ปรสิต | 06
รูบิกเป็นของเล่นเด็ก ๆ ซึ่งกลายเป็นงานอดิเรกของศรัณย์ไปโดยปริยาย
เขาได้แต่มองมันสลับกับแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ทางด้านหนึ่งของห้องพัก ตอนนี้ศรัณย์รู้สึกไม่ดี ทั้งที่มีเวลาได้นั่งเฉย ๆ มาพักใหญ่ หากแต่ความรู้สึกแปลก ๆ กลับทำให้เขาสงบใจไม่ได้อย่างที่ควรจะเป็น รู้แก่ใจว่ามีเวลานอนอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นเพื่อไปเข้างานต่อ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่ นี่ก็ปาเข้าไปเป็นครั้งที่สามแล้วที่รูบิกทั้งหกด้านเรียงกันเป็นสีเดียว และอาจจะเป็นครั้งที่ห้าที่เขาเห็นรามิลหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพยายามโทรออก แต่แล้วมันก็ถูกวางลงในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา
ชายหนุ่มตัดสินใจวางรูบิกไว้บนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เสื้อเชิ้ตสีอ่อนถูกถอดโยนลงในตะกร้าแล้วจึงคว้าเอาผ้าเช็ดตัวมาพันไว้รอบท่อนล่าง พรุ่งนี้รามิลมีสอบย่อย เพราะอย่างนั้นคนเป็นรุ่นพี่อย่างเขาจึงรู้แก่ใจว่าการเข้าไปกวนตอนนี้เป็นสิ่งควรทำอันดับสุดท้าย
ศรัณย์เปิดน้ำฝักบัวเย็น ๆ ให้สาดลงมากระทบใบหน้าเผื่อว่าความคิดฟุ้งซ่านจะถูกขจัดออกไปได้บ้าง ชายกระโปรงสีขาวและเรือนผมสีดำขลับยังคงเด่นชัดในความคิด เขาไม่เห็นหน้าเธอชัด และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะเอาสิ่งที่ใกล้เคียงกับการตาฝาดนี่ไปถามหาเอาจากเจ้าหน้าที่คอนโดมิเนียมหรือเปล่า เขาไม่เชื่อเรื่องผี ๆ สาง ๆ มันพิสูจน์ไม่ได้ แต่กลับมีอิทธิพลให้สภาพจิตใจติดลบอย่างที่เป็นอยู่
Rrrrเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากทางด้านนอก ศรัณย์คิดว่ารามิลอาจจะพูดคุยกับเพื่อนของเจ้าตัวเรื่องการสอบ ถึงได้เอาแต่พะว้าพะวงอยู่กับโทรศัพท์อย่างนั้น
Rrrrนึกตำหนิที่ไม่ยอมทำให้มันเงียบไปสักที เวลาแค่ไม่กี่นาทีเด็กคนนั้นคงไม่เผลอหลับสนิท อีกอย่างรามิลเป็นคนตื่นง่าย เจอเสียงโทรศัพท์แผดใส่อย่างนี้เป็นต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกที
ใช้มือยันผนังกระเบื้องไว้ก่อนจะเลื่อนเท้าไปเขี่ย ๆ บริเวณท่อระบายน้ำหลังจากทนความหงุดหงิดไม่ไหวเมื่อน้ำบนพื้นขังขึ้นมาจนถึงครึ่งเท้า ห้องน้ำนี่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเส้นผมอุดตันนัก เพราะเขาและรามิลเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ ก่อนหน้าอีกคนย้ายเข้ามา ศรัณย์ใช้วิธีการจ้างแม่บ้านสัปดาห์ละครั้งหรืออาจจะน้อยกว่านั้น
เอาน้ำจากฝักบัวลูบ ๆ ใบหน้าให้พอแน่ใจว่ายาสระผมจะไม่ไหลเข้าตา ก้มลงมองปลายเท้าซึ่งสัมผัสอยู่กับเศษดินแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
Rrrrเสียงโทรศัพท์ดังไม่หยุดนั่นสร้างความหงุดหงิดแก่จิตใจที่ไม่สงบเป็นทุนเดิม การอาบน้ำไม่ช่วยให้เขาผ่อนคลายเสียแล้ว คิดได้อย่างนั้นก็ล้างแชมพูสระผมออกจากหัวก่อนถูสบู่ด้วยความเร็วปกติ เป็นห้านาทีที่เขารำคาญเสียงโทรศัพท์จนคิดจะออกไปเฉ่งรามิลให้รู้แล้วรู้รอด
Rrrr“เก้า ทำไมไม่รับโท --”
หากแต่ทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำออกมา ศรัณย์กลับได้ยินแค่เสียงแอร์หึ่ง ๆ กับเสียงของสายฝนดังแว่วมาจากทางด้านนอก รามิลเอี้ยวตัวมาเลิกคิ้วใส่เขา พอได้รับกลับมาแค่ความเงียบ เด็กหนุ่มก็ส่งเสียงทวนถาม “ครับ?”
เห็นโทรศัพท์ของรามิลวางนิ่งอยู่ห่างจากเจ้าตัวไปแค่เอื้อมมือ ส่วนโทรศัพท์ของเขาก็วางแอ้งแม้งอยู่บนเตียงในสภาพหน้าจอดำสนิท ใช้เวลาตั้งสติกับตัวเองครู่หนึ่ง นายแพทย์หนุ่มก็เดินไปหยิบเสื้อในตู้เสื้อผ้ามาสวมใส่บนตัวอย่างลวก ๆ
“ตอนอยู่ในห้องน้ำพี่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ ของเราหรือเปล่า”
รามิลขมวดคิ้วน้อย ๆ หลังจากได้ยินคำถาม ที่หูเขาไม่มีหูฟัง แล้วเสียงฝนทางด้านนอกก็ไม่ได้ดังมากพอจะกลบเสียงโทรศัพท์ “ผมอ่านหนังสืออยู่ ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
ได้ยินอย่างนั้น ศรัณย์จึงตัดบทความแคลงใจของตัวเองด้วยอาการประสาทหลอน เขาคงฟุ้งซ่านมากไปถึงเกิดได้ยินอะไรบ้า ๆ แบบนี้
ควรจะนอนได้แล้ว บอกตัวเองพร้อม ๆ กับการสวมกางเกงแล้วพาร่างขึ้นไปนอนพักบนเตียง รามิลหันกลับไปอ่านหนังสือ ส่วนศรัณย์ก็ใช้ปลายนิ้วนวดขมับช้า ๆ ชักจะรู้สึกว่ามันเต้นตุบ ๆ ขึ้นมาแล้ว
เอื้อมตัวไปคว้าเอารูบิกมาถือไว้เป็นเครื่องช่วยสงบจิตสงบใจ แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วจนผูกเป็นปมอีกครั้ง
“เก้า”
คนถูกเรียกหันมาทำหน้าแปลกใจใส่เขาเป็นครั้งที่เท่าไหร่นั้นนับไม่ได้ รามิลเลิกคิ้วมองรูบิกในมือคนรักด้วยสายตานิ่งเฉย ไม่เข้าใจสิ่งที่ศรัณย์ต้องการจะสื่อ
“เมื่อกี้เราเอารูบิกพี่ไปเล่นเหรอ” เขาถาม แต่ก็ได้รับการส่ายหน้ากลับมาเป็นคำตอบ รามิลชี้ย้ำที่หนังสือตรงหน้าตัวเองราวกับจะบอกว่าเจ้าตัวยังไม่ได้ขยับก้นออกจากเก้าอี้นี่เลยด้วยซ้ำ
เขาจ้องมองรูบิกในมือหลังจากอีกฝ่ายหันกลับไปแล้ว อีกครั้งที่ความรู้สึกในใจมันโหวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ศรัณย์ไม่ใช่คนความจำสั้น หรือถ้าจะสั้นขนาดจำไม่ได้ว่าล่าสุดที่เขาจับลูกรูบิกนั้น ทุกด้านเรียงตัวเป็นสีเดียวกันอย่างชัดเจน เขาก็คงใกล้เข้าคำว่าอัลไซเมอร์ตั้งแต่อายุเพิ่งเข้าเลขสาม แต่ไอ้การเรียงสีมั่วซั่วเหมือนตอนที่ต้องสับก่อนเริ่มเกมใหม่ทุกครั้งนี่ศรัณย์ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น แน่นอนมันตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำไป
วันนี้เขาพูดคำว่า
เป็นไปไม่ได้ไปกี่ครั้งแล้วนะ
--------------------------------------------------
ประตูสีไม้โอ๊คตรงหน้าไม่ได้ชวนให้ชนกันต์รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเสียทีเดียว ร่างเล็กมองจิตแพทย์หนุ่มที่สะพายกระเป๋าเป้ของเขาเอาไว้พลางเปิดสวิทช์ไฟให้ห้องทั้งห้องสว่างโล่ ชนกันต์รีบพาตัวเองเข้าไปแล้วปิดประตูล็อกจนเรียบร้อย ไม่สบายใจนักถ้าจะต้องยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ด้านนอกให้ธรณีประตูกั้นระหว่างทั้งคู่อีก ในตอนนี้เขากลัวแม้กระทั่งการกวาดสายตาไปรอบ ๆ กลัวว่าสายตาจะหยุดยังที่มืดสักจุดแล้วอุปทานความกลัวในใจขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่าง เจ้าของห้องวางกระเป๋าเขาไว้บนโซฟาก่อนจะหันมาส่งสายตาเป็นคำถามว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า แค่อธิศทำท่าจะเดินไปรินน้ำมาให้ดื่ม ชนกันต์ก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบมืดลงในพริบตา ถลาไปรั้งแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้แล้วส่ายหน้าไปมาแทนประโยคขอร้อง รู้ว่านี่มันดูงี่เง่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรแย่ไปกว่าเรื่องที่เพิ่งได้พบเจอมา
ตั้งแต่ออกมาจากห้องนั้นสิ่งที่คั่นกลางระหว่างคนทั้งคู่มีเพียงความเงียบ ราวกับจมอยู่ในความคิด ความหวาดผวา และน่าแปลกที่หมออธิศไม่ได้เอ่ยถามอะไรเขาในสิ่งที่ควรจะอยากรู้ ชายหนุ่มเหมือนหุ่นยนต์ขับรถที่ตาจับจ้องแค่เพียงถนน และชนกันต์เองก็ทำได้เพียงแค่ปล่อยลมหายใจให้ผ่อนเข้าออกจนกระทั่งร่างกายสั่นเทาค่อย ๆ สงบลง
“แค่คืนนี้ใช่ไหมครับ” คนอ่อนวัยกว่าเอ่ยถาม ครั้นได้สบกับนัยน์ตาคมตรงหน้าก็นึกขึ้นได้ว่าคำพูดของตัวเองคงฟังไม่เข้าใจนัก “ผมหมายถึง -- ผมต้องค้างกับหมอแค่เฉพาะคืนนี้ใช่ไหม”
ชนกันต์ไม่ได้คาดหวังอะไรในใจ แต่ถึงอย่างนั้นคำถามกล้า ๆ กลัว ๆ ของเจ้าตัวก็ได้คำตอบเป็นรอยยิ้มบางซึ่งแย้มออกบนใบหน้าของใครอีกคน
“เอาเป็นว่าจนกว่าคุณจะสบายใจดีกว่า” ยิ้มนั้นหุบลงเร็วเสียจนดูรู้ว่าฝืน จิตแพทย์หนุ่มรักษาท่าทีของตนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่แน่ใจนักว่าห้องพักนี้จะปลอดภัยต่อสภาพจิตใจหรือไม่มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นอีก แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งเดิม ๆ ซึ่งคงไว้แค่ความทรงจำเลวร้ายก็ไม่ได้ดีไปกว่าที่นี่นัก การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมไม่ต่างจากการล้างจิตใจทางอ้อม ชนกันต์ยังไม่ดูผ่อนคลายขึ้นอย่างที่หวังเอาไว้ หากแต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการคาดหวังต่อไป
อธิศลังเลเกี่ยวกับความคิดในหัวซึ่งผุดขึ้นไม่หยุดหย่อน นัยน์ตาสีดำด้านของผู้หญิงคนนั้นยังคงติดอยู่ในห้วงคิด ก่อนอื่นเขาต้องลำดับความคิดของตัวเอง นั่นคือหน้าที่ของจิตแพทย์ก่อนการบำบัดผู้อื่น ถึงในหัวจะมีแต่ความใคร่รู้ แต่ชนกันต์คงน่าสงสารเกินไปถ้าต้องมานั่งตอบคำถามทั้งที่เพิ่งเจอเรื่องร้าย ๆ มา
จัดแจงตู้เสื้อผ้าของตัวเองซีกหนึ่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้อาศัยชั่วคราว อธิศไม่ได้มีเสื้อผ้าเยอะนัก มันจึงเป็นเรื่องง่ายหากเขาจะใช้มือเบียดมันไปฝั่งหนึ่งและเหลืออีกฝั่งเพื่อเอาเสื้อผ้าสี่ห้าชุดของชนกันต์ขึ้นแขวน ถึงเจ้าตัวจะแสดงออกชัดเจนถึงความเกรงใจจนเหมือนเป็นคนละคนกับเจ้าของท่าทีกระด้างกระเดื่องเมื่อหัวค่ำ
“ถ้าคุณอยากอาบน้ำ”
เจ้าของห้องยื่นผ้าเช็ดตัวซักแล้วให้คนตรงหน้า แน่นอน ชนกันต์รับมันไปถือไว้แต่ดูละล้าละลัง หันกลับมาก็ยังเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ท่าเดิม และนั่นทำให้อธิศลำบากใจ สภาพของคนทั้งคู่ตอนนี้เหมือนคนที่ล่ามกุญแจมือติดกันไม่มีผิด ร่างเล็กไม่ยอมไปไหน ตราบใดที่รู้แก่ใจว่าเป็นการแยกอยู่คนเดียว สำหรับสถานะซึ่งไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าของทั้งสอง ทุกอย่างมันช่างน่าอึดอัดใจจนชวนประหม่า
“ถ้าอย่างนั้น” นายแพทย์พยายามหาทางออก เขาเฝ้าชนกันต์อาบน้ำไม่ได้ และเจ้าตัวก็คงไม่ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน “แค่ล้างหน้าล้างตาแล้วเปลี่ยนชุดก็พอ”
หลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไป ชนกันต์อาจจะตั้งหลักและอยู่ตามลำพังได้ อย่างน้อยก็ห้าถึงสิบนาทีเหมือนอย่างเคย แต่มันไม่ใช่คืนนี้ ตอนนี้ และแปลกที่อย่างที่นี่
ไม่ดีเลย อธิศทอดสายตามองเด็กหนุ่มซึ่งยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ตรงอ่างล้างหน้าเหมือนเด็ก ชนกันต์กำลังแกะห่อแปรงสีฟันอันใหม่ที่เขาเอาให้ และเขาก็ไม่ควรจะมักง่ายแบบนี้เลย เด็กคนนี้เพิ่งเปียกฝนมา ขืนให้เปลี่ยนชุดแล้วนอนทั้งอย่างนี้คงไม่ดีแน่ แล้วก็ไม่แน่ใจเสียด้วยว่าในห้องนี้มียาลดไข้เหลืออยู่หรือเปล่า
“หมอครับ”
ร่างสูงหลุดจากภวังค์ ส่งตัวออกจากผนังกระเบื้องที่ยืนกอดอกพิงตั้งแต่เมื่อครู่เพื่อแสดงออกว่ากำลังรับฟัง
“ขอโทษที่ทำให้หมอลำบาก” เสียงนั้นติดละห้อย ดูจะอยากพูดอะไรมากกว่าคำขอโทษแต่ก็เงียบไปทั้งอย่างนั้น
“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ลำบากอะไร” หยักยิ้มตอบแล้วเดินไปหยิบแปรงสีฟันในแก้วมาถือไว้บ้าง อธิศบีบยาสีฟันใส่แปรงของคนข้าง ๆ ก่อนบีบให้ตัวเอง คว้าแก้วน้ำมารองน้ำจากก๊อกแล้วจึงถอยออกมาเพื่อให้อีกคนใช้อ่างล้างหน้าได้สะดวก
--------------------------------------------------
“กินยาก่อนนอนนะครับ”
ยื่นยาลดไข้และแก้วน้ำเปล่าให้คนที่ยืนรออยู่ตรงประตูห้องนอน ชนกันต์เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็แต่เขาซึ่งยังอยู่ในชุดเดียวกับที่ใส่มาตลอดวัน พรุ่งนี้เด็กหนุ่มต้องเข้างานก่อนเขาสองชั่วโมง อธิศกำลังชั่งใจว่าควรตื่นพร้อมกันหรือเปล่า
“ขอบคุณครับ”
รับเอายามาใส่ปากก่อนจะกระดกน้ำตามอย่างว่าง่าย เจ้าของห้องรับแก้วกลับไปวางไว้บนโต๊ะใกล้มือชั่วคราวแล้วปิดประตูห้อง “ผมขอเวลาสองนาที”
อธิศว่า ถึงจะไม่เต็มใจนักแต่ชนกันต์ทำได้แค่พยักหน้าตอบกลับไปด้วยความเกรงใจ ไม่นานนักร่างสูงก็ออกมาในชุดเสื้อยืดและกางเกงผ้าสำหรับใส่นอน เป็นเรื่องดีที่ในสองนาทีนี้ชนกันต์ไม่เจออะไรผิดปกติจนหวาดผวาขึ้นมาอีก เขาสงบใจลงมากหลังจากพยายามตั้งสติได้ จะว่าไปแล้วก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด อาจด้วยโทนสีของห้องหรือการมีคนอยู่เป็นเพื่อนด้วยความเข้าใจก็แล้วแต่ ถ้าเทียบกับหลาย ๆ วันที่ผ่านมาแล้ว วันนี้เป็นทั้งวันที่แย่ที่สุดและอาจดีที่สุดเช่นกัน
“หมอจะไปไหน”
เอ่ยถามเมื่อเห็นร่างสูงหยิบเอาหมอนบนเตียงไปถือไว้ใบหนึ่ง อธิศยิ้มแล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คุณนอนที่เตียงเถอะ ผมจะไปนอนโซฟาเอง”
ถึงจะยืนยันว่าสามารถเปิดประตูทิ้งไว้ได้เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน แต่ชนกันต์กลับไม่สบายใจเหมือนเด็ก ๆ ยิ่งได้ยินเสียงฝนแว่วมาจากทางด้านนอกก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงอย่างบอกไม่ถูก เขารู้ว่าไม่ควรร้องขอมากไป แต่ถึงอย่างนั้นการให้เจ้าของห้องไปนอนข้างนอกมันไม่ถูกต้อง
“ผมนอนโซฟาเองก็ได้ครับ หมอเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว นอนในห้องเถอะ” ทำท่าจะลุกขึ้นจากเตียงเพื่อหลีกทางให้ ทั้งยังเอื้อมตัวไปยื้อเอาหมอนในมืออีกฝ่ายราวกับขอร้อง “แค่นี้ผมก็รบกวนหมอมากแล้ว”
อธิศยอมปล่อยหมอนสู่มือของอีกฝ่ายแต่โดยดี เขาก้มลงมองเตียงห้าฟุตแล้วชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง พอดีกับที่เสียงฟ้าร้องคะนองจนเกิดเสียงดัง หันไปเห็นชนกันต์กำลังยืนห่อไหล่หลับตาปี๋อยู่ตรงประตูห้อง
เด็กหนุ่มไม่เคยกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่าจนถึงตอนนี้ ทว่าสิ่งที่เขากลัวคือภาพซ้อนทับซึ่งมาพร้อมกับเสียงเมื่อครู่นี้ต่างหาก มันทั้งสดใหม่และตรึงอยู่ในความรู้สึกเสียจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อนาทีก่อน การเปิดประตูทิ้งไว้ไม่ช่วยอะไรสักนิดเดียวหากถูกคุกคามด้วยสิ่งนั้น เขาได้เรียนรู้แล้วในวันนี้
“กันต์”
มืออุ่น ๆ วางลงบนไหล่ หมอหยิบเอาหมอนในมือเขาไปถือไว้อีกครั้ง ดวงตาทอประกายความเห็นใจ เช่นเดียวกับแขนของเขาที่ถูกรั้งให้เดินกลับไปข้างเตียงสีน้ำตาล
“นอนในห้องนี้เถอะ” อธิศพูดพร้อมกับวางหมอนลงยังที่มันเคยอยู่แล้วตบเบา ๆ “ถ้าเตียงห้าฟุตมันไม่อึดอัดจนเกินไปนักสำหรับผู้ชายสองคน”
พักใหญ่ที่ชนกันต์นอนจ้องเสี้ยวหน้าของอธิศซึ่งนอนอยู่ข้าง ๆ เขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะมองหมอหรอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการนอนตะแคงหาเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั้นมันรู้สึกปลอดภัยกว่าเป็นไหน ๆ แม้จะต้องแลกกับการถูกแสงสีส้มจากโคมไฟแยงตาเพราะมันวางอยู่ตรงโต๊ะหัวเตียงก็เถอะ
