกชนิดขี้เซาพิเศษ  และพยายามเปิดหนังสือประวัติศาสตร์ด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง  จนกระทั่งสายตาสยองนั้นละไปจากผมจนได้

                            "ขี้เซาจริง  เมื่อคืนไปทำอะไรมาดึกนัก"

ผมไม่ตอบในปาก  แต่ผมตอบในใจ

                                                                            มัวแต่คิดถึงนายน่ะสิ   

อ๊ะอ๊ะ  ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด  ผมเพียงแต่สับสนและกังวลกับท่าทีของคนที่ยังไม่แน่ใจในจุดประสงค์ของการเข้าประชิดของเขา  และงุนงงกับผู้คนกลุ่มใหญ่ที่สุดเท่าที่ผมเคยทำความรู้จักพร้อม ๆ กันในชีวิต

ผมมองไม่เห็นประโยชน์อะไรที่เทพจะได้จากการเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตของผม  ทว่า  ครั้งนี้เขากลับยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่           คนที่คล้ายปล่อยตัว  ลอยชาย  ขี้เล่น  ขี้แกล้ง   กลับมีกลุ่มเพื่อนแวดล้อมไปด้วยระดับหัวกะทิ  มันน่าแปลก  และยิ่งน่าค้นหา   อย่างน้อย   พวกป่องป๊อง  คิม  เสนา  และเพรียงพร้อมเอง  ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่พวกเก่งแล้วเห็นแก่ตัวหรือดูถูกคนอื่นแต่อย่างใด    ผมเองก็เลยไม่ลำบากใจอะไรที่จะทำความรู้จักเอาไว้

                              "เหม่ออะไรอ่ะ  ถามแล้วก็ไม่ตอบ"

คราวนี้ถึงตาผมที่จะยิ้มอย่างสมใจแล้ว  ในเมื่อสบช่องแก้แค้น      ผมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและก้มลงอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น  ทว่า  ท่าทีของคนข้าง ๆ กลับทำให้ผมร้อนเสียเอง

              เทพเองก็จดเลคเชอร์ต่อ  เสมือนกับว่าลืมไปแล้วว่าถามอะไรออกไป

                        "เอ้า  ไม่อยากรู้เหรอว่าเมื่อคืนเราทำอะไรอยู่ดึก"

เทพหันมายิ้มให้   ยิ้มเหมือนจะน่ารักนะ  แต่ผมว่ามันดูน่ากลัวยังไงไม่รู้

                            "หึ  ไม่อยากหรอก  ถามไปงั้น ๆ เอง  พอดีปากมันว่าง   ไม่ได้เคี้ยวเอื้องอยู่นิ"

            "ถ้านายไม่อยากเราจะเล่าให้ฟัง"               

                                 "เล่ามาก็ฟัง  ไม่เล่าก็ไม่ฟัง"   

                                          "เออ ดี     คือว่านะ  เมื่อคืน..."

ผมกำลังพยายามคิดเรื่องโม้ให้น่าสนใจอยู่พอดีเชียว ว่าเมื่อคืนผมทำอะไร    พอดีกับที่ว่า  เสียงจากป้าแก่ดังมาจากหน้าห้อง   

         "นี่  นายดั่งเทวา  นายธ มนัส   ถ้าไม่อยากเรียนก็ออกไปนั่งข้างนอก  อย่าส่งเสียงรบกวนเพื่อน ๆ ในห้อง"

ได้ผล..  เราทั้งคู่เงียบกริบลงทันที  และทำท่าทางเหมือนกับว่ากระตือรือร้นต่อการเรียนอย่างเต็มที่  แต่ในใจผมน่ะสิ  รู้สึกหน้าชาไปเลย  เพราะคนในห้องหันมาลอบมองเราทั้งคู่อยู่บ่อย ๆ      ขณะที่เทพยังทำท่าสบายอารมณ์  และไม่ลืมที่จะหันมาเลิกคิ้วหนึ่งข้างด้วยมาดกวนประสาทให้ผมอีกด้วย

  ผมกุมหัวด้วยความปวดกะโหลก   แต่กระนั้นเอง  ผมก็ยังไม่มีความคิดที่จะกำจัดหมอนี่ออกจากวงจรชีวิตเลยแม้แต่น้อย    ..ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน





               
                            "นัส  เป็นอะไรหรือเปล่า    ดูเหม่อ ๆ พิกล  หน้าก็ซีด ๆ"

กรรม์ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามผมเอื้อมมือข้ามโต๊ะอันเกลื่อนไปด้วยการ์ดยูกิ    มาสัมผัสหน้าผากผมเบา ๆ เพื่อวัดอุณหภูมิ   แต่นั่น  กลับทำให้ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ

                       "เออะ  โทษที  ลืมไปว่านาย..กลัว"

ผมไม่ได้กลัว  ผมแค่หวาดระแวง  แต่ป่วยการที่จะโต้เถียงกับพวกหัวแข็งอย่างกรรม์  ผมจึงนิ่งเงียบไว้

                              "เปล่า ๆ โทษที   ช่วงนี้ฟุ้งซ่านไปหน่อยน่ะ   โทษทีที่ทำให้เป็นห่วง"

                           "คนที่ควรจะขอโทษน่ะมันเรามากกว่านะ"

ประโยคนี้ทำให้เราทั้งคู่เงียบกริบ   ถึงจะไม่ได้กล่าวต่อ  แต่ผมก็เข้าใจว่ากรรม์กล่าวถึงเรื่องอะไร

           "มันผ่านไปนานมากแล้ว  ลืมไปเสียเถอะ"

                   "แต่ผลของมันยังคงอยู่.."

ผมหลับตาและสูดลมหายใจลึกยาว   

                           "กรรม์  ถ้ายังเห็นว่าเราเป็นเพื่อนนะ   อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก.."

                "อืม.."

        "เอาล่ะ  เราคงต้องกลับแล้ว  ป่านนี้เสด็จพ่อท่านคงมารับเสด็จนานจนหน้าเขียวหน้าเหลืองแหง ๆ"

กรรม์หลุดหัวเราะเบา ๆ   เมื่อเห็นสีหน้าสยดสยองของผม

                                   "โชคดีเพื่อน  อย่าลืมวันอาทิตย์นะ"

ผมไม่ตอบ  ผมรีบคว้ากระเป๋า  แล้ววิ่งออกไปสู่ทางเดินอันทอดยาวหน้าโรงเรียนในทันที   ด้วยอารามเกรงว่าจะเย็นจนเกินไป     ใบทองกวางหล่นพลิ้วระบัดลงเกลื่อนทางเดิน   เวลาอันแสนสงบสุขแบบนี้   มีค่ามากที่สุดหรือเปล่า  ผมเองก็ไม่แน่ใจ    เพราะผม   รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนเหลือเกินที่จะผ่านวันเวลาอันเปล่าเปลี่ยวในแต่ละวัน

ผมยิ้มให้ดอกทองกวาวเพียงดอกเดียวบนกองใบไม้     ก่อนที่สายลมจะพัดพรูหอบเอาใบไม้สีเหลืองแกมเขียวเข้ามากลบดอกไม้สีแสดนั้น....







 :sad2:  เหงาเล็กน้อย  กระซิก ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-05-2008 09:16:55 โดย Kirimanjaro »

แก้ว

  • บุคคลทั่วไป
มาทักทายค่ะ  :laugh:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
เรื่องราวมีหลายเวอร์ชั่นจัง

อ่านแล้วแอบงงหน่อยๆ  อิอิ  มันเลยยากอยู่นะกับการอ่านเรื่องนี้

ปล. เข้าใจเอา คำ มาตั้งเป็นชื่อคนนะ  เก่งจัง


KriT_SuN

  • บุคคลทั่วไป
...มาจด ๆ จ้อง ๆ ไว้ก่อน อ่านไม่ไหว ปวดตามาก ปวดหัวด้วย 555...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






myLoveIsYOu

  • บุคคลทั่วไป
มาลงชื่ออ่านครับ อ่านดะ อิอิ  :oni2:

Clear eyes

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งเข้ามาอ่านเพราะถูกใจชื่อเรื่อง :m23:
อ่านแล้วชอบสำนวนการใช้ภาษามากเลยค่ะ อยากเขียนให้ได้แบบนี้มั่งจัง
ถูกใจประโยคที่ว่า
"ชะตากรรมก็เหมือนลม พัดเราให้มาพบกันได้ ก็พัดให้เราแยกจากกันได้ สักวัน เมื่อลมเปลี่ยนทิศ เราอาจจะได้เจอกัน" o13

ไอเดียการแบ่งสีตามช่วงเหตุการณ์ถือว่าแปลกดีค่ะ
ตอนนี้อาจจะยังไม่ค่อยชิน แต่นานไปก็ไม่แน่

สรุปว่าชอบบบบบ..... :m1:

แล้วมาต่อเร็วๆนะคะ
จะรอและเป็นกำลังใจให้ค่ะ
 :L2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
มีหลายสีจัง เวลาเจอสีใหม่ทีต้องเลื่อนไปอ่านว่าสีนี้แทนอะไร ทำให้สะดุดอ่ะ  :m23:

เนื้อเรื่องดูจะเริ่มจับเค้าได้บ้างแล้ว ก็สนุกดีนะ ชอบ  :oni2: :oni2:


ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
เรื่องจับทิศทางเรื่องของนิยาย ต้องยกให้ ทิพ

ตัวแม่ในเรื่องแบบนี้จริง  o13

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
คุณ oaw_eang  :  ดีใจที่เจ๊สองแวะมาเยี่ยมครับผม  ช่วงแรก ๆ จะอ่านยากนิดหนึ่งเพราะมีสอดแทรกหลายสี  แต่ช่วงต่อไปจะเป็นสีเดียวกันยาว ๆ ทั้งตอน  ก็คงจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ   :a1:

คุณ KriT_SuN : สวัสดีครับพี่เอก  หายไว ๆ นะครับ  ผมเป็นกำลังใจให้นะ   :L1:

คุณ myLoveIsYOu : ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมครับผม  :m13:

คุณ Clear eyes : อิอิ  ผมยังกลัวอยู่เลยครับว่าชื่อเรื่องมันไม่ค่อยวัยรุ่นอ่ะ  กลัวจะไม่ค่อยโดน
ขอบคุณสำหรับคำชมคร้าบ   ส่วนเรื่องการแบ่งสีตามเหตุการณ์  ถ้าไม่แบ่งจะยิ่งงงกว่านี้อ่ะครับ
แต่ต่อไปจะจัดเรียงเหตุการณ์ประเภทเดียวกันต่อกันยาว ๆ ในตอนตอนหนึ่ง

สำหรับไอเดียที่แบ่งเป็นสอง  เพราะเรื่องราวจะดำเนินสองทิศทางและมาบรรจบกันที่จุดจุดหนึ่งครับ
ซึ่งทั้งสองทางจะเห็นความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น  และเป็นตัวโครงเรื่องหลัก
อันที่จริง  เรื่องนี้มาจากชีวิตจริงของผมเองครับ  ตัวละครก็มีจริงเกือบทุกคน  เพียงแต่เพิ่มความเป็นนิยายเข้าไป 
 :m23:
 
คุณ THIP : ต้องขออภัยจริง ๆ ครับที่ทำให้สะดุด  >,<  ผมเขียนแสดงบริบทของเรื่องไม่ดีพอที่จะให้ผู้อ่านรู้ได้ว่าเป็นเหตุการณ์แบบไหนอ่ะครับเลยต้องแยกด้วยสี   แล้วก็ดีใจที่คุณทิพจับโครงเรื่องหลักได้และเริ่มรู้สึกสนุกครับผม   :o8:
 






อ้างถึง
*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
ที่ตัดสินไม่ได้ว่าควรจะเป็นอะไรใช้สีครามเขียว





[ปัจจุบัน]



ผมพยายามลืมเปลือกตาอันหนักอึ้ง  และรวบรวมสติจากสมองอันมึนงงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์   หมอนหนานุ่มใบใหญ่รองรับศีรษะของผมอยู่   ในขณะที่ร่างกายของผมเย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศที่เป่าลงมาบนผิวเปลือยเปล่า
แขนข้างซ้ายของผมปาดไปเบื้องข้าง  และสัมผัสกับผิวนุ่มลื่นของใครอีกคน

              เทพ   เทพ หรือ...  ไม่สิ  เทพไม่ได้มา       เขาโทรบอกผมอีกทีว่าคงมาไม่ได้

แล้วใครกันล่ะ  ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ผม...

