[เรื่องสั้น จบในตอน] รักเกิดในตลาดสด : พิเศษ ++ 7 ++ 24/07/58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น จบในตอน] รักเกิดในตลาดสด : พิเศษ ++ 7 ++ 24/07/58  (อ่าน 49782 ครั้ง)

ออฟไลน์ Pepor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-3
เข้ามาเป็นกำลังใจให้คุณจิ  :L2:

ปล.  (แอบกระซิบฝากความคิดถึงไปถึงเด็กญี่ปุ่นไทโยกับน้องพิสุดหล่อ ด้วยนะคะ) :กอด1:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
อยากอ่านตอนพิเศษทุกคู่เลย อิอิ
น่ารักทุกคู่จริงๆ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองสุดๆ

ออฟไลน์ jira

  • ปัญญาไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 890
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1324/-3
สื่อรักผ่านเพลง


เพลงเพราะกับแอร์เย็น ๆ ในร้านไอศกรีมไม่ทำให้คนตรงข้ามผมอารมณ์ดีขึ้น  ถอนหายใจกับความสัมพันธ์ที่เดินมาจนสุดทางแล้วเงยหน้าขึ้นมองดวงตากลมโต  คนเคยรักก็กำลังจ้องผมอยู่เหมือนกัน

“เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมดีกว่า / เลิกกันเหอะ”  ผมตัดใจเอ่ยปากบอกก่อนเสียงนุ่มจะบอกเพียงเสี้ยววินาที  คนเคยรักยิ้มบางกับประโยคขอให้กลับมาเป็นเพื่อน  แต่ผม..กลับยิ้มขื่นกับการขอเลิก  ผมยังรู้สึกดีกับเขา  ถึงได้อยากกลับมาเป็นเพื่อน  แต่การขอเลิกของคนเคยรัก  มันหมายถึงหายไปจากชีวิต  หยุดยุ่งเกี่ยวกันในทุกทาง

“แล้วเราจะคุยกันได้เหมือนเดิมไหม?..อ้อน”  ดวงตาวูบไหวหลบตาผมเมื่อผมเอ่ยถาม  เบือนหน้ามองออกไปนอกร้าน  ถอนหายใจยาวแล้วหัวเราะเบา ๆ

“..ฮะๆ  ผมยังอยากเป็นเพื่อนอ้อนนะ  ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม”  จ้องมองใบหน้าด้านข้างที่ยังคงมองถนนด้านนอก  ถอนหายใจทิ้งแล้วหยิบเงินวางบนโต๊ะ  อ้อนหันมามองเงินที่ผมวางไว้กับโต๊ะแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม 

“..ฉันคงเป็นเพื่อนคุณไม่ได้หรอกต่อ  ฉันทำเฉย ๆ กับคนที่เคยมีอะไรกันแล้วไม่ได้หรอก..”  สบตาสวยหม่นแสงของอ้อน  ยืนนิ่งค้างกับประโยคก่อนลาของอ้อน

“..ฉันขอให้คุณได้เจอกับคนที่ฉุดคุณให้ขึ้นมาจากความเย็นชาได้นะต่อ  ฉันขอให้คุณได้เจอเขาเร็ว ๆ ..”  มองตามอ้อนที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้  ใบหน้าเปื้อนน้ำตายังติดตา  นิ่งอยู่กับที่เพราะประโยคกระแทกใจ  กลืนก้อนแข็งที่จุกอยู่ที่คอ    ออกมาจากร้านแล้วเดินเอื่อยไปตามถนน  ผมคบใครไม่เคยยืด  ไม่เกิน  2   เดือนก็โดนบอกเลิก  ไม่เคยมีใครได้ใช้เวลาร่วมกันนานเกินกว่านั้น  ไม่มีเลยสักคน..

โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงยีนสั่น  ผมปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นจนหยุดความเคลื่อนไหว  สองเท้าก้าวไปข้างหน้า  ดวงตาจ้องมองถนน  รถราวิ่งขวักไขว่  ผู้คนมากมายเดินจับมือกัน  คุยโทรศัพท์ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข  ในขณะที่ผมต้องอยู่กับความทุกข์จากสิ่งที่มนุษย์พวกนั้นบูชา  สิ่งที่เรียกว่า..‘ความรัก’  สิ่งยิ่งใหญ่นี้มันกำลังทำให้ผม..อยากอ้วก! 

สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหยุดเดิน  กัดกรามแน่นกับโทรศัพท์ที่สั่นเป็นครั้งที่  4  หลับตาแน่นข่มความโมโหก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมากดรับ

“..ปิดร้านซะไอ้ติณณ์  กูไม่มีอารมณ์ว่ะ  ทำไมต้องกู?!  ..มึงจะไปกี่โมง?  เออ..เดี๋ยวไป”  ทันทีที่นิ้วเลื่อนกดปุ่มรับปลายสายก็ร่ายยาวใส่หู  ไอ้ติณณ์เพื่อนผมมันให้ผมช่วยเฝ้าร้านขายของแทนมัน  เพราะมันมีธุระสำคัญต้องพาน้องเอกไปส่งขนมที่งานบวช  แล้วจะเลยไปเที่ยวกับครอบครัวน้องต่อ  วันนี้ร้านขนมของน้องเอกปิดเพราะเร่งทำขนมไปส่งงานบวชของลูกค้าขาประจำ  แต่ไอ้ติณณ์มันดันไปเช่าแผงขายของตรงตลาดทิ้งไว้  ตลาดนี้วันเสาร์-อาทิตย์จะให้รถจอดได้แค่ฝั่งขวา  ส่วนฝั่งซ้ายเคลียร์พื้นที่เป็นไนท์บาร์ซ่า  บอกให้มันปิดร้านมันก็ไม่ยอม  มันว่ามันเสียตังค์ไปแล้ว  พอผมเสียงขุ่นใส่มันก็ทวงบุญคุณที่มันคอยเป็นเพื่อนปลอบใจทุกครั้งที่ผมป่วยทางใจ  แลกกับการที่ผมมาช่วยมันขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่กี่ชั่วโมง  มันพล่ามมาอีกหลายคำเหมือนกัน  แต่ประโยคสุดท้ายที่มันบอกทำให้ผมยอมเปลี่ยนใจ..ช่วยมัน  ‘แค่นี้ทำให้เพื่อนไม่ได้รึไงไอ้สัตว์’  เพราะคำว่าเพื่อนนี่ล่ะถึงได้ยอมช่วยมัน

ยืนนิ่งมองหน้าจอที่มีรูปผมกับอ้อนถ่ายด้วยกันบนเตียงแล้วหลับตาลงช้า ๆ  กัดกรามแน่นแล้วตัดใจลบรูปนี้ทิ้ง  ผมไม่ชอบให้อดีตมันส่งผลให้ปัจจุบันของผมเลวร้าย  มันไม่ควรตามมาหลอกหลอนให้ผมจมจ่อมกับความรู้สึกอกหักได้อีก  ปวดที่อกซ้ายหนึบ ๆ  เก็บโทรศัพท์แล้วเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ  ซื้อนมกับแซนด์วิชมานั่งกินข้างทาง  กินเสร็จก็ถอนหายใจยาว  รวบทุกอย่างลงถังขยะแล้วเดินเข้าห้าง  ไปเอารถที่จอดไว้แล้วขับตรงไปตลาด  เลือกจะนั่งเงียบ ๆ ให้เวลากับตัวเองมากกว่าจะฟังเพลงรักหวานเลี่ยนที่คาเครื่องเล่นในรถ  เลี้ยวรถเข้าตลาดแล้วกดหาไอ้ติณณ์

“ถึงแล้ว”  บอกมันแล้ววางหู  ยืนกอดอกรอที่รถได้  10  นาทีมันก็โผล่หัวมา  มันยิ้มโชว์ลักยิ้มแล้วตบไหล่ผมเบา ๆ  ยกยิ้มมุมปากแล้วให้มันพาไปที่แผงมัน  เดินเข้าไปประมาณเกือบท้าย ๆ ถนนก็ถึงร้านมัน  มันยังไม่ได้ตั้งร้านเพราะรอให้ผมมาก่อน  เห็นของที่มันขายแล้วอยากกระชากคอมันมา  แล้วเอาหัวโขกหน้าผากให้หายมึน

“มึงขายเพลง..รัก  หมดทั้งร้านเลยเหรอไอ้ติณณ์”  หยิบซีดีในกล่องออกมาเพ่งแล้วปล่อยร่วง  กวาดตามองอีก  3  กล่องที่เหลือด้วยความเซ็งสุดตรีน  ปรายตามองหน้าระรื่นที่เอาแต่ยิ้มโชว์ลักยิ้มแล้วเบือนหน้าหนีข่มอารมณ์หงุดหงิด  จะโทษมันก็ไม่ได้  น้องเอกแฟนมันชอบฟังเพลงแบบนี้  เวลามันมานั่งขายพร้อมน้องมันก็มีแต่ความสุข  บรรยากาศก็มีแต่สีม่วงอมชมพูลอยอบอวล  แต่อารมณ์ของผมตอนนี้..

กูอยากฟังเพลงอินดี้มากกว่าเพลงเลี่ยนพวกนี้ไอ้สัตว์!

ยืนเท้าเอวหมุนตัวไปมาไล่ความเคือง  สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกช้า ๆ  ปรี่ไปเตะเก้าอี้พลาสติกที่อยู่ข้าง ๆ จนหัก  กำหมัดแล้วหลับตาแน่น  สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพ่นลมทิ้ง  หันไปบอกไอ้ติณณ์ที่ยืนมองผมนิ่ง

“โทษที..กูอารมณ์ไม่ดีน่ะ”  ไอ้ติณณ์มองผมด้วยแววตาเห็นใจ  มันเดินเข้าเก็บซากเก้าอี้พลาสติกแล้วตบไหล่ผมเบา ๆ

“สักวันมึงจะเจอคนของมึง..ไอ้ต่อ”  สบตาสีน้ำตาลจริงใจของมัน  นั่นสินะ  ซักวันผมก็คงได้เจอ  ยิ้มบางให้ก่อนจะช่วยมันจัดร้าน  ไม่มีอะไรมากครับ  แค่กางโต๊ะติดกัน  2  โต๊ะ  ตั้งคอมกับจูนเครื่องเสียงแค่นี้ก็เสร็จ  ผมเดินย้อนกลับมาเอารถปล่อยให้ไอ้ติณณ์จูนเครื่องเสียงต่อไป  เงยหน้ามองผู้หญิงผมยาวที่ยืนอยู่ในแผงน้ำปั่น  ยกยิ้มตอบรอยยิ้มหวานที่ส่งมาให้ก่อนจะเลี่ยงผู้หญิงอีกคนที่จงใจเดินชนไหล่  ก้มหน้าก้มตาเดิน  มองปลายเท้าของคนที่ยืนขวางแล้วเงยหน้าขึ้นมอง

“พี่ติณณ์ล่ะครับ?”  น้องเอกยืนขวาง  อมยิ้มที่ได้แกล้งผม  เอามือไขว้หลังถามหาไอ้ติณณ์  ผมยิ้มตอบรอยยิ้มน่ารักของน้องเอกแล้วชี้ไปท้ายถนน  เดินคู่น้องกลับไปทางเดิม  ส่งน้องจนถึงมือไอ้ติณณ์แล้วย้อนกลับมาเอารถ  ขับเข้ามาเส้นหลังแผงแล้วถอยหลังชนร้าน  ช่วยไอติณณ์ตั้งลำโพงแล้วยืนฟังระดับเสียง  ผมบอกมันให้ดังแค่พื้นที่เมตรครึ่งก็พอ  ไม่อยากเปิดแข่งกับร้านอื่น  ตั้งร้านเสร็จมันก็ไล่ผมให้ไปหาอะไรกินก่อน  เพราะถ้าคนเริ่มมาเดินผมจะปลีกไปไหนไม่ได้

เดินออกมาหาข้าวกินแถวนั้น  กินเสร็จก็ซื้อบุหรี่กับหมากฝรั่งติดมือเข้ามา  ตอนนี้แดดไม่มีแล้วครับ  ตลาดเปิดไฟที่ติดตามมุมถนนและตามต้นไม้ให้ดูไม่ค่อยสว่างมาก  บรรยากาศน่าเดินดูของมากครับ  เดินย้อนเข้ามาก็ดูของร้านอื่นไปด้วย  ซื้อโคมไฟที่ทำมาจากกะลา  แล้วก็จำใจแวะอุดหนุนน้ำปั่นของสาวยิ้มหวานเมื่อตอนขามาด้วย..

“อุดหนุนน้ำปั่นหน่อยดิ”  ยิ้มบางแล้วสั่งกาแฟปั่น  ไล่สายตามองขวดน้ำหวานหลากหลายกลิ่นที่วางเป็นระเบียบ  เสียงเครื่องปั่นหนวกหูจนต้องเบือนหน้าไปมองของแฮนด์เมดที่อยู่ร้านข้าง ๆ แก้ความหงุดหงิด  ผู้หญิงผมสั้นนั่งกับพื้น  ในมือถักเชือกแล้วก้มหยิบกระดิ่งเล็ก ๆ มาร้อยเข้าไปรวมอยู่ในเชือก  มองเพลินจนกาแฟปั่นยื่นมาให้ตรงหน้า  ควักแบงค์  50  ให้ รับเงินทอนแล้วยิ้มตอบคำถามที่ถามชื่อผม  เขาสวยนะ..แต่มันยังไม่โดน  ยิ้มบางให้อีกครั้งแล้วเดินมานั่งยอง ๆ หน้าร้านน้องผมสั้น

“อันนี้ข้อมือหรือข้อเท้า?”  หยิบเชือกสีน้ำตาลอ่อนที่มีกระพรวนเล็กร้อยตลอดเส้นมาจ้องแล้วเอ่ยปากถาม  เจ้าของแผงเงยหน้ามาตอบห้วน  ‘มือ’  ขมวดคิ้วแล้วคลี่ยิ้มให้เจ้าของร้าน  ควักแบงค์สีแดงให้แล้วยื่นเชือกเส้นนั้นให้เขาใส่ถุง  ผมไม่ได้จะใส่เอง  มันน่าจะเหมาะกับแฟนไอ้ติณณ์มากกว่า  รับเงินทอนแล้วเดินกลับมาที่ร้านไอ้ติณณ์  เสียงเพลงรักเบา ๆ ของมันเรียกลูกค้าคู่รักให้ยืนเลือกเพลงหน้าร้านมันได้หลายคนเลย  น้องเอกเดินเข้ามาหาแล้วคว้ามือผมเดินไปมองผลงานที่เจ้าตัวอุตส่าห์ทำ

“กลิ่นแบบนี้มันช่วยให้อารมณ์ดีนะพี่ต่อ..”  นิ้วเรียวแตะเทียนหอมรูปดอกไม้หลายแบบที่จุดเรียบร้อยลอยอยู่ในอ่างสีน้ำเงินสวย  กลิ่นหอมของมันทำให้ผมอารมณ์เย็นลง  คลี่ยิ้มแล้วยื่นถุงเชือกข้อมือให้น้องเอก

“ตอบแทนเทียนหอม..”  น้องเอกรับไปแล้ววิ่งไปให้ไอ้ติณณ์ผูกให้  ผมกับไอ้ติณณ์คุยเรื่องราคาของและเวลาปิดร้าน  ปล่อยให้น้องเอกเดินไปดูของรอก่อน  ผมขายของไปด้วยก็เช็คเงินทอนที่มันทิ้งให้ไปด้วย  มันเตรียมถุงมาวางไว้ให้แล้วตบไหล่ผมเบา ๆ

“มึงไม่ได้ขี้เหร่ไอ้ต่อ  เดี๋ยวก็มีมาให้เลือกเป็นสิบ  เชื่อกู”  ยกยิ้มกับประโยคปลอบใจแล้วพยักหน้าส่ง  มองส่งคู่นี้จนลับตาแล้วก้มหน้ามองแผงเพลงรักด้วยความหน่าย  กำลังจะหย่อนก้นนั่งก็ต้องหันไปตามแรงจับที่หัวไหล่  ขมวดคิ้วมุ่นมองหน้าไอ้ติณณ์ที่วิ่งย้อนกลับมายืนยิ้มหยันตรงหน้า

“..แต่ถ้ามึงยังไม่เลิกนิสัยเหี้ย ๆ ชาตินี้ทั้งชาติ  คนของมึงก็คงไม่มีวันเกิด”  สบตาจริงจังของมันแล้วถอนหายใจยาว  ยกยิ้มมุมปาก  และพยักหน้ารับในตอนท้าย  ผมรู้ว่ามันเหี้ยมากที่คบกับใครก็ต้องได้ฟันเขา  ก่อนจะเลิกด้วยการ  ‘เข้ากันไม่ได้..แต่ก็ยังอยากเป็นเพื่อน’  ทุกครั้ง  ผมยอมรับว่ามันห้ามไม่ได้ที่จะรู้สึกอยาก..เมื่อมีเนื้อหนังอุ่น ๆ เข้ามาเบียด  ส่วนใหญ่ผมกับคนเคยรักจะรักกันเพราะอารมณ์ต่างกัน  เขารักเพราะรักผม  แต่ผมรักเขาเพราะ..ใคร่

บอกตามตรง..ผมไม่รู้จัก  ‘ความรัก’  ผมไม่เคยรู้สึกกระวนกระวายใจเพราะอยากเจอใครสักคนจนทนไม่ไหว  ไม่เคยสนใจใครจนเข้าไปทำความรู้จักก่อน  ไม่เคย..กอดใครเพราะความรู้สึกอื่นนอกจากความใคร่  ผมคิดว่าการผูกพันกันทางกาย  สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็น่าจะเป็นความรัก..ไม่ใช่เหรอ?


ไม่มีกลิ่นเสียงคล้ายเพียงอากาศ

เท่านั้น

ล่องลอยเบากว่าละอองหมู่ควัน

ของเปลวไฟ

ให้ลองมองหาสักกี่ที

ไม่มีทางเห็นไม่ว่ายังไง

ถ้าอยากมองเห็นแค่เปิดใจ ที่เธอปิดตาย

คือแดดยามเช้าคือไออุ่น

คือสิ่งที่คุ้น..


ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเพลงอื่นดังแทรกกับเพลงรักกุ๊กกิ๊กอย่าง  เพิ่งรู้ว่า รัก รัก รัก ของ Mono Music  ของไอ้ติณณ์   เบาเสียงเพลงร้านตัวเองลงนิดหน่อยแล้วตั้งใจแยกโสตประสาทฟังว่าเพลงที่ดังแข่งนั้นมาจากไหน  มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า  ของ  NOS  จากร้านตรงข้ามนี่เอง..

ความรักฉัน

มันอาจจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ให้เอาหัวใจ สัมผัสจะเจอรักแท้

ที่ส่งไปให้เธอ..

ทั้งในดอกไม้และในดาวตก คืนนั้น

ฉันเคยได้ฝากให้มันเปิดใจ ของตัวเธอ

ได้ไหมแค่เปิดใจ ได้ไหม

เพ่งมองเจ้าของร้านตรงข้ามผ่านแผ่นซีดีที่ร้อยต่อกันเหมือนมู่ลี่   ผู้ชายผิวขาว  ผมสั้นสกินเฮด  หน้าตาหล่อแบบเกรียน  ตาคมคู่นั้นกำลังมองผมอยู่เหมือนกัน  รอยยิ้มเท่จากผู้ชายคนนั้นส่งมาให้ผม  หรี่ตามองแล้วยกยิ้มตอบ  ร้านตรงข้ามเร่งโวลลุ่มให้ดังขึ้นกว่าเดิมในท่อนฮุค..

   
ความรักฉัน..

มันอาจจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ให้เอาหัวใจสัมผัส  จะเจอรักแท้ที่ส่งไป

ให้เธอ..


ตาคมของมันมองผมผ่านลูกค้าที่ยืนเลือกแผ่นหน้าร้าน  มันเป็นดวงตาของสัตว์ที่กำลังล่าเหยื่อ  มันอาจจะน่ากลัวสำหรับคนอื่น  แต่สำหรับคนอย่างผม  มัน..ท้าทายมาก

 
แค่อยากจะบอกให้รู้

ว่าในโลกนี้เธอไม่ได้อยู่ลำพัง

เธอยังมีฉัน เธอยังมีคนที่รักเธอหมดใจ

ความรักฉัน

มันอาจจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ให้เอาหัวใจ สัมผัสจะเจอรักแท้

ที่ส่งไป

ความรักฉัน

มันอาจจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ให้เอาหัวใจ สัมผัสจะเจอรักแท้

ที่ส่งไปให้เธอ


ดวงตาคมจ้องผม  ในขณะที่ริมฝีปากบางของมันก็ร้องคลอตามเพลงนั้นไปด้วย  เพลงกุ๊กกิ๊กของไอ้ติณณ์จบแล้วและกำลังเล่นเพลง  จักรวาล  ของ  Sixty Miles  อยู่  ผมละสายตาจากตาคู่นั้นมาเร่งเสียงเพลงร้านตัวเองให้ดังในระดับปกติ  ร้านตรงข้ามเบาเสียงแล้วตั้งใจฟังเพลงจากร้านผมทันที..