ร่างสูงไม่ได้สนใจหันมามองตอบหรือรับรู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นเป้าสายตาของคนนอนไม่หลับ อธิศเปิดโคมไฟเอาไว้ให้เพราะหวังดีต่อสภาพจิตใจคนไข้ แต่ชนกันต์เชื่อว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายยังเอาแต่นอนก่ายหน้าผากมองเพดาน ส่วนหนึ่งก็มาจากถูกแสงนั่นแยงตาเหมือนกัน แต่ครั้นจะให้นอนคลุมโปงอย่างที่ทำมาตลอด ชนกันต์ก็เกรงใจผ้าห่มซึ่งใช้ร่วมกัน ท้ายแล้วคนทั้งคู่เลยทำได้แค่จมอยู่ในความคิด มันอาจฟังดูน่าอึดอัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหมออธิศที่ไม่ควรจะต้องมาร่วมรับผิดชอบอะไรแบบนี้
เสียงฟ้าร้องทำให้ชนกันต์ตกใจอีกแล้ว มือซึ่งเหมือนจะไม่มีที่วางมาตั้งแต่แรกก็เผลอไปกระตุกเอาเสื้อยืดอีกฝ่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ อธิศรู้สึกตัวแล้วหันมามองคนข้าง ๆ ก่อนจะเอามือที่ก่ายหน้าผากลงเพื่อไม่ให้เสียมารยาท
“ยังไม่หลับอีกเหรอ”
แปลกดีที่คนเรามักถามในสิ่งที่เห็นชัดอยู่แล้ว อธิศก็ด้วย แม้จะเป็นจิตแพทย์แต่เขาก็คือหนึ่งในคนส่วนมากที่ติดนิสัยนี้ นัยน์ตาเรียวรีตรงหน้ามองตอบด้วยความเก้อเขิน “ถ้านอนไม่หลับล่ะก็ หมอปิดไฟก็ได้นะครับ ผมไม่เป็นไร”
ทุกครั้งที่ฟ้าร้องร่างเล็กจะห่อไหล่น้อย ๆ จนดูเหมือนคนขี้ตกใจ อธิศเป็นคนเปิดโคมไฟทิ้งไว้เองแต่ก็ยอมรับว่ามันทำให้เขาข่มตาหลับไม่ได้ พอได้ยินอย่างนั้น จิตแพทย์หนุ่มจึงใช้เวลาอีกไม่กี่วินาทีในการไตร่ตรอง
ขอเห็นแก่ตัวด้วยการเอี้ยวตัวไปปิดโคมไฟจนห้องทั้งห้องมืดสนิท และมืดลงไปยิ่งกว่าเดิมเมื่อชนกันต์บังคับตัวเองให้ข่มตาปิดเพื่อหลับลงให้ได้ในคืนนี้ แต่อีกไม่ถึงสิบวินาที ร่างทั้งร่างก็ถูกรั้งเข้าไปจนจมอยู่ในอ้อมกอดอุ่นของใครอีกคน อธิศกดศีรษะเขาให้ฝังลงตรงช่วงอก ตอนนี้ถึงจะลืมตา ชนกันต์ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดและกลิ่นโคโลญจน์อ่อน ๆ ท่อนแขนแกร่งที่แทรกผ่านระหว่างศีรษะกับที่นอนนั้นช่วยให้นอนได้สบายขึ้น มือใหญ่ของหมอลูบเรือนผมเขาเบา ๆ สองสามทีแล้วจึงหยุดลง มันคล้ายการบอกราตรีสวัสดิ์แบบไม่มีเสียง
ในขณะที่พยายามทำให้อีกคนหลับ หากแต่นัยน์ตาคมยังคงมองไปท่ามกลางความมืด อธิศสลัดแววตาสีดำด้านและชายกระโปรงเปื้อนโคลนนั้นออกไปจากสมองไม่ได้ มันท้าให้เขาใคร่รู้และชั่งใจถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ดีแล้วที่เลือกไม่พูดมันออกไป เพราะพอเบี่ยงตัวลงมองคนในอ้อมกอดอีกครั้ง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นคืนแรกที่เด็กคนนี้หลับสบาย อธิศลืมเบาแอร์ทั้งที่ฝนตก อย่างน้อยก็ขอให้อ้อมกอดนี้อบอุ่นพอจนถึงเช้าแล้วกัน
------------------------------------------------------
( มีต่อ )