        ผมยันร่างขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง   พลางทบทวนความทรงจำช้า ๆ

ผมเมา   ใช่สิผมเมา     เทพโทรมาอีกทีด้วยน้ำเสียงเริงร่าว่าติดนัดกับสาว ๆ   ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า  เมื่อคนที่ตั้งตารอ  กลับผิดคำในวินาทีสุดท้าย

คนที่นอนข้าง ๆ ยังไม่ตื่นจากหลับใหล    แม้ว่าผมจะเคลื่อนกายจนเตียงยวบ  ใบหน้าของเขาถูกปิดซ่อนอยู่ในความมืด    ทว่าผมไม่อยากใส่ใจ   ตอนนี้ผมรู้สึกเพียงความรังเกียจตนเอง

รังเกียจในความโสมม   รังเกียจในคราบราคีที่ถูกผู้อื่นฝากไว้ตรงซอกคอ  ยอดอก   ผิวหน้าท้อง   และส่วนนั้น     ผมจำได้ราง ๆ ถึงสัมผัสอันเร่าร้อนและรุนแรงเมื่อคืน  กับชายหนุ่มนิรนามที่พบเจอกันที่บาร์

ผมเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่หยิบผ้าเช็ดตัวมาพันกาย   เนื่องจากไม่จำเป็นต้องอายแล้ว   ผมมันหมดสิ้นซึ่งยางอาย  ฮะ ฮะ ฮะ  งั้นก็ยิ่งไม่ต้องกังวลในความสกปรกน่ะสินะ

แต่ไม่รู้สิ  อย่างน้อยสายน้ำเย็นที่ราดจากฝักบัวอาจจะพอให้ผมสำนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร   ใครบางคนที่ไม่จำเป็นต้องมีผม  และใครบางคนที่ผมทำร้ายเขา   ด้วยการกลับไปคว้าใครบางคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาสนองความเจ็บปวดของจิตใจ

เหมือนกับเอาน้ำเกลือราดที่แผลเรื้อ      รังแต่จะทำให้ยิ่งเจ็บปวดขึ้นทุกที

แต่ผมก็ยังมีความสุข  เวลาที่เห็นผิวเนื้อสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด  และเลือดซึมเล็ดออกมาจากปากแผลนั้น
ใครบางคนทางเบื้องนอกตื่นแล้ว  ผมสัมผัสได้จากเสียงสวบสาบของเนื้อผ้า   เขาคงถูกรบกวนด้วยแสงไฟและเสียงน้ำจากในห้องน้ำ   ผมยิ้มขื่น ๆ ให้กับตนเอง  ก่อนดึงเอาผ้าเช็ดตัวที่มีประจำอยู่ในห้องน้ำมาซับผิวเนื้อให้ปราศจากหยดน้ำเกาะพราว   และตวัดผ้าผืนนั้นรอบเอว

                        “ไงนัส     ชอบเมื่อคืนมั้ยครับ”

วาจาสองแง่สองง่ามอันกล่าวด้วยน้ำเสียงกรุ่มกริ่มบนใบหน้าขี้เล่นของชายหนุ่มวัยเดียวกับผม  เอ่ยทัก  เมื่อผมก้าวออกมาจากประตูห้องน้ำ

นี่ผมบอกชื่อของผมให้เขารู้จักแล้วหรือนี่  ทำไมผมจำอะไรไม่ได้เลยล่ะ

                                 “คุณคือ...”

                     “ผมพันไพรครับ”

เขาหุบยิ้มลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น  เมื่อเห็นว่าผมสีหน้าเครียด   

ผมเหยียดยิ้มให้เขานิดหนึ่งและพิจารณารูปหน้าของเขาเมื่อต้องแสงไฟ    พันไพรมีผิวสีน้ำนมอ่อน  ผิวหน้าของเขาที่เนียนเรียบจนไม่น่าเชื่อ  ตัดกับคิ้วดกคมเข้ม  และไรหนวดจาง ๆ เหนือริมฝีปาก  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน  ที่ดูคุ้นเคย  จนผมประหวัดจิตนึกถึง เทพ   เจ้าของดวงตาสดใสแพรวพราวน่าหลงใหลดุจเดียวกัน

                “พันไพรครับ     ผมจะออกไปข้างนอก    ถ้าคุณจะกลับเมื่อไหร่ฝากล๊อคห้องด้วยนะครับ”

พันไพรอ้าปากจะทักท้วง  แต่ผมรีบตัดบท

                             “ผมว่าคุณคงง่วง  และตอนนี้ก็ยังมืดเกินไป   นอนที่เตียงผมต่อก่อนก็ได้ครับ”

ระหว่างที่พูด  ผมก็คว้าเอาเสื้อเชิ้ตสีขาว  และกางเกงขายาวสีเข้มมาแต่งตัวที่โต๊ะเครื่องแป้ง
พันไพรเอนร่างลงนั่งพิงฝาผนังติดเตียง  และเฝ้ามองผมตอนแต่งตัวอย่างเงียบ ๆ

                       “แล้วเจอกันนะครับ”

ผมบอกลาเขาแต่เพียงแค่นี้  แล้วจึงปิดประตูห้องตามหลัง  ผมหลับตายืนนิ่งอยู่หน้าห้อง  ทำไมผมต้องหนีออกมาด้วย   เพราะความกลัวหรอกหรือ

กลัวที่จะทำเรื่องโสมมเช่นเมื่อคืนอีกครั้ง      กลัวจะถูกสัมผัสจากมือคู่อื่น   ผมเกลียดตนเองขึ้นทุกทีที่ก้าวห่างจากห้องไป

                    ชีวิตมันก็แบบนี้ล่ะนะ...

ผมยิ้มหยันให้กับโลกยามราตรีที่มืดหม่นราวจะบดขยี้คนไร้ทางไปอย่างผมให้แบนราบภายใต้ท้องฟ้าสีหมึกนั้น
   




        ลมทะเลพัดเฉื่อยฉิวริมหาดขณะที่แสงสีทองแห่งรุ่งอรุณเริ่มแต่งแต้มขอบฟ้าอีกด้าน    เงาเมฆสีแดงจางจับกลุ่มเกาะเหนือทิวเขาด้านตรงกันข้ามของฝั่งทะเล     ผมสูดลมหายใจลึกยาวเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด  หวังจะชำระล้างคราบความแปดเปื้อนภายในจิตใจ     เสียงคลื่นซัดซ่าดังมาจากที่ไกล ๆ เนื่องจากช่วงน้ำลงยาวจนเห็นสันทรายชายหาดยาวลิบ  ผมเดินทอดน่องกลับยังทางเก่า  ที่รอยเท้าเดิมของผมทิ้งรอยประทับไว้บนผืนทราย

บังกาโลของผมอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล  สวนเล็กเบื้องหน้าปูด้วยพรมหญ้าสีเขียวสด  แซมประดับกอแก้วกลิ่นกรุ่น   ผมได้ยินเสียงหัวเราะเริงร่าของคนมากกว่าหนึ่งคนจากภายใน  มันทำให้ผมร้อนรุ่ม  ด้วยคิดไปว่าพันไพรพาใครมายุ่มย่ามที่นี่หรือเปล่า    แต่อย่างไรก็เป็นความผิดของผมเองที่ไปไว้ใจใครง่าย ๆ จนเกินไป

ผมผลักประตูเปิดเข้าไปโดยไม่เคาะ  ด้วยความร้อนรน   ทว่าคู่หญิงชายที่นั่งอยู่บนโต๊ะสีขาวกลางห้องโถงกลับทำให้ผมหยุดชะงัก  และครางออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา

  “เทพ...”

เทพโบกมือให้ผมจากโต๊ะนั้น  เขาไม่คิดที่จะลุกขึ้นต้อนรับ'เจ้าของบ้าน'  ขณะที่หญิงสาวอีกคน  ซึ่งผมจำได้ว่าหล่อนคือน้องสาวของเพื่อนเมื่อครั้งม.ปลาย

           “ไง นัส  เราแวะมาเยี่ยม    แก้ตัวที่เมื่อคืนรับปากแล้วไม่มา  หุหุหุ”

              ผมดีใจแทบตายอยู่แล้วที่เขามา  แต่ก็แกล้งทำเปนเก๊กขรึม

               “อืม  มาก็ดี”

                  “อะไรอ่ะคะ พี่นัส    ทักแต่พี่เทพคนเดียวไม่ทักยีนส์บ้างเลย”

สาวน้อยซึ่งนั่งฝั่งตรงกันข้ามทักท้วงด้วยเสียงอ่อนหวาน   

                         “ไงญิณรา     ฌิณชัยเป็นไงบ้าง”

         “ก็สบายดีค่ะ   เห็นบ่นถึงพี่นัสบ่อย ๆ ว่าไม่ค่อยติดต่อมาเลย”

        “อืมพี่ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่น่ะ  ฝากขอโทษไอ้ชัยมันด้วยล่ะกัน   ว่าแต่ลมอะไรพัดยีนส์มานี่ด้วยกับไอ้เทพล่ะ”

                           “ลมคิดถึงพี่นัสไงคะ”

เสียงกุกกักจากครัวเรียกสายตาของทุกคนไปยังชายหนุ่มในผ้ากันเปื้อนสีฟ้าซึ่งถือกระทะร้อนกรุ่นออกมา
ผมสะดุ้งใจหายวาบเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นคือพันไพร

               “อ่า  นัสมาพอดีเลย  โชคดีที่ผมเตรียมอาหารเช้าไว้สี่ชุด”

                      “พี่ไพรทำอาหารเก่งจัง  หอมเชียว”

ผมชักเอ๋อ   ที่ดูเหมือนว่าทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว  แต่ก็ยังไม่วายใจสั่นที่ความลับอะไรของผมจะรั่วไหลหรือเปล่า

                          “ไม่นึกว่า  นัสจะรู้จักไพรด้วย  เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของเราเอง”

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก   เมื่ออะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้

                                “โลกมันกลมเหลือเชื่อ   ใช่มั้ยครับนัส”

พันไพรยิ้มหวานให้   ดวงตาของเขาแพรวพราวดุจเดียวกับเทพไม่มีผิด   และสิ่งที่เหมือนกันคงจะเป็นความสามารถในการถือวิสาสะตีสนิทกับคนอื่นได้เก่งพอ ๆ กัน

เทพรวบมีดส้อมเข้าหากันเมื่อรับประทานเสร็จ     ผมนั่งถือมันค้างไว้ด้วยความที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในบางเรื่อง  พันไพรเช็ดปากกับผ้าเช็ดหน้าของเขาเอง  ส่วนญิณราค่อย ๆ รวบมีดส้อมเข้าหากันอย่างนุ่มนวล

             “ทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อคืนล่ะ ?”

                   “พี่เทพเขากลัวว่าจะมาขี้แยใส่พี่น่ะสิคะ”

                       “ยัยยีนส์!”

คนโดนนินทาระยะเผาขนปรายตาเข้มทำเสียงดุใส่   ญิณราลอบแลบลิ้น

      “อีทีนี้ล่ะมาทำเป็นดุ”

ผมมองภาพของคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย  และหลุดคำพูดออกไปจนได้

                      “ยีนส์กับเทพดูสมกันดีนะ...”

สาวน้อยใบหน้าขึ้นสีเรื่อ  และเงียบไปในพริบตา  ขณะที่เทพกลับแก้ตัวเป็นพัลวัน

  “เปล่า..  เปล่านี่  นัสก็รู้ว่าเรายังไม่อยากมีแฟน   กับยีนส์เราก็คิดแค่น้องสาว  ใครจะเอายัยตัวแสบแบบนี้ทำแฟนลงคอ  โชคร้ายตายเลย”

             “โธ่เอ๊ย   คนขี้เก๊ก  ขี้แย  ขี้แกล้ง  จอมกวนประสาทอันดับหนึ่ง หล่อก็ไม่หล่อ แบบพี่เทพ  ใครเขาจะอยากได้กันล่ะคะ”

ญิณราก็ว่าไปแต่ดวงตาของเธอเสไปทางอื่นไม่ยอมสบกับใคร

                   “เออ  เมื่อไหร่แกจะกลับล่ะ”       พันไพรพลันทะลุกลางปล้อง  จนคนรอบ ๆ สีหน้าเจื่อน  แต่เทพที่รู้แกวกันดีจึงตอบโต้กลับ 

                         “หนอย  มีเพื่อนใหม่แล้วลืมเชื้อลืมแถว  นี่นัส  อย่าไปเชื่อไอ้หมอนี่มากนักนะ  มันชอบหลอกให้พาไปเลี้ยงข้าวฟรีแล้วก็ชักดาบ”

ผมหลุดหัวเราะ  เมื่อเทพเผาลูกพี่ลูกน้องเขาซึ่ง ๆ หน้า

                                 “เฮ้ย  อย่าไปเชื่อไอ้เทพ  ผมไม่เคยทำแบบนั้น  ผมเป็นสุภาพบุรุษจะตายไป”

                “เอ้า  งั้นรีบ ๆ ตายไป  จะได้ไปกินข้าวต้มงานศพ”

วาจายอกย้อนใครจะเกินเทพ   จนผมต้องรีบห้ามทัพ        “เกรงใจเจ้าของบ้านหน่อยสิครับ  เขาจะสำลักไข่ดาวไหม้ติดคอตายแล้ว  หึหึหึ”

พันไพรฝากสายตาอาฆาตให้ลูกพี่ลูกน้อง  ก่อนลุกขึ้นเก็บจานให้กับทุกคนยกเว้นเทพ   ผมส่ายหน้าช้า ๆ แล้วลุกขึ้นเก็บให้เทพแทน

                          “นายบอกอะไรเทพไปบ้าง ?”

เมื่อเราอยู่สองต่อสองในครัว  ผมก็ได้โอกาสซักไซ้     พันไพรหันมายิ้มให้อีกครั้งด้วยมาดสบาย ๆ

                          “จะให้บอกอะไรล่ะครับ  ไม่เห็นมีอะไรต้องบอก”

                                   “นายรู้จักเรามาก่อนหรือเปล่า ?”

            “เปล่านี่ครับ  เราพบกันเพราะโชคชะตา  หรือเรียกอีกอย่างว่าบุพเพสันนิวาส”

ดวงตาของเขาระยิบระยับจนผมไม่กล้าสบตาตรง ๆ อีกแล้ว

 เสียงฝีเท้าดังมาใกล้  จนผมต้องถอยห่างออกจากพันไพรโดยอัตโนมัติ

                       “พวกเราจะกลับกันแล้วนะคะ”

                                       “ครับ  เดี๋ยวผมออกไปส่ง”

                             “ไม่ต้องหรอกค่ะ  พี่เทพไปรถแล้วค่ะ   เลยฝากยีนส์มาลา”

ผมหัวใจโหวง ๆ อย่างบอกไม่ถูก   เมื่อยังไม่ทันได้เตรียมใจที่จะมองหน้าของเขาเพื่อเก็บความทรงจำไว้  ก็ต้องลาจากกันโดยไม่ได้พบหน้าเสียแล้ว 

                             “ครับ”

ผมรับคำอย่างเลื่อนลอยจนแทบไม่รู้ตัวว่าญิณราออกไปเมื่อไหร่

                                   “นัสครับ  ..ผมมาหาได้อีกหรือเปล่าครับ”

                        “นายจะมาหาผมอีกทำไม”

                             “ก็อย่างเมื่อคืนไงครับ”

พันไพรหลิ่วตาให้ด้วยสีหน้าทะเล้น

                                       “เสียใจครับ  ผมทำแบบนั้นกับคนที่เกี่ยวข้องกับเทพไม่ได้”

                          “เพราะนัสอยากทำกับเทพเสียเองน่ะสินะ”

ความเงียบกริบขนาดที่ว่าแม้เข็มตกยังได้ยินปกคลุมเราทั้งคู่

                               “ผมเห็นสายตาของนัส   ว่านัสมองเทพยังไง”

                    “ประตูอยู่ทางนั้นครับ  ออกไปจากบ้านของผมได้แล้ว”

แต่พันไพรไม่ขยับจากที่เดิมแม้แต่ก้าวเดียว

                                 “เอาล่ะ  ผมขอโทษ  ที่พูดแบบนั้น    แล้วถ้าผมอยากจะขอกลับมาหาอีกครั้งในฐานะเพื่อน   หรือไม่ก็ฐานะของลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนล่ะ  นัสยินดีต้อนรับผมอีกมั้ยครับ”

                “ทำไมนายถึงอยากเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตผมนักล่ะ ?”

                                “นัสเคยได้ยินคำว่า  ..รักแรกพบมั้ยครับ”

               “ผมไม่เชื่อเรื่องรักแรกพบครับ   ผมเชื่อแต่เซ็กแรกพบ”

                                   “งั้นสักวันผมจะทำให้นัสเชื่อ  ว่ารักแท้ที่เริ่มจากเซ็กมันก็มีอยู่จริงเหมือนกัน”

             “ผมไม่เชื่อ..”

                    “งั้นก็ให้โอกาสผมลองสิครับ   หรือว่านัสกลัว”

ท้าทายเก่งเหมือนกันไม่มีผิด  ทำไมทั้งคู่ถึงเหมือนกันขนาดนี้นะ..

                              “ถ้างั้น  พรุ่งนี้เจอกันครับ  แล้วผมจะมาเยี่ยม”

                          “เดี๋ยว ...  นี่...”

แต่พันไพรทำหูทวนลม  เขาก้าวยาว ๆ ตัดห้องรับแขกออกสู่ระเบียงหน้าบ้าน  และก้าวจากไปพ้นเขตบังกะโลในที่สุด  พวกตระกูลนี้นี่  หัวดื้อแบบนี้หมดทุกคนเลยหรือเปล่า




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2008 15:34:42 โดย Kirimanjaro »

namtansaidang

  • บุคคลทั่วไป

InLuSt

  • บุคคลทั่วไป
แอบแปลกใจที่เจอนิยายพี่ณะ... :oni1:
พี่พึ่งเข้าเล้าเหรอ... :a3:
เข้ามาช่วยคอนเฟิร์มความสนุกของเรื่องนี้... o13
(ในใจอยากทวงอีกเรื่องนึงเหลือเกินแต่จำชื่อเรื่องไม่ได้แล้วเพราะพี่ณะลบไปจากเด็กดีแล้ว...เศร้า :o12:)

ปล...ทีในเด็กดีไม่เห็นจะเปลี่ยนสีให้เลย(ถ้าจำไม่ผิดนะ)ต้องใช้ความพยายามขั้นสูง(หรือศูนย์)ตลอด

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
ง่าคุณน้ำตาลทรายแดง  รู้จักผมด้วยเหรอครับนี่

ส่วนน้องเบส  สวัสดีจ้ะ  เรื่องที่ว่านั่นปักษานฤมิตหรือเปล่า

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ดูจากเหตุการณ์ปัจจุบันแล้ว ยิ่งทำให้ลุ้นถึงเหตุการณ์ในอดีตเนอะ
ดูสิว่า จะแต่งได้เข้มข้นขนาดไหน น่าลุ้นจริงๆ  :a2: :a2: :a2:

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
คุณ THIP : บทหลังจากนี้จะเข้าสู่ช่วงเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้งแล้วครับ  ^ ^ 
อิอิ  ผมก็ตื่นเต้นครับ  ลุ้นว่าคนอ่านจะชอบหรือเปล่ากับวิธีการดำเนินเรื่องแบบนี้

 :o8:


อ้างถึง
*หมายเหตุ
ความฝันใช้อักษรสีน้ำตาล
เหตุการณ์ในอดีตสีน้ำเงินเข้ม
เหตุการณ์ปัจจุบันสีเขียว
อื่น ๆ ใช้สีครามเขียว



บางทีผมก็หลงลืมวัยอยู่บ่อย ๆ ยามเมื่อนอนอยู่บนเตียงในเวลารุ่งเช้า นอนรอหวังให้มีใครบางคนมาทุบประตูเรียก นอนรอหวังว่าใครบางคนจะเข้ามาแกล้งด้วยการจุ่มมือลงในน้ำเย็น ๆ แล้วเอามาลูบหน้าเมื่อปลุกให้ตื่น บางทีใครบางคนนี้ก็สตาร์ทรถขู่ยามเช้า ๆ ให้ผมรีบตาลีตาเหลือกอาบน้ำแต่งตัวไปพร้อมกับเขาเพื่อให้ทันโรงเรียน

แต่ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวแล้วสินะ ผมเคยเกลียด และน้อยใจใครบางคนที่ว่านั้น ถึงขนาดที่คิดจะตายให้พ้น ๆ หน้าเขา แต่ตอนนี้ผมคิดถึงพ่อจับใจ พ่อของผมไม่ใช่คนที่รู้ความลับของผมมากที่สุด เพาะว่าผมมักจะปิดบังความคิดและความรู้สึกต่าง ๆ ไว้จากการสังเกตของเขา เรื่องราวเกินกว่าเจ็ดในสิบในชีวิต ผมไม่เคยเล่าให้เขาฟัง ความคิดของผมกว่าครึ่งผมก็ไม่ยอมให้เขาล่วงรู้

แต่..ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ รู้สึกถึงความเข้าใจกันและกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว แค่รู้ว่า มีใครบางคน ที่รอให้ผมกลับไปหาในทุก ๆ วัน....

ผมร้องไห้อีกแล้ว ผมมักจะร้องไห้ในทุก ๆ รุ่งเช้าที่หวนนึกถึงเวลาเก่า ๆ ผมรู้สึกเกลียดยามเช้าเข้าทุกที พอพอกับที่เกลียดความอ่อนแอของตนเอง  ผมมักจะปิดประตูความสงสารใส่หน้าของผู้อื่นด้วยความหยิ่งทระนง เพื่อแลกกับช่วงเวลาที่อ่อนแอและเปราะบางอยู่คนเดียว เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลมากใช่มั้ย

ผมเกลียดที่จะมีใครมาสงสาร มีใครมองเห็นด้านอ่อนแอ ด้วยความสมเพชเวทนา ผมอยากได้ความเข้าใจ อยากให้ใครบางคนเข้าใจอารมณ์แปรปรวนของผม
แต่...ความเข้าใจมักมาพร้อม ๆ กับความสงสารอยู่เสมอ และผมเกลียดมัน!

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะช้า ๆ เนิบนาบ ดังมาจากเบื้องหน้าของตัวบ้าน ผมรีบคว้าเอาผ้าห่มข้าง ๆ มาเช็ดถูข้างแก้มอย่างเร่งรีบ

“ใครน่ะ ?”

ผมก้าวออกจากประตูห้องนอน และตะโกนถามด้วยเสียงดังพอสมควร

“ผมเองคร้าบ...”

คำตอบรับที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว ผมสังหรณ์ว่าไอ้คนที่อยู่หน้าบ้านต้องเป็นไอ้หมอนั่นเป็นแน่

“ผมเองน่ะใครกัน ?”

“พันไพรไงครับ..”

คิ้วของผมกระตุกเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินชื่อที่คาดเดาไว้

“ขอโทษครับ ที่บ้านนี้ไม่มีใครรู้จักคนชื่อพันไพร”

เสียงเคาะประตูเงียบหายไป ในขณะที่ผมเองก็ใจหายนิด ๆ เหมือนกัน
แต่ก็ดีแล้วล่ะ เลิกยุ่งกับผมได้ซะก็ดี
ผมหมุนร่างกลับ หวังจะไปชงกาแฟดื่มยามเช้าในครัว

แต่ในขณะนั้นเอง ผมก็สะดุ้งตกใจ เมื่อร่างสูงของใครบางคนผลักหน้าต่างไร้เหล็กดัดของผม พร้อมกับพาร่างของตนเข้ามาในตัวบ้าน พร้อมกับอะไรบางอย่างในมือ

“โทษทีครับที่ผมแอบถอดสลักไว้ก่อนจะกลับไปเมื่อวาน”

พันไพรยิ้มร่าราวกับเด็ก ๆ โดยไม่รู้สึกรู้สา นี่มันบุกรุกนะเว้ยไอ้ตัวแสบ

“ดอกไม้ครับ แทนคำบอกรัก”

เขายื่นช่อดอกไม้สีฟ้าอ่อนในมือออกมาสุดแขน แต่ผมไม่รับซะอย่างใครจะทำไม

“ผมเกลียดดอกไม้ครับ มันบอบบาง ยากต่อการดูแล ซ้ำเมื่อโรยราแล้วยังเหี่ยวแห้งไม่น่าดูอีกต่างหาก แต่ถ้านายจะให้ผมจริง ๆ ผมจะรับไว้ก็ได้นะครับ เพราะดูเหมือนว่า ดอกฟอร์เก็ตมีนอตจะใช้ทำปุ๋ยหมักชั้นยอดได้”  ผมแอบสะใจเล็ก ๆ เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังอย่างแรงจากเจ้าของช่อดอกไม้แทนใจช่อนั้น

“หมดธุระแล้วก็รีบกลับเถอะครับ บ้านผมคับแคบคงรับรองนายได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก”

ทว่า หมอนั่นกลับแย้มยิ้มอีกครั้งราวกับต้นไม้ได้น้ำ เขี้ยวเล็ก ๆ น่ารักของเขาปรากฏแทรกอยู่ในไรฟันภายใต้ริมฝีปากบางประดับด้วยไรหนวดจาง ๆ สีเขียวอ่อน เขากำลังจะล่อลวงผมด้วยรอยยิ้ม!

“ยังครับยังไม่หมดธุระ ผมว่าจะมาชวนนัสไปถีบจักรยานออกกำลังกายด้วย เห็นว่านัสมีจักรยานเสือหมอบที่ได้จากคุณแม่อยู่คันนึงไม่ใช่หรือครับ”

ผมหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด สงสัยเสียจริงว่าเทพมันเล่าอะไรเกี่ยวกับผมให้ลูกพี่ลูกน้องจอมตื้อรายนี้ไปแล้วบ้าง ครั้งจะปฏิเสธอีกคราก็จะหักหาญน้ำใจวัวเคยขาม้าเคยขี่อย่างแรงซึ่งผมไม่นิยมกระทำ

“ก็ได้ครับ”

คำตอบรับจากผมยิ่งขยายรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาให้กว้างขึ้น พันไพรวางช่อดอกฟอเกตมีนอทไว้บนโต๊ะพลาสติกสีขาวอย่างเบามือ แล้วเดินนำออกไปทางประตูหน้าอย่างกระฉับกระเฉง




ผมถอดหมวกแก๊ปที่สวมอยู่ออกมาพัดคลายร้อนระหว่างที่หมอบหลังราบบนเสือหมอบบนเส้นทางขึ้นสู่เขา คนข้างหน้าช่างปั่นจักรยานได้ไม่มีเหน็ดเหนื่อยและไม่คิดจะปราณีผมเลยแม้แต่น้อย

แผ่นหลังของเขาภายใต้เสื้อฮาวายสีสันสดใสเห็นสะบักหลังแข็งแกร่งอันผมเคยสัมผัสอย่างแนบชิดมาก่อน น่องของเขาซึ่งมีกล้ามแต่พองามบ่งบอกว่าคงจะเล่นกีฬาบ่อยพอสมควร กำลังถีบลงไปบนที่ถีบของพาหนะ

พันไพรลดความเร็วลงเมื่อขึ้นสู่ทางลาดยางอันลาดชันซึ่งนำไปสู่จุดชมวิวบนยอดเขา ต้นไม้เริ่มสานกิ่งใบกันอย่างร่มรื่น เมื่อจักรยานของพวกเราเลี้ยวเข้าสู่สถานที่ชมวิว โขดหินวางเรียงตัวกันอย่างงดงามข้างลานจอดรถ และเบื้องหลังของโขดหินเหล่านั้นก็เป็นกอบุปผชาติละลานตาซึ่งชูช่อไสวอยู่บนสันเขากั้นระหว่างผู้มาเยี่ยมชมกับความเวิ้งว้างของโตรกผาเบื้องล่าง   

ผมจอดรถพิงกับกอหินกอหนึ่ง และก้าวไปชมความงามของธรรมชาติเบื้องล่าง น้ำทะเลสีครามอมเขียวเข้มลึกล้ำไกลลิ่ว ๆ ตัดกับขอบฟ้าสีฟ้าสดใสอันมีปุยเมฆสำลีขาวลอยอ้อยอิ่ง เกาะเล็ก ๆ กลางน้ำสีคราม เมื่อสังเกตเห็นจากหน้าผาก็ราวกับที่พำนักของนางเงือกในตำนานปรัมปรา

ใครอีกคนก้าวเข้ามาประชิดร่างผมและถือวิสาสะโอบไหล่เอาไว้

"ทะเลสวยมั้ยครับ "

ผมมองหน้าพันไพรด้วยครุ่นคิดว่าหมอนี่มันจะมาไม้ไหน

"ครั้งหนึ่ง ผมเคยมาที่นี่ ชมดูทิวหาดขาวยาวเหยียด ทอดสายตาไล่ตามผิวน้ำสีมรกต.."

"แล้วไง"

"ผมเห็นว่ามันสวย ผมมองเห็นถึงความงามของมัน ในครั้งนั้น ผมเลยตั้งใจไว้ว่า..."

พันไพรหันมาสบตาผม ดวงตาของเขาสะท้อนประกายจากท้องทะเลจนแพรวพราว

"สักวัน ผมจะพาคนที่ผมรัก ขึ้นมาชมที่นี่ด้วยกัน"

ผมรู้ดี ว่าเขาพูดถึงใคร ถ้าเขาต้องการอะไรล่ะก็ ต้องนับว่าประสบผลแล้ว เพราะผมเริ่มหวั่นใจขึ้นทุกที

"จะกลับกันยังล่ะ ผมหิวแล้ว"

"ได้ครับ ผมรู้จักร้านอร่อย ๆ แถว ๆ นี้. เดี๋ยวผม..."

"ใครว่าผมจะไปกินกับนาย ก็ชวนมาออกกำลังกายอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ เสร็จแล้วก็ทางใครทางมันสิครับ"

ผมเบี่ยงร่างออกจากอ้อมแขนของเขา แล้วจับเสือหมอบที่พิงอยู่ข้างโขดหินเพื่อขึ้นคร่อม

ทางลาดลงเขาต้องขับลงอย่างระมัดระวัง ซึ่งผมต้องกดเบรกบ่อยครั้ง ขณะเดียวกันก็ลอบเหลียวมองข้างหลังซึ่งจักรยานอีกคันขับตามมาติด ๆ

ผมกัดริมฝีปากด้วยความขัดใจ เมื่อเห็นพันไพรยังไม่เลิกตาม นิ้วหัวแม่มือที่กดตรงแฮนด์ไว้อยู่จึงเลื่อนมาที่เกียร์เพื่อเป็นเป็นการขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง

ผมกระแทกเท้ากดถ่ายน้ำหนักลงไปเพื่อส่งให้พาหนะวิ่งฉิวราวกับลมพัด พลางหันหลังมามองว่าอีกฝ่ายถูกทิ้งล้าหลังแค่ไหนแล้ว

พันไพรไม่ยอมแพ้ เขาเหยียดร่างขึ้นปั่นในท่ายืน เพื่อให้ทันผม แต่ผมเหยียดยิ้มที่มุมปาก เนื่องจากหากเป็นทางลาดลง เสือหมอบของผมได้เปรียบเห็น ๆ ผมหมอบลู่ร่างลงแทบขนานกับพื้นโลก ปล่อยให้กระแสอากาศแล่นฉิวผ่านซอกใบหูไป เวลาที่อยู่ในความเร็วสุดยอด รู้สึกราวกับได้ปลดปล่อยอะไรสักอย่าง เหมือนกับได้โบยบินอยู่ในห้วงแห่งจินตนาการ

ผมเหลียวหลังกลับไปบ่อยครั้ง และมักจะชะลอโดยไม่รู้ตัว เมื่อพันไพรเริ่มตามไม่ทัน

ไม่น่ะ... ผมอยากจะสลัดหลุดจากนายนั่นจะตาย บ้าจริง!

ผมเหลียวคอมองเขาอีกแล้ว แต่ครั้งนี้พันไพรมีสีหน้าตกใจ เขาพยายามตะโกนอะไรบางอย่างที่ผมไม่ได้ยิน และผมก็พยายามฟัง พันไพรพยายามชี้ไปเบื้องหน้า...

ผมหันกลับไปมอง...

รถทัวร์ขนาดใหญ่แล่นอย่างอย่างเร็วทางเบื้องหน้า ไม่มีที่ให้ผมหลบเลยแม้แต่น้อย เพราะรถทัวร์คันนั้นกำลังแซงปิคอัพอีกคันอยู่ เสียงของพันไพรอาจจะเพิ่งแล่นมาถึงผม

"เฮ้ย! นัสระวังรถ!!!"




........




ผมหักจักรยานให้เป๋ลงข้างทาง มันพุ่งพรวดสู่เนินเตี้ยจากส่วนขรุขระไหล่ทางและดีดดิ้นราวกับม้าพยศ ผมถูกมันเขย่าให้สั่นไปทั้งร่าง ล้อที่กระแทกลงกับก้อนหินระเกะระเกะส่งแรงสะเทือนและสลัดร่างผมลงไปจากอานจนได้
ผมกระเด็นไปสองสามตลบ แต่ก็ไม่บาดเจ็บอะไรนัก เพราะเคยฝึกม้วนตัวบ่อยครั้งจากยูโด ทว่า คนที่รีบลงจากจักรยานแล้ววิ่งอย่างร้อนรนมายังผม ดูจะงุ่นง่านหัวเสียยิ่งกว่าคนโดนเสียอีก

ผมยันกายขึ้น เมื่อพันไพรก้าวยาว ๆ เข้ามาหิ้วปีกของผม

"นัส ๆ เป็นอะไรมากมั้ย เดี๋ยว ๆ ค่อย ๆ ลุกสิ"

น้ำเสียงร้อนรนของคนที่เป็นห่วงอย่างจริงใจ เรียกรอยยิ้มจากผม

"ไม่นี่ ไม่เป็นไรมาก ดูสิ สบายดี"

ผมลุกขึ้น แล้วสะบัดแข้งขาให้เขาเห็น ทว่าพันไพรรีบรวบร่างของผมไว้

"อย่าขยับมาก ดูสิ ถลอกเลือดแดงฉานเลย"

ผมก้มมองตามสายตาของเขา และพบว่าหน้าแข้งรวมทั้งหัวเข่าของผม เปรอะไปด้วยเลือดจริง ๆ ซ้ำบางส่วนยังเห็นชั้นไขมันขาว ๆ ภายใต้เนื้อเลอะเลือด แต่ผมไม่รู้สึกเจ็บ คงเป็นความชาที่เกิดจากความตื่นเต้นจากประสบการณ์เฉียดตาย

พันไพรล้วงกระเป๋าของเขา และเปิดโทรศัพท์มือถือขนาดเล็กจิ๋วดูหรูหราจนผมแทบไม่อยากคาดเดาราคาของมัน เขาหันหน้าไปทางอื่นและกรอกเสียงเบาจนผมไม่ได้ยินลงไปในสาย

พันไพรเก็บโทรศัพท์ แล้วหันมาดูแล เขา"ลาก"ผมไปนั่งเหยียดขาที่โขดหินก้อนหนึ่ง แล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีออกจากกระเป๋า มาเช็ดตรงส่วนที่ผมเกิดบาดแผลอย่างไม่รังเกียจ

"อ้าก! เบา ๆ หน่อยสิครับ"

ตอนนี้ผมเริ่มเจ็บแล้วล่ะ การเสียดสีของเนื้อผ้ากับเนื้อผิวที่เปิดเข้าไปจากแผลมันไม่น่าพิสมัยเลยสักนิด

"โทษทีครับ เอ้า มาแล้ว"

รถคันยาวสีดำติดฟิมล์กรองแสงมืดทึบแล่นมาจอดข้าง ๆ ถนนตรงที่ผมนั่งอยู่ พันไพรตามคนมารับไปได้เร็วอย่างเหลือเชื่อ เขาฉุดดึงร่างผมอีกครั้งให้ถลาไปตามแรง และเปิดประตูส่วนหลังของรถ พร้อมกับโยนร่างผมลงไปในนั้น ผมไม่ได้สังเกตคนขับรถเท่าใดนัก รู้แต่เพียงว่าพันไพรให้คนขับออกไปจัดการนำรถจักรยานของเราทั้งคู่ไปเก็บไว้ก่อน
ส่วนเขา ก้าวเข้ามาประจำตำแหน่งคนขับ และออกรถไปโดยไม่ยอมฟังเสียงทักท้วงของผมเลยแม้แต่น้อย

"เดี่ยวสิ เฮ้ย ไปไหนน่ะ"

"ก็ไปที่พักของนัสไง หรืออยากให้พาไปบ้านผม"

คนถูกถามส่งยิ้มยั่วมาจากกระจกส่องหลัง

"เอ หรือว่า นัสทนรอไม่ไหวที่จะได้ไปแนะนำตัวเป็นเขยที่บ้านผมแล้วนะ ถึงได้ถามอะไรแปลก ๆ"

ผมส่งหน้าบึ้งไปแทนคำตอบ จนพันไพรหัวเราะหึหึ

เพียงไม่กี่นาที เราก็มาถึงที่พักจนได้...

หมอนั่นยังไม่เลิกฉุดดึงผม จนผมต้องสลัดมือของเขาออก และก้าวเข้าบ้านโดยพยายามฝืนความเจ็บปวดที่เริ่มมากขึ้นทุกที

"นัสมีชุดทำแผลมั้ย"

ผมปรายตาไปทางตู้ยาเหนือชั้นวางของ พันไพรก็กดร่างผมนั่งบนโต๊ะที่ยังค้างไว้ด้วยช่อดอกฟอเก็ตมีน๊อต ซึ่งเริ่มเหี่ยวแห้งลงตามกาลเวลา เขาวิ่งไปยังตู้ยา และค้นเอาเครื่องมือผ้าและขวดยาออกมาจำนวนหนึ่ง ผมสูดปากด้วยความเจ็บแสบ เมื่อพันไพรเริ่มกระบวนการล้างแผล

"นิ่ง ๆ สิครับ เป็นลูกผู้ชายภาษาอะไร อดทนหน่อย เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว"

"ผมเป็นเกย์ครับ ไม่ใช่ลูกผู้ชาย อูย ซี๊ด เบา ๆ หน่อยเดะ"

พันไพรยิ้มขำกับคำย้อน แล้วส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่กำลังสิ้นสุดกระบวนการขั้นสุดท้ายคือการพันแผล

"อ่าว เสร็จแล้วครับ เท่ห์เชียวนะ เทรนด์ใหม่ ผ้าพันแผลสุดจ๊าบ"

"โอย พันซะแน่นเลย งี้ผมก็ใช้หัวเข่าไม่ได้น่ะสิ" ผมชักเริ่มยิ้มออก และหยอกกลับ เมื่อพบว่าพันไพรเป็นคนดีกว่าที่คิด

"ขอบคุณนะครับ"

ผมชักงง จะมาไม้ไหนนี่ จู่ ๆ ก็ทำตาซึ้งแล้วมาขอบคงขอบคุณ

"วันนี้ผมมีความสุขมากจริง ๆ ที่ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้"

ผมเบนใบหน้าหลบสายตาของเขาที่จ้องขึ้นมาในท่าคุกเข่า แต่พันไพรกลับจับคางของผมแกมบังคับให้มองหน้าของเขาด้วย

"สิ่ง .. อะไร เหรอครับ"

พันไพรไม่ตอบ เขาค่อย ๆ ยันกาย เคลื่อนตัวเข้าใกล้ผม

ผมตาลายไปด้วยประกายในดวงตาของอีกฝ่ายในระยะห่างกันไม่ถึงคืบ

"ผมรักคุณครับ.."

ผมตะลึงกับคำสารภาพนี้ ถึงแม้จะเคยได้ยินแล้ว แต่ครั้งนี้มันช่างแตกต่าง เหมือนกับจู่จู่ ก็มีคนเปิดเพลงหวานให้ฟังใกล้ ๆ หู   และในวินาทีนั้น ริมฝีปากร้อนลวกก็โน้มลงมาประทับรสจูบอันร้อนแรงในทันใด...





เครื่องปรับอากาศตัวเดิม พ่นลมลงมากระทบผิวเปล่าเปลือยของผมเช่นเคย และข้าง ๆ ใครอีกคนก็นอนลืมตาอยู่ด้วย

"นายรักผมจริงหรือครับ ไพร"

คนถูกถามยันกายขึ้นมาด้วยสีหน้าพิศวง

"ครับ"

"แล้ว... ความรักของนายต้องตอบแทนด้วยเซ็กส์ทุกครั้งหรือเปล่า?"

พันไพรนิ่งอึ้ง แต่แล้วก็รีบตอบ

"ฟังนะ ผมรักนัสจริง ๆ แต่เรื่องเซ็กส์นี่ ถ้านัสสมัครใจ ผมสมัครใจ เราก็น่าจะมีได้ไม่ใช่หรือครับ ถ้านัสไม่อยาก บอกผมได้นี่นา รับรองว่าผมจะไม่แตะต้องนัสแม้แต่ปลายก้อย แล้วถ้า.."

"ผมไม่ได้ไม่พอใจครับ" ผมยิ้มให้แก่เขา พร้อมกับบีบมืออีกข้างของเขาไว้เบา ๆ "ผมก็แค่ถามไปงั้นเอง ผมมีความสุขมาก แต่.. ไม่รู้สินะ ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่ถามเล่น ๆ"

พันไพรถอนหายใจเฮือก แล้วทิ้งตัวลงกับเตียงช้า ๆ

"ผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำอย่างไร ผมไม่รู้ว่าจะผูกมัดคุณไว้อย่างไร ระหว่างพวกเรา แทบไม่มีอะไรยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่ว่า ถ้านัสอยากให้ผมเป็นอะไร ผมจะเป็นอย่างนั้น ผมอยากเห็นนัสมีความสุข อยากเห็นนัสยิ้มอย่างจริงใจเหมือนคราวที่พบกับเทพ ยิ้มแบบนั้นให้ผมบ้าง ..ได้มั้ยครับ"

ผมฝืนยิ้มด้วยใจปวดร้าว เขาพูดถึงเทพอีกแล้ว ชื่อที่ผมอยากจะลืมแต่ลืมไม่ได้ ยิ้มของผมคงเต็มฝืนเต็มที แต่ผมก็ยังชี้ให้เขาดู

"นี่ไงครับ ผมยิ้มให้แล้ว"

พันไพรเองก็ยิ้ม เป็นยิ้มที่เศร้าเป็นบ้า เขาคงรู้ว่าผมรู้สึกอย่างไร

"ผมเห็นรอยแผลในดวงตาของนัส..."

ผมแทบหยุดหายใจ เมื่อเขามองได้ลึกกว่าที่คิด

"ไม่สิ ผมไม่ควรพูดถึงมัน ผมเพียงแค่อยากเห็นนัสมีความสุขบ้าง ..นะครับ"

"บางที มันอาจจะสายไปแล้ว ผมไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนความชั่วช้าและความเจ็บปวดที่ผมกระทำต่อผู้คนรอบข้าง    ไพร..นายอย่าทำดีกับผมนักเลย ผมไม่คู่ควรต่อมันหรอก ผมเชื่อนะ ว่ามีผู้หญิงหรือผู้ชายอีกเป็นร้อยเป็นพันที่ต้องการคนเพียบพร้อมแบบนาย"

"แต่ผมต้องการนัสเพียงคนเดียว!"

"แต่ผมไม่ต้องการ...!"

ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างเรา มันเหมือนกระจกใสกางกั้นให้เพียงมองเห็นแต่มิอาจสัมผัสแตะต้องซึ่งกันและกัน
ผมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนี้ในที่สุด

"ผมต้องไปแล้ว ไพรรอผมที่นี่...จนกว่าผม..จะกลับมา ได้หรือเปล่าครับ"

พันไพรพยักหน้า เขาเผยอริมฝีปากจะถาม แต่หยุดยั้งมันไว้ เขาเอื้อมแขนเหมือนจะรั้ง แต่ก็ปล่อยผมไป ผมสวมเสื้อผ้าอย่างลวก ๆ แล้วก้าวยาว ๆ ออกจากห้อง ซึ่งใครอีกคนมองตามด้วยสายตาที่แสดงความรู้สึกหลากหลาย





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Loin_diciz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ไม่ได้เข้าบอร์ดมาซะนาน

ไม่คิดเลยจิงๆ ว่าเปิดมาอีกที จะได้มาเจอคุร ปฤษณะ

คิดถึงคุณมากๆเลยนะ



อยากอ่านมาก  เคยอ่านในเด็กดี เมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่ได้เซฟเก็บไว้

พอคุณลบไป  เราก็ไม่รู้จะไปหาอ่านอีกได้ที่ไหน

พยายามคุ้นในกูเกิ้ล  ไม่คิดเลยว่าจะได้มาอ่านในเล้าแบบนี้



ติดตามนิยายคุณเสมอนะ

ออฟไลน์ Loin_diciz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 245
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
สำหรับใครที่ยังไม่ได้มาอ่านเรื่องนี้ และบังเอินเปิดเข้ามา อยากจะบอกว่า

อย่าพึ่งรีบปิด ลองอ่านเรื่องด้วยหัวใจคุณดู

รับรองว่า ภาษา แบบนี้ สำนวนแบบนี้ คุณหาอ่านในเล้าไม่ได้แน่ๆ

คุณปฤษณะสุดยอด   ลองอ่านดูสักครั้ง



ปล. คุณปฤษณะ  ไม่ทราบว่าพอจะมีโอกาสได้อ่านชาดาริกาต่อรึเปล่า มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเปลี่ยนชีวิตเราเลยหละ

แล้วก็เรื่อง วิปลาส - วิปริต -โรคจิต
อ่อ เรื่อง รักซาดิสส์ของคุณกิมฮวย ด้วยนะคะ


ดองไปเยอะเชียว แต่ชอบมากเลยนะ

KriT_SuN

  • บุคคลทั่วไป
...ดีใจด้วยนะค้าบ เจ้าของเรื่องได้พบเพื่อนเก่า ๆ ที่นี่ ^^...

namtansaidang

  • บุคคลทั่วไป
มายืนยันอีกคนว่าเป็นงานเขียนคุณภาพ     เอากำลังใจมาให้นะครับ   บุรุษปริศนา

ออฟไลน์ tarkung

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 997
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
อ่านดูแล้วชอบครับ น่าสนใจมากๆ

แต่ขออนุญาติแนะนำอะไรหน่อยนะครับ

 เรื่องการแบ่งเนื้อเรื่องโดยใช้สีนิ ผมว่า ในแต่ละส่วนน่าจะแบ่งแบบนี้มากกว่านะครับ โดยมีการเขียนบอกก่อนเริ่มต้นในส่วนนั้นๆ เช่น...

  [ความฝัน]
  ..........เนื้อหา..........
  ..........เนื้อหา..........

  [อดีต]
  ..........เนื้อหา..........
  ..........เนื้อหา..........

  [ปัจจุบัน]
  ..........เนื้อหา..........
  ..........เนื้อหา..........

 ที่แนะนำมานี้ผมคิดว่านน่าจะทำให้ผู้อ่านสามารถอ่านได้สะดวกขึ้นนะครับ บางทีผมเองก็งงๆอยู่เหมือนกัน แม้จะมีบอกแล้วก็ตามว่าสีไหนเป้นแบบไหน จึงอยากแนะนำนะครับ

ยังไงก็จะติดตามต่อไปนะครับ

 

 

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
คุณ Loin_diciz : ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งครับ  ^ ^   
หวังเทวาผมลบออกเอามาว่าจะปรับแก้นิดหน่อย  แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้แก้อะไรเลย  แง้วว!!
ถ้าสนใจเรื่องที่ผมเขียน  ลองใช้นามปากกาเก่าของผมเสิร์จในกูเกิ้ลครับ 
แนะนำเรื่อง Queer PM คุณ Loin_diciz น่าจะชอบ 
ส่วนคำถามอื่น ๆ ตอบไปทาง Personal Message แล้วนะครับผม

คุณ KriT_SuN :  อิอิ  รู้หรอกว่าจะแซวว่าหนีหนี้มาเลยเปลี่ยนนามปากกาอ่ะดิ  ฮ่าๆๆ
พอดีช่วงนี้อยากเป็นคุณชายคีรี มัญจาโรครับ  เลยใช้ชื่อนี้  เพราะผมกะเจ้าคีก็หล่อไม่แพ้กันอยู่แล้ว  กร๊ากกก

คุณ namtansaidang :  ขอบคุณสำหรับกำลังใจและคำคอนเฟิร์มคร้าบผม  >,< 
แหะแหะ  แต่ผมนี่แย่จัง  เอาแต่เรื่องเก่ามาหากิน  ไม่ค่อยได้เขียนเรื่องใหม่เท่าไหร่เลยครับ

คุณ tarkung :  ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคร้าบ  เดี๋ยวจะไปปรับแก้ตรงช่วงบน ๆ อีก 
ตอนแรกสุดที่ผมยังไม่ได้ใส่สี  โคตรจะงงเลย  ผมอ่านเองยังงงเองว่านี่มันช่วงไหนกันแน่วะ  ฮ่าๆๆ




บทที่ ๓


[อดีต]


ในช่วงพักเที่ยงของยามใกล้สอบกลางภาคการศึกษา กลุ่มของเหล่าจตุรเทพ ก็จะจับกลุ่มกันอ่านหนังสือภายใต้ร่มอาคารหลังใหม่ล่าสุดของโรงเรียน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกทองกวาวเริ่มผลิดอก และลมหนาวเริ่มพัดเอาความอบอุ่นออกจากร่างกาย

ถึงแม้ว่า ตัวผมเองนั้นจะถูกแนะนำเข้าสู่กลุ่มอย่างเป็นทางการแล้ว และพวกเขาก็คงยินดีที่ผมจะเข้าร่วมในการอ่านหนังสือเตรียมสอบด้วย แต่ด้วยสันดานขี้เกียจขี้คร้านของผม จึงทำให้ผมละเลยกิจกรรมนี้ และใช้เวลายามว่างในการหาความเพลิดเพลินในชีวิตด้วยการเล่นการ์ดเกมชนิดต่าง ๆ วันนี้เป็นวันศุกร์ วันสุดสัปดาห์ที่เปรียบเสมือนสวรรค์สำหรับหลาย ๆ คน แต่คงไม่ใช่สำหรับผม เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนอย่างไร ความสุขก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับผมอยู่ดี