จักรวาลแห่งความอ้างว้าง ที่มันเคว้งคว้างหัวใจ

จักรวาลที่ไม่มีใคร ไม่มีแม้เสียงหัวใจ

แหละช่างเงียบเหงาไม่มีแม้เงา ที่มีก็เพียงแต่ความมืดของดาว…

แต่พอมีเธอเข้ามาในใจ เปลี่ยนแปลงหัวใจที่ว่างเปล่า

ที่เคยเงียบเหงาก็มีเรื่องราว ระยิบระยับพร่างพราว…ด้วยแสงดาว

* เธอนั้นเป็นดั่งลมหายใจ จะคอยดูแลและห่วงใย

ก็เป็นเพราะเธอผู้เดียวเท่านั้น ที่ทำให้ความเงียบงันมันหายไป

** จะเกิดอะไร จะรักเธอไป แค่เธอนั้นยืนอยู่ตรงนี้

ขอบคุณฟ้าที่ทำให้เธอและฉันพบเจอไม่ได้ฝันไป

จะนานเพียงใดผ่านพ้นอะไร ให้เราเดินคู่กันไปอย่างนั้น

ลบเลือนความมืดมนให้หายไป ทดแทนความเงียบงันในหัวใจ

ด้วยความรักของเรา …

ยืนกอดอกมองตาร้านตรงข้ามที่มองผมไม่ละสายตา  ไม่ใช่ไม่เคยถูกผู้ชายจีบ  ผมเคยกอดผู้ชายด้วยกันมาก็บ่อย  ผมมันประเภทผู้หญิงก็เอาได้  ผู้ชายก็ฟันได้เหมือนกัน  แต่จากลักษณะของฝั่งตรงข้ามที่กำลัง  ‘จีบ’  ผมอยู่..  มันเป็นประเภทเดียวกันกับผม  รุกเหมือนกัน..

ดึงเก้าอี้พลาสติกออกมานั่ง  คนฝั่งตรงข้ามก็นั่งลงบ้างเหมือนกัน  เพลงรักของร้านผมกับมันผ่านไปร่วม  10  เพลง  ลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาซื้อแผ่นที่ร้านเยอะขึ้น  ขายของไปก็เหลือบมองตาคมที่มองอยู่ตลอด  ผมกับร้านตรงข้ามสื่อสารกันผ่านเพลง  เนิ่นนานจนเวลาเดินไนท์บาร์ซ่าใกล้จะวาย  คนเดินซื้อของเริ่มบางตา  ร้านอื่นทยอยเก็บของ  แต่ร้านผมกับฝั่งตรงข้ามเพิ่งจะเริ่ม  ‘เปิดทำการ’..   
   

มันช่างยากช่างเย็นเหลือเกิน

ที่ต้องใช้ชีวิตลำพัง

อีกคืนที่ฉันนั่งคุยกับความเหงา

ทั้งท้องฟ้าช่างดูมืดมน

เหมือนคนที่ใจว่างเปล่า

ฟ้าไม่มีดาว เหมือนที่แล้วมา

ไกล.. แต่ไม่ไกลเกินคิดถึง

ฉันจึง อยากส่งคำถามมาถามเธอ


ยกยิ้มมุมปากกับเพลงที่ฝั่งตรงข้ามตั้งใจเปิดให้ฟัง  เหงาเหมือนกันไหมในคืนนี้   ของพี่กบ  Taxi  มองตาคมแล้วเลิกคิ้วเมื่อท่อนกลางดังขึ้นกว่าเดิม..


เธอเหงาเหมือนกันไหมในคืนนี้

รู้ไหมว่าคนทางนี้ จวนจะทนไม่ไหว

อยากสบตากับเธอ อยากกอดเธอให้ใจใกล้ใจ

แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

ที่ใจคนไกลจะเห็นใจคนรอ..

ส่ายหน้ายิ้ม ๆ กับแววตาอ้อนจากตาคม   เบือนหน้าไปมองรอบข้างที่เก็บของและทยอยกลับ  หันไปมองแผงตรงข้ามที่ยกมือขึ้นมาแล้วลดนิ้วชี้  กลาง  นางลงแล้วเอามือมาแนบแถวแก้ม  ยกยิ้มร้ายแล้วยกนิ้วกลางส่งให้  คนฝั่งตรงข้ามหัวเราะหึลงคอแล้วลงมือเก็บร้าน  ตาคมคู่นั้นก็ยังมองหน้าผมเป็นระยะ  เพลงรักจากร้านผมกับมันก็ยังคงเปิดแข่งกันจนเก็บแผ่นลงกล่องหมด  ผมปิดคอมแล้วเดินไปเก็บลำโพงมากองรวมกันไว้  ร้านตรงข้ามยังคงเปิดเพลงให้ผมฟังจนใกล้เวลาที่ไอ้ติณณ์จะมาเก็บของ

ริมฝีปากบางของร้านตรงข้ามบอกผมเสียงดัง  ‘เพลงสุดท้ายนะ..’   เงยหน้ามองก่อนจะยิ้มมุมปาก  พิงท้ายรถตัวเองแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ  ฟังเสียงโดมส่งท้ายวันวุ่นวายที่ตลาด..   

ทุกคนมองฉันเป็นคนเข้มแข็งและไม่เคยต้องเสียใจ

แต่แท้จริงใจข้างใน ช่างเหน็บหนาวและเดียวดาย  ไม่มีใครที่รู้ …

มันทรมานที่ทุกนาทีผ่านไป

ดังเข็มเวลาทิ่มแทงใจ

อีกนานมั้ยที่ต้องทน …

จะเป็นเธอได้รึเปล่าที่ล้างคำสาบ

และเติมเต็มหัวใจ ที่ขาดหายมานับปี

จะเป็นเธอได้รึเปล่าที่ปลดปล่อยฉันคนนี้

จากความเหงาที่ฉันมี จะได้มั้ย

พบเธอได้รู้จักว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร

ขอสัญญาจากนี้ไป จะดูแลมอบหัวใจให้เธอนับจากนี้

มันทรมานที่ทุกนาทีผ่านไป

ดังเข็มเวลาทิ่มแทงใจ

อีกนานมั้ยที่ต้องทน …

จะเป็นเธอได้รึเปล่าที่ล้างคำสาบ

และเติมเต็มหัวใจ ที่ขาดหายมานับปี

จะเป็นเธอได้รึเปล่าที่ปลดปล่อยฉันคนนี้

จากความเหงาที่ฉันมี จะได้มั้ย

จะเป็นเธอได้รึเปล่าที่ล้างคำสาบ

และเติมเต็มหัวใจ ที่ขาดหายมานับปี

จะเป็นเธอได้รึเปล่าที่ปลดปล่อยฉันคนนี้

จากความเหงาที่ฉันมี จะได้มั้ย…

เด็กหล่อเกรียนยืนนิ่งมองตาผมตั้งแต่อินโทรขึ้นเพลงจนจบเพลง  ริมฝีปากบางนั้นร้องคลอตามไปจนจบเช่นกัน  ผมยอมรับว่าหวั่นไหวกับสายตาของคนฝั่งตรงข้าม  สูดควันเข้าปอดแล้วพ่นทิ้ง  โยนก้นบุหรี่ลงกับพื้นแล้วเดินเหยียบก้นบุหรี่  ตรงไปหาคนฝั่งตรงข้าม 

หยุดยืนนิ่ง  สบตาคมแล้วแบมือขอโทรศัพท์  มือเรียวหยิบโทรศัพท์ยื่นให้แล้วมองผมเหมือนไว้ใจ  รับโทรศัพท์แล้วยกยิ้มมุมปาก  เมมเบอร์ตัวเองแล้วกดโทรออก  ยื่นโทรศัพท์คืนให้แล้วล้วงโทรศัพท์ของตัวเองมาเมมชื่อ..

“ชื่ออะไร?”  เอ่ยถามแล้วเตรียมกดปุ่มพิมพ์  เงยหน้ามองเมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากมัน  หน้าหล่อยิ้มกว้างให้ก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบชื่อ  ‘กานต์’  เสียงนั้นอุ่นวาบลงไปถึงหัวใจ  หลับตารับกลิ่นแปลกที่ลอยมากระทบจมูก  กลิ่นตัวของกานต์มันก็เหมือนกลิ่นผู้ชายทั่วไป  แต่แปลกที่กลิ่นนั้น..มันทำให้ผมรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

“ไอ้ต่อ!”  สะดุ้งและหันไปตามเสียงเรียก  ไอ้ติณณ์มาถึงแล้ว  หันกลับไปมองตาคมของกานต์ช้า ๆ แล้วคลี่ยิ้มอ่อนโยน  หมุนตัวกลับร้านไปช่วยไอ้ติณณ์ขนของขึ้นรถมัน  เก็บของเสร็จก็เคลียร์เงิน  พอจัดการเรียบร้อยก็ยืนส่งไอ้ติณณ์ 

“มึงยังไม่กลับ?..”  พยักหน้าตอบคำถามแล้วบอกมัน  ‘กูยังไม่เสร็จธุระว่ะ..ไว้เจอกัน’  ตบไหล่มันแล้วหันหลังกลับไปร้านตรงข้าม   กานต์ยังคงง่วนกับการเก็บของขึ้นรถ  ผมวิ่งเข้าไปช่วยเก็บจนเสร็จ  พี่ชายกานต์เป็นคนขับรถกลับบ้าน  โดยที่..ไม่มีน้องชายนั่งกลับไปด้วย

“พี่โก๋กลับไปก่อน..เดี๋ยวผมกลับเอง”  พี่ชายขมวดคิ้วมองหน้ากานต์สลับกับผม  แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร  ส่งรถโก๋กลับผมก็หันไปชวนกานต์หาอะไรกิน  กานต์คุยสนุกแล้วก็เฟรนด์ลี่มาก  เราคุยกันหลายเรื่อง  มีหลายอย่างที่ชอบเหมือนกัน  แววตาล่าเหยื่อของกานต์ยิ่งน่าหลงใหลมากขึ้นกว่าเดิม 

คืนนั้นไม่ได้จบแบบที่ผมคิด  เราแยกย้ายกลับไปนอนที่เตียงของตัวเอง  ก่อนจะกลับผมกอดส่งกานต์นานมาก  น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกอยากมีอะไรกับกานต์ทั้งที่เคมีเราเข้ากันได้ดีแบบนี้    ผมเพิ่งรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งแรกมันเลยนอนไม่หลับ   ตาคมของกานต์ลอยวนเวียนในหัวจนผมหลับ..

ใครจะไปคิดว่าผู้ชายที่มีดวงตาคมเหมือนสัตว์ล่าเหยื่อ..จะเป็นคนฉุดผมขึ้นมาจากหลุมดำมืดที่ชื่อ ‘ความเย็นชา’

ใครจะคิดว่ารุกเหมือนกันจะประนีประนอมยอมผลัดกันเพื่อความยุติธรรม  โดยไม่รู้สึกว่าเสียเชิงเลยแม้แต่น้อย  แน่นอนว่าผมไม่ได้รับอนุญาตให้เล่าเรื่องแบบนี้ครับ..

กานต์กับผมช่วยกันสร้างความทรงจำที่ดีและสร้างความรู้สึกใหม่ทุกวัน  และความรู้สึกใหม่อีกอย่างที่ผมอยากจะบอกให้คุณรู้..







กินเด็ก  กับ  ถูกเด็กกิน  มันก็อร่อยดีเหมือนกันนะครับ.


END.

กอดค่า ยินดีต้อนรับนักอ่านหน้าใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยอ่านเรื่องนี้ค่ะ  ส่วนใครที่เคยอ่านแล้ว..ก็อ่านซ้ำเนอะ ^^ 
จิงานเยอะแล้วก็เลยพาลขี้เกียจหาเพลงใหม่ ๆ ให้เข้ากับปีนี้  ย้อนฟังเพลงเก่า ๆ ไปก่อนเนอะ  เพราะเหมือนกัน (ขี้เกียจตัวเป็นขนขึ้นทู้กวัน55)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามนะคะ
และ  และ  และ...ขอ'ญาตเจาะไข่คุณ LovelySyruP นะคะ  (อาห์..มีความสุขมากมาย)

ปู๋ลู๋..กอดคุณ Pepor ให้หายใจไม่ออก  จิบอกเด็กญี่ปุ่นกับน้องพิแล้วนะคะว่าคุณ Pepor  คิดถึง  น้องมันก็คิดถึงค่ะ  แต่พี่(จิ)มันขี้เกียจ  เลยไม่มีโอกาสได้ออกมาวิ่งเล่น(เล่นดินเล่นทรายเลย) กร๊ากกกกกกก

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
นอกจากอร่อยแล้วยังเป็นอมตะนะพี่ต่อ :hao7:

 :กอด1: :L2: :pig4:



ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
รุกปะทะรุก กินเด็กกับเอาตัวพร้อมเสริฟให้เด็กกิน พี่ต่อน้องกานต์ สุดยอดอ่ะ  :impress2:
ดีใจกับพี่ต่อ ที่ได้รู้จักความรักกับเขาเสียที ตอนส่งเพลงจีบกันไปมา น่ารักมากเลย
ขอบคุณมากเลยค่ะ คู่ต่อไปจะขายอะไรน้อ ^^

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
อ่านเรื่องนี้แล้วมันกระชุ่มกระชวยจริงๆ แม้จะต้องนึกเกือบทุกครั้งที่มีชื่อโผล่มาว่าคนนี้ขายอะไรว้า  :laugh:

ออฟไลน์ jira

  • ปัญญาไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 890
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1324/-3
น้ำแข็งใสกับชาไข่มุก

ผมถูกลากแขนเข้ามาเดินไนท์บาร์ซ่าของตลาดสดแถวบ้านโดยหญิงผู้ชุบชีวิตผมขึ้นมา  เหลียวมองซ้ายขวาแล้วอดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้  ทำไม่มาเดินตอนหัวค่ำล่ะแม่?  มาทำไมตอนเค้าเพิ่งจะเริ่มทยอยตั้งร้านครับ?  แม่ผมจูงมือผมเดินมาจนเกือบกลาง ๆ  ซอย  แล้วหยุดเดิน  หันมายิ้มกว้างให้ผม  ยิ้มกว้างคืนให้แม่แบบงง ๆ หันมองรอบตัวก็สะดุดตากับซุ้มชาไข่มุกสีสันสดใสตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า  ยืนนิ่งมองผงกลิ่นต่าง ๆ  และขวดน้ำผลไม้หลายรสที่วางเรียงรายในซุ้มสวย  กลืนน้ำลายเหนียวแล้วหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ลากผมออกจากหน้าคอมพ์เมื่อ 1  ชั่วโมงที่แล้ว..

“แม่..ให้ตั้มขายไอ้นี่น่ะเหรอ?”  รอยยิ้มปราณีของแม่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าที่มีร่องรอยประสบการณ์ตามวัยวุฒิ  อ้อนวอนแม่ด้วยสายตาและคำพูดของลูกชายคนเดียว

“ตั้มตกอังกฤษที่เป็นภาษาพ่อ..มันร้ายแรงก็จริง  แต่ทำไมไม่ให้ตั้มขายทุเรียนแบบพี่ต้อมล่ะ  แบบนี้ไม่แมนอ่ะแม่”  พาดพิงไปถึงพี่ต้อม  แฟนพี่โก๋  พี่โก๋เป็นญาติห่าง ๆ ของผมครับ  ขายทุเรียนอยู่ในตลาด  รักกันเพราะพี่โก๋ยอมโดนทุเรียนฟาดหน้า  พี่ต้อมเลยใจอ่อนยอมเป็นแฟน  โอเค..นอกเรื่องสินะครับ

ผมเป็นลูกเสี้ยวอังกฤษ  จีน  ไทย  ขี้เกียจสาธยายโคตรเหง้า  เอาเป็นว่า..ผมมันโง่ที่สุดในบ้านก็แล้วกัน  เทอมที่ผ่านมาผมตกวิชาที่เป็นภาษาหลักของโคตรทางพ่อ  แต่ก็ไม่ได้โศกสลด  แม่เลยทำโทษผมด้วยการให้ผมมาบำเพ็ญประโยชน์หาเงินเข้าบ้านด้วยการให้ผมมาขายของที่ขายง่ายและได้ทุนคืนเร็ว  ธรรมดาของวัยรุ่นที่พ่อแม่พูดอะไรก็เข้าหูซ้ายทะลุขวา  เออออรับคำแบบส่ง ๆ ให้ผ่านไปวัน ๆ  ถ้าผมมีจิตสัมผัสล่วงรู้เหตุการณ์ภายภาคหน้าได้..สาบานว่าผมจะไม่รับปากส่ง ๆ แบบนี้เด็ดขาด

“แม่ครับ..”  อ้อนวอนด้วยดวงตาพุดเดิ้ลทอย  แม่ยิ้มเย็นแล้วผลักเข้าไปในซุ้มชาไข่มุกที่เตรียมให้ผมทันที  เสียงอธิบายวิธีการชง  การปั่น  การใส่  เร็วจนผมจำไม่หมดจดไม่ทันได้แต่มองไอ้ขวดกลม ๆ ที่มีน้ำสีเขียวส้มแดงวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ แม่เทเหรียญและวางแบงค์ลงในลิ้นชักให้ผมแล้วชี้นิ้วไปที่กองผ้ากันเปื้อนที่พับไว้บนเก้าอี้  ยิ้มให้กำลังใจ  พร้อมประโยคสุดท้ายกระชากวิญญาณ

“ไปนะตั้ม..ดึก ๆ แม่มารับ”  ไม่ทันได้เอ่ยคำขอร้องให้เห็นใจอีกสักครั้ง  ยื่นมือคว้าเพียงลมพัดผ่าน  ยืนคว้างท่ามกลางขวดเยลลี่และถังน้ำแข็ง  กะพริบตาปริบ ๆ แล้วควักมือถือออกมาเสิร์ชหาวิธีการทำ  ‘ชาไข่มุก’  โอ้โห..ขึ้นมาเพียบเลยแฮะขอบคุณครับอากู๋  คัดลอกสูตรลง  A4  ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ  นึกเสียใจที่ผมไม่สามารถดึงเอาความมุ่งมั่นนี้มาใช้ตอนเรียน..ผมมันโง่ครับ~

เงยหน้าขึ้นจากกระดาษที่มีลายมือแพศยาของตัวเอง  มองหาพื้นที่ในการวางที่สามารถเห็นได้โดยไม่มีใครรู้ว่าผมปั่นเพราะมีสูตร  ไม่ใช่เพราะความชำนาญขั้นเทพ  อาห์..องศานั้นล่ะ  ช่างพอดีกับระยะในการมอง  หึหึ.. ผมกะให้พอ ๆ กับระยะที่ผมเคยลอกข้อสอบไอ้ภัทรตอนสอบน่ะ  ยกยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะลงคอให้กับความง่ายดายเหล่านี้

“สตอรว์เบอร์รี่ปั่นคะ  ขอเยลลี่ฟรุตสลัดกับวุ้นเพิ่มด้วยนะคะ”  เสียงเล็ก ๆ ดังขึ้นหน้าร้าน  ผมยิ้มการค้าให้ก่อนจะเหลือบมองสูตรที่เขียนแปะไว้  หยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม  แล้วยื่นมือจับเครื่องปั่นแน่น  เพ่งมองผงสีชมพูที่มีภาษาอังกฤษต้นตอความดำมืดของอนาคตแปะอยู่  เอื้อมมือเปิดฝาออก  แม่งจะปิดอะไรแน่นนักวะ?!   แงะออกอยู่นานก็ไม่ออก  หมุนอีกฝั่งดูถึงได้หน้าชา..มันต้องปลดสลักตรงนี้ออกก่อนนี่เอง >///<

กระแอมไล่ความอายทิ้งก่อนจะบรรจงหยิบช้อนที่แม่ใส่แก้วรวมไว้ข้างเครื่องปั่น  เหลือบมองสูตรอีกครั้งก่อนจะจ้วงตักผงสตรอเบอร์รี่ลงเครื่องปั่น  ตักน้ำที่แม่เตรียมใส่โหลใหญ่มุมสุดทางโน้น  แล้ว..มันต้องใส่น้ำเชื่อมไหมอ่ะ  ไม่ใส่แล้วจะหวานได้ไงวะ?  กะพริบตาปริบแล้วเหลือบมองโพยที่จดไว้อีกครั้ง  ไม่เห็นบอกอ่ะ  บอกแต่ถ้าปั่นน้ำผลไม้ให้ใส่เกลือด้วย  กลืนน้ำลายเหนียวเป็นรอบที่  2  แล้วหันไปเทน้ำเชื่อมใส่กระบวยเล็ก  2  หนแล้วจัดการคนให้เข้ากัน  ตักน้ำแข็งป่นใส่  เสียงลูกค้าบอกให้ปั่น  เงยหน้ายิ้มกว้างส่งให้แล้วจัดการกดปุ่มล่างสุดปั่นทันที..

“เย้ยยยยยย”  ร้องโหยหวนสิ้นแล้วซึ่งความมีชาติตระกูล  ผมเห็นที่อื่นเขาปั่นแบบไม่ต้องปิดฝามันก็ไม่เห็นจะกระฉอก  แต่เครื่องปั่นมูลีเน็กซ์ของแม่ผมมัน..

หลังจากรีบกดปุ่มกลับที่เดิมแล้วก็กวาดตามองรอบร้านตัวเอง  อาห์..น้ำสีชมพูที่อยู่ในเครื่องปั่นมันกระดอนกระเด็นกระเซ็นซ่านไปรอบร้านผมจนทั่ว  ไม่เว้นแม้แต่โพยชาไข่มุกที่ขโมยมาจากอากู๋   ลูกค้าที่ยืนรอขาแข็งถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเห็นการปั่นชาของผม  ยิ้มแหยส่งให้ก่อนจะบอกลูกค้าให้สบายใจ..

“ไม่ต้องจ่ายตังค์ครับแก้วนี้..ผมเลี้ยง”  ลูกค้าหน้าใสยิ้มกว้างแล้วบอกผมว่าไม่เป็นไร  ผมยิ้มกว้างตอบแล้วเทน้ำสีชมพูที่เหลือน้อยนิดติดก้นเครื่องปั่นทิ้ง  จัดการตักส่วนผสมทุกอย่างลงไปปั่นใหม่  ปั่นเสร็จก็เทใส่แก้ว  ราดนมจืดที่แม่เปิดวางไว้แล้วยื่นให้ลูกค้าด้วยรอยยิ้มหล่อที่ปั้นมาเต็มสูบ

“ยัง..ไม่ได้ใส่มุกกับเยลลี่ฟรุ๊ตสลัด..ให้ค่ะ”  ยิ้มค้างก่อนจะดึงแก้วกลับมา  ถอยหลังมองขวดกลมที่มีลูกกลม ๆ ตั้งอยู่หลายใบ  มันมีแบบไอ้สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ หลาย สี  แล้วก็มีไอ้กลม ๆ สีดำ  สีขาว  แล้วก็เม็ดกลมหลายสีในเม็ดเดียว  สูดลมหายใจเข้าลึกยาว ๆ แล้วเปิดฝาชาไข่มุกของลูกค้าออก  ตักไอ้เม็ดกลม ๆ ที่อยู่ในขวดทุกใบใส่ให้จนพูน  น้ำกระฉกออกมาผมก็เอาผ้าสะอาด ๆ เช็ดรอบแก้ว  จับฝามาขืนใจปิดแล้วเอากระดาษทิชชู่พันรอบ  ดูความเรียบร้อยแล้วยื่นให้อีกรอบ

“..หลอด..มีไหมคะ?”  อาห์..หน้าชาจนถึงหลังหู  หยิบหลอดใหญ่กับหลอดเล็กยาวยื่นให้แล้วเกาท้ายทอยแก้เขิน  ลูกค้าผมหัวเราะคิกคักแล้วยื่นแบงค์สีเขียวส่งมาให้  ผมไม่รับเจ้าตัวก็โยนใส่เข้ามาในซุ้มให้แล้วบอกผมว่าไม่ต้องใช้แบบผง  ให้ใช้แบบขวดที่วางหน้าร้านจะอร่อยกว่า  และ..เดินหนีไป  ถอนหายใจยาวแล้วหยิบผ้ามาเช็ดน้ำสีชมพูที่พวยพุ่งทำลายความเทพของผมต่อหน้าลูกค้ารายแรก  ยื่นมือคว้าโพยที่มีหมึกเลอะเป็นดวง ๆ มาขยำลงถังขยะ  ต่อจากนี้ไป..คงต้องพึ่งความจำบวกกับประสบการณ์แล้วครับ

เทน้ำที่ปั่นสตรอเบอร์รี่ที่เหลือก้นเครื่องปั่นมาชิม  ต้องใส่สตรอเบอร์รี่เยอะกว่านี้อีกนิด  เทน้ำใส่แล้วล้างเครื่องปั่น  จัดการผสมโกโก้  ครีมเทียม  นมข้น  น้ำเชื่อม  และคนๆๆๆๆๆๆ  แล้วชิม  อืม..ใส่ครีมเทียมเพิ่มอีกช้อนแล้วคนใหม่  ใช้ได้แฮะ  ใส่น้ำแข็งแล้วปั่นละเอียด  ตักชิมแล้วก็ต้องเพิ่มส่วนผสมทั้งหมดอีกเท่าตัว  พอใส่น้ำแข็งแล้วจืดชะมัดอ่ะ  เทนมจืดราดลงไปอีกรอบ  อืม..หน้าตาดีขึ้นเยอะแฮะ  ชิมแล้วก็โอเค  เหมือนที่ซื้อตามร้านละ  พอลงตัวก็จดสูตรของตัวเองลงในโพยใหม่  ยืนลองผิดลองถูกลูกค้ารายที่  2  ก็โผล่มาเสี่ยงตาย

“โกโก้ปั่นค่ะ”  ยิ้มมั่นอกแล้วจัดการปั่นเจ้าโกโก้ด้วยความมั่นใจ  หันไปถามว่าจะเอาเยลลี่ฟรุ๊ตสลัดหรือมุกดี  อาห์..รู้สึกดีโคตรครับ

“20  ครับ”  รับเงินมาแล้วอดยิ้มแก้มปริไม่ได้ครับ  พักเดียวก็มีลูกค้ามายืนสั่งชาไข่มุกร้านผมกันเนืองแน่นหน้าร้านเลยครับ  โอ๊ะ!  สั่งพันช์เหรอ?  อืม..ทำเหมือนปั่นน้ำผลไม้ดีกว่า  เพราะมันน่าจะออกเปรี้ยว  ผมง่วนกับการปั่นน้ำผลไม้จนรอบตัวเริ่มมืด  ทางตลาดเปิดไฟตามจุดให้แสงสว่าง  ผมมองหาสวิชต์ไฟที่ร้าน  พอเปิดแล้วมันเป็นสีส้ม ๆ อ่ะครับ  ก็สวยดีเหมือนกันแฮะ  ผมนั่งพักขาได้ไม่ถึง  5  นาทีก็มีลูกค้ามาสั่งชาไข่มุกกินอีก 

มันก็..สนุกดีเหมือนกันครับ

ผมเพิ่งสังเกตว่าลูกค้าของผมเป็นผู้หญิงหมดเลยครับ  สาว ๆ ชอบกินชาไข่มุกขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?  ผมปั่นองุ่นม่วงเสร็จก็ส่งคืนให้กลุ่มลูกค้าสาว ๆ ที่มายืนรอเป็นเพื่อนลูกค้าผม  เอาง่าย ๆ มากัน  10  แต่สั่งแก้วเดียว

“ขอถ่ายรูปร้านกับนายหน่อยได้ป่ะ?”  เลิกคิ้วสูงแล้วชี้นิ้วที่หน้าอกตัวเอง  สาว ๆ กรี๊ดกร๊าดกับท่าทางผมกันใหญ่  โอเค..ผมไม่ได้หล่ออะไรมาก  ติดจะน่ารัก ๆ ด้วยซ้ำ  แต่ผมก็ไม่ได้ขี้เหร่นะ  ก็ลูกเสี้ยวอ่ะ  มันก็ดึงดูดสายตาคนได้เหมือนกัน  ยิ้มบางแล้วยื่นมือออกไปขอมือถือของลูกค้า  หยิบแก้วขึ้นมาแนบแก้มแล้วจัดการกดชัตเตอร์เก็บภาพด้วยตัวเอง  ยื่นโทรศัพท์คืนลูกค้าแล้วยิ้มกว้างเมื่อได้รับกระแสตอบรับอย่างดี..เกินคาด

“ถ่ายคู่ได้ไหมคะ?!”  ยิ้มบางแล้วส่ายหน้าตอบ  ลูกค้าทำหน้าเสียดายแต่ก็ยังชวนคุยต่อ  ผมตอบคำถามบ้างเลี่ยงตอบบ้าง  หันไปปั่นแคนตาลูปให้ลูกค้าที่มาใหม่  ลูกค้ากลุ่มเดิมถึงได้ยอมสลายตัว  ยืนขายน้ำไปก็ฟังเพลงแอบโยกหัวตามเพลงแล้วร้องตามหงุงหงิงด้วยครับ   เพราะดี..

เธอเป็นดั่งลมใต้ปีก

ที่พยุงฉันให้บินขึ้นไป

ไปสู่ฟ้าไกล อย่างไม่กังวล

ปัญหาที่มีรอบกาย

เธอคือเบื้องหลังทุกสิ่ง

ที่เรียกว่าความสุขในหัวใจ

ขอเอ่ยคำนี้ รักเธอจริงๆ ตอบแทนหนึ่งใจ

ที่เธอนั้นมีให้กัน

ร้านแถวเกือบท้ายแถวเลยมั้งครับ  เปิดเพลงเพราะดี  แล้วยังให้เกียรติกันด้วย  ถ้าร้านฝั่งนี้เปิด  อีกร้านก็เบาให้  ผมฟัง  ลมใต้ปีก ของ   ดิว THE STAR   อีกร้านก็เปิด  ให้ฉันดูแลเธอ  ของ หนึ่ง ณรงค์วิทย์  ต่อทันที..ถ้ามีคนเปิดเพลงแบบนี้ให้ผมฟังแบบจีบนะ  โอ้ยย ฆ่ากันยังยอมเลยเหอะ  เปิดเพลงน่ารักขนาดนี้

 
ก็เป็นคนธรรมดาไม่พิเศษ  ก็เป็นคนที่เดินดิน
อย่างคนทั่วไปไม่ได้ดี เกินกว่าคนไหน
มีแค่ใจดวงเดียวให้เธอ
ก็เป็นเพียงคนคนหนึ่ง ไม่เลิศเลอ
แค่บังเอิญมาเจอเธอ แต่ไม่รู้ทำไม
ยิ่งใกล้กัน  ก็ยิ่งหวั่นไหว
อยากค้นใจเธอดูสักครั้ง
หากบังเอิญ ถ้าเธอต้องการใคร
หากวันใด ถ้าเธอนั้นอ่อนแอ
ให้ฉันดูแลเธอ รักเธอได้ไหม
ให้ฉันเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเธอเหงาใจ
ไม่ต้องกลัว จะไม่ไปไหน
จะไม่ทำให้เธอเจ็บ
อีกเหมือนเคย จะดูแลอย่างดี
.
.
.
ให้ฉันดูแลเธอ รักเธอได้ไหม
ให้ฉันเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเธอเหงาใจ
ไม่ต้องกลัว จะไม่ไปไหน
จะไม่ทำให้เธอเจ็บ อีกเหมือนเคย
ให้ฉันดูแลเธอ รักเธอได้ไหม
ให้ฉันเป็นเพื่อนเธอ เมื่อเธอเหงาใจ
ไม่ต้องกลัว จะไม่ไปไหน
จะไม่ทำให้เธอเจ็บ
อีกเหมือนเคย จะดูแลอย่างดี


ยืนโยกตัวไปปั่นชาไป  รับเงินโยนลงลิ้นชักแล้วเงยหน้ามารับออเดอร์  ‘กาแฟปั่น  ไม่ใส่มุก’  ผู้ชายตัวสูง  ผมสั้นเซ็ทมาอย่างดี  ดวงตาเด่นมากครับ  ดำสนิทแล้วมีประกายโคตรสวยอ่ะ  มองแล้วเป็นคนทั้งเท่แล้วก็ดูร้ายนิด ๆ ด้วยรอยสักลายกราฟฟิคที่โผล่พ้นแขนเสื้อ  ล้างเครื่องปั่นแล้วตักผงกาแฟใส่  เหลือบมองหน้าลูกค้าแล้วรีบหลบตา  พอสบตาแล้วมันโคตรหล่อเลยครับ  มือสั่นเลยอ่ะ  สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตักครีมเทียม  เสียงห้าวบอกผมว่าเอาไม่หวาน  เงยหน้าไปมองตาดำสนิทแล้วแล้วพยักหน้ารับ  ก้มหน้าก้มตาเทนมข้นและส่วนผสมอย่างอื่นลงเครื่องปั่น  เหลือบมองหน้าก็เจอดวงตาสีดำที่มองอยู่ตลอด..โอยยย  จะเป็นลม

...คิดถึงฉันสักครั้ง
เมื่อไม่ได้คิดถึงใคร ทำตัวตามสบาย
แล้วเจอกันในความฝัน มีเวลาดีดีก็บอกให้ฉันได้ฟัง
ไม่มากเกินไปกว่านั้นก็คือรักกันเบาเบา….

ปั่นเสร็จก็ยื่นแก้วกาแฟปั่น  ไม่ใส่มุกแล้วรับเงินมาใส่ลิ้นชัก  ผู้ชายคนนั้นยืนดูดกาแฟปั่นอยู่หน้าร้าน  กินไปก็มองผมไปด้วย  ผมมองมันตลอดครับ  แม่งเท่อ่ะ.. 

คิดถึงฉันสักครั้ง
เมื่อไม่ได้คิดถึงใคร ทำตัวตามสบาย
แล้วเจอกันในความฝัน มีเวลาดีดีก็บอกให้ฉันได้ฟัง
ไม่มากเกินไปกว่านั้นก็คือรักกันเบาเบา
บางเวลาไม่เป็นไรถ้าเธออยู่ไกล
บางเวลาฉันเข้าใจก็ลืมกันไป
บางเวลาไม่เป็นใจ ก็ไม่ต้องเสียดาย
ปล่อยมันไปบ้างนะ คิดถึงฉันสักครั้ง
เมื่อไม่ได้คิดถึงใคร ทำตัวตามสบาย
แล้วเจอกันในความฝัน มีเวลาดีดีก็บอกให้ฉันได้ฟัง
ไม่มากเกินไปกว่านั้นก็คือรักกันเบาเบา

เพลงโคตรเพราะเหอะ  ลูกค้าคนนั้นกินเข้าไปครึ่งแก้วแล้วยิ้มบางส่งให้ผม  ยิ้มตอบแบบอัตโนมัติแล้วมองส่งผู้ชายคนนั้น  มองส่งจนมันหายเข้าไปในกลุ่มคนเลยครับ  ประทับใจว่ะ

ยืนขายชาไข่มุกจนไนท์บาร์ซ่าเริ่มจะหมดคนเดินผมก็เริ่มนับเงิน  ฟังเพลงไปก็นับไป  ‘กิ๊งๆ’   เงยหน้ามองหน้าร้านว่าใครเอาเหรียญมาเคาะขวดน้ำผลไม้  อ้าปากค้างแล้วรีบวางเงินลง 

“มีอะไรครับ?”  ถามผู้ชายที่มีรอยสักว่ามีอะไร?  มันถือแก้วกาแฟปั่นร้านผมมาด้วยอ่ะ  ผมทำผิดสูตรหรือมันไม่อร่อยวะ?  ลูกค้ายิ้มกว้างแล้วยื่นน้ำแข็งใสที่อยู่ในถ้วยโฟมมาให้ผม  เลิกคิ้วสูงแล้วชี้นิ้วมาที่หน้าอกตัวเอง  รับน้ำแข็งใสหน้าตาน่ากินมาแบบงง ๆ  ผู้ชายคนนั้นยิ้มแล้วทำท่าให้ผมตักชิม  ฟันสวยจัง..

กะพริบตาปริบแล้วหยิบช้อนมาตักชิม  ก็ธรรมดาอ่ะ  ตักข้างล่างความหาขนมปังกับเครื่องอย่างอื่นมากิน  ยิ้มให้ผู้ชายคนนั้นแล้วยกนิ้วโป้งให้  เค้ายิ้มตอบแล้วตะโกนบอกว่า

“เอามาให้ชิม  ผมขายน้ำแข็งใสอยู่ร้านแถวทางเข้าน่ะ  เห็นลูกค้าถือแก้วร้านคุณมาหลายคน  ผมเลยเดินมาตามหาดู..อร่อยดีครับ”  ผงกหัวรับคำชมแล้วเกาท้ายทอยแก้เขิน  เขาหยิบขวดน้ำผลไม้ขึ้นมาดูแล้วเปิดออกดม  ชวนผมคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้  แล้วก็ทำเนียนมาช่วยผมเก็บร้าน

“..จีบผมเหรอ?”  ถามไปตรง ๆ เพราะผมไม่ใช่พวกไร้เดียงสา  ส่วนมากที่เข้ามามันก็จีบทั้งนั้น  ไม่อยากเก็บมาคิดเข้าข้างตัวเองไปไกลน่ะ  ผู้ชายคนนั้นทำหน้าเลิ่กลั่กแล้วยิ้มเขิน ๆ พยักหน้าตอบแล้วถามย้อน

“มีหวังป่าว?”  ยิ้มบางแล้วพยักหน้า  ไม่มีอะไรต้องกั๊กนี่หว่า  ผู้ชายคนนั้นยิ้มตอบแล้วเอามือมายีหัวผมเล่น  เห็นรอยสักชัดเลยครับ  เท่ชิบบบบบ 

ผมเก็บร้านแล้วก็มาขายตามเวลาที่แม่เช่าแผงทุกวัน  แล้วก็ได้กินน้ำแข็งใสฟรีทุกวันเหมือนกัน

ผมเคยคิดว่าคนที่สักมักจะเป็นพวกหัวรุนแรง  แต่มัน..ใช้ไม่ได้กับทุกคนครับ..

คนที่ปั่นน้ำแข็งใสมาให้ผมกินทุกวันเป็นบรรทัดฐานที่ดีได้เลยครับ  แขนแกร่งที่มีรอยสักกลับสร้างความอบอุ่นทุกครั้งที่กอดผม  ไม่น่ากลัวเลยสักนิดอ่ะ >///<








เชื่อผมเถอะ.


END.

…………………………..

กอด ๆ หอม ๆ บวก ๆ ค่าาาาา
ขออภัยที่หายไปหลายวัน  งานเยอะได้โล่(แต่ค่าโต๋บ่ขึ้น เจี้ยก!)  ตอนหน้าเจอกันวันจันทร์นะคะ  อาตี๋ร้านทองโรมิโอตาชั้นเดียวค่ะ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
 :pig4: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น่ารักทุกเรื่องเลย...
ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านค่ะ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
อะไรเนี่ย!!!
เราไปเปิดร้านชาไข่มุกตอนนี้ทันไหมอ่ะ???

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
อยากไปหาชาไข่มุกกะน้ำแข็งใสกินจริงๆๆ :mew1:

คิดถึงน้องสอง พี่เรย์ :กอด1: :L2: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
สนุกมากครับ ชอบทุกคู่เลย แต่คู่ที่ชอบที่สุดยังไม่ได้ลง (เคยอ่านรอบก่อน)  ผมชอบคู่ โอม กับ เต็ม มากที่สุด (ถ้าจำชื่อผิดขอโทษนะครับ)

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ jira

  • ปัญญาไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 890
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1324/-3
โรมิโอร้านขายยา  กับจูเลียตร้านทอง


นั่งเหม่อมองความมืดมิดจากสองข้างทางผ่านกระจกสีทึม  ผมปิดเทอมนานแล้วแต่ไม่ได้กลับบ้าน  เที่ยวเล่นไปวัน ๆ ซุกหัวอยู่ที่หอในของโรงเรียน  เตี่ยเองก็ยุ่งกับการเปิดร้านขายยาใหม่ที่เช่าตัดหน้าคู่แข่งตลอดกาลอย่างตระกูลจักระ  พอแย่งมาได้ก็ต้องให้คนไปช่วยดูแลร้าน  พี่พลที่รับดูแลโรงงานน้ำแข็งจากเตี่ยก็เบื่อจนต้องหาอะไรทำแก้เซ็ง  พี่พลเล่าให้ฟังว่าเบื่อจัดเลยเช่าแผงตรงตลาดที่เตี่ยมาเช่าที่ตัดหน้าจักระ  ขายน้ำแข็งใสอยู่แถวทางเข้า  ขายดีสาวตรึม  แต่ดันได้หนุ่มมานอนกอดหน้าตาเฉย

“อาตี๋ลื้อนอนที่ร้านนะ  เตี่ยทำห้องไว้ให้ชั้นบน”  มองเตี่ยผ่านเงาสะท้อนจากกระจก  ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ  ผมเป็นลูกคนกลางค่อนไปเกือบท้าย  เตี่ยมีลูกหลายคน  ผู้ชาย  7  คน  ผู้หญิง  2  คน  พี่คนโตของผมอายุ  42  มีหลานให้เตี่ยอุ้ม  4  คน  ผู้ชายล้วน  แล้วหลานเตี่ยก็เพิ่งมีเหลนให้เตี่ยอุ้มต่ออีก  2  คน  ไหนจะลูกคนอื่นที่ผลิตหลานออกมาให้เตี่ยได้ชื่นใจอีกเป็นสิบ  ทั้งลูกและหลานที่เป็นผู้ชายเยอะ..จนเตี่ยปล่อย  ถ้าลูกคนไหนอยากจะมีเมียเป็นผู้ชายบ้าง

เลี้ยวรถเข้ามาในซอย   ตลาดสดใหญ่กินพื้นที่โดยรวมไป  70%  ด้านข้างและด้านหลังเป็นพื้นที่โล่ง ๆ น่าจะเป็นที่จอดรถ  ข้างหน้าเมื่อก่อนดูแล้วก็น่าจะเป็นที่จอดรถ  แต่ตอนนี้ให้จอดแค่ซีกขวา  ส่วนซีกซ้ายสร้างตึกแถวยาวประมาณ  20  คูหา  แบบหันหน้าเข้าหากันให้คนเช่าขายของ  ถอนหายใจมองตึกแถวเป้าหมายที่ผมต้องมาอยู่จนกว่าจะเปิดเทอม  เตี่ยรู้มาว่าจักระกำลังหาที่ขยายร้านขายยาที่อยู่ในตัวเมืองหลวงออกมาจังหวัดที่มีเศรษฐีข้าวเยอะ  เลยรีบตัดหน้าจองคูหาที่จักระเล็งไว้ทันที  เตี่ยพอใจกับการตัดหน้าครั้งนี้มาก  อารมณ์ดีไปทั้งวัน  ผมเบื่อกับการทะเลาะกันเป็นเด็ก ๆ ของบ้านผมกับตระกูลนี้  ทะเลาะกันมาตั้งแต่รุ่นทวดของทวด  จับต้นชนปลายถึงสาเหตุการทะเลาะไม่ได้    ลูกหลานก็บ้าจี้  ทะเลาะตามกันมาจนถึงรุ่นเตี่ย  ทั้งที่เรื่องบางเรื่องมันไม่น่าเอามาเป็นชนวนเหตุทะเลาะได้   เรื่องนี้ก็เหมือนกัน  ถ้าเตี่ยไม่แย่งที่ก่อน  ผมคงไม่ต้องลำบากมาเฝ้าร้านขายยาที่ตัวเองไม่มีความรู้แบบนี้หรอก 

รถจอดหน้าร้าน  ก้าวเท้าลงมาพร้อมเตี่ย  คนขับรถดึงประตูเหล็กขึ้น  เตี่ยไขกุญแจและยื่นมันมาให้ผม  รับมาแล้วหย่อนลงก้นกระเป๋า  คนขับรถเดินไปเปิดไฟในร้าน  เดินเข้าร้านแล้วกวาดตามองรอบ ๆ  เตี่ยจัดร้านเรียบร้อยแล้ว  ตู้ขนาดใหญ่ที่วางปิดผนังมียาหลายขนานวางเรียงรายจนเต็มทุกชั้น  เคาน์เตอร์ยาที่มีกระจกใสมองเห็นตัวยาตีเป็นรูปตัวแอล  อีกฝั่งที่วางเป็นที่นั่งของผม..เคาน์เตอร์จ่ายเงิน  ซอกเล็กระหว่างเคาน์เตอร์ยากับโต๊ะจ่ายเงินมีทางให้เดินไปเข้าห้องน้ำ  เครื่องตอกบัตรลงเวลาติดอยู่ตรงผนังทางไปห้องน้ำ  ส่วนทางขึ้นชั้นสองห้องผม  เตี่ยทำประตูมีกุญแจล็อคแน่นหนา  ผมมีกุญแจพวงใหญ่ที่เตี่ยทิ้งไว้ให้  กับรายชื่อพนักงานที่เตี่ยแย่งตัวมาจากร้านยาใหญ่ ๆ ที่อื่นมาช่วยขายกับแม่บ้านที่จะมาทำความสะอาดร้านและหาข้าวให้กินอีก  2  คน
   
คนขับรถหิ้วกระเป๋าไปเก็บ  ผมยืนส่งเตี่ยเสร็จก็เดินเข้าร้าน  ปิดร้านเรียบร้อยก็ลากขาขึ้นชั้นสอง  อาบน้ำเสร็จล้มตัวลงนอน  หลับง่ายเพราะความเพลียจากการนั่งรถนาน ๆ  ตื่นแต่เช้าเพราะเตี่ยโทรมาปลุก  อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันแล้วลงมาเปิดร้านที่เวลา  06.00  น...เช้าเหี้ยเหี้ย  ถอนหายใจยาวแล้วหยิบไม้กวาดมากวาดพื้น  เปิดลิ้นชักเก็บเงินแล้วลงมือนับเงิน  นับเหรียญสิบได้  240  ก็เงยหน้ามองตามเสียงดึงประตูเหล็กเปิดของฝั่งตรงข้าม

ผู้ชายตัวเล็ก  ผิวขาวจั๊วะ  ขาวกว่าผมที่มีเชื้อจีนซะอีก ผิวขาวตัดกับดวงตาสีดำ  และริมฝีปากสีชมพูซีดดูโดดเด่น  ยืนหาวหวอดอยู่ในร้านขายทอง   เสื้อยืดสีขาวคอย้วยกับกางเกงผ้ายืด  เท้าเปล่าเดินไปมาเหมือนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดึงดูดสายตาผมให้นิ่งมอง  แขนเรียวยื่นมือจับไม้ขนไก่  ปัดไปมาที่ตู้โชว์ทอง  ผมนิ่งมองจนเด็กร้านทองเดินมาปัดกระจกหน้าร้าน  รีบก้มหน้านับเงินที่นับค้างไว้..เท่าไหร่แล้ววะ?

ถอนหายใจแล้วยิ้มให้เหรียญสิบที่ลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่นับไปได้เท่าไหร่แล้วลงมือนับใหม่ก่อนลูกจ้างจะมา  นับเงินในลิ้นชักครบแล้วจดลงสมุดบัญชีที่เตี่ยเตรียมไว้ให้  พักใหญ่แม่บ้านทำความสะอาดที่เตี่ยบอกไว้ก็มาทำความสะอาดร้าน  ปล่อยให้แม่บ้านทำความสะอาดและถามว่ามีอะไรมาให้กิน  กับข้าวที่อยู่ในถุงมันก็พอกินได้  ปล่อยแม่บ้านเตรียมข้าว  ปัดกวาดร้าน  ผมก็นั่งดูโน่นดูนี่  นึกขึ้นได้ว่าเด็กร้านทองน่ารักจะยังอยู่รึเปล่าก็รีบหันไปมองผ่านกระจกร้านทองทันที 

ป้าแก่ ๆ คนหนึ่งกับเด็กผู้หญิงนั่งหน้ามึนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ร้านทอง  มีตำรวจนั่งอยู่ตรงโซฟายาว  2  คน  เด็กน่ารักของผมหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้  แม่บ้านเรียกให้ไปกินข้าวก็เดินไปกิน  ระหว่างกินพนักงานที่เตี่ยจ้างก็เดินเข้ามาตอกบัตรทำงาน  พนักงานแนะนำตัวกับผมแล้วขอไปทำงาน  ผมนั่งกินข้าวต่อจนอิ่ม  แปรงฟันแล้วเดินออกมาหน้าร้าน  นั่งมองลุกค้าที่ทยอยเข้าร้านมาซื้อยา  ผมชอบที่ไม่ต้องมานั่งฟังการต่อรองราคาของเหมือนขายอย่างอื่น  ลูกค้าบางคนก็มาซื้อแค่ยาแก้ปวดหัว  แต่เวลาจ่ายเงินกลับอยากเป็นโรคนั้นโรคนี้..เยอะนะ

“เมื่อเช้าปวดหัวมาก  ปวดทนไม่ไหวเลยต้องมาซื้อยา  แต่ตอนนี้ใจเต้นแรงแล้วก็หน้ามืดด้วย  กินยาอะไรดีอ่ะ”  เงยหน้าจากลิ้นชักเก็บเงิน  สบตากลมโตของผู้หญิงผมยาวแล้วยิ้มบาง

“ผมไม่ใช่หมอครับ  เดี่ยวผมถามคนที่รู้ให้..”  ชะโงกหน้าไปมองหนึ่งในพนักงานขายแล้วกำลังจะตะโกนบอกอาการ   ผู้หญิงคนนั้นรีบยื่นมือมาโบกตรงหน้า  ยิ้มกว้างให้ผมแล้วกระซิบว่าไม่ต้องถาม..หายแล้ว  ยกยิ้มมุมปากแล้วประสานมือวางบนโต๊ะ  จ้องตาผู้หญิงคนนั้นนิ่ง  ตากลมโตมองผมตอบนานก่อนเบือนหลบ  มองส่งแผ่นหลังผู้หญิงคนนั้นจนหายไปทางปากซอย  นั่งเปิดลิ้นชักเงินเข้าออกทอนเงินให้ลูกค้าจนบ่าย  ท้องร้องจ๊อก ๆ ประท้วงว่าหิว  แต่ผมกลับมองข้ามความหิว  สนใจแต่เรื่องเงินทองของร้านขายยาของตัวเอง

“คุณศศินไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันไหมคะ?”  ยิ้มบางให้พี่พนักงานแล้วส่ายหน้าตอบ  บอกพี่พนักงานให้ไปกินข้าวพร้อมกันได้เลย  ผมจะปิดร้านจนหมดเวลาพัก  เดินออกปิดร้าน  ไม่ลืมแขวนป้ายพนักงานพักกินข้าวไว้ที่ประตู  เข้ามานั่งกินข้าวหลังร้านแล้วเดินเอื่อยขึ้นชั้นบน  หิ้วแลปทอปลงมาเช็คเฟสพักเดียวพนักงานก็กลับมาทำงาน  ยิ้ม ๆ กับความเกรงใจผมของพี่พนักงาน

“พรุ่งนี้กินข้าวเที่ยงพร้อมผมที่ร้านก็ได้  พี่จะได้ไม่ต้องรีบไปรีบกลับ”  พี่พนักงานมองหน้ากันไปมาแล้วยิ้มตอบผม  สรุปพรุ่งนี้ผมมีเพื่อนกินข้าวเที่ยงแล้วครับ  นั่งที่เดิม  เล่นเฟส  ทอนเงินไปด้วย  เผลอแป๊บเดียวก็  5  โมงเย็น  พี่พนักงานตอกบัตรกลับบ้านและลาผมกลับบ้าน 

รับโทรศัพท์ที่มีชื่อพี่พลโชว์หน้าจอ..

“ครับ..คืนนี้เหรอพี่  ได้ครับ  ครับ”  คืนนี้พี่พลชวนผมไปเป็นเพื่อนอวยพรเปิดร้านใหม่ของเพื่อนแฟน  วางหูแล้วบอกแม่บ้านว่าเย็นนี้ผมจะไปเดินในตลาดหากับข้าวเย็นกินเอง  แม่บ้านเลยทำความสะอาดร้านและล้างจานแล้วก็กลับ  ผมล็อคร้านแล้วเดินมาดูข้าวกลับไปกินที่ร้าน  ออกมาก็เหลือบมองร้านทอง  ร้านปิดตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ครับ  เดินทอดน่องรับลมเย็น ๆ หาของกินในตลาด  ได้ขนมจีนมากินฟรีชุดใหญ่  คนเขามีน้ำใจผมก็รับไว้  ตอนแรกผมไม่รับ  เขาบอกเหลือขก็ต้องทิ้งอยู่แล้ว..ก็เลยต้องหิ้วกลับมากิน  ได้ซาหริ่มน้ำกะทิกับเป๊บซี่กระป๋องติดมือเข้าร้านมานั่งกิน  กินเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัวรอพี่พล 

“ไอ้เสือ  หล่อขึ้นนี่หว่า  เป็นไงบ้าง..พี่ไม่เจอเรากี่ปีแล้ววะ?”  ยิ้มแล้วยกมือไหว้พี่พลแล้วคุยกันพักใหญ่  ผมอยู่โรงเรียนกินนอน  ไม่ค่อยได้เจอหน้าพี่น้องมากเท่าไหร่  เพ่งมองรอยสักลายดาว  5  แฉกที่ตีนผมหลังหูพี่พล  เจ้าตัวยิ้มมุมปาก  พับแขนเสื้อขึ้นโชว์รอยสักที่ไปสักมาก่อนเจ้าดาว  5  แฉกที่ผมจ้อง  ผมมองลายกราฟิกสวย ๆ แล้วเอ่ยชม  มันสวยแล้วก็เท่มากครับ

“ไปลบที่หลังออกแล้วมีแผลเป็นรึเปล่าไอ้เสือ?”  ยกยิ้มมุมปากตอบแล้วพยักหน้ารับ  ผมเคยสักเสือกลางหลังตอนอายุ  15  พี่พลเลยเรียกผมเล่น ๆ ว่าไอ้เสือ  พอเข้ามัธยมปลาย  เตี่ยก็ให้ย้ายไปเรียนอีกที่  โรงเรียนบังคับให้ลบรอยสักทิ้ง  ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว  เตี่ยพาไปลบแถวคลินิกเพื่อนเตี่ย  ลบเจ็บกว่าสักครับ  ตอนนี้ก็ยังมีแผลเป็นที่หลังหลงเหลืออยู่  ถ้าเรียนจบก็คงไปสักทับรอยแผลเป็นล่ะครับ

“เตี่ยให้อยู่จนถึงเปิดเทอมใช่มั้ย?  เย็น ๆ พี่มาอยู่เป็นเพื่อนนะ”  ยิ้มแล้วบอกไม่เป็นไร  พี่พลน่าจะอยากอยู่กับแฟนมากกว่าน้อง  ออกจากร้านก็ปิดให้เรียบร้อย  ไปรับแฟนพี่พลเสร็จก็ตรงไปที่ร้าน  แฟนพี่พลชื่อพี่ตั้ม  หน้าตาน่ารักดี  เหมือนมีเชื้อฝรั่งด้วย  เพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลกับผิวขาว ๆ มันบ่งบอกชาติพันธุ์ที่ผสมอยู่ในตัว  แวะซื้อเหล้าติดมือไปอวยพรเพื่อนพี่ตั้ม  ขับตรงไปที่ร้านอาหารที่เหมาทั้งร้านเลี้ยงฉลองเปิดร้านวันแรกของเพื่อนพี่ตั้ม  จอดรถเสร็จพี่ตั้มก็โทรหาเพื่อน  แป๊บเดียวก็มีเพื่อนพี่ตั้มเดินออกมารับ  ยกมือไหว้แนะนำตัวเสร็จก็เดินเข้าไปในร้าน  เปิดประตูเข้าไปก็เจอเสียงเพลงอึกทึกต้อนรับพวกผมทันที  พี่ตั้มเดินจับมือพี่พลเข้าไปข้างใน  แขกเพื่อนพี่ตั้มเยอะมาก  ยืนเต้นจนเต็มทั้ง  2  ชั้น  เพื่อนพี่ตั้มพาเดินฝ่าคนไปหาเพื่อนเจ้าของงานเลี้ยงที่ชั้น  2  ผมโดนจับมือ  ลูบหลัง  แตะเอวจนมั่วไปหมด  คนเยอะผมก็ไม่อยากเอาเรื่อง  ดูแล้วก็คงจะเมากันแล้วทั้งนั้น

“ห้องนี้แหละ..กูไปกินต่อข้างล่างนะ  โต๊ะในสุดทางซ้ายนะไอ้ตั้ม  ให้เหล้าเสร็จก็ตามมานะเว้ย”  พี่ตั้มพยักหน้าแล้วหันมามองผมให้เข้าไปพร้อมกัน  ผมส่ายหน้ายิ้ม ๆ แล้วยืนรอข้างนอกห้องใหญ่  พี่พลหยิบแก้วเหล้าจากพนักงานที่เดินผ่านมายื่นให้ผม  รับมาแล้วเดินไปยืนตรงทางลงชั้น  2  รอ  พี่พลกับพี่ตั้มเดินเข้าห้องไปก็หันไปมองแขกที่ยืนเต้นอยู่รอบร้าน  ยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก  ปลายลิ้นรับรสขมของบรั่นดี  หันมองคนที่เดินเข้ามาเบียด  ผู้หญิงหน้าเรียว  ตาคม  ผมยาวยืนชิดจนแขนผมสัมผัสกับหน้าอกนิ่ม  ก้มหน้าลงฟังเสียงกระซิบข้างหู..ชวนไปต่อหลังเลิกนี่เอง

“ผมมากับพี่..คงกลับกับคุณไม่ได้  ขอโทษครับ”  ตอบแล้วยิ้มบางส่งให้  เบือนหน้าไปมองคนที่เต้นข้างล่างแทนหน้าเรียว  พี่พลเดินออกมากอดคอให้ลงไปนั่งโต๊ะเพื่อนพี่ตั้มข้างล่าง 

“โดนจีบเหรอ?”  ยิ้มมุมปากตอบพี่พลแล้วฝ่าคนไปที่โต๊ะเพื่อนพี่ตั้ม  ถามหาพี่ตั้ม  พี่พลก็ตะโกนบอกว่าเดี๋ยวลงมาพร้อมเพื่อน  พยักหน้ารับแล้วรับแก้วเหล้าจากเพื่อนพี่ตั้ม  เพื่อนพี่ตั้มทุกคนน่ารักดีครับ  เข้ามาชนแก้วแล้วก็คุยกับผมทุกคน  ยืนโยกไปตามจังหวะเพลง  หันหลังไปมองคนที่เต้นมาชน  ก้มหัวรับคำขอโทษแล้วยิ้มบางให้  ผู้ชายคนนั้นยกแก้วเหล้าชนกับผม  ตะโกนถามว่าชื่ออะไร  พี่พลเดินเข้ามากอดคอผมให้หันกลับมาที่โต๊ะ  ชนเหล้ากับเพื่อนพี่พลจนลืมว่าผู้ชายคนนั้นถามชื่อผมค้างไว้  หันไปก็ไม่เจอแล้วครับ

“ไปห้องน้ำนะพี่”  พี่พลพยักหน้าแล้วกอดคอผมดึงเข้ามากระซิบให้ระวังคนจีบ  พยักหน้าแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ  เดินเบียดฝ่าคนไปเข้าห้องน้ำ  โชคดีที่ไปถึงก็มีโถว่างพอดี  ยืนทำธุระเสร็จก็มาล้างมือที่อ่างล้างหน้า  สะบัดมือแล้วเงยหน้ามองกระจกสำรวจหน้าตาตัวเอง  ตาสีน้ำตาลเข้มของตัวเองก็สบกับดวงตาสีดำที่เห็นในร้านทองเข้าพอดี  เด็กร้านทองกะพริบตาปริบแล้วก้มหน้าสะบัดมือที่อ่างล้างหน้า  ยืนนิ่งให้ผมมองหน้าด้านข้างแล้วหันหลังเดินไปทางประตูห้องน้ำ  ผมรีบวิ่งไปขวางแล้วมองหน้าเล็กนั่นให้เต็มตา

“..ผมเห็นคุณในร้านขายทองที่ตลาด  คุณทำงานที่นั่นเหรอ?”  เปิดประเด็นแล้วรอคำตอบ  เด็กร้านทองก้มหน้าลงจนคางชิดหน้าอก  พอผมก้มมองหน้าชัด ๆ เจ้าตัวก็ยกมือขึ้นมาถูปลายจมูก ตอบเสียงเบา.. 

“อืม..แล้ว..นายขายยาร้านนั้นเหรอ?”  ยิ้มกว้างที่อีกฝ่ายก็มองผมอยู่เหมือนกัน  กลิ่นฉุนจากห้องน้ำทำให้ผมกับเด็กร้านทองไม่สามารถทนคุยกันได้นานกว่านี้  เปิดประตูแล้วให้เด็กร้านทองเดินนำออกมา  ก้มกระซิบชวนไปนั่งด้วยกันที่โต๊ะ  เดินฝ่าคนออกมาก็มีคนทักเด็กร้านทองกันเยอะไปหมด..

“เพื่อนเยอะจัง”  ก้มกระซิบข้างหูหลังจากเด็กร้านทองที่ชื่อ  ‘ภัทร’  รับแก้วเหล้าจากเพื่อนมาจิบ  ภัทรเงยหน้ามามองผมนิดหน่อย  ส่งแก้วเหล้าคืนเพื่อนแล้วหันมามองผมเต็มตัว  คนข้างหลังภัทรเต้นเบียดจนภัทรเซมาหาผม  จับแขนเล็กแล้วดึงเข้าหาตัว  พาเดินเลี่ยงมาอยู่ฝั่งใน  จับให้หันหลังชนผนังแล้วผมยืนกั้นคนให้  หยิบแก้วเหล้าที่เด็กเดินเสิร์ฟมาเผื่อภัทรด้วยแก้วหนึ่ง  ยื่นแก้วให้แล้วมองตาสวยนิ่ง

ภัทรยืนพิงผนัง  เงยหน้าสบตาผม รอยยิ้มน้อย ๆ ประดับใบหน้าเรียวเล็กตลอดเวลา  ทำให้คนมองอย่างผมอดยิ้มตามไม่ได้  ภัทรยิ้มกว้างตอบ  อวดรอยยิ้มเล็ก ๆ ข้างแก้มซ้าย  ผมก้มลงกระซิบถาม..

“ยิ้มอะไร?..”  ภัทรยิ่งยิ้มกว้างกว่าเก่า  ผมเอียงคอทำหน้าสงสัยเจ้าตัวก็หัวเราะชอบใจ  มองรอยยิ้มข้างแก้มแล้วยิ้มบางกับความน่ารักของภัทร  ผมมองหน้าภัทรนานจนเจ้าตัวเลิกขำ  ดวงตาสีดำเป็นประกายพราว  แก้มขาวซับสีชมพูแข่งกับริมฝีปาก  ยิ่งมองยิ่งอยากสัมผัส   ยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม  อยากเห็นประกายจากดวงตาสวยใกล้ ๆ ..ใกล้กว่านี้  ภัทรหลับตาลงเมื่อผมยื่นปลายจมูกหอมที่แก้มใส  สูดกลิ่นแป้งเด็กที่ติดผิวแก้มเบา ๆ  เลื่อนปลายจมูกไปตามโครงหน้า   ริมฝีปากจูบเบาๆ ที่สันจมูกโด่ง  ลากลงมาช้า ๆ  แตะหน้าผากกับหน้าผากเนียน  สบตาสีดำก่อนดวงตาคู่นั้นจะหลับลงอีกครั้ง..

แตะริมฝีปากจูบริมฝีปากล่างช้า ๆ ไล้ริมฝีปากชิมจนถึงริมฝีปากบนของคนตรงหน้า  ค่อยๆ เลาะเล็มชิมกลีบปากนิ่ม  เก็บทุกความหวานซึมซับลงในใจ  ริมฝีปากสีชมพูซีดเผยอออกเมื่อผมจูบแรงขึ้น   แทรกปลายลิ้นแตะทักทายปลายลิ้นเล็กเบา ๆ  เกี่ยวขึ้นมาดูดชิมความหวานแล้วค่อย ๆ แทรกเข้าไป..ลึกมากขึ้น..เรื่อย ๆ

“อืออ..”  ภัทรเบี่ยงหน้าