เสพติดอันตราย...รักผู้ชายพันธุ์โหด
ตอนที่ 23
ธีร์ใช้ชีวิตอยู่กับพัฒน์ด้วยความระแวง ต้องระวังตัวตลอดเวลา ถึงพัฒน์จะบอกว่าแขนหายก็เถอะ แต่แบบนี้มันก็ระแวงอยู่ดี
แล้ววันนี้ก็เป็นวันหนึ่งหลังจากที่อยู่กันได้ร่วมอาทิตย์กว่าๆ ธีร์เองก็รู้สึกว่าแขนตัวเองหายดีแล้ว แต่ก็ยังใส่เฝือกอยู่และแกล้งทำเป็นยังไม่หายเพื่อเอาตัวรอดจากพัฒน์ ซึ่งตอนนี้ร่างสูงกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายใจในวันหยุด ส่วนธีร์ที่หยุดเช่นกันก็ได้แต่เดินไปมาอย่างหัวเสีย
จะขนของหนียังไงเนี่ย
“วันนี้มึงจะไปไหนหรือเปล่า” ธีร์ถามขึ้น
“ไม่!”
เป็นคำตอบที่ทำร้ายจิตใจมาก
“จริงไหมวะ”
“ทำไมมึงดูเครียดๆ นะ” พัฒน์ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ธีร์เห็นแบบนั้นก็ตัวสั่นด้วยความกลัว แสดงอาการร้อนรนจนพัฒน์สังเกต
เห็น
เขารู้อยู่แล้วว่าธีร์หายแล้ว แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าอีกคนจะทำยังไงให้รอดพ้นไปได้
แล้วถ้ารอดจริงๆ เขาจะปล่อยหรือไม่...
“ไม่ปล่อย...”
“เมื่อกี้มึงว่าไงนะ” ธีร์ถามเมื่อเห็นอีกคนพูดเบาๆ คล้ายกับพึมพำ
“ไม่มีอะไร ทำไม มึงจะไปไหน”
“ไม่นี่...” ธีร์รีบถอยทัพตั้งหลัก ก่อนจะทำแผนเสียเอง
ต้องล่อให้พัฒน์ออกไปให้ได้
“กูหิว ไปซื้ออะไรให้กินหน่อย” ธีร์ขอ ซึ่งพัฒน์ก็หัวเราะในใจ
“จะกินอะไรล่ะ” พัฒน์ถาม ปั้นหน้าปกติ
ธีร์ยิ้มออกมาอย่างดีใจที่พัฒน์ถามออกมา แบบนี้มีแนวที่พัฒน์จะออกไปซื้อของ
“ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งแม่น้ำ”
“โอเค...” พัฒน์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ต่อสายตรงถึงลูกน้องที่อยู่ด้านล่างให้ซื้อของที่ธีร์อยากทานรวมทั้งมีของเขาด้วยเล็กน้อย
ทำเอาธีร์ถึงกับวิ่งเข้าห้องนอนไปด้วยความขัดใจ
ปัง!!
“อะไรจะยากเย็นขนาดนั้นวะ” ธีร์บ่น ก่อนจะเดินไปมาเพื่อคิดหาหนทางล่อพัฒน์ออกไปจากห้อง เขาก็จะจัดการเก็บของแล้วตรง
ไปที่ห้องของตัวเองอย่างเร็ว
แต่จะทำยังไงล่ะ...
...
...
ทางด้านพัฒน์ที่เห็นธีร์วิ่งหนีแบบนั้นก็ยกยิ้มอารมณ์ดีก่อนที่จะอ่านหนังสือต่อ รอดูต่อไปว่าธีร์จะทำยังไงกับการที่จะหนีเขากัน
“เอาสิ ระหว่างกูกับมึงใครจะชนะ”
พัฒน์ที่เห็นว่าเกมส์เริ่มจะสนุกขึ้นมา วันหยุดทุกทีเขาจะนั่งเคลียร์งานบ้างหรือไม่ก็ออกไปเข้าบริษัทของตนเพื่อช่วยพี่ชายเคลียร์
แต่วันนี้เขาว่างถึงว่างที่สุด รู้มาได้ 3 วันกว่าแล้วว่าแขนของธีร์หาย แต่มันไม่มีโอกาสหนีเพราะคนของเขาคุมอยู่หน้าห้อง และ
เวลาที่ไม่มีคนคุมคือเวลาที่พัฒน์อยู่เท่านั้น
“ไอ้ธีร์! ก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งแม่น้ำของมึงได้แล้ว” พัฒน์ตะโกนเสียงดังบอก เมื่อลูกน้องเอาข้าวเที่ยงมาส่งให้ ซึ่งพัฒน์ก็ยกยิ้มอีก
ครั้งเมื่อเสียงคนที่ตะโกนกลับมาแสดงถึงความไม่พอใจอย่างมาก
“เออ!!! เดี๋ยวไปกิน!!”
“หึหึ อารมณ์เสียน่าดู” พัฒน์ส่ายหน้าไปมา
มันผ่านมากี่ปีแล้วนะ ที่เขาไม่ได้ยิ้มและมีความสุขแบบนี้ ความรู้สึกที่สดชื่น ยิ้มได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสียมาด ไม่ต้องกลัวว่า
ใครจะเห็น
ก็แน่ล่ะ มีมันคนเดียวในตอนนี้ที่สามารถยิ้มได้และรู้สึกว่ารอยยิ้มมันเข้ากับความรู้สึกที่อยู่ในใจ เพราะตั้งแต่เข้าเรียนประถมยัน
มหาวิทยาลัย เขาก็ไม่สามารถยิ้มอย่างมีความสุขได้อีกเลย
เป็นเพราะความรัก...ที่ทำให้เขาหนาวในหัวใจแบบนี้
ความรัก...ของคนที่เขารักมากที่สุด
“ไอ้พัฒน์” ในขณะที่พัฒน์กำลังจะเข้าไปจมอยู่กับความเศร้าหมองอีกครั้ง เสียงธีร์เป็นเสียงเดียวที่ทำให้รู้สึกที่หัวใจกำลังจะหมด
ออกซิเจนกลับมีแรงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
อาจจะเป็นเพราะ เขากับมันมีบางอย่างที่เหมือนกัน
“อะไร”
“ไหนล่ะของกินกู”
“อยู่ห้องครัว ไปกินแล้วก็ล้างจานด้วย” พัฒน์สั่ง
“เออ...” ร่างโปร่งรับคำสั่งนั้นโดยไม่คิดอะไร
พัฒน์ถึงกับหลุดหัวเราะ มันรู้ว่าตัวเองล้างจานได้ตามสัญชาตญาณ เพราะแขนหายแล้ว มันเลยลืมว่ามันกำลังทำอะไรเองไม่ได้
แต่ล้างจานข้างเดียวนี้ทำได้อยู่ล่ะนะ ปล่อยไปเรื่องหนึ่งก็ได้
ผ่านไปประมาณเกือบ 20 นาที ร่างโปร่งก็เดินกลับมาจุดที่พัฒน์นั่งอยู่ก่อนจะถามร่างสูงอย่างขอไปที
“ไม่กินหรือไงวะ มึงก็สั่งของตัวเองมาด้วยนี่”
“เอาไว้ก่อน ยังไม่ค่อยหิว”
“เดี๋ยวมันก็เย็นหมด”
“ไม่เป็นไรห้องกูมีไมโครเวฟ”
“เออ...เรื่องของมึง”
“นั่นมึงจะไปไหน” พัฒน์แกล้งถาม
“ไปนอน!” ธีร์ตอบสั้นๆ แฝงด้วยความไม่ชอบใจออกไป
“เหมือนวันนี้มึงจะใช้ความคิดเยอะไปหน่อยนะ คิ้วขมวดแต่เช้าจนตอนนี้ก็ยังขมวดอยู่ ถามจริง งานยากหรือไงวะ” พัฒน์แสร้ง
เป็นถาม
แต่ก็เป็นคำถามที่ตรงจุดจนทำให้ธีร์คลายคิ้วไม่ทัน
“ไม่นี่ กูก็แค่เครียดข่าวน่ะ เป็นห่วงเรื่องเศรษฐกิจนิดหน่อย” ธีร์รีบหาเรื่องอ้าง เพราะจะเป็นพิรุธไม่ให้พัฒน์จับได้เด็ดขาด
“แถไปเรื่อย” พัฒน์พึมพำมองแผ่นหลังบางที่เดินไปที่ห้องของเขาแล้ว
ธีร์ที่เข้ามาในห้องอีกครั้งหลังจากทานก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งแม่น้ำที่ตนเองสั่งไปเสร็จแล้วก็กลับมายืนคิดอะไรบางอย่างเพื่อที่จะล่อ
พัฒน์ออกไปให้ได้
“คิดสิคิด...จะทำยังไงดีวะเนี่ย”
เจ็มจะช่วยอะไรได้ไหมเนี่ย...
“จริงสิ...เจ็ม!! ฮ่าๆ” ธีร์รีบหยิบโทรศัพท์เมื่อคิดออกแล้ว
(ว่าไงธีร์)
“เออ...มีเรื่องให้ช่วย”
(ว่ามา…) ปลายสายเหมือนจะไม่ค่อยอยากช่วยเท่าไหร่ แต่ก็ต้องทำอย่างช่วยไม่ได้
ทำไมถึงรู้สึกว่าธีร์เป็นเจ้านายอีกคนยังไงก็ไม่รู้
พัฒน์นั่งอ่านหนังสือด้วยสมาธิที่แน่วแน่ เนื่องจากว่าปัญหาของงานมันก็เป็นแบบที่เขากำลังอ่านพอดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน
การทำงาน พัฒน์เลยจำเป็นต้องการมันเพื่อเพิ่มความรู้ แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ทำเอาพัฒน์ถึงกับขมวดคิ้วแน่นด้วยความ
โมโห
ใครโทรมาขัดจังหวะอะไรตอนนี้วะ
“ไม่สำคัญแกตายนะเจ็ม” พัฒน์พูดดักทางเพื่อเห็นเบอร์ของคนที่โทรมา
(เอ่อ...นี่เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ครับคุณพัฒน์)
“ว่ามา”
(คุณพัฒน์ช่วยมาที่บริษัทได้ไหมครับ)
“มีอะไร”
(เอ่อ...มีเอกสารเร่งด่วนอยากจะให้คุณพัฒน์เซ็นน่ะครับ) ปลายสายบอก
“เอกสารอะไร ก็ไอ้พุฒิไง มันทำได้ทั้งหมดนั่นแหละ”
(ค่ะ...คุณพุฒิไม่อยู่ครับ)
“เสียงแกแปลกๆ นะเจ็ม” พัฒน์จับผิด
ก็ไม่เคยมีครั้งไหนที่เจโรมีจะพูดแบบไม่มั่นใจอย่างนี้มาก่อน
(ไม่มีอะไรนี่ครับ เสียงผมก็ปกติ)
“ไม่ปกติ ถามจริงแกกับฉันรู้จักกันมากี่ปีแล้ว” พัฒน์ถามเสียงเข้ม
(อันนี้ผมไม่ได้โกหกจริงๆ นะ แต่ผมมีเอกสารสำคัญจะให้เซ็นจริงๆ นะครับ คุณพัฒน์ช่วยออกมาสักครู่ได้ไหม)
“อย่าให้ฉันจับได้นะเจ็ม” พัฒน์ตัดสายไปทันที ก่อนจะต่อสายหาใครบางคนที่เขาต้องการอยากจะรู้ว่าที่เจ็มพูดเป็นเรื่องจริงหรือ
เปล่า
(ว่าไง)
“ไอ้พุฒิ...” พัฒน์ถามอะไรบางอย่างจากพี่ชายก่อนจะวางสายไปทันทีที่ได้คำตอบ คนตัวสูงหยัดกายยืนขึ้นสีหน้านิ่งๆ ก่อนจะ
เดินตรงไปที่ห้องนอนของตน ก็พบว่าร่างโปร่งนอนเล่นอยู่บนเตียง
“เข้ามาทำไม” ธีร์ถาม แต่สีหน้าผ่อนคลายกว่าเดิม
“จะไปบริษัทก่อนนะ เดี๋ยวกลับมา” พัฒน์พูดบอกก่อนจะเดินไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแต่งตัวของตน ไม่นานก็ออกมาด้วยเสื้อตัวเดิม
แต่แค่เปลี่ยนกางเกงก็เท่านั้น
“นานไหมวะ”
“ก็ไม่นานหรอก”
“อือ”
“ไปล่ะ” พัฒน์เอ่ยแบบนั้นก็เดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มมุมปากถ้าธีร์เห็นต้องขนลุกเป็นล้านเท่าแน่ๆ
ธีร์ทำเป็นเดินไปส่งพัฒน์ที่หน้าประตู ก่อนจะร้องดีใจเมื่อเห็นอีกคนเข้าไปในลิฟต์แล้ว ร่างโปร่งวิ่งกลับเข้าห้องนอนไปยังห้อง
แต่งตัวด้วยความเร็วสูง
รีบหยิบกระเป๋าที่พัฒน์ใช้ขนของของตนออกมาแล้วจัดการกวาดทุกอย่างที่เป็นของเขาลงกระเป๋าให้หมด มันค่อนข้างเล็กมากๆ
เพราะพัฒน์ไปเอาเพิ่มให้เกือบทุกวัน โดยที่ธีร์ก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกันว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ทั้งๆ ที่ส่งซักไปแล้วแท้ๆ
“เร็วๆ เดี๋ยวเหมือนในหนังที่มันลืมของแล้วขึ้นมาเอานี่กูจบเห่” ธีร์รีบเร่งเดินไปเดินมาเพื่อหาของๆ ตัวเอง
“ของตกแต่งนี่ รอโอกาสหน้าก็แล้วกัน ตอนนี้ขอเอาตัวรอดไว้ก่อน”
ร่างโปร่งดึงเฝือกที่แอบให้เจโรมีถอดให้ เนื่องจากเพื่อนคนใหม่ของเขาเคยใส่เฝือกแล้วถอดเองหลายต่อหลายครั้ง ธีร์ไม่รู้ว่ามัน
น่ายินดีหรือจะเรียกว่าน่าเศร้าดี
“โอเค ไปแล้วนะ ลาก่อน ฮ่าๆ” ร่างโปร่งบอกลาที่นอนตลอดทั้งอาทิตย์ด้วยความยินดีราวกับได้รางวัลเป็นเงินหลายล้าน
แกร๊ก!
“เฮ้ย!!” ธีร์ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ สองเท้าเดินถอยหลังอย่างระวังตัว มองหน้าคนที่คิดว่าออกไปแวอย่างระมัดระวัง
“ตกใจ?” เสียงทุ้มต่ำถาม
“ไหนมึงบอกว่าจะไปบริษัท” ธีร์ถามเสียงสั่น
“ก็ถ้าไปจริงๆ จะรู้หรือไงว่ามึงหายแล้ว” พัฒน์ยักคิ้วกวนโอ๊ยอีกคนไป
“ก็...หายแล้วไง กำลังจะกลับห้องไง มึงจะอะไรนักหนา” ธีร์ด่ากลบเกลื่อน
“ก็ไม่อะไร แต่คิดว่ามุขตื้นๆ แบบนี้จะรอดพ้นคนอย่างกู ไอ้เจ็มมันจับได้ง่ายจะตายไป” พัฒน์กอดอกพิงประตูขวางทางออกธีร์
เสียมิด
อย่าบอกนะว่า เจ็มทำล้มเหลว โอ้ม่ายยยย...ธีร์ได้แต่กรีดร้องในใจ มองหน้าอีกคนอย่างเว้าวอน
“อยากกลับห้อง ปล่อยกูไปเถอะ”
“ไม่ได้”
“แต่กูหายแล้วนะ”
“ถ้างั้นก็คงจะทำตามข้อตกลงได้แล้ว” พัฒน์เอาข้อตกลงของตัวเองขึ้นมาอ้าง
“ข้อตกลงอะไร ไม่เห็นรู้เรื่อง” ธีร์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“อยากให้กูพูดใช่ไหม ได้....”
“ไม่ต้อง” ธีร์แทรกขึ้นมาอย่างหัวเสีย เรื่องอะไรจะให้พัฒน์พูดออกมาล่ะ
“ถ้ามึงอยากจะไปอยู่ห้องตัวเอง ก็ต้องมีอะไรกับกู...เดี๋ยวนี้” พัฒน์พูดออกมาทำให้ร่างโปร่งถึงกับถอยหลังหนีเรื่อยๆ จนนั่งอยู่บน
เตียง ส่วนพัฒน์ก็ยืนอยู่ที่เดิม
ธีร์กำลังรู้สึกสิ้นหวัง แต่พัฒน์ก็พูดขึ้นมาทำให้เขามีความหวังขึ้นมา ธีร์ยิ้มออกเพราะประโยคนี้
“กูมีทางเลือกให้มึงอีกทาง”
แล้วร่างโปร่งก็ก้มหน้าจมปลักกับความเศร้าอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคถัดมา
“กูจะทำเป็นไม่เห็นว่าแขนมึงหายแล้ว และมึงต้องอยู่ห้องนี้ต่อไป กูก็จะไม่ทำอะไรมึง”
…
…
…
“สวัสดีค่ะคุณธีร์ ดิฉันเอมิกาค่ะ เป็นเลขาของคุณธีร์ค่ะ”
“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผมจะเรียกคุณเอมิกาสั้นๆ ได้หรือเปล่าครับ” ธีร์ถามไปอย่างเกรงใจ
ก็เธออายุมากกว่านี่นา จะให้เขาทำยังไงได้ล่ะ
“เรียกเอมก็ได้ค่ะ”
“ครับคุณเอม ถ้าหากว่าผมเผลอโมโห หรือตำหนิไปก็อย่าถือสานะครับ นิสัยของผมก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว” ธีร์บอกเอาไว้ก่อน
เพราะถ้ามีลูกน้อง ถ้าทำพลาด เขาก็ตำหนิแน่ๆ ล่ะ
“ดิฉันไม่มีปัญหาค่ะ เพราะมาในฐานะลูกน้องของคุณ”
อ่า...เธอช่างดูเป็นผู้ใหญ่จริงๆ
“อ่าครับ ถ้างั้นผมขอตัวเข้าไปทำงาน ตั้งใจทำงานนะครับ ผมว่าคุณคงจะทราบงานเป็นอย่างดีแล้ว มีอะไรติดต่อผมได้ตลอด
เวลานะครับ”
“รับทราบค่ะ”
ธีร์เดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไปด้วยความรู้ที่เกร็งสุดๆ กับเลขาของเขาเอง เธอน่าจะมากกว่าเขารอบหนึ่งได้ แล้วให้เขามาใช้
เธอแบบนี้
“ให้ตายสิ เดี๋ยวก็ชินเองนั่นแหละ” พยายามปลอบใจตัวเองเข้าไว้
ธีร์ตรงไปที่นั่งทำงานของตัวเองก็พบว่ามีแฟ้มจำนวนเกือบ 10 ใบวางอยู่บนโต๊ะ ขนาดเขาเคลียร์ตอนที่พักที่คอนโดแล้วนะ ยัง
เยอะขนาดนี้เลย ดีแล้วที่เขาไปหายไปแบบไม่ทำอะไรเลย
“ให้ตายสิ นี่มันเยอะจริงๆ เลยนะเนี่ย”
ระหว่างที่ธีร์กำลังนั่งเคลียร์งานอยู่นั้น โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เมื่อดูชื่อคนโทรเข้ามาก็ต้องถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ว่าคนๆ นี้จะโทรมาหาเขาในเวลางานทำไม
กลัวเขาจะหนีหรือไง
“ว่าไง”
(ทำไมเสียงแบบนั้นล่ะวะ หึหึ)
“กูก็เกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้ของมึงเหมือนกันไอ้พัฒน์”
(ทำไมล่ะ)
“ไม่ต้องถามได้ไหม แล้วนี่มึงจะโทรหากูทำไม ไม่หนีหรอกน่า”
(กูก็ไม่ได้ว่ามึงจะหนี เพราะหนียังไงก็ไม่พ้น)
“แล้วมีอะไร” ถามไปเซ็งๆ
เมื่อวานที่เขาพยายามที่จะหนีพัฒน์ ก็ถูกร่างแกร่งจับได้ แถมยังยื่นข้อเสนอที่อยากจะร้องไห้ออกมาเป็นภาษาเขมร ไม่ว่าอันไหน มันก็ไม่โอเคสำหรับเขาทั้งนั้น
แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เลยเลือกที่จะอยู่กับพัฒน์แทน...
(เลิกกี่โมง) เป็นคำถามที่น่าสงสัยมาก
“5 โมงเย็น ถามทำไม” ถามกลับไปด้วยความสงสัย
(หาข้าวกินไง)
แปลก...มาชวนกินข้าวนี่มันหมายความว่ายังไง
“มึงมีอะไรแอบแฝงหรือเปล่าวะ” ถามด้วยความระแวง
(ก็แค่กินข้าว มึงจะกลัวอะไรนักหนา)
“ไม่ได้กลัวเว้ย”
(ถ้างั้นเจอกันที่ห้างฯ SCY ร้าน PT เวลาก่อน 6 โมงเย็น เข้าใจนะ) พัฒน์ไม่แม้แต่ถามความคิดเห็นหรือความสมัครใจของธีร์เลย
สักนิด
เขาไม่ยอมเด็ดขาด...มันมีสิทธิ์มาสั่งเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!!
“เออ!!! เจอกัน”
ก็ไม่ได้กลัวสักหน่อย...แค่เกรงว่ามันจะฆ่าเขาก็เท่านั้น
“ไม่ได้กลัวจริงๆ”
(มีต่อ)