ตอนนี้ผมร่าเริงและมีชีวิตชีวา เมื่ออยู่กับกลุ่มเพื่อนร่วมเล่นการ์ด กรรม์ก็นั่งอยู่ด้วย น่าแปลก ที่ผมไม่สามารถหยุดรอยยิ้มบนใบหน้าได้ มันเกลื่อนไปหมดราวกับได้โอกาสยิ้มแย้มเพียงครั้งเดียวในชีวิต มันคงจะทดแทนให้สมดุลกับหน้ากากน้ำแข็งที่ผมสวมใส่มาทั้งวันกระมัง




ผมเสพติดความสุขนี้ ช่างประหลาดเสียจริง เมื่อนานวันผมไม่อาจระงับความรู้สึกสุข หรือเศร้าได้ ชีวิตที่กดดันกว่าผู้อื่น ไฉนจึงต้องตอบแทนด้วยราคาสูงกว่าผู้อื่นอีกด้วย ผมเคยถามตนเอง แต่ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ คำตอบดูเหมือนมีมากมายในอากาศ และมีให้กับทุกเรื่อง แต่ว่าไม่มีสำหรับเรื่องนี้

ผมทอดสายตาข้ามไหล่ของกรรม์ไปยังอีกฟาก ที่ซึ่งเทพและเพื่อน ๆ ของเขานั่งอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้น
เทพพลันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมและยิ้มให้ ขนาดผมอยู่ไกลเพียงนี้ผมยังสัมผัสได้ถึงความขบขันอันหยอกล้อในประกายตา ผมเพิ่งสังเกตเห็นอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เทพ ฌิณชัยเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าเคร่งเครียดเคร่งขรึมอยู่เป็นนิจ เขาคงจะรู้สึกได้ถึงสายตาของผมที่จ้องมองมา จึงเหลือบตาขึ้นสบกับผมบ้าง

ฌิณชัยทำหน้ามุ่ย ก่อนหันไปกระซิบกระซาบบางอย่างกับเทพ จนกระทั่งผู้ฟังหัวเราะร่าโชว์รอยลักยิ้มเด่นข้างแก้ม ผมลอบยิ้มตามไปด้วยเมื่อเห็นเทพมีความสุข ผมคงไม่รู้ตัวเป็นแน่ ว่าผมกำลังถลำลึกเข้าสู่หลุมเสน่ห์ของหมอนั่นเข้าไปทุกที

“เป็นอะไรไป นัส”

กรรม์เป็นคนสะกิดให้ผมตื่นจากภวังค์

“ตานายแล้วน่ะ”

ผมรับคำเบา ๆ และเริ่มกระบวนการเล่นต่อ

“เอาใช่ เทพบอกว่าเทพเล่นเป็นเดี๋ยวมาเล่นด้วย”

“เทพไหน”

“คนที่นายเจอเมื่อวานไง”

กรรม์ถึงบางอ้อ เขาเหยียดยิ้มเล็ก ๆ “ก็ไปชวนมาเล่นสิวันหลัง”

“เขานั่งอยู่ข้างหลังนายโน่นแน่ะ แต่เราไม่กล้าไปชวน กลัวรบกวนเพื่อน ๆ เขา”

กรรม์เหลียวหลังไปดู ขณะที่เทพเองก็มองเห็นว่าตนเองตกเป็นเป้าสนใจ เขาส่ายหัวช้า ๆ ด้วยรอยลักยิ้มเดิม แล้วก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ

“อืม หน่วยก้านไม่เลวนะ แล้วเป็นไงล่ะ นิสัยเป็นไงบ้าง”

“ไม่รู้อ่ะ แปลก....มั้ง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า นัสเอ๊ย สรุปได้คำเดียวเองเหรอวะ ความสามารถเชิงวิจารณ์หายไปไหนหมด”

กรรม์ตบหลังผมดังป๊าป จนผมตกใจ จะว่าไปผมก็สรุปได้แค่คำนี้จริง ๆ นั่นล่ะ เพราะว่าผมไม่สามารถที่จะเดาความคิด หรือการกระทำลำดับต่อไป รวมทั้งปฏิกิริยาตอบรับของเทพในเรื่องต่าง ๆ ได้  เขาเหมือนหมอกขมุกขมัว ยากที่จะจับต้อง มีท่าทีทีเล่นทีจริงตลอดเวลาจนผมสับสน บางทีก็ดูเย็นชา บางทีก็ดูอบอุ่น เฮ้อ.... ทั้ง ๆ ที่ผมเชี่ยวชาญในการคาดเดาพฤติกรรมมนุษย์ แต่กลับไม่สามารถใช้ได้กับเทพเลยแม้แต่น้อย...





"จะออกไปข้างนอกวันอาทิตย์หรือ ?" คำถามด้วยเสียงเรียบเฉยจากบิดาทำให้ผมตัวสั่น เพราะอารมณ์ของเขาดูราบเรียบเกินไป ราวกับทะเลก่อนพายุ

"ครับ กรรม์ชวนไป"

"กรรม์เป็นใคร ?"

ผมคอตก เพราะผมคงบอกเล่าเรื่องราวละเอียดยิบเกี่ยวกับกรรม์ไม่ได้หรอก เพราะหลาย ๆ รายละเอียดที่ผมไม่อยากให้ทางบ้านรับรู้ และแน่นอนว่า เมื่อผมบอกเล่าได้ไม่ชัดเจน ความเป็นไปได้ของการขออนุญาตออกนอกบ้านในวันหยุดก็เท่ากับศูนย์

"มันไม่ค่อยสำคัญอะไรหรอกครับ งั้นนัสไม่ไปล่ะ"

ผู้เป็นบิดาขมวดคิ้ว เมื่อผมกลับเปลี่ยนความตั้งใจเอาเสียดื้อ ๆ

"อาทิตย์นี้เวรใครซักถุงเท้า ?"

"นัสเองครับ"

"อ้าว ก็รู้ตัวดีนี่ ไปทำสิ"

เมื่อรับคำเรียบร้อย ผมก็ถอยออกมาจากห้องหน้าบ้านอันบิดาใช้เป็นสถานที่ลงสีบนภาพสีน้ำมันทิวทัศน์สำหรับตกแต่งภายในบ้าน ผมปรายตามองภาพอีกภาพที่เสร็จเรียบร้อยแล้วบนผนังอีกข้าง เป็นภาพของนกขุนทองผัวเมียร่วมกันคาบอาหารมาเลี้ยงดูลูก ๆ ในรังเหนือต้นไม้ ผมอิจฉาพรสวรรค์เชิงศิลป์และความใจเย็นของเขา และอิจฉาที่ต่อให้เขาบันดาลโทสะอย่างไร เขาก็ไม่เคยทำลายภาพของตนทิ้งไป

ใช่สิ ไม่เหมือนผมเลย อารมณ์รุนแรงของผมที่ซ่อนภายใต้เปลือกของความเย็นจัดของผิวหน้า ความคิดของผมล่องลอยกลับไปยังครั้งหลังสุดที่ผมทะเลาะอย่างรุนแรงกับพ่อ

ทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย และทวีความรุนแรงเนื่องจากทิฐิของผมเอง ผมเป็นฝ่ายถอยออกมา ขึ้นไปหมกตัวในห้องส่วนตัว ผมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และต้องมาหลบซ่อน และที่นั่นเอง ผมเห็นภาพสีน้ำมันอีกภาพ

ภาพของเรือนไม้ไทยโบราณ มีเล้าเป็ดอยู่กลางน้ำ ฉากหลังคือทิวเขาเขียวครึ้ม และดวงอาทิตย์ยามเช้า เป็ดมีชีวิตชีวาหนึ่งฝูงว่ายตามจ่าฝูงของมันเหนือน้ำใสกระจ่าง ในเงามืดของป่ากล้ายข้างเรือนไทยเหนือหนองน้ำ จอดไว้ด้วยเรือโบราณเก่าแก่ ประดับแกมกอบัวสีสันสดใสในน้ำนิ่งจนแทบเห็นหลังปลา

ผมวาดภาพนั้นเอง เป็นภาพแรกที่ผมวาดภายใต้การแนะนำของพ่อ และตอนนี้ผมอยากทำร้ายจิตใจของเขาด้วยการทำลายมัน!

ผมกระชากมันลงจากข้างฝา เอาคัทเตอร์กรีดมันจนป่น ฉีกสองแนวกากบาทก่อนกลางภาพ ทำไม ผมรู้สึกเหมือนกรีดลงไปในใจของตนเลยนะ ผมป่นผืนผ้าใบจนยับ กรีดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฮ่าฮ่าฮ่า ผมกำลังหัวเราะ หัวเราะอย่างมีความสุขที่สุด หัวเราะทั้งน้ำตา ที่ได้ทำร้ายจิตใจของพ่อ
....และตนเอง

ผมเอาเศษภาพโยนทิ้งในบ่อน้ำหลังบ้าน ใช้แววตาเลื่อนลอยมองมันจมลงไปในน้ำ พ่อผมมองอยู่ข้างหลัง ผมหันไปเห็นแววตาเจ็บปวดไม่แพ้กันของเขา เขารีบหันร่างแล้วเดินหนีไปในทันที สำเร็จสมวัตถุประสงค์แล้วสินะ แต่ทำไม ทำไมผมไม่ยินดีเลยแม้แต่นิดเดียว

และบัดนี้ ความทรงจำเก่าแก่นั้นกลับมาวนเวียนหลอกหลอนผมอีกครั้ง เมื่อผมมองภาพอันวิจิตรฝีมือของบิดา ผมรู้สึกเสียใจในภายหลัง คนเราก็มักจะรู้สึกเสียใจเมื่อสายไปแล้วทั้งนั้น และผมก็ไม่ใช่กรณียกเว้น

"ไปซักถุงเท้าสิลูก ทำเสร็จไว ๆ บ่าย ๆ พ่อจะได้พาเล่นแบดฯ"

บางเวลาพ่อของผมก็น่ารัก เขาเป็นคนใจเย็น สุขุม รอบคอบ มีฝีมืองานช่างหลากหลายแขนง ตั้งแต่งานไม้ งานสวน งานภาพ งานโลหะ แม้กระทั่งการซ่อมแซมเครื่องยนต์ หรือก่อสร้าง เป็นคนรักเดียวใจเดียว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายในฝันของหญิงสาวหลาย ๆ คน

บางทีเขาก็ขี้เล่นหยอกกับลูก ๆ และภรรยาเสมือนเป็นเด็ก ๆ แต่เวลาที่เขาโกรธ ไฟไหม้ป่าก็ไม่เทียมกับแรงพิโรธนั้น
และผม ก็ควรจะทำตัวดี ๆ สำหรับยามบ่าย แผนการที่จะออกไปตามนัดของกรรม์จึงต้องถูกยกเลิกอย่างช่วยไม่ได้






  ผมก้มหน้างุดเมื่อเดินผ่านบุคคลอันคุ้นเคยยามพักเที่ยง   ผมพยายามสาวเท้าให้ผ่านหน้าเขาไปโดยเร็ว   ทว่ากรรม์กลับเรียกผมไว้เสียก่อน

                             “นัส  มานี่ซิ”

                  “อืม  มีอะไรล่ะ  วันนี้เราจะไป...”

                                  “นายจะไม่ไปไหนทั้งนั้น  มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน”

กรรม์ยุดชายคอเสื้อของผมไว้   แล้วดึงผมเข้าไปใกล้ ๆ เขา

                       “เรื่องอะไรล่ะ ?”

             “ทำไมเมื่อวานไม่มาบ้านเรา”

                             “แล้วทำไมเราต้องไปด้วยล่ะมันสำคัญตรงไหน”

กรรม์เริ่มหน้าแดงจัดด้วยความโกรธ  เส้นเลือดที่หน้าผากของเขาปูดโปนจนเขียวเป็นแนว

                     “วันอาทิตย์วันเกิดเรา  และเราอยากให้เพื่อนที่เรารักที่สุดไปร่วมงานวันเกิด   ทำไมนายถึงไม่มา”

ผมตกใจและเสียใจ  เมื่อรู้ว่าเมื่อวานสำคัญสำหรับกรรม์มาก   แต่ปากของผมไม่เคยตรงกับใจเสียที

                “วันเกิด?  แล้วมันสำคัญตรงไหนล่ะ  ขนาดเรายังไม่เห็นเคยจัดงานเลย”

   “มันไม่สำคัญสำหรับนาย  แต่สำคัญสำหรับเรา!”     กรรม์ตวาดด้วยสีหน้าโกรธจัด  ก่อนลดเสียงลงมา     “เราบอกแม่เราให้ทำเค้กสำหรับวันเกิดนายย้อนหลังด้วย   เรารู้ว่านายไม่เคยได้เค้กวันเกิดเลย    แต่แล้วไง    เจ้าของเค้กไม่มา  หึหึหึ   เรารู้สึกยังไง   คนอื่นรู้สึกยังไง    นายไม่เคยรู้เลยหรือไง!”

ผมชักน้อยใจบ้างแล้ว  ทำไมเพื่อนผมถึงเอาแต่อารมณ์ของตนเป็นที่ตั้ง  ทำไมไม่ถามบ้างเลยว่าที่ผมมาไม่ได้น่ะเพราะอะไร

            “เราไม่รู้  เราไม่สน  นายจะทำอะไรก็เรื่องของนาย    ไม่เกี่ยวกับเราเลยสักนิด”

กรรม์โมโหถึงขีดสุด  เขาจับต้นคอผมกดกระแทกลงไปกับเสาปูนข้าง ๆ  ฟันหน้าของผมกระแทกเข้ากับเนื้อแข็งของปูน  จนเจ็บลึกเข้าไปถึงประสาทฟัน  เขาเริ่มรู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป  จึงคลายมือออกจากคอเสื้อที่ขยุ้มผมไว้  กรรม์มีสีหน้าสำนึกผิดและเสียใจ     ผมเองก็เจ็บปวดใจ  แต่ผมก็ยังฝืนยิ้มกว้างให้เขา

                             “กรรม์  เราขอโทษนะ  ที่พูดอะไรแบบนั้นออกไป  เดี๋ยวขอตัวก่อนนะ   แล้วค่อยเจอกัน”
กรรม์ยังคงยืนนิ่ง  ด้วยพูดไม่ออก   ส่วนผมรีบสาวเท้ายาว ๆ ก้าวจากมา     น้ำตากลับไหลรินอาบแก้ม  เมื่อลับสายของเขา     ผมกึ่งวิ่งกึ่งเดิน   โดยไร้จุดหมาย

วิ่งไปเรื่อย ๆ....

                    จนกระทั่ง   ถึงโต๊ะไม้ใต้อาคารคณิตศาสตร์    อาคารที่อยู่ลึกที่สุดในโรงเรียน  และล้อมรอบไปด้วยพันธุ์ไม้หนาครึ้ม   ผมนั่งลงบนโต๊ะซึ่งร้างผู้คน    กลุ่มของเด็ก ม.ต้น เตะบอลกันอยู่ที่ลานข้างอาคาร  ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
   น้ำตา..  เมื่อได้ไหลแล้ว   มันจะไหลไม่หยุด

                         ไหลรินเรื่อย ๆ   ห้ามไม่ได้    จนกว่า  จะมีใครบางคนมาช่วยซับมันออกไป

ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาด  ถูกยื่นจากมือที่ขาวสะอาดไม่แพ้กัน

                       “ใช้ดิ  ฝุ่นเข้าตาใช่มะล่ะ”

น้ำเสียงกวนนิด ๆ   จะเป็นของใครไม่ได้นอกเสียจาก..

             “เทพ..”

            “อืมเราเอง  รีบ ๆ รับดิ  เมื่อยนะเว้ย”

ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเทพเอาแขนอีกข้างมายกแขนข้างที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ราวกับว่ามันหนักเสียเต็มประดา

      “เราไม่ใช้หรอก  ”  ผมปาดน้ำตาที่เปรอะแก้มด้วยแขนเสื้อข้างซ้าย   “ผ้าของนายคงใช้เช็ดขี้มูกมาใช่มะล่ะ”

เทพหลุดขำก๊าก  กับการคาดเดาอะไรแปลก ๆ ของผม     เขานั่งลงอีกฟากของโต๊ะ   แล้วยื่นหน้าข้ามโต๊ะเข้ามาใกล้ ๆ

                  “เอ้า  ดูจมูกเรา  แห้งจะตาย  มีขี้ม่งขี้มูกซะที่ไหน”

เขาหลับตาลง  แล้วยื่นใบหน้าของเขาเข้าใกล้ผมทุกที   ผมกลืนน้ำลายลงคอ  เมื่อมองใบหน้าของเขาใกล้ ๆ  ช่วงเวลาที่เทพโน้มร่างเข้าใกล้ผมนั้น  เสมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์

  ทำไมมันต้องหลับตาด้วยวะ    เผยอปากหน่อย ๆ อีกต่างหาก   ตอนนี้ผมหวั่นไหวแบบสุด ๆ     อีกเสียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น  ริมฝีปากของเราก็จะสัมผัสกัน

                      ในที่สุด...

                                  ผมก็เบี่ยงใบหน้าออก   พร้อมกับสูดลมหายใจลึกยาวเพื่อระงับอารมณ์
เทพลืมตาขึ้นทันใด   ดวงหน้าของเขาใสซื่อราวกับไม่ล่วงรู้เลยว่าสิ่งที่เขาทำเมื่อครู่เกือบทำให้ผมหัวใจวายตาย

              “อ้าว  ดูเสร็จแล้วเหรอ   ว้า  พูดไม่ออกล่ะสิ     แต่ช่างเหอะ  ตานายแห้งแล้ว  คงไม่ต้องใช้ผ้าเราแล้วล่ะ”
เขาเก็บผ้าเช็ดหน้าเข้ากระเป๋าเสื้อด้วยท่าทีปกติ  ก่อนหยิบหนังสือเรียนในกระเป๋าออกมาอ่าน  เขายังเหมือนเดิมทุกประการ    แล้วผมล่ะ...             

                    ผมที่ถูกใครบางคนค่อย ๆ รุกคืบกินพื้นที่ในหัวใจทีละน้อยควรจะทำอย่างไรดี!   
   

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
รู้สึกว่าบาดแผลในใจของนัส จะลึกเกินกว่าจะคาดคิด  :m13: :m13: :m13:

Clear eyes

  • บุคคลทั่วไป
Re: [---หวังเทวา---] - นิยา
«ตอบ #27 เมื่อ30-05-2008 19:37:06 »

 :o
นี่ถ้าเพื่อนคุณปฤษณะไม่เข้ามา
คงไม่รู้ว่ามีนิยายอีกหลายเรื่องทีเดียวที่คุณเขียน

อยากอ่านเรื่องอื่นๆด้วยน่ะค่ะ :m23:
ไม่ทราบว่าจะหาได้จากที่ไหนค่ะ?
(ก็บอกแล้วว่าชอบสำนวนภาษาของคุณจริงๆ)

แล้วมาต่ออีกนะคะ
รออยู่...............

ปล.ว่าแต่...มีเรื่องที่คุณเขียนจบบ้างรึป่าวน้า??????????? :laugh:

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
คุณ THIP :  เจ้านัสมันขี้แยครับ  แผลมันตื้นนิดเดียวแต่มัวแต่นั่งย้ำคิดอยู่นั่นแหละน่าเบื่อจะตาย  ฮ่าๆๆ

คุณ Clear Eye :  เราเคยเจอกันที่เด็กดีเมื่อนานมาแล้วใช่ไหมครับ  เรื่องที่ผมแต่งจบก็มี
หวังเทวา, นฤมิตพิศวาส, พิภพเงินตรา, ความฝันของผีเสื้อ(Chaung Tzu Philosophy)  และ AbGay แผนลับสลับรัก  ครับผม
เรื่องที่เกือบจบก็
ปักษานิรมิต, นกกระจาบแห่งสุวรรณภูมิ และ Queer PM เกมกลคนเมือง
เรื่องที่ยังค้างไว้และมีโครงการจะเขียนต่อ
Shadarika, ศึกแมวเหมียวทะลุจักรวาล, Zombified School โรงเรียนพันธุ์นรก  และล่าสุดก็  ควีนยกกำลังสอง ตามล่าหารุกแท้  ขอรับ

สนใจเรื่องไหนก็ลองเอาชื่อเรื่องไปกดค้นหาในกูเกิ้ลได้ครับ  หรือถ้าหาไม่เจอ PM มานะครับ  เดี๋ยวจะส่งลิงค์ให้หลังไมค์   

 :L1:








[เหตุการณ์ปัจจุบัน]



              จักรยานของเขาจอดอยู่ในโรงรถเรียบร้อยแล้ว  ส่วนของผมคงอยู่ที่ร้าน   ตอนนี้ผมเพียงแค่อยากไปที่ไหนไกล ๆ สักแห่ง  ผมเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก  และผมไม่สามารถที่จะข่มตาหลับหรือหยุดนิ่งได้

ลมเงียบสงบลงอย่างน่าประหลาด   มวลอากาศหนักอึ้งเสมือนจะกดทับผมให้แบนราบภายใต้ท้องฟ้าอันลอยล่องด้วยกลุ่มเมฆก้อนใหญ่  ผมไม่ได้สังเกตสภาพแวดล้อมมากนัก  ผมรู้แต่เพียงถนนสีดำอันทอดอยู่ภายใต้พาหนะที่ผมใช้อยู่  ผมกระแทก  บึ่งมันออกไป   ไม่รู้สิ  ผมไม่มีเป้าหมาย

รอยแผลที่หัวเข่าของผมยังเจ็บยอกไม่หาย  และเลือดก็ไหลซึมออกจากผ้าพันแผล   แต่ผมไม่สนใจความเจ็บปวดอีกต่อไป    เมื่อบางอย่างกำลังเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายหลายเท่า   อากาศร้อนอบอ้าวขึ้นหลายเท่า   เหงื่อซึมออกมาทั่วแผ่นหลังของผม

และผมกำลังไปยังทางเดิม  ทางขึ้นสู่ยอดเขา  ที่มาเมื่อเช้า  ..โดยไม่รู้ตัว

                   อาทิตย์อัสดงกำลังลับผืนน้ำ   ประกายทองของมันไม่แพรวพราวดุจเดิม    กลับดูหม่นเศร้าแปลก ๆ   รับกับบรรยากาศหนักอึ้งรอบ ๆ ตัว   ผมพิงจักรยานคันเดิมไว้ข้าวโขดหินเก่า   แล้วเดินอย่างเลื่อนลอยข้ามแปลงดอกไม้ที่อยู่ระหว่างลานปูนกับที่กั้นริมผา

ผมนั่งลงบนขอบที่กั้น  และห้อยขาออกไปทางเบื้องนอก    เบื้องล่างของร่างผมคือผาสูงชันอันน้ำทะเลซาดเซาะครืนโครม

  ผมเหงา   ..และรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก    ขอบตาก็ร้อนผ่าว ๆ  ราวกับสิ่งที่เก็บกักไว้กำลังจะทะลักออกมา   แต่ไม่   

           ท้องฟ้ามืดครึ้มลงทุกที    และในที่สุดมันก็ปลดปล่อยหยาดละอองฝนบาง ๆ ลงมาต้องผิว    ผมกอดไหล่ตนเองไว้หวังจะคุ้มกายจากความหนาวเหน็บ   ฝนเริ่มหนาหนักขึ้นทุกที   สถานที่นี้ว่างเปล่า   คงไม่มีใครคิดจะมาชมวิวในยามนี้เป็นแน่

  เสียงสั่นระริกของผม ฮัมเพลงกล่อมเด็กเก่าแก่เบา ๆ...

                                “นกเขาของเราแต่เก่าก่อน
                               คู่พรากจากจร  มิอาวรณ์คืนรัง
                             โอ้เจ้านกเขาดง  เจ้าคงหลงลืมรัง
                             ลืมกระทั่ง  ...จู้ฮุกกรู


พิรุณพร่างพรำหนาหนักทุกที  ราวจะกลบเสียงผมให้หายไปในอากาศ  นกเขาลืมรัง  ก็คงผมสินะ    ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมกลับบ้านครั้งหลังสุดเมื่อไหร่    แต่ผมจำได้  ว่าผมคิดถึง..ที่นั่น  ถึงเพียงไหน

บางอย่างที่ผมหวังจะหามาทดแทนความรักความอบอุ่น    แต่มันไม่ใช่    มันไม่ได้ให้ผลเหมือนที่หวังเมื่อสิ่งนั้นยิ่งทำร้าย  กรีดลงไปในแผลกลางใจของผมให้กว้างขึ้น   

ผมหลับตาลงอย่างช้า ๆ  บางอย่างที่อุ่นร้อนเริ่มไหลอาบแก้มคละเคล้ากับสายฝน   ผมเริ่มโยกตัวและฮัมเพลงเก่าอีกครั้ง   ทว่าเสียงฟ้าคะนองกลบเสียงของผมไปสิ้น      ผมก้มลงมอง    มองความเวิ้งว้างและลึกล้ำของผิวน้ำและอากาศ   ผมจินตนาการถึงร่างของผมที่ลอยลิ่วลงไปกระทบผิวน้ำ      มันอาจจะดำดิ่งลึกลงไปจนไม่สามารถโผล่ขึ้นมาได้   หรือกระแทกแง่งหินโสโครกจนแหลกเหลวเสียก่อน

ความเศร้า  ทำไมต้องเกิดขึ้นที่หน้าอกด้วย   มันลามขึ้นมาจากสองข้างของชายโครง  เข้าสู่กลางหน้าอก  ผมรู้สึกวูบหวิวในหัวใจ  ตอนนี้ผมเริ่มปวดหัว   ดูท่าโรคเก่าคงกำเริบ...     

                   “นายจะบ้าเหรอ    ไปนั่งตรงนั้นได้ไง”

เสียงใครบางคนตวาดลั่นข้างหู   มือของเขาคนนั้นฉุดกระชากผมจากที่เดิม  และลากร่างอ่อนปวกเปียกของผมมากลางลาน

ตอนนี้สายตาของผมเริ่มพร่าเลือน  แต่ยังพอมองเห็นความร้อนรนของเขาเมื่อเขาสัมผัสใบหน้าของผม
เขาพูดอะไรอีกก็ไม่รู้   เพราะหูของผมทั้งสองข้างอื้ออึงไปด้วยเสียงวี้วี้  รบกวนจนผมอยากหลับไปให้พ้น ๆ
       ...แล้วความมืด  ก็เข้าครอบคลุมอนุสติของผมอีกครั้ง




   ใครบางคน  ที่ตั้งใจจะเข้ามาหาร่างบนที่กั้นริมผาแต่แรก  กลับชะงัก  เมื่อเห็นพันไพร   เขายืนนิ่งจ้องมองพันไพรโอบอุ้มร่างของผู้เป็นที่รักขึ้นสู่รถคันยาวสีดำ  คนคนนั้น  ก้มใบหน้าลง  แล้วยิ้มเศร้า ๆ ให้กับตนเอง

                          “ตอนนี้  เราคงยังไม่จำเป็นสินะ...”








   สัมผัสอบอุ่นที่ล้อมรอบร่างของผมในยามรุ่งเช้า  เมื่อเสียงไก่ขันกู่แว่วมาแต่ไกล  คือผิวเนื้อของร่างเกือบจะเปลือยเปล่าของพันไพร  เขาและผมมีผ้าผืนเล็กเพียงผืนเดียวปกปิดเรือนร่าง  แขนของเขาตวัดรัดเกี่ยวกอดผมเอาไว้แนบกายกรุ่นกลิ่นชาย

   ผมปวดหัวและคอแห้งมาก  เจ็บคอไปหมด   ดูท่าฝนหลงฤดูเมื่อคืนทำร้ายผมหนักกว่าที่คิด      เมื่อผมสลัดใบหน้าเพื่อไล่ความง่วงงำและงุนงงออกจากห้วงสมอง  คนข้างกายก็ลืมตาตื่นในสภาพงัวเงียเช่นกัน 

                          “นัส  ฟื้นแล้วหรือ    นายเป็นไข้หนักมาก  ตัวร้อนจัดเลย  จนผมคิดว่าจะไม่ได้เจอนัสอีกแล้ว”

                       “อืม...”

ผมยันหน้าอกเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายให้ออกห่างด้วยมือไร้เรี่ยวแรง   แน่นอนว่ามันไร้ผล  เมื่ออีกฝ่ายยังดื้อดึงที่จะกอดผมไว้แบบนี้

                               “ออกไปก่อน..   ผมอึดอัด”

ด้วยประโยคนี้  คนถูกดุถึงยอมคลายมือออกหลวม ๆ   แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ผมหลุดรอดกรงเล็บไปอยู่ดี

                “นี่  นายฟังรู้เรื่องหรือเปล่า  คนยิ่งปวดหัวอยู่ด้วย”

                   “นัส”     พันไพรยังไม่ยอมปล่อย  หมอนี่หน้ามึนจริงพับผ่าสิ    “ผมขอโทษนะครับ  ผมไม่รู้ว่ามันจะทำร้ายนัสขนาดนี้   ถ้าผมรู้ว่าบางสิ่งที่ผมทำ  มันทำร้ายคนที่ผมรักแล้วล่ะก็  ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด”

ผมรู้ว่าเขาพูดถึงอะไร  และผมก็รู้ดีว่าตอนนี้จิตใจของผมกำลังอ่อนแอ  ง่ายต่อการถูกเป่าหูด้วยคำหวาน  ผมจึงเอื้อมมือลงไปยังจุดกึ่งกลางร่างกายของพันไพร   พร้อมกับคลึงเคล้นเล้าโลมบางสิ่งของเขาซึ่งชูชันอยู่ก่อนแล้วอันเนื่องจากธรรมชาติของชายหนุ่มวัยเจริญพันธุ์ในตอนเช้า ๆ   พันไพรสะดุ้งเฮือก   เขาบิดหน้าเหยเกด้วยรสสัมผัสจากปลายนิ้ว

         “แล้วไพรจะทนได้หรือครับ    แน่ใจหรือครับ  ว่าไพรจะรักผมได้โดยที่ไม่มีมัน”

                “ผม..อ่ะ  อั่ก ..”

ผมไล้ปลายนิ้วรุนแรงขึ้น  เพื่อเร่งเร้ายั่วยุอารมณ์ของเขา  พันไพรหอบหายใจเร่งร้อนขึ้นทุกที  และในที่สุด  ..
เขาก็ตวัดอ้อมแขนแกร่งกอดรัดร่างผมราวกับจะบดขยี้ให้แหลกเหลว   เรียวปากบางประดับไรหนวดจาง และเคราเขียวสั้นซุกไซร้ลงตามซอกคอของผมพร้อมกับดูดกินอย่างหื่นกระหาย   

  ผมพริ้มตาลงช้า ๆ ถอนมือออก  และรอคอยสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง  และอีกครั้ง

              “ผม  ผมทำแบบนี้กับนัสไม่ได้   นัสกำลังลองใจผม”

พันไพรพลันถอนกายออก   เขาผงะออกไปนั่งที่มุมเตียง  เมื่อผมชันกายขึ้นจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า

                             “ทำไมล่ะ  ทำไมถึงทำไม่ได้    ทำแบบที่นายทำทุกครั้งสิ   ไพรเคยบอกผมนี่  ว่าถ้าเราทั้งคู่สมัครใจ  มันก็เกิดขึ้นได้     แล้วตอนนี้ผมก็สมัครใจ..”

พันไพรมีสีหน้าเจ็บปวด  เมื่อรับฟังถ้อยคำราบเรียบไร้อารมณ์ของผม  เขาจิกผ้าปูเตียงไว้แน่นด้วยมือข้างขวาจนเส้นเอ็นปูดโปนไปทั่วแขน

                           “นัสไม่ได้รักผม   ฝืนทำแบบนี้ไปรังแต่จะเจ็บปวด   มีแต่ผมที่เป็นสุขอยู่ฝ่ายเดียว  มันไม่ยุติธรรม”

ผมคืบคลานเข้าใกล้ร่างของเขา    ความต้องการของเขายังคงอยู่  และเต็มเปี่ยม     

       “ไม่มีความยุติธรรมหรอกนะ  บนโลก   เราถูกใครคนหนึ่งเบียดเบียน  และอีกคนก็ถูกเราเบียดเบียนอีกที”

ผมรั้งคอของเขามา  และจุมพิตลงยังซอกคอ

                        “แต่ผมไม่  ผมไม่มีวันทำร้ายคนที่ผมรัก”

พันไพรแกะมือของผมออก  และรีบถอยหลังออกไปจากห้อง      ผมได้แต่มองตาม  และเอนร่างหลับตาลงบนเตียง  เมื่อได้ยินเสียงประตูห้องน้ำกระแทกตัวปิดดัง ปัง!





เตียงยวบไหวอีกที   เมื่อร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม     กลิ่นสบู่อ่อน ๆ ระเหยออกจากร่างของคนข้าง ๆ   ไพรคงจะขับความต้องการของเขาออกไปแล้ว  และอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย   ผมตะแคงหลังให้เขา  แต่ก็จินตนาการได้ว่า พันไพรคงกำลังเอนร่างจ้องมองแผ่นหลังของผมเงียบ ๆ     

         “ไพร   ทำไมนายถึงรักผม ?”

คำถามลอย ๆ ที่ถามโดยไม่เห็นหน้าผู้ตอบ  เรียกความเงียบให้คลี่คลุมระหว่างเราอยู่ครู่ใหญ่..

                        “ก็..ไม่รู้สินะ      แล้วทำไม  นัสถึงไม่รักผมล่ะ ?”

ถึงคราวที่ผมจะต้องครุ่นคิดอย่างหนักกับคำถามของเขาบ้าง   นั่นสิ  ทำไมกัน    ในเมื่อพันไพรพร้อมทั้งรูปสมบัติ  ทรัพย์ศฤงคาร  อัธยาศัย    สติปัญญา   รวมทั้งความรักมั่นไม่เปลี่ยนแปร   หากจะกล่าวไปแล้ว  เขาเหนือกว่าเทพหลายเท่า  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เขาเป็นคนที่รักผม

                 บุรุษที่เพียบพร้อมขนาดนี้  ทำไมผมถึงไม่รักเขาล่ะ ?

แต่พันไพรไม่ต้องการคำตอบของเขา  เขาเฉลยมันออกมาด้วยสไตล์ของเขาเอง

                       “ก็เหมือนกันนั่นล่ะ  ความรักไม่ต้องการเหตุผล  ถ้าผมรักนัส  ก็เพราะว่าผมรักนัส  แล้วนัสล่ะ  เปิดใจให้ผมบ้างได้มั้ย   ให้ผมลองดูสักครั้ง    ลองสู้เพื่อเอาหัวใจของนัสมา..”

                 ผมหันหน้ากลับไปหาเขา  และจ้องดวงตาอันแพรวพราวราวกับสะท้อนประกายดาวไว้ในนั้น

         “ก็ลองดูสิครับ...   แต่ว่านายอาจจะเหนื่อย  หรือท้อไปก่อนก็ได้นะ”

เพียงคำนี้  รอยยิ้มกว้างก็เกลี่ยระบายไปทั้งใบหน้าหล่อเหลาของพันไพร  ผมชักจะเคลิ้มกับหมอนี่มากขึ้นทุกทีแล้วสินะ   เขาดีดร่างจากท่าตะแคงนอนบนเตียงด้วยความยินดี   

        “งั้นผมขอไปปฏิบัติภารกิจแรกนะครับผม  พิสูจน์ความเป็นพ่อศรีเรือน   นัสอยากกินอะไรครับ  เอาโจ๊กกุ้งมั้ย ?”

ผมหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ  กับท่าทีเริงร่าเหมือนเด็กเล็กได้ของเล่นใหม่     นายคนนี้มองได้ไม่เบื่อจริง ๆ ไม่ว่าอารมณ์ไหน ๆ

                      “ok ครับ  ผมจะรอรับประทานนะ     แต่ถ้าไม่อร่อยจริง ๆ ผมจะจับพ่อครัวหัวป่าก์มัดโยนให้ฉลามกิน”

                  “โหย  ทำอย่างนั้นก็แย่สิครับ  แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้ง  เขาว่าคนชั่วน่ะตายยาก  ยังไงผมก็ต้องรอดสักทางหนึ่งล่ะ    รอดมาหานัสไงล่ะครับ”

แววตาขี้เล่นพราวระยับจนผมไม่กล้าจ้องนานอีกแล้ว   คนอะไร  มีดวงตาเป็นอาวุธ

                     พันไพร   ก้าวออกจากห้องนอนไปอย่างกระฉับกระเฉง  และปิดประตูห้องตามหลังอย่างเบามือ

รอยยิ้มที่เกลื่อนไปบนหน้าของผมจึงค่อยสลายคลาย    ผมถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย  เมื่อคิดถึงคนอบอุ่นอ่อนโยนอีกคน  ที่หากว่าเขามาหาผมบ้างสักครั้งล่ะก็  ผมคงไม่ตกลงปลงใจกับพันไพรง่ายขนาดนี้

                  พี่แนค  พี่อยู่ไหนกันนะ…






ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
 o13 เขียนเหตุการณ์บอกไว้บนหัวแล้วอ่านง่ายคะ

อย่าลืมมาโพสเรื่องนี้ต่อนะคะ  :L2:

ไว้จะลองตามหาเรื่องเก่า ๆ อ่านบ้างค่ะ  :pig4:


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด