ตอนที่ 16
โลกนี้ก็แปลก หมุนไปไม่พอยังค่อยๆ พรากทุกอย่างออกไปจากชีวิตด้วย
ผมเรียนรู้ที่จะต้องสูญเสียอะไรบางอย่างมาตั้งแต่เกิด พ่อจากไปในเช้าวันเสาร์ เพื่อนมัธยมฯ ที่สนิทหยุดหายใจช่วงดึกของวันอาทิตย์ หรือจะเป็นวันนั้น...เย็นวันอังคารเมื่อสัปดาห์ก่อน วันที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าชีวิตพร้อมจะสูญเสียสิ่งมีค่าที่สุดไปเสมอ
ผมก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์ด้วยความรู้สึกหดหู่ปนหน้ามืดเต็มแก่ หลังจากต้องเผชิญกับอาการดังกล่าวมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา ความจริงอาจเป็นตั้งแต่วันนั้น วันที่พี่ถูกลากพร้อมกับเตียงฉุกเฉินเข้ามาที่นี่…
โรงพยาบาล
แม้ไม่อยากรับรู้อะไรเลยแต่ก็ต้องเผชิญกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้สิ แต่เหตุการณ์ในวันนั้นมันทำให้ผมนอนไม่หลับมายาวนานเกือบสัปดาห์ พี่ภู...ฆ่าตัวตาย
ผมไม่อยากจะคิดแบบนั้น ไม่อยากจะคิดและปักใจเชื่อว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุ ทว่าความจริงที่ได้รับรู้คือพี่กำลังเผชิญกับสภาวะซึมเศร้าจากการบอกเล่าของภรรยาอย่างพี่มินตรา ขวดสีชาหลายขวดในห้อง เศษซากของยานอนหลับเม็ดสีขาวตามพื้น หรือแม้กระทั่งข้อความที่เขาเขียนเอาไว้เกลื่อนกลาดมากมายระบายความเจ็บปวดในชีวิตว่ายังไง
ทำไมถึงไม่รู้ให้เร็วกว่านี้ ทำไมถึงโง่เง่าและมองอะไรไม่ออกมาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน
แม้กระทั่งวันที่เขาตัดสินใจจะหายไป เราก็ยังไม่ได้คุยกันอย่างที่ควรจะเป็น ผมเห็นแก่ตัวเกินไปใช่มั้ยครับพี่ ผมยื้อพี่เอาไว้ตรงนี้แล้วรอคอยให้เราได้อยู่ด้วยกันต่อไป มันคือความเห็นแก่ตัวใช่มั้ย?
ผมกระชับกระเป๋าสะพายเอาไว้แน่น ยืนนิ่งอยู่ภายในลิฟต์ มองดูความสูงที่ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายที่ผมมักเดินเข้ามาประจำตลอดสัปดาห์
ห้อง ICU
พี่ไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย เขาหลับยาวนานตั้งแต่วันนั้น ร่างกายที่ผมได้สัมผัสหลังจากเจ้าตัวประสบอุบัติเหตุไปแล้วเกือบ 24 ชั่วโมงเย็นเฉียบ และสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดก็คือผมเป็นคนเกือบสุดท้ายที่ได้รู้ความจริง ทั้งที่อยู่ใกล้มากที่สุดในตอนนั้น ภาพของเขา กล้องของเขา ความทรงจำของเรา มันไม่เคยสำคัญเลยตราบใดที่เจ้าของมันไม่อยู่
ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ หมุนลูกบิดประตูก่อนก้าวเท้าเข้าไปยังภายในห้องแสนเงียบเชียบ ที่นี่มีร่างโปร่งของผู้ชายชื่อภูผานอนอยู่ ร่างกายถูกสายระโยงระยางพันรอบไปหมด เสียงเครื่องติดตามสัญญาณชีพยังคงทำงานต่อไป แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับเลือกมองตรงจุดนั้นไม่กะพริบ ได้แต่ภาวนาว่าขอให้มันดังเป็นสัญญาณแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
หมอบอกว่าพี่อาการหนัก ร่างกายของพี่บอบช้ำจากการถูกกระแทก ที่สำคัญคือสภาพจิตใจและร่างกายของเขาก่อนประสบอุบัติเหตุมันเลวร้ายกว่านั้นมาก เขาไม่มีกำลังใจจะสู้ต่อ แต่เราก็ยังดื้อด้านรั้งเอาไว้อย่างคนเห็นแก่ตัว แน่นอนว่าพี่เจ็บ พี่เจ็บมามากพอแล้ว แต่ผม...
“สวัสดีตอนสายครับพี่...” ผมพยายามเค้นเสียงออกมาจากลำคออย่างสุดความสามารถ จ้องมองดูใบหน้าซูบซีดของคนไม่ได้สติด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากพูดทักทายเขาในช่วงเวลาที่เช้ากว่านี้ แต่เพราะห้อง ICU ถูกกำหนดให้เข้าเยี่ยมเป็นเวลา ผมจึงทำอย่างนั้นไม่ได้
“วันนี้ผม...เอาหนังสือของแดน บราวน์มาอ่านให้พี่...ฟัง เมื่อวานเราอ่านถึงไหนกันแล้วนะ” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงคนป่วย เปิดหนังสือไปยังหน้าที่ถูกคั่นไว้ด้วยที่คั่นหนังสือ แต่มือทั้งสองข้างกลับสั่นเทาอย่างน่าประหลาด ยามจ้องมองริมฝีปากแห้งกรังและบาดแผลที่โผล่พ้นชุดคนไข้ออกมา นั่นยิ่งทำให้พี่ดูอ่อนแอมากกว่าทุกที
“แต่ก่อนที่จะอ่านผมมีเรื่องอยากเล่าให้พี่ฟัง วันนี้ที่กองถ่ายงานพวกตากล้องถามถึงพี่ ทุกคนคิดถึงพี่ เขาอยากให้พี่สู้ต่อเพื่อจะได้กลับมาทำงานที่รักอีกครั้ง” น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาอย่างกลั้นไม่อยู่ สิงหาในตอนนี้ราวกับคนบ้าที่เอาแต่พูดอยู่คนเดียว แต่ก็ยังคาดหวังว่าคนที่เข้าสู่ห้วงนิทราจะได้ยินมัน
ไม่รู้หรอกว่าในความฝันนั้นจะมีความสุขหรือความเศร้า พี่กำลังยิ้มดีใจหรือร้องไห้ในโลกแห่งนั้น แต่ผมก็อยากให้เขากลับมาไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม ผมจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน
“พี่เซนมาถึงไทยเมื่อกลางดึก ตอนนี้เขาเป็นเจ็ตแล็กก็เลยยังมาหาพี่ไม่ได้ พี่มินตรากับ...แฟนก็จะตามมาในตอนบ่ายรวมถึงคนในครอบครัวด้วย พี่ไม่ได้โดดเดี่ยวอีกแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าอยากเห็นว่าทุกคนเป็นห่วงพี่แค่ไหน ผมก็อยากให้พี่ตื่นขึ้นมา” ว่าพลางเลื่อนมือข้างหนึ่งจับมือของคนตัวสูงเอาไว้ บีบและคลายแบบนี้ซ้ำๆ เพื่อให้เขารับรู้
พูดได้เต็มปากเลยว่าผมไม่สามารถทำงานอย่างมีสมาธิได้ ตราบใดที่เขายังหลับอยู่แบบนี้ ยิ่งนับวันร่างกายก็ยิ่งอ่อนแอ แผลกดทับ อาการบอบช้ำภายในที่ยังไม่ทรงตัว ลมหายใจที่พร้อมจะขาดหายไปในทุกเมื่อมันทำให้รู้สึกกังวล
กลัว
กลัวไปสารพัด ที่สำคัญที่สุดคือกลัวว่าเราจะไม่มีโอกาสได้พูดกันแม้แต่คำเดียว
“ตอนที่เราเลิกรากันไปแล้วพี่แต่งงาน ผมเคยคิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีทางมีความสุขแน่เพราะยังยึดติดกับเมื่อวาน ในขณะที่พี่ก้าวต่อไปข้างหน้าไม่หยุด” ภายนอกใครอาจจะเห็นว่าผมมีความสุขดี ผมพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ได้ทุกเมื่อ ทั้งที่ความจริงแล้วตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
สำหรับผู้ชายที่ชื่อภูผา เขาเคยเป็นทุกอย่างในชีวิตของผมและมันยังคงเป็นแบบนั้นตราบจนวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรู้สึกที่มีต่อเขายังเหมือนเดิม เพียงแต่เวลาเท่านั้นที่ทำให้ดูเปลี่ยนไป เหมือนแก้วที่แตกไปแล้วจะเอามาต่อก็ลำบาก ทว่าจะให้หาใบใหม่ก็คงไม่ชอบเท่าใบเก่า ความผูกพันต่างๆ ระหว่างเรา ยอมลำบากกลับไปต่อมันคงดีกว่าเพราะยังไงมันก็คือใบเดิม
“ผมไม่ได้อยากเริ่มต้นใหม่ ยังรอคนเดิมกลับมาเริ่มต้นอีกครั้ง”
“...”
“เพราะฉะนั้นพี่ตื่นขึ้นมาเถอะนะครับ”
ผมพูดอ้อนวอนประโยคเดิมซ้ำๆ นับครั้งไม่ถ้วน อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายเพื่อให้เขาลืมตาขึ้นมา มันเป็นความทรมานแบบไม่มีที่สิ้นสุด ผมรอพี่...รอทั้งที่ไม่รู้เลยว่าพี่จะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือ...ไม่ตื่นเลย แต่ก็ยังมีความหวังว่าวันนั้นจะมาถึง แม้ต้องรอคอยอีกนานแค่ไหนก็ตาม
ผมเริ่มต้นอ่านหนังสือที่เตรียมมาให้กับเจ้าตัว เราอ่านไปพร้อมๆ กัน และมันจะต้องจบพร้อมกันในสักวันหนึ่ง ถ้าพี่ได้ยินผม...ได้โปรดตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยกัน เพราะผมเหนื่อยแล้ว เหนื่อยที่จะต้องอ่านตัวหนังสือเล็กๆ แสนเลือนรางด้วยน้ำตาเพียงลำพัง
ถึงมันจะยาก และคนตรงหน้าท้อแท้จนไม่อยากหายใจแค่ไหน
สุดท้ายผมก็ยังหวังว่าเราจะสู้ต่อไปด้วยกัน
อีกไม่กี่ชั่วโมงจะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว พี่ยังไม่ตื่นขึ้นมา ผมคงต้องกล่าวอำลาประโยคซ้ำๆ เดิมๆ เหมือนทุกวัน
“พรุ่งนี้”
“...”
“เราเจอกันใหม่นะครับ พรุ่งนี้...พี่ต้องรอผมเหมือนทุกวันนะ”
“...”
“รอผม และผมสัญญาว่าจะมา”
ดวงตาทั้งสองข้างทอดมองไปยังจอมอนิเตอร์ที่แสดงการเต้นของหัวใจ ถ้าความหวังของพี่คือการมีชีวิตอยู่เพื่อทำโปรเจ็กต์ความทรงจำจนเสร็จสมบูรณ์ ความหวังสิ่งเดียวของผมในตอนนี้ก็คือการภาวนาให้เครื่องติดตามสัญญาณชีพยังคงทำงานต่อไป
ผมแค่ไม่อยากให้เขาตาย ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม…
9 เมษายน
“ฮึก...ฮึก...” เสียงกลั้นสะอื้นดังเล็ดลอดออกมาจากฝ่ามือซึ่งพยายามประกบปิดริมฝีปากสุดความสามารถ ผมเซไปข้างหลัง เอนตัวพิงกำแพงก่อนทิ้งตัวลงด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากวิ่งมายังห้องผู้ป่วยอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อนาทีก่อน
ผมได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาล
พี่หยุดหายใจ...
วินาทีนั้นในหัวมันว่างเปล่า รู้แค่ว่าต้องทำยังไงก็ได้ให้มาถึงที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่พอมาถึงผมกลับทำได้แค่ร้องไห้อยู่หน้าห้อง แม้จะอยากเข้าไปหาใครอีกคนที่อยู่ภายในแค่ไหนก็ตาม ผมกลัวไปสารพัด กลัวว่าเขาจะจากไปขณะที่เรายังไม่เข้าใจกัน กลัวว่าเขาจะไม่สู้ต่ออีก
และอีกหลายความคิดซึ่งตีวนอยู่ในหัวจนอยากจะอาเจียนออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
“สิงหาใจเย็นๆ” พี่คินวิ่งตามขึ้นมา สีหน้าของเขาดูแตกตื่นไม่น้อยไปกว่ากัน
“พี่ภู...ขะ...เขาหยุด”
“พอแล้วไม่ต้องพูดแล้ว พี่เขาต้องไม่เป็นไร” มือหนารั้งผมเข้าไปกอด ลูบหลังซ้ำไปซ้ำมาเป็นการปลอบใจ ขณะที่ตัวเองก็แทบควบคุมอาการสะอื้นจนตัวหอบโยนไม่ได้
อาการของพี่ไม่ดีขึ้นเลย แถมวันนี้มันก็ยิ่งทรุดเข้าไปอีก ในใจมันวูบโหวงเต็มประดาราวกับระแวงอยู่ตลอดว่าจะเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไป ไม่มีคืนไหนที่ไม่ฝันร้าย ไม่มีคืนไหนที่ไม่ต้องกอดรูปที่เขาถ่ายและร้องไห้จนหลับไป
ผมเคยพูดกับเบียร์ เคยบอกกับตัวเองว่าจะไม่ติดอยู่กับอดีตนานๆ อีกแล้ว แต่ความจริงวันนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่าผมไม่สามารถทำมันได้ ทุกครั้งที่ท้อ ทุกครั้งที่อยากซบหน้าลงกับฝ่ามือแล้วร้องไห้ออกมาหนักๆ ผมจะนึกถึงประโยคที่เขาพูดในวันแต่งงานของตัวเอง
‘มีความสุขมากๆ นะตัวเล็ก พี่ก็...จะมีความสุขเหมือนกัน’
ตอนนี้ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ตราบใดที่พี่ยังไม่มีความสุข
แล้วผม...จะหัวเราะอย่างจริงใจได้ยังไงในวันที่ไม่มีคนชื่อภูผาอยู่บนโลกนี้แล้ว ผมไม่เคยเข้มแข็งได้เลย ทุกครั้งที่เราเจอกัน ทุกสิ่งที่เขามองเห็นมันเป็นเพียงกำแพงที่ผมสร้างมันขึ้นมาเพื่อปกปิดความอ่อนแอ หลายเดือนที่ผ่านมาผมอยู่ได้โดยไม่มีพี่ แต่ไม่ได้หมายความว่า...
ผมจะอยู่ได้ตลอดไปโดยไม่มีเขา
15 เมษายน
สองสัปดาห์แล้วที่ผมต้องเข้าออกโรงพยาบาลราวกับบ้านหลังที่สอง พี่ภูยังอยู่ห้อง ICU เหมือนเดิม เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมา เขาไม่เคยลืมตาเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่หมอช่วยกันปั๊มหัวใจจนคนตัวสูงมีชีวิตรอดอย่างหวุดหวิด ผมก็ระมัดระวังไปซะทุกอย่าง ช่วงนี้ก็เลยต้องรับงานให้น้อยลงเพื่อกลับมาดูแลเขา ผมทิ้งพี่ภูไม่ได้เพราะเขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ
ครอบครัวของพี่แวะมาเยี่ยมอยู่บ่อยๆ ในช่วงสัปดาห์แรก แต่หลังจากนั้นก็หายไปไม่โผล่มาอีกเลย ผมได้แต่ตั้งคำถามว่าพี่ผิดอะไรทำไมถึงต้องถูกทิ้งให้เจ็บปวดเพียงลำพัง แต่คำตอบที่ได้กลับมีเพียงความว่างเปล่า พ่อ แม่ พี่ชายของพี่ใช้ชีวิตปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บางทีผมก็ไม่เข้าใจคำว่า ‘ทำใจ’ ของพวกเขาที่เอ่ยออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อน และในวินาทีนั้นผมรู้ในทันที...
