ตอนที่ 10 ครึ่งหลัง
กลับมาปัจจุบัน
“หิวว่ะ” ธีร์บ่น พร้อมกับรื้อเอกสารต่างๆ ขึ้นมาตรวจสอบดู ก็ไม่พบถึงความผิดปกติแต่อย่างใด จนน่าสงสัย
“มันไม่น่าจะจัดการอะไรได้เรียบร้อยขนาดนี้นะ” ธีร์พูดพลางมองไปยังกองเอกสารต่างๆ อีกครั้ง คิดในใจอย่างเครียดๆ เพราะฟัง
จากคำบอกเล่าของหัวหน้าช่างเมื่อกี้แล้ว
มันเข้าข่ายทุจริตกันชัดๆ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีเอกสารทิ้งไว้เป็นหลักฐาน
“เผื่อมีบริษัทไหนที่น่าสงสัย” คิดได้ดังนั้น ร่างโปร่งก็นั่งลงกับโต๊ะทำงานของหัวหน้าวิศวกรที่ชื่อเอกอย่างจริงจัง พร้อมกับเปิด
หน้าเอกสารไปด้วย
ยังไงเขาก็ต้องหาให้ได้...ไม่ว่ายังไงก็ไม่ปล่อยให้คนที่ทรยศบริษัทลอยนวลอยู่ได้นานหรอก
ทางด้านพัฒน์เองก็เริ่มจะทำงานไม่รู้เรื่อง คอยแต่พะวงว่าธีร์จะอู้งานหรือเปล่า แอบคิดว่ามันคงจะได้กินข้าวไปแล้วแน่ๆ
“คงจะกินจนอิ่มเลยล่ะสิ”
ก๊อกๆ
“เชิญ” พัฒน์อนุญาตสั้นๆ เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของตน
“คุณพัฒน์ครับ ที่โรงงานมีปัญหาครับ”
“ยังไง”
“รู้สึกว่ามีพนักงานคนหนึ่งพยายามที่จะทำลายล้อล็อตใหม่ของเราน่ะครับ แต่จับตัวได้ก่อนครับ” พูดบอกพัฒน์ไป ทั้งๆ ที่ตัวเองก็
ใจเต้นแรงแบบหวั่นๆ
เพราะงานมีปัญหาทีไร ไม่ถูกด่าด้วยคำพูด ก็มักจะจะโดนหักเงินเดือนเสมอ หรือบางทีทั้งด่า ทั้งหัก
หรือไม่ก็ต้องเข้าอบรมที่ห้องเย็นกับเจ้านายอย่างพัฒน์อีก
“คุมงานภาษาอะไร เสียหายไปเท่าไหร่” ถามเสียงเย็น ลูกน้องที่เข้ามารายงานถึงกับยืนตัวสั่นด้วยความกลัว เพราะทราบดีว่า
เวลาแบบนี้เจ้านายของเขาจะโหด และดุกว่าตอนปกติเสียอีก
นี่ทำใจเตรียมตัวตายมาแล้วนะ
“ก่ะ...ก็คือว่า ผู้จัดการที่โรงงานบอกว่า ล้อเสียหายทั้งหมดสามสิบตัว กับยางอีก ห่ะ ห้าสิบเส้นครับ” ตอบพัฒน์ไปแบบกล้าๆ กลัวๆ
“ล็อตใหม่ อืม...จากจำนวนก็เกือบ 10 ล้านสินะ” พัฒน์ก้มหน้าอ่านเอกสารพร้อมกับพูดไปด้วย ท่าทางเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อน
อะไร แต่คนเป็นลูกน้องย่อมรู้ดีว่าท่าทางแบบนี้นี่แหละ
หนักแน่!
“แล้วที่จับคนทำได้ มันง้างปากบอกอะไรไหม” ถามเสียงเข้ม
“รู้แค่ว่าปลอมตัวเข้ามาน่ะครับ เพราะไม่มีประวัติในบริษัท”
“เข้ามาในโรงงานที่มีระบบคุ้มกันยอดเยี่ยมแบบนี้ได้ มันเก่งหรือว่าคนของเราที่สะเพร่า! ถ้าฉันจัดการเรื่องนี้ได้ เตรียมหา
พนักงานใหม่มาแทนคนที่ทำงานพลาดทันที!!” สั่งเฉียบขาด ลูกน้องของเขาก็รีบก้มหัวรับคำสั่งอย่างกลัวๆ ทันที
ยังโชคดีที่คนถูกไล่ออกไม่ใช่เขา...
“ค่ะ ครับ”
“บอกไอ้พวกข้างล่างให้เอารถออก ฉันจะไปให้ถึงโรงงานภายใน 30 นาที ถ้าลงไปไม่เจอรถรออยู่ คงจะรู้นะว่าเป็นยังไง ฉัน
ต้องการคนมาทำงาน ไม่ใช่แค่มาเอาเงินอย่างเดียว!!” พัฒน์พูดเสียงดังขึ้น จนลูกน้องตัวสั่น ไม่กล้าก้าวเท้าแม่แต่ก้าวเดียว
“ไปสิวะ!”
“ค่ะ ครับ” ลูกน้องคนนั้นรีบวิ่งออกจากห้องไปทันที เพื่อไปเตรียมรถให้กับเจ้านายด้วยความรีบร้อน
มองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะ 4 โมงแล้ว ถ้าจะกลับมาที่นี่คืนก็คงจะไม่ทัน คิดได้ดังนั้นเขาก็ส่งข้อความไปบอกธีร์
‘เลิกงานแล้วไปรับกูที่โรงงาน DINZ สาขา XXX’ ก่อนที่ร่างสูงจะได้คำตอบกลับมาสั้นๆ
‘เออ’
ทั้งๆ ที่กำลังเจอปัญหาเครียดๆ แต่ทำไมร่างสูงถึงกลับยิ้มได้
มันเป็นเพราะอะไรกัน...
...
...
...
เสียงโหวกเหวกโวยวายดังเข้ามาในห้องทำงานจนธีร์ที่กำลังเอาแฟ้มเอกสารเก็บที่เดิมถึงกับขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัย ช่างที่
อยู่แถวนั้นพากันวิ่งขวักไขว่ จนเขาต้องออกไปดูด้วยความร้อนใจ
เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย
“เดี๋ยว” ร่างโปร่งเรียกให้ใครสักคนที่วิ่งอยู่หยุดวิ่งแล้วเดินมาหาเขาด้วยสีหน้าตื่นๆ
“ค่ะ ครับคุณธีร์”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงโหวกเหวกโวยวายกันจัง”
“พอดีว่าจะรื้อเสาที่เอาลงไปแล้วขึ้นมาน่ะครับ แล้วจะใส่อันใหม่ที่เพิ่งมาส่งลงไปแทน แต่เสามันไม่แข็งแรง เลยหักกลางหล่นลง
บนพื้นที่ทำงานของบางส่วนน่ะครับ”
“แล้วมีใครเป็นอะไรหรือเปล่า” ธีร์ถามด้วยความเสียงร้อนรน
เรื่องใหญ่จริงๆ ด้วย
“บาดเจ็บ 7 คนครับ ไม่มีใครถึงกับชีวิต”
“เรียกรถพยาบาลหรือยัง”
“พี่สนเรียกแล้วครับ”
“ดีแล้ว อย่าให้ใครเข้าใกล้แถวนั้นเด็ดขาด พักงานเอาไว้ก่อน เดี๋ยวฉันจะตามไปดู” ธีร์บอก ซึ่งช่างคนนั้นก็รีบวิ่งกลับไปยังสถาน
ที่เกิดเหตุทันที
“แล้วเสามันมีกี่ต้นวะเนี่ย พังง่ายชะมัดให้ตายเถอะ รับรองไอ้คุณเอกบ้าอะไรนั่น ไม่มีที่ยืนในบริษัทแล้วแน่ๆ” ธีร์บ่นเครียดๆ ก่อน
จะรีบจ้ำอ้าวตามช่างคนนั้นไปทันที
ถ้ามีคนเสียชีวิต นี่เรื่องใหญ่กว่านี้แน่ๆ
ธีร์มองไปยังที่เสาต้นใหญ่ครึ่งที่หักลงมาตรงที่เกิดเหตุ ส่วนอีกครึ่งมันเชื่อมกับเครื่องยกเลยเอาไปไว้ที่ปลอดภัยได้ แต่ส่วนที่
ขาดกลางนี้แหละที่เป็นปัญหา เกือบทำให้คนงานได้รับอันตรายถึงชีวิต
“ทำไมเสามันพังง่ายแบบนี้”
“คิดว่าคงเป็นตัวที่คุณเอกเปลี่ยนแน่ๆ เลยครับ ตอนแรกพวกเราว่าจะไม่ลง แต่คำสั่งของหัวหน้าถือเด็ดขาด” ใครคนใดคนหนึ่ง
แถวนั้นตอบ
“ใครเห็นตอนเปลี่ยนบ้าง” ธีร์หันไปถามทุกๆ คน
“ไม่ครับ”
“แล้วรู้ได้ไงว่าเปลี่ยน”
“คุณธีร์ครับ ทุกอย่างที่เป็นของบริษัทเรามันต่างจากของที่อื่นแน่นอนครับ พวกเราอยู่ที่นี่มาหลายปี แยกออกอยู่แล้วว่าอะไรของ
แท้ อะไรของปลอม
“กล้องวงจรปิดทุกตัว จับได้หรือเปล่า”
“ไม่เลยครับ”
“เอกสารก็ไม่มี กล้องก็จับไม่ได้ ไม่มีใครเห็นตอนเปลี่ยนอีก ของใหญ่แบบนี้ไม่น่าจะลอดหูลอดตาใครไปได้ ถ้าไม่มีพรรค
พวก...จริงสิ” ธีร์ทำท่าคิดออก
ถ้าจะลักลอบทำอะไรแบบนี้ มันก็ต้องมีคนรู้เห็นเป็นกระบวนการแน่ๆ และถ้าจะทำ มันก็คงจะทำให้ตอนที่ไม่มีคนงานแล้ว ฉะนั้น
ตอนกลางคืนนี่แหละที่พวกมันลักลอบเปลี่ยนของ
ที่สำคัญที่กล้องจับไม่ได้ ยามเป็นด่านแรกที่ต้องเจอแน่นอน
“คิดอะไรออกหรือครับคุณธีร์”
“คิดออกน่ะคิดออก แต่ตอนนี้ผมบอกทุกคนไม่ได้หรอกนะ ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง ทุกคนช่วยดูแลคนบาดเจ็บขึ้นรถพยาบาลก่อน
นะ ผมจะไปตรวจเสนั่นเสียหน่อย”
“ระวังนะครับคุณธีร์ ตรงนั้นมีจุดก่อสร้าง แล้วอุปกรณ์ที่ถูกเปลี่ยนไม่ใช่แค่เสานะครับ ยังมีตัวอื่นๆ อีกที่ไม่รู้ว่าจะพังเมื่อไหร่”
“ขอบคุณที่เตือนครับ ผมจะระวัง”
ร่างโปร่งเดินเข้าไปในเขตพื้นที่ที่เสาหล่นอยู่ ก็พบว่ามันเป็นเสาที่หล่อออกมาได้สะเพร่าและน่าเกลียดมาก แค่มองตาเปล่าก็รู้
แล้วว่ามันไม่แข็งแรง
เขามองจากที่ไกลๆ เลยไม่เห็นความผิดปกติเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ชัดเจนแล้วล่ะ
“มันเป็นแบบนี้นี่เอง”
ในจังหวะที่ธีร์เดินรอบๆ เสาที่หล่นนั้น ก็ต้องตกใจกับเสียงร้องของเหล่าช่างก่อสร้างที่พากันตะโกนเสียงดังหวังให้เขาหลบจาก
อะไรบางอย่าง ซึ่งเมื่อแหงนขึ้นไปข้างบน ก็พบว่าท่อนเหล็กขนาดไปใหญ่มากกำลังตกลงมาคานด้านบน ซึ่งธีร์เห็นแล้วก็ทำ
อะไรไม่ถูก แต่ก็พอตั้งสติที่จะวิ่งหลบ แต่ไม่พ้นอยู่ดี
“คุณธีร์!!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อเขาเสียงดัง
ปึก!!
“โอ๊ยยยย”
ธีร์ร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บ พร้อมกับเอามือขึ้นกุมไหล่ที่โดนท่อนเหล็กหล่นทับด้วยสัญชาตญาณ ล้มตัวลงกับพื้นอย่างเจ็บ
ปวด
ท่อนเหล็กไม่ใหญ่มากก็จริงแต่น้ำหนักของมันก็หล่นโดนไหล่ซ้ายของเขาเต็มๆ แน่นอนว่าต้องช้ำ แล้วไหล่หลุดแน่ๆ รับรู้ได้จาก
การเจ็บ
คนที่ตั้งสติได้ก็วิ่งเข้ามาเพื่อช่วยเหลือเจ้านายใหญ่อย่างธีร์ด้วยความเร่งรีบและตกใจไปในตัว ไม่มีใครคิดจริงๆ ว่าจะมีเหตุการณ์
แบบนี้เกิดขึ้น
“เป็นอะไรไหมครับ”
“จ่ะ เจ็บ เจ็บมาก” ได้แต่บอกว่าเจ็บ น้ำตาซึมที่หางตาเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับร้องไห้
“เฮ้ย ช่วยประคองคุณธีร์หน่อยสิเอง” รีบบอกอีกคนที่วิ่งมาด้วยกันเสียงหลง
ร่างโปร่งถูกประคองเข้าไปนั่งพักที่เก้าอี้พักของพนักงาน ซึ่งคนงานก็กรูเข้ามาดูเขาด้วยความเป็นห่วง
“ออกไปห่างๆ เดี๋ยวคุณธีร์หายใจไม่ออก เอ่อ...ให้ผมโทรตามรถพยาบาลกลับมาไหมครับ” หัวหน้าช่างถามด้วยความเป็นห่วง
“ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ อึก...” แค่ขยับก็เจ็บมากแล้ว
“อีกประมาณ 5 นาทีก็ 5 โมงน่ะครับ”
“ทุกคนเก็บของกลับบ้านได้แล้ว ใกล้ถึงเวลาเลิกงานแล้ว” ธีร์สั่งเสียงเบา ด้วยสีหน้าที่เจ็บสุดๆ
“แล้วคุณธีร์”
“ผมไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นอะไรมากเท่าไหร่”
“แต่ผมว่าไปเช็คที่โรงพยาบาลหน่อยก็ดีนะครับ”
“เดี๋ยวผมไปเองได้ครับ ไม่เจ็บมากเท่าไหร่” ธีร์เลือกที่จะโกหกออกไป เพื่อไม่ให้ทุกคนรู้สึกผิดที่ทำงานสะเพร่า ไม่ยอมรีบแจ้ง
สำนักงานใหญ่ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น จนทำให้เกิดเหตุการณ์อันตรายแบบนี้
“แน่นะครับ”
“ครับ”
เขาได้แต่กัดฟันข่มความเจ็บเอาไว้ แล้วลุกขึ้นโชว์คนงานทุกคนเพื่อบอกว่าเขาไม่เป็นไรก่อนจะส่งยิ้มนิดๆ ให้พวกเขาใจชื้นกัน
จากนั้นเหล่าคนงานก็พากันยกมือไหว้ลาเขากันใหญ่เพื่อที่ตนเองจะกลับบ้านไปพักผ่อนแล้วมาลุยงานหนักในวันรุ่งขึ้น
ใจจริงเขาอยากจะยกมือรับไหว้อยู่หรอก แต่ทำไม่ได้นี่สิ
“ผมกลับแล้วนะครับ จะได้รีบไปหาหมอ”
“เดินทางปลอดภัยครับ”
ธีร์เดินออกมาจากตรงนั้นแล้วไปที่รถทันที ในเมื่อมือซ้ายเจ็บ แค่ขยับก็เจ็บจนแทบจะร้องไห้ เพราะฉะนั้น มือขวาก็บังคับทั้งพวง
มาลัยและเอื้อมมาใส่เกียร์
ไปหาหมอเหรอ? หึ! ไปรับไอ้โหดนั่นต่างหากล่ะ
แม้ว่าเขาเจ็บจนกำลังจะตาย เขาก็ไม่มีทางให้มันมาด่าเขาเด็ดขาด... เพราะฉะนั้น ไหล่ก็ช่างมัน เจ็บแค่ไหนก็ไม่สำคัญ เท่าที่
ต้องมาทนให้ไอ้พัฒน์ดูถูก
“มันเป็นเวรกรรมของกูเองล่ะ”
ร่างโปร่งบางใช้เวลาขับรถมาที่โรงงานผลิตรถของ DINZ เพียง 30 นาที เพราะไม่อยากจะให้พัฒน์รอนาน หาเรื่องลงโทษเขาอีก
“สวัสดีครับคุณธีร์ เชิญด้านในเลยครับ” ลูกน้องของพัฒน์เดินมาต้อนรับเขาแล้วนำธีร์เข้าไปหาพัฒน์ที่ด้านในโรงงานทันที
ระบบรักษาความปลอดภัยของที่นี่หนาแน่นมาก เป็นการแสกนลายนิ้วมือเพื่อเข้าไปในตัวโรงงานด้านใน ซึ่งธีร์ไม่สามารถเข้าได้
แน่ๆ ถ้าไม่มีลูกน้องของพัฒน์มาพาเข้าแบบนี้
“มาเร็วดีนี่” พัฒน์ที่นั่งรอที่โซฟาหนังสุดหรูถามขึ้นด้วยสีหน้ากวนๆ แต่คนที่กลังหงุดหงิดและโมโหอย่างธีร์กลับไม่สนคำชมบ้า
บอนั่น
แค่อยากจะกลับบ้าน แล้วจะได้พักผ่อนเสียที
หิวก็หิว เจ็บก็เจ็บ
“จะกลับได้ยัง” ถามเสียงห้วน
“พวกแกออกไปก่อน” พัฒน์หันไปสั่งลูกน้องสองสามคนที่ยืนอยู่ในห้องให้ออกไป จนเหลือแค่พัฒน์กับธีร์แค่สองคนเท่านั้น
“มีอะไรอีกล่ะ นี่มันเวลาเลิกงานของกูแล้วนะเว้ย”
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่จะถามเรื่องงานที่ไปทำมานิดหน่อย” ใจดวงน้อยกระตุกวูบ
หรือมันจะรู้แล้ววะ...
“ก็ไม่มีอะไร เรียบร้อยดี”
“คงแอบอู้สบายเลยสิ ได้กินข้าวด้วยสินะ” พัฒน์พูดขึ้น
“กูไม่ได้อู้” เถียงออกไปด้วยความร้อนใจ
กูเจ็บขนาดนี้ ยังเรียกว่าอู้อีกหรือไงวะ
“ใครจะไปเชื่อมึง คนอย่างมึงมันไม่เคยจริงจังอะไรกับงานอยู่แล้วนี่ พอกูไม่ได้คุม ก็ร่าเริงขึ้นทันใด” พัฒน์ยังคงหาเรื่องยั่ว
อารมณ์โมโหของธีร์ต่อไป
“ไอ้พัฒน์!!”
“ทำไม แทงใจดำหรือไง”
“ไม่ใช่โว้ย! รู้ไว้ซะว่าข้าวกูยังไม่ได้กิน แล้วก็ไม่ได้อู้ กูไปทำงานจริงๆ ถึงกูจะสันดานแย่ แต่ก็ใช่ว่าจะแยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัว
ไม่ออกนะเว้ย”
พัฒน์ยกยิ้มมุมปาก เขารู้...แต่ก็อยากจะแกล้งมันไปก็เท่านั้น
“หึหึ กลับกันเถอะ”
“อะไรวะ! สรุปเข้าใจที่กูพูดไหม!!” ถามเสียงดัง แล้วหันตามร่างสูงที่เดินผ่านตัวเขาเพื่อจะไปยังประตูทางออก แต่ร่างสูงไม่สน
กระชากแขนร่างบางให้เดินตามมา
“โอ้ยยยย”
จะไม่ร้องเสียงหลงอย่างเจ็บปวดขนาดนี้เลยถ้าอีกคนไม่กระชากแขนขากซ้ายของเขา
“สำออยหรือวะ ตามมา” กดเสียงต่ำพร้อมกับกระชากอีกจนร่างโปร่งต้องพยายามตามแรงดึงให้ทันเพื่อที่ตนจะไม่ต้องเจ็บมากนัก
“โอ้ย…อึก” ธีร์กัดฟันแน่นอย่างอดทน
พัฒน์เองก็ขมวดคิ้วหนาแน่นด้วยความสงสัยว่าทำไมธีร์ถึงได้ร้องเสียงดังแบบนั้น แต่ก็คิดได้อย่างเดียวมันก็คงจะโกหกเขาเพื่อ
ให้ปล่อยมันไปงั้นแหละ
น่ารำคาญจริงๆ
100%

ครบ 100% แล้วจ้า น่ายินดีปรีดาจริงๆ จู่ๆ พล็อตอยากทำร้ายพี่ธีร์ก็มา ไม่ว่ากันชิมิคะ ส่วนเรื่องนิสัยของพัฒน์ที่เจ้าอารมณ์ไม่แพ้กันนั้น บอกตามตรงว่าเจ้านายมันก็ไม่รู้ว่าสันดานจะเป็นแบบนี้ เอาง่ายๆ ไอ้พี่พัฒน์มันเสแสร้งเก่งไง ฮ่าๆ เป็นกับธีร์คนเดียวด้วยนะเออ พิเศษป่ะล่า
ติดตามข่าวสารการอัพนิยาย หรือพูดคุยกับยูกิได้ที่
https://www.facebook.com/sawachiyuki