วิศวะสัมพันธ์
รถโดยสารสองชั้นเคลื่อนตัวออกจากมหา’ลัยของผม ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่มหา’ลัยอีกแห่งหนึ่งในภูมิภาค นี่คือครั้งแรกเลยที่ออกเดินทางมาไกลขนาดนี้พร้อมกับเพื่อนๆ โดยไม่มีป๊า ม้า หรือพี่สาวตามมาด้วย
ตลอดเส้นทางผมไม่สามารถปิดเปลือกตาให้หลับได้เลย เหมือน...เป็นเรื่องใหม่และได้เผชิญกับโลกกว้าง ที่จริงต้องขอบคุณกิจกรรมอย่างหนึ่งซึ่งจัดกันเป็นธรรมเนียมทุกปีอยู่แล้ว หมุนวนผลัดกันเป็นมหา’ลัยเจ้าภาพ โดยที่มีมหา’ลัยเข้าร่วมถึง 5 แห่ง ที่นี่ผมจะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่
ปั่ก!
หัวโขกกระจกไปที เพราะรถตกหลุมระหว่างเดินทาง
ผมจะได้รู้จักรุ่นพี่ และรุ่นน้องซึ่งเรียนในต่างสาขา ต่างมหา’ลัย แต่คณะเดียวกันมากมาย
ปั่ก!
หลุมอีกแล้ว
ผมจะมีบัดดี้ ได้เที่ยวรอบๆ มหา’ลัยของพวกเขา
ปั่ก!!
“โว้ยยยยยยยย! หัวกูจะโนอยู่แล้วนะเว้ย ทางข้างหน้ามันยางมะตอยไปมหา’ลัย หรือทางไปนรกครับถามจริง!” ผมตะโกนลั่น จนเพื่อนที่อยู่รายล้อมหันมามองเป็นตาเดียว บ้างถอดหูฟังตวัดสายตาใส่ บ้างเช็ดน้ำลายขมวดคิ้วเพราะโดนผมทำลายช่วงเวลาการนอน
“ขอโทษครับ”
สุดท้ายก็ได้แต่บอกเสียงอ่อย นั่งเงียบๆ ดูวิวข้างทางไป
ถึงแม้ผมจะดูบ้าๆ บอๆ ไปบ้าง แต่ก็เป็นคนน่ารักดี
เชื่อสิ
เชื่อผม
แล้วเจอกัน
เพื่อนๆ อีกสี่มหา’ลัย
‘วิศวะสัมพันธ์’
“อ้าว ปีหนึ่งรีบๆ ลงมา ปีสองหิ๊ววววววหิว!” เสียงรุ่นพี่ปีสองตะโกนโหวกเหวกโวยวายบนรถ วันนี้อากาศค่อนข้างร้อน พอรถจอด แอร์ดับ ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ จั๊กกะแร้เปียกไปตามๆ กัน
ผมค่อยๆ เดินตามหลังเพื่อนลงไปด้านล่าง จุดแรกที่ผมสัมผัสเลยคือ...
“ยื่นมือมา” โห...นี่มันเดอะฮังเกอร์เกมชัดๆ ใส่เครื่องติดตามไปที่แขน
ถุย!!
“รับแล้วก็ไปสิน้อง คนอื่นรอนาน” ทีมสต๊าฟมหา’ลัยผมเนี่ยแหละยื่นข้าวกล่องใส่มือให้ แอบแง้มๆ เปิดดู อื้อหือ ข้าวไข่เจียว นี่กินจนลูกบวช ไข่ที่มีอยู่มันก็ไม่เพิ่มขึ้นมาอีกฟองหรอกนะ แม่งจะบ้า! คิดเมนูกันไม่ออกหรือไง บางทีผมก็อยากกินอะไรที่มันแปลกๆ บ้างเหมือนกัน
“ไอ้จูน เร็วดิ มัวแต่ระลึกชาติอยู่นั่นแหละ ไปลงทะเบียนเร็ว”
นั่นเพื่อนผมครับ ตัวสูงโย่งร่างกายผอมบาง มันชื่อโจ้ เรียนวิศวะเคมีเหมือนกัน ส่วนชื่อที่อีกฝ่ายเรียกนั้นก็ผมเองนั่นแหละ
แนะนำตัวเลยแล้วกัน สวัสดีครับ ผมชื่อจูน เพราะเกิดเดือนมิถุนายน อายุ 19 ปี เพิ่งเรียนปีหนึ่งหมาดๆ เป็นเฟรชชี่หน้าใส อยู่แถวหน้าของคณะเสมอ ไม่ใช่เพราะความฮอต แต่เป็นความสูง เดือนที่แล้วเพิ่งวัดไป กว่าจะสูงถึง 165 ซม. ได้นี่แทบหืดจับ เขย่งโกงความสูงจนเพื่อนส่ายหน้าให้
ส่วนเรื่องนิสัยไม่ต้องพูดถึง เป็นคนเรียบร้อย มีสัมมาคารวะ
แต่เอาจริงๆ มั้ย ตลกโปกฮาไปเรื่อย ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผมก็โคตรขี้อายเลยนะเว้ย เพื่อนมันถึงล้ออยู่บ่อยๆ เพราะชอบทำตัวหลบหลังเสา
“ไอ้จูน! กูจะเรียกอีกที รีบไปลงทะเบียนเลย ปีหนึ่งเขารวมแถวกันแล้ว เดี๋ยวถ้ากูเห็นมึงหยิบมือถือขึ้นมาคุยกับตัวเองอีก กูจะโบกให้หน้าหงายเลยแม่ง!”
“คร้าบบบบบบบบบ” ตลอดอ่ะไอ้โจ้
ผมก็เป็นอย่างนี้แหละครับ โลกส่วนตัวสูง ชอบคุยกับตัวเอง นี่ก็สร้างแอคเคานท์เฟสบุ๊กขึ้นมาได้สองปีละ คุยกับตัวเองตลอดจนเพื่อนสงสัยว่าคุยกับสัมภเวสีหรือเปล่า
เรื่องนี้จูนจะไม่ยุ่ง เพราะสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง ฮ่าๆ
เอาล่ะ ไร้สาระกันมากแล้ว รีบตามเพื่อนๆ ไปที่จุดลงทะเบียนดีกว่า
“มึงจะรีบเรียกกูทำเหี้ยไร แถวก็ยาวขนาดนี้” สุดท้ายก็มาติดแหงกทำหน้างอง้ำอยู่ปลายแถวอีกตามเคย ผมล่ะเบื่อ
มหา’ลัยอื่นก็ทยอยกันมาไม่ขาด
“ก็มาต่อไว้ก่อน เผื่อลืม”
“ลืมก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว”
“กูจะไม่มีบัดดี้อ่ะดิ นี่เจ้าถิ่นเลยนะเว้ย”
“เออจริง”
เป็นธรรมเนียมอีกเหมือนกันที่หลังลงทะเบียนเสร็จจะมีการนำรายชื่อมาจับหาบัดดี้ส่วนตัวแบบวันบายวัน ข้อดีของมันคือบัดดี้ที่คู่กับผมหรือมหา’ลัยอีกหลายแห่งนั้นจะต้องมาจากมหา’ลัยเจ้าภาพในปีนี้เท่านั้น พูดง่ายๆ คือเป็นเจ้าถิ่น จะได้พาไปเที่ยว หรือกินอะไรได้สะดวกเพราะรู้แหล่งนั่นแหละ
สามวันสองคืนไม่ใช่ขี้ๆ นะเว้ย บัดดี้ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
“เซ็นตรงนี้เลยใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ” ก้มถามสต๊าฟของมหา’ลัยเจ้าถิ่น ก่อนอีกฝ่ายจะหยิบเสื้อสีม่วงๆ ซึ่งเป็นเสื้อประจำงาน ‘วิศวะสัมพันธ์’ ในปีนี้ให้กับผม
“ขอบคุณครับ”
เซ็นชื่อเสร็จก็แยกแถว อ้าว เพื่อนกูเข้าที่พักกันหมดแล้ว เหลือสองหน่อมองหน้ากันเลิกลัก
“ไปเก็บกระเป๋าเถอะจูน กูหนัก”
“ไปเที่ยวก่อนดิ”
“เที่ยวพ่อง!! ตอนเย็นจับบัดดี้เสร็จค่อยออกไป กูขอนอนสักงีบเถอะ” ผมเลยพยักหน้าตามใจ ไอ้เพื่อนตัวผอมเลยเดินไปยังที่พักซึ่งถูกจัดเตรียมเอาไว้ในมหา’ลัย
ที่นี่เขาจัดโซนให้เรียบร้อย มหา’ลัยผมนอนตึกเครื่องกล ส่วนที่อื่นก็ลดหลั่นและสลับตึกกันไปให้เพียงพอต่อจำนวนคนที่มาถึง 600 คนต่อแห่ง หันมามองปีหนึ่งชายด้วยกันก็ละเหี่ย มันถอดเสื้อผ้าโยนลงพื้น นอนตากพุงกันสบายใจเฉิบ ส่วนปีสองโชคดีหน่อย ขยับไปนอนอีกชั้นหนึ่งเพื่อไม่ให้รบกวนกัน
มีปีสามโผล่มาหลอมแหลมเพื่อควบคุมความประพฤติ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นคือส้วมที่ใช้เนี่ย ส้วมรวม!
เกิดมายังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ตอนมัธยมเข้าค่ายลูกเสือ แม่ก็หาเรื่องส่งใบลาแพทย์มั่วๆ ไปที่โรงเรียนเพื่อให้ผมไม่ต้องเข้าค่าย แต่ตอนนี้...แม่งทำไงดีวะ
“อาบน้ำมั้ยไอ้จูน” ผมสะดุ้งโหยงหันไปมองไอ้โจ้
“เป็นห่าอะไรของมึง ขวัญอ่อนจริงๆ”
“ปะ...เปล่า”
“แล้วสรุปจะอาบมั้ย รีบไปอาบก่อนที่เขาจะแย่งส้วมกันใช้”
“มึงไปก่อนเลย กูยังไม่ร้อนเท่าไหร่ เดี๋ยวค่อยกลับมาอาบตอนดึก” ฟวย! นี่หรือไม่ร้อน แล้วไอ้ที่นั่งเยี่ยวเหนียวอยู่บนฟูกคืออะไร
“ตามใจมึงแล้วกัน ถ้าไม่อาบก็นอนไปซะ เออ อย่าลืมเสื้อวิศวะสัมพันธ์ด้วยล่ะ เขาให้ใส่ไปเปิดงานตอนหนึ่งทุ่ม พร้อมกับของเทคบัดดี้ที่มึงเตรียมมาอ่ะ”
อีกฝ่ายสาธยายออกมาเป็นหางว่าว ก่อนจะเดินเหวี่ยงผ้าขนหนูเข้าไปยังห้องน้ำรวม ซึ่งได้ยินเสียงเซ็งแซ่จากเหล่าผู้ชายหน้าไม่อาย หรือผมหน้าบางเกินไปวะนั่น
สุดท้ายก็ได้แต่ล้มตัวลงนอนเอาแรง ปล่อยให้ความง่วงงุนขจัดทุกอย่างออกจากหัว จนกระทั่งใกล้เวลานัดหมายถึงได้รีบกุลีกุจอเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งที่ไม่ได้อาบน้ำนั่นแหละ พร้อมกับออกไปรวมตัวกับพวกปีหนึ่งตรงลานกว้างหน้าตึกเครื่องกล
“น้องๆ จัดแถวค่ะ ปีหนึ่งด้านซ้าย ปีสองด้านขวา ปีสามกับปีสี่ยุบแถวรวมเลย”
สต๊าฟมหา’ลัยเจ้าบ้านกำลังจัดระเบียบอยู่ วุ่นวายครับเพราะไม่ได้มีแค่มหา’ลัยเดียว นี่เล่นมากันเป็นโขยงอย่างกับงานฝังลูกนิมิตแถวบ้าน คนจะบานไปไหน
ผมถูกเบียดโน่นเบียดนี่จนตาลายไปหมด ดีที่ยังมีไอ้โจ้คอยถือพัดให้ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันก็พัดหน้ามันนั่นแหละแต่ได้อานิสงส์จากมันมาเลยโชคดีไป
“ต่อไปนะคะ จะมีกล่องใส่รายชื่อ ให้น้องๆ จับชื่อบัดดี้เสร็จแล้วเดินเข้าไปในงานตามลำดับเลยนะคะ”
ตื่นเต้นแล้วคราวนี้
แถวเริ่มขยับขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนแม่งเริ่มกลัวละ
จะเป็นใคร ผู้ชายหรือผู้หญิง นิสัยเป็นยังไงบ้าง จะใจดีมั้ย สารพัดคำถาม
สุดท้ายก็ถึงตาผมที่ต้องจับ หลังจากไอ้โจ้สอยไปแล้วใบหนึ่ง
ผมล้วงมือลงไปคล้ายจับใบดำใบแดง หยิบได้กระดาษสีขาวม้วนต้วนเป็นวงกลมทุเรศทุรังออกมาแผ่นหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้เปิดออกในทันที ผมเลือกที่จะเดินตามหลังไอ้โจ้ไปยังห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งมีเวทีเขื่องๆ ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้า ส่วนมื้อค่ำของที่นี่ไม่เหมือนที่ไหน เพราะจัดแบบขันโตก
ก็มาเหนือทั้งที ผมเลยตื่นตากับเรื่องพวกนี้เข้าไปอีก
“นั่งเลยเชี่ยจูน ได้ใครวะ” ที่บริเวณขันโตกแต่ละอันจะมีเพื่อนๆ มหา’ลัยเดียวกับผมนั่งล้อมรอบประมาณ 8 คน และไอ้พวกนี้ก็รู้จักมักจี่กันเป็นอย่างดี เลยพร้อมที่จะแชร์ทุกอย่างเต็มที่
“มึงล่ะได้ใคร”
“ชื่อบอส รหัส GEAR4021 แล้วมึงอ่ะ เร็วๆ อย่าลีลา”
“ไม่ได้จะลีลา แต่ยังไม่ได้เปิดต่างหากเว้ย” หันไปทำเสียงขุ่นใส่มัน ก่อนจะคลี่กระดาษในมือออก
“ชื่ออะไร”
“ท้องฟ้า GEAR3116”
ผู้หญิงครับ
เพื่อเป็นการช่วยให้บัดดี้หาตัวได้ง่ายขึ้น จึงมีการแจกกระดาษเขียนชื่อและหมายเลขแปะหลังเอาไว้ตัวเท่าฝาบ้าน พร้อมกับกิจกรรมหน้าเวทีที่เริ่มขึ้น และทั่วพื้นที่ก็ชุลมุนวุ่นวายไปด้วยนักศึกษาเจ้าถิ่นที่กำลังทำตัวเป็นม็อบกู้ชาติเดินขบวนกันให้ควัก
แล้วถามว่าผมกับไอ้โจ้ตื่นเต้นมั้ย ต้องบอกว่าก็นิดหน่อย...ประมาณ 5 วินาทีได้มั้ง
เวลาที่เหลือก็จัดการฟาดอาหารบนขันโตกเรียบเพราะหิวกันเต็มแก่ ข้าวกล่องที่ได้ไปมันประทังชีวิตได้ที่ไหนกันล่ะ แล้วไม่อยากจะบอกว่าอาหารเหนืออร่อยมาก น้ำพริกอ่อง แคบหมู ถึงจะเผ็ดไปบ้างแต่ก็กินได้หายห่วง ยิ่งข้าวเหนียวร้อนๆ กับแกงฮังเลอีก ไอ้จูนอยากแดดิ้น
“น้อง...น้อง...พี่ชื่อบอสนะ GEAR4021” ไอ้โจ้รีบยัดแตงกวาใส่ปาก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนมาใหม่ หูยยยย แม่งเท่ฉิบหาย หน้าแบดๆ ตัดผมเกรียนสกินเฮด สึด!
“อ๋อ หวัดดีครับบัดดี้ ผมชื่อโจ้ เรียนปีหนึ่ง”
“อื้ม...พี่ปีสี่ ดูได้จากรหัสเกียร์ตัวแรก นั่งกินข้าวด้วยคนนะ หิว” เสร็จแล้วพี่แกก็นั่งแทรกแถวเลยครับ
“ภาคอะไรเนี่ย ผมเรียนเคมีนะ” ไอ้โจ้ถามกลับไป
“เครื่องกล อ้อลืม นี่ของเทคบัดดี้” พี่มันโยนของใส่มือไอ้โจ้ ตอนแรกก็สงสัยว่าเป็นอะไร แต่พอเห็นเป็นตุ๊กตาประจำมหา’ลัยเท่านั้นแหละขำก๊ากเลย ของเทคบัดดี้น่ารักไม่ไหว
ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยกันพบปะกับบัดดี้แบบตัวต่อตัว
“บัดดี้หล่อฉิบหาย!” นั่นเสียงเพื่อนมหา’ลัยข้างๆ ครับ ตื่นเต้นกันยกใหญ่เมื่อมีผู้ชายหล่อมายื่นขนมกับช็อกโกแลตให้ แล้วท้องฟ้าของผมอยู่ไหนวะนั่น
“เธอ...เธอ...” สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาสะกิด ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองสบตา...เธอน่ารักมาก
“ครับ”
บัดดี้ของผม ทำไมน่ารักอย่างนี้ก็ไม่รู้
“บัดดี้ฝากมาให้” ว่าพลางยื่นถุงพลาสติกซึ่งใส่ของไว้ด้านในมาให้ด้วยรอยยิ้ม
“อ้าว...แล้วเธอไม่ใช่บัดดี้เราเหรอ”
“เปล่า บัดดี้นายติดธุระ ซ้อมดนตรีกับเพื่อนยังไม่เสร็จ เดี๋ยวตามมา”
“อ้อ! ขอบใจนะ” เสร็จแล้วเธอก็เดินจากไป ท้องฟ้าไม่ได้มา โผล่มาเฉพาะของเทคบัดดี้ ผมเปิดดูด้านใน เจอขวดน้ำผลไม้รสแครอทอยู่ขวดเดียว พร้อมกับโพสต์อิทเขียนข้อความว่า
‘ถ้าอยากกินแบบเย็นๆ ก็ไปซื้อน้ำแข็งมาเอง’
จ้า...บัดดี้กู เลอค่าที่สุดในสามโลก นี่อยากถามจริงๆ ว่าเป็นคนประเภทไหนวะนั่น
“ฮ่าๆ อะไรเนี่ย น้ำแครอท” ไอ้โจ้แซว
“น้องได้ใครเป็นบัดดี้ล่ะ” พี่บอสแทรกขึ้น
“ท้องฟ้าครับ ปีสาม”
“อ๋อ ฟ้า...เดี๋ยวก็คงมาล่ะมั้ง”
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ
การแสดงบนเวทีของแต่ละมหา’ลัยเริ่มขึ้นและจบไปหลายการแสดงแล้ว อาหารซึ่งอยู่ในขันโตกก็พร่องลงไปมากแล้วด้วย จนห่วงว่าบัดดี้ที่เหลือเพียงคนเดียวนั้นจะไม่ได้กินกับคนอื่นเขา ผมหันไปมองขันโตกข้างๆ รวมถึงเพื่อนคณะอื่นซึ่งแน่นอนว่าทุกคนก็มีบัดดี้กันหมดแล้ว
บ้างนั่งพูดคุย สนิทสนมสร้างความสัมพันธ์ การเรียน สภาพสังคม ที่เที่ยว ที่กิน สารพัดจะขุดมาพูด
ส่วนผม...ก็ได้แต่นั่งรอท้องฟ้า
นี่ถ้าโผล่มาแล้วทำตัวไม่น่ารักอีก พ่อจะเอาหัวโขกหน้าผากให้แตกแม่งเลย
“เฮ้ย! สมบัติเพิ่งมาเหรอ แดกข้าวยัง” เสียงของเพื่อนมหา’ลัยเจ้าถิ่นทักทายคนมาใหม่ ผมก็ได้แต่ขำ ไม่กล้าเหลียวหลังไปมองกลัวจะเสียมารยาท
“ยัง”
“พี่สมบัติ หวัดดีครับ”
“กองไว้ตรงนั้นแหละมึง เป็นเด็กเป็นเล็กเล่นพ่อกูเลยเหรอ” คราวนี้ผมยิ่งขำใหญ่ ‘สมบัติ’ เป็นชื่อพ่อ เด็กที่นี่แปลกเนาะ เล่นบุพการีกันสนุกปากเชียว
“หาบัดดี้เจอยังอ่ะ”
“ยังไม่เจอ กำลังหาอยู่ แม่งไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ไหน อย่าให้กูเจอนะ จะเตะให้น่องพับ หายากหาเย็น” เสียงทุ้มบ่นงุบงิบ แล้วคุณเคยเป็นมั้ย ขนลุกชันโดยไม่มีสาเหตุน่ะ คงไม่ใช่หรอก คนที่ไม่เจอบัดดี้ยังมีอีกเยอะ
“อ้าว เฮ้ย สมบัติ! นี่ๆ คู่บัดดี้มึงอ่ะ นั่งนี่”
เชี่ยละ!! ไอ้พี่บอสชี้หน้าผมพลางตะโกนโหวกเหวก ไอ้ผู้ชายที่มีพ่อชื่อสมบัติเลยหันหน้ามา เราสบตากันในสภาพที่ผมแหงนหน้าจนคอแทบหัก ส่วนมันก็ยืนค้ำหัวก้มหน้าลงมามอง
ใจ...สั่น...
นี่น่ะเหรอท้องฟ้า ชื่อแม่งน่ารักฉิบหาย แต่พอเจอตัวจริงแทบไปไม่ถูก คนเหี้ยอะไรวะโคตรหล่อเลย ผิวนี่ขาวยิ่งกว่าท้องฟ้าเจอแสงอาทิตย์ตอนกลางวัน ดวงตา จมูก ริมฝีปาก แม้แต่ใบหูยังดูดีอ่ะ อ๊ากกกกกกก กูจะบ้า
“วะ...หวัดดี” ผมเริ่มกล่าวทักทายก่อน
“อืม หวัดดีปีหนึ่ง กูชื่อฟ้า เหลืออะไรให้กินบ้างเนี่ย” มาถึงก็ถามหาของแดก
“ก็...เหลืออยู่ตรงนี้อ่ะ เอ่อ...เราชื่อจูน”
“เออๆ งั้นกินแล้วนะ” เสร็จแล้วท้องฟ้าปีสามที่เข้าใจว่าเป็นผู้หญิงมาตลอดก็นั่งลงเคียงข้าง ใบหน้าหล่อเหลายื่นมาประชิดเป็นครั้งคราวเวลาตักอาหาร ผมกลั้นหายใจนับครั้งไม่ถ้วนเพราะเราใกล้กันมากเกินไป มันทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ แม้แต่คราบเหงื่อซึ่งไหลซึมบนใบหน้าก็ยังไม่น่ารังเกียจ
คือกูบ้าไปแล้ว คิดอะไรกับบัดดี้ป่ะวะเนี่ย
“ว่าจะถาม น้ำแครอทกินหรือยัง” พี่มันถามทั้งที่ปากยังเคี้ยวข้าวอยู่
“ยะ...ยัง”
“งั้นขอ ของชอบกู” เชี่ย พูดไม่เพราะแถมตะกละอีกต่างหาก ท้องฟ้าตัวจริงกับที่คิดไว้ต่างกันคนละโยชน์เลย จากที่คิดว่าเป็นผู้หญิงก็เป็นผู้ชาย จากที่คิดว่าสวยก็กลายเป็นหล่อ จากน่ารักก็กลายเป็นกวนตีน เจอของดีแล้วมั้ยล่ะ
“อะ...เอาไปเลย” ยื่นไปให้ ไอ้หน้าหล่อเลยแกะขวดแล้วกระดกคาตา
“ลืมไป กูมีของมาให้มึงด้วย”
“อะไร”
“นก” ที่พูดหมายถึงนกกระดาษสีเหลืองในมือหนา เจ้าตัววางไว้บนมือผมก่อนจะจัดการเปิบอาหารตรงหน้าต่อ ผมมองเห็นข้อความบนนกกระดาษตัวนี้ แต่ไม่สามารถอ่านได้นอกจากจะแกะมันออกมาเท่านั้น
“อ้อ เราก็มีเหมือนกัน นี่!” เป็นหัวเข็มขัดมหา’ลัยครับ ก็ไม่รู้จะซื้ออะไรให้เขาจดจำได้นี่หว่า
“ขอบใจ ไว้กูใส่ไปเรียน”
“ได้ด้วยเหรอ”
“หัวอุลตร้าแมนมันยังใส่ไปเรียนมาแล้วเลย ฮ่าๆ” กลายเป็นพี่บอสที่แทรกขึ้นมา พร้อมกับหัวเราะเสียงร่า
“พี่เรียนภาคเดียวกันเหรอ เห็นสนิทกัน”
“เปล่า...กูเรียนไฟฟ้า” พี่ฟ้าตอบเสียงเรียบ
“อืม อีกอย่างพี่ไม่ได้สนิทกับมันหรอก แต่นี่เดือนมหา’ลัยตอนปีหนึ่ง ใครไม่รู้จักก็บ้าละ”
“ฮะ!!”
“ตกใจอะไร กูคนไม่ใช่ผี”
เดือนมหา’ลัยตัวเท่าบ้าน ถึงว่าดูดีจังวะ
ในช่วงเวลาที่กิจกรรมการแสดงหน้าเวทีได้รับความสนใจ พี่ฟ้ามันก็นั่งเงียบมองไปยังเวทีเพียงอย่างเดียวเหมือนกับคนอื่นๆ ผมเลยใช้ช่วงเวลานั้นคุยกับเฟสบุ๊กซึ่งเป็นอีกแอคเคานท์หนึ่งที่ชื่อ...
‘แฟนจูน ในอนาคต’
สองปีได้แล้วที่ผมคุยกับตัวเอง แบ่งปัน และแชร์ประสบการณ์ต่างๆ มันดีที่เหมือนมีใครอีกคนหนึ่งที่เข้าใจเรามากๆ อยู่เคียงข้าง ไม่เถียงเวลาผมโกรธ ไม่ด่า ไม่ทำอะไรเลย หรือบางครั้งก็จะมาโพสต์ปลอบใจเวลาผมเหงา ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นการกระทำโง่ๆ ของผมเพียงคนเดียว
นี่ผมยังคิดเลยว่า ถ้าเจอคนที่ใช่จริงๆ แล้ว ผมจะให้ใครคนนั้นดูแลแอคเคานท์นี้ต่อไป
นิ้วของผมจิ้มลงบนตัวอักษรบนหน้าจอโทรศัพท์ ตอนนี้ผมตัดขาดจากสิ่งรอบข้าง และอยู่กับตัวเองจริงๆ อีกครั้ง
June Chattawan
มันคงเป็นความบังเอิญที่ช่วงเวลานี้ท้องฟ้าสวยกว่าทุกวัน
ถูกใจ แฟนจูน ในอนาคต
แฟนจูน ในอนาคต ได้ข่าวว่ายังไม่ได้เดินออกไปมองท้องฟ้าเลยด้วยซ้ำ
June Chattawan ก็มองอยู่นี่ไง >> ข้างๆ น่ะ
เออเว้ย กูก็มึนโพสต์เองตอบเองอ่ะ นี่แอคเคานท์อันนึงออนใน Opera อีกอันออนใน Chrome วุ้ย สนุกมือเลย ถามเอง หัวเราะเอง ตอบเอง คิดภาพออกนะ
เป็นแบบนี้มาสองปีแล้วอ่ะ
“นี่...มัวแต่เล่นมือถือ กูนี่ยังสำคัญอยู่มั้ย” ผมหลุดออกจากโลกแสนหวาน หันมามองบัดดี้หน้าหล่อแต่ปากหมาอีกครั้ง
“ก็เบื่อการแสดง”
“ของมอมึงนะนั่น”
“แล้วพี่ไม่ไปแสดงอ่ะ เป็นเดือนไม่ใช่เหรอ”
“ให้ปีหนึ่ง อีกอย่างวิศวะปีนี้ก็เดือนมหา’ลัย เอาใครไปก็ชนะหมดแหละ” จ้า! เก่งจริงๆ เรื่องหลงตัวเองเนี่ย
“ไอ้จูน เดี๋ยวกูไปก่อนนะ บัดดี้บอกจะพาไปเที่ยวสถานเริงรมย์น่ะ บายยยย”
“เฮ้ย...อย่าเพิ่งไป เขาไม่อนุญาต” ห่าราก ไม่ทันซะละ ผมมองหลังของเพื่อนสนิทที่ห่างออกไปเรื่อยๆ ไอ้โจ้ก็อย่างนี้แหละ ถือคติมีกฎไว้ให้แหกเสมอ ผมล่ะเซ็ง หรือควรต้องแหกกฎไปกับมันดีวะ
“เพื่อนมึงนี่ดีเนาะ ทิ้งมึงไว้ด้วย”
“อืม นั่นดิ”
“ง่วงยัง”
“เพิ่งนอนไปเมื่อตอนเย็น”
“ออกไปหาอะไรกินมั้ย กูเป็นบัดดี้ เดี๋ยวพาไปเอง แต่มึงต้องจ่าย” สึด! ดีจริงๆ เลย แต่ออกไปแบบนี้ก็กลัวรุ่นพี่ว่า อีกอย่างเพิ่งแดกข้าวไปยังจะกินอีกเหรอวะ
“เอ่อ...”
“เร็ว! พรุ่งนี้กูไม่มีเวลาพามึงไปเที่ยวนะ ต้องแข่งกีฬาสัมพันธ์”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ท้องฟ้าของวันก็คว้ามือผมคลานกระดึ๊บออกจากห้องโถงไป บัดดี้พาผมมานั่งกินนมเล่นๆ ที่คาเฟ่หลังมหา’ลัย เราเริ่มต้นบทสนทนาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนตอนนี้มันก็ยังไม่เป็นเรื่องเหมือนเคย จนกระทั่ง...
“มึงมีแฟนยังเนี่ย”
ถามอะไรวะ แค่กูคุยกับตัวเองสองปีคงมีใครเข้ามาหรอก
“หาอยู่ แล้วพี่อ่ะ”
“เพิ่งเลิก”
“นอกใจเขาอ่ะดิ” ใบหน้าหล่อเหลาเรียบตึง สัด! สงสัยพูดแทงใจดำแน่ๆ
“เปล่า...เขาขอเลิก”
“หน้าตาอย่างพี่เนี่ยนะ”
“เออ คนหล่ออกหักไม่ได้หรือไง”
“ดูพี่ไม่ค่อยเสียใจ”
“เสียใจดิ แต่ผ่านไปแล้ว”
“เดี๋ยว ที่บอกว่าเพิ่งเลิกนี่เมื่อไหร่”
“วันนี้”
ไอ้สัด! ผมนี่อยากเอาหัวเขกโต๊ะสักร้อยที นี่มาหวั่นไหวกับคนที่เพิ่งเลิกกับแฟนไปหมาดๆ เนี่ยนะ เชื่อเถอะ อีกไม่ถึง 24 ชั่วโมงเขาก็กลับไปคืนดีกัน นี่กูหวังอะไรอยู่วะ
“คุยกันดีๆ มันอาจไม่จบแค่นี้ก็ได้”
“จบแค่นี้แหละ กูไปบอกเขาไงว่ากูชอบผู้ชาย”
“...”
“ตอนแรกก็กะโกหก เพราะไปกันไม่ได้เลยอยากหาเหตุผลที่ไม่ต้องทะเลาะกันให้มากเรื่องขึ้นมา”
“...”
“แต่พอเจอกับมึงปุ๊บ”
“...”
“คำว่า ‘ชอบ’ มันก็วิ่งวนอยู่ในหัวกูเต็มไปหมดเลยว่ะบัดดี้”