พ่อแม่ทุกคนไม่ได้รักลูก
พี่มินตราบอกความจริงกับผม งานแต่งงานทุกอย่างก็แค่เรื่องหลอกลวง ตอนที่พี่ภูล้ม ปัญหาใหญ่ไม่ได้อยู่ที่ความจริงของทั้งสองคนถูกเปิดเผย แต่มันอยู่ที่ครอบครัวของทั้งคู่กำลังจัดการปัญหาเรื่องธุรกิจและเงินส่วนแบ่งที่ทำเอาปวดหัวไปตามๆ กัน
พี่เซนเองก็ต้องกลับไปทำงานที่มิลานต่อ แม้จะไม่อยากทิ้งให้ผมต้องดูแลพี่เพียงลำพังก็ตาม แต่...มันเป็นไปแล้ว หลังจากวันนั้นห้องของพี่ก็ไม่เคยมีใครเข้ามาอีกเลยนอกจากผมและหมอที่คอยดูแลอาการ
“สวัสดีตอนเย็นครับพี่ ขอโทษที่ไม่ได้มาตอนเช้านะ แต่ว่าวันนี้ติดงานนิดหน่อย” ผมเริ่มกล่าวทักทายคนตัวสูงเหมือนทุกวัน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้และหยิบหนังสือของแดน บราวน์ขึ้นมาอ่าน เราอ่านกันได้วันละแค่ 20 หน้าเท่านั้น เพราะต้องใช้เวลาที่เหลือในการถามสารทุกข์สุขดิบกันต่อ
รู้มั้ยว่าผมเกลียดการรอคอยที่สุดในชีวิต จำได้ว่าผมเคยรอเขากลับมาตอนที่เรายังคบกันอยู่ นั่นเรียกว่าทรมานมากแล้ว แต่มันเทียบกับความรู้สึกในตอนนี้ไม่ได้เลยเมื่อต้องเผชิญกับมันอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าครั้งแรกถึงเขาจะไม่กลับมาแต่เจ้าตัวก็ยังคงสบายดี แตกต่างจากตอนนี้ที่ไม่ยอมกลับมาคือเขากำลังทรมาน
ผมอยากให้พี่ภูลืมตาขึ้น แม้จะต้องต่อสู้กับความรู้สึกคัดค้านในใจอีกมากมายก็ตาม แน่นอนว่าการต้องลืมตาขึ้นมาเพื่อรับรู้ว่าครอบครัวไม่เคยสนใจใยดีมันเจ็บปวดยังไง แต่ไม่เป็นไรหรอกผมจะอยู่ข้างเขา โยนความทรงจำเลวร้ายในอดีตออกไปและใช้ทุกวันของเราด้วยกัน
ผมไม่เคยรักใครได้เลย
ผมไม่เคยรักใครได้นับตั้งแต่เลิกรากับพี่ บางทีก็เหมือนคนโง่งมซะเต็มประดา ถูกใครด่าว่ายังไงก็ช่างผมก็พร้อมจะรับมันทุกรูปแบบ แค่วันนี้เรายังไม่ทิ้งกันและกันไปไหนก็พอ
“เบียร์ฝากผลไม้มาให้พี่ด้วยนะ แค่ยังเอามาให้ตอนนี้ไม่ได้เท่านั้นเพราะพี่ต้องตื่นขึ้นมาก่อน”
“...”
“ชีวิตของผมตอนนี้ก็ดี ซีรีส์ปิดกล้องแล้วล่ะ ผมเลยไม่ต้องเหนื่อยไปทำงานตอนเช้า แถมยังออกมานอนที่บ้านของพี่ได้อีกต่างหาก” หากเขาอยากจะรู้ ผมไม่ได้อยู่คอนโดกับผู้จัดการส่วนตัวและก็พี่คินแล้ว แต่ปลีกตัวออกมาอยู่ลำพังที่บ้านไม้กึ่งสตูดิโอของเขากับพี่วัชรได้เกือบสัปดาห์
“ผมทำความสะอาดบ้านให้พี่ เก็บภาพวาดทุกใบเอาไว้ในแฟ้ม ดินสอเองก็เหมือนกัน พอแล้ว...ผมไม่อยากให้พี่เหลาดินสออีกแล้ว”
“...”
“ต่อไปอยู่กับผมนะครับ ดูแลของขวัญด้วยกัน มันยังคงรอพ่ออยู่ ผมเพิ่งรู้...”
“...”
“สิ่งที่พี่เคยทำไม่ดีกับผม พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
ผมยกโทษให้ ทุกอย่าง...ที่เราเคยเจ็บปวดและทรมานกับมัน พี่ป่วยมานานแล้วแต่ผมไม่เคยรู้ พี่ปกปิดทุกคนแล้วแสร้งบอกว่าตัวเองสบายดี ทุกครั้งที่ยิ้ม ทุกครั้งที่มองเห็นจากไกลๆ ผมเพิ่งเข้าใจว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา
เวลาหลังจากนั้นหมดไปกับการสวดภาวนาและอธิษฐานขอพร พรุ่งนี้จะต้องดีขึ้น พรุ่งนี้ฟ้าจะสดใสเหมือนที่มันเคยเป็น ผมเชื่อว่าเขาจะไม่จากไปดื้อๆ โดยที่เราไม่ได้กล่าวอำลากันสักคำ
“หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ”
“ครับ”
ผิดมั้ยที่จะบอกว่าผมเกลียดเสียงนี้ที่สุด เสียงของพยาบาลที่เอาแต่บอกว่าหมดเวลาเยี่ยมซ้ำๆ และผมต้องเดินออกจากห้องนี้ไปด้วยความรู้สึกหดหู่เต็มหัวใจ พี่ไม่เหลือใครแล้ว ถ้าผมไปแล้วเขาจะอยู่กับใคร นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดในอกตีตื้นขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะผม...เพราะผมที่ไม่อยู่กับเขาในวันนั้น เขาถึงต้องฆ่าตัวตาย
เพราะผม...
“ผมไปก่อนนะครับพี่ คนอื่นจะยังไงก็ช่างไม่ต้องสนใจแล้ว”
“...”
“ขอแค่พี่...มีชีวิตอยู่เพื่อผมก็พอ”
“...”
“อยู่ให้ผมได้แก้ตัวกับอดีตที่ผ่านมา”
“...”
“พรุ่งนี้เราเจอกันอีกนะครับ”
22 เมษายน
“รอก่อนสิงหามึงจะวิ่งอะไรนักหนาวะ”
“พี่ตื่นแล้ว หมอบอกว่าพี่ภูตื่นแล้ว” เท้าของผมก้าวเข้าไปในลิฟต์ จ้องมองไปยังกระจกซึ่งปรากฏใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เกือบเดือนแล้วที่ต้องเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาล แต่เมื่อเช้ามืดผมกลับได้รับข่าวดีที่สุดของเดือน นั่นคือการได้ยินปลายสายกรอกเสียงว่าพี่ได้สติขึ้นมาแล้ว
“เออกูรู้ ก็เห็นมึงพูดไม่หยุดตั้งแต่นั่งรถมา” ร่างโปร่งพูดเสียงติดฉุนเล็กน้อย แต่ผมรู้ว่าเบียร์เองก็ดีใจเหมือนกัน
ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห้อง ICU มองผ่านประตูเข้าไปยังเตียงคนไข้ที่มีชื่อของ ‘นายภูผา’ ติดอยู่ ผมไม่ได้หมุนลูกบิดเดินเข้าไปภายในเพราะครอบครัวของพี่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่พ่อ แม่ และพี่ชายของเขาโผล่มาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ผมรู้สึกรังเกียจพวกเขาจนออกนอกหน้า
สายตาที่จ้องมองไป ฝ่ามือที่กำเอาไว้แน่น กำลังบ่งบอกว่าผมเกลียดครอบครัวของคนตัวสูงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาไม่เคยดูแล ไม่เคยถามไถ่ถึงพี่ตลอดเวลาที่เผชิญกับความทรมานและกลิ่นยาคละคลุ้งในโรงพยาบาล ต้องอยู่กับเครื่องช่วยหายใจและสายพลาสติกมากมายที่พันอยู่บนร่างกายของเขา เจาะเข้าไปในผิวหนัง พี่เจ็บ แต่พี่ก็ยังสู้ต่อจนได้ลืมตาขึ้นในวันนี้
แต่พวกเขา...ไม่เคยรับรู้อะไรเลย
ผมยืนรออยู่หน้าห้องกับเบียร์ราว 15 นาที ทั้งสามคนก็เดินออกมาด้านนอก ผมยกมือไหว้พวกเขาแต่เราไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่คำเดียว ทันทีที่คนเหล่านั้นจากไป ผมถึงได้เดินเข้ามาภายในห้อง จ้องมองใบหน้าซูบซีดของพี่ที่ยังคงปรือตาขึ้นมามองแม้จะดูอ่อนล้าก็ตามที
“สวัสดีครับพี่ภู ผมสิงหา พี่จำได้มั้ย”
ภายใต้หน้ากากออกซิเจน พี่ยิ้ม...
หมอบอกว่าเขาไม่สามารถพูดได้ในตอนนี้ ร่างกายเองเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ก็ยังขยับไม่ได้ ทำได้แค่กะพริบตาและขยับปลายนิ้วในบางครั้งเท่านั้น เชื่อว่าอีกไม่นานพี่จะสามารถขยับร่างกายได้ทุกส่วนและหายเป็นปกติในเร็ววัน
“เบียร์ซื้อผลไม้มาฝากพี่ด้วย”
“เออรีบๆ หายนะพี่ภู จะได้ให้สิงหาปอกให้กิน” ร่างโปร่งชิงพูดขึ้นมา ทั้งที่ในมือของเขาไม่มีผลไม้แม้แต่อย่างเดียวเพราะถูกแพทย์สั่งห้าม ดังนั้นถุงแอปเปิ้ลเขียวเลยเป็นหมันอยู่หน้าห้องแทน
เบียร์มาเยี่ยมคนตัวสูงสักพัก ก่อนจะขอตัวออกไปเพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันสองคน
“วันนี้ผมเอาหนังสือ Inferno มาอ่านให้พี่ฟังด้วย เราอ่านกันมา 482 หน้าแล้วเผื่อพี่ยังไม่รู้” พูดพลางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เหวี่ยงกระเป๋าสะพายไว้บนตัก ก่อนจะจับมือแสนเย็นเฉียบของคนป่วยเอาไว้แนบแน่นให้รู้ว่าผมไม่ไปไหน
ใบหน้าคมยังคงมีบาดแผลสะเก็ดเล็กสะเก็ดน้อยจากการถูกกระจกรถยนต์บาด ซึ่งก็ดีขึ้นมากถ้าเทียบกับวันแรก สภาพร่างกายก็ดูไม่เป็นปัญหานอกจากแขนและขาที่หักแล้วต้องเข้าเฝือก รวมไปถึงอวัยวะภายในที่บอบช้ำก็ค่อยๆ ได้รับการฟื้นฟูตามลำดับ
“แลงดอนไม่เข้าใจว่าเขาเดินมาถึงจุดนี้ได้ยังไง...” ผมเริ่มต้นอ่านหนังสือ ขณะที่มือข้างหนังยังจับมือพี่เอาไว้ไม่ปล่อย
และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มกระดิกนิ้ว
ขยับไปมาบนผิวของผมเหมือนต้องการบอกเล่าอะไรสักอย่าง
“พี่อยากพูดอะไรหรือเปล่าครับ”
พี่ยังขยับนิ้วไปมา นานเข้าเขาก็เริ่มออกแรงกระชับฝ่ามือของผมมากขึ้น แม้จะรู้สึกถึงความไร้เรี่ยวแรงของเจ้าของฝ่ามือคู่นี้ก็ตาม
“ฮึก...” เสียงหายใจติดขัดของคนตรงหน้าทำให้ผมตกใจ พี่หายใจดังมาก ดังจนผมต้องลุกจากเก้าอี้เพื่อเรียกหมอ แต่เขากลับจับมือของผมเอาไว้แน่นเท่าที่แรงน้อยนิดยังพอมีเหลือ
“พี่อยากได้อะไรครับ ขะ...ขอโทษ แต่ผมไม่เข้าใจ” พูดพลางจ้องมองใบหน้าคนป่วยด้วยความรู้สึกหลากหลาย ดวงตาคู่คมเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา พี่กำลังร้องไห้แต่ผมไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
ไร้เสียงตอบกลับจากอีกฝ่าย มีเพียงน้ำตาเท่านั้นที่เป็นคำตอบสำหรับทุกอย่าง
“พี่ไม่อยากให้ผมเรียกหมอใช่มั้ยครับ” ผมถาม เจ้าตัวจึงกระชับฝ่ามือแทนคำตอบ ผมเลยต้องนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิมหลังจากมั่นใจแล้วว่าอาการของเขาไม่ได้หนักกว่าที่เป็นอยู่
“พี่เจ็บหรือเปล่า”
คนตัวสูงไม่ได้กระชับฝ่ามือเหมือนก่อนหน้า แต่เลือกที่จะกะพริบตาแทนคำตอบ
ใช่! พี่เจ็บ พี่เจ็บมากแต่ผมกลับยื้อพี่เอาไว้ทั้งที่ทรมานจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ขอโทษครับพี่ภู ผมแค่เห็นแก่ตัวอยากให้พี่อยู่ด้วยกันเท่านั้น
“พี่ทรมานมากใช่มั้ยครับ ผมขอโทษนะ”
“...”
“อดทนอีกหน่อย ให้เราได้ผ่านมันไปด้วยกัน” ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่าย เขาแค่มองหน้าผมนิ่งๆ ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ มันทำให้หัวใจและความหวังแทบปลิดปลิวไปในทันที เขาไม่อยากทน...
พี่ภูใจร้ายกับผมมาตลอด จนวินาทีนี้เขาก็ยังใจร้าย ผมอยากด่าเขา ตะคอกเขา ทำยังไงก็ได้ให้รู้ตัวสักทีว่าผมก็เจ็บไม่น้อยไปกว่ากัน ยามที่ต้องมาเห็นคนที่รักอยู่ในสภาพแบบนี้ โดนทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวและเจ็บปวด ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างก่อนจะมาอยู่ในห้องนี้
ผมรู้แค่ว่ามันทรมาน ผมจึงอยากชดเชยแต่พี่ไม่เคยยอมรับ
คนใจร้าย
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร พี่อยากนอนต่อหรือเปล่า”
เจ้าตัวส่ายหน้า ผมเลยโล่งใจขึ้นมาได้บ้าง
“ให้ผมอ่านหนังสือให้ฟังมั้ยครับ อ่านจนกว่าพี่จะหลับไป” ดวงตาทั้งสองข้างปิดลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะลืมขึ้นจ้องมองผมเหมือนเป็นการตอบตกลง ถึงแม้ว่าพี่จะเจ็บ แต่เขาก็ตั้งใจฟังเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดเริ่มต้นมันเป็นยังไง หรือบางทีพี่อาจจะอ่านมันจบแล้วก็ได้แต่ก็ยังปล่อยให้ผมเล่าซ้ำต่อไป
หนังสือเล่มนี้มี 560 หน้า อีกไม่นานมันก็จะจบพร้อมกับอาการของพี่ที่ดีขึ้นตามลำดับ
เสียงชีพจรที่ดังจากเครื่องไม่ได้ทำให้สมาธิในการฟังเรื่องที่ผมกำลังอ่านของพี่ไขว้เขว คนตัวสูงจ้องมองและบางครั้งก็เผลอยิ้มเล็กน้อยยามที่ผมเริ่มพลิกหน้าใหม่ แปลก...ทั้งที่มันไม่ตลกสักนิดแต่พี่เลือกยิ้มอย่างไม่มีสาเหตุ
วันนี้เราอ่านไปถึงแค่หน้า 510 เพราะหมดเวลาเยี่ยม พยาบาลเข้ามาฉีดยานอนหลับให้กับพี่ ก่อนจากไปผมยืนอยู่ข้างเตียง ส่งยิ้มไปให้เขาพร้อมกับพูดประโยคเดิมๆ
“พะ...พรุ่งนี้”
“...”
“เราเจอกันใหม่นะครับ”
ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา มีเพียงการหลับตาอย่างเชื่องช้าเป็นคำตอบเท่านั้น พี่สัญญาแล้ว...พรุ่งนี้เราจะต้องตื่นมาพบกัน ก่อนเปลือกตาทั้งสองข้างจะปิดลงพาเขาเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง แต่ไม่นานเราจะกลับมาพบกัน ในโลกของความเป็นจริง
อ่านต่อด้านล่างค่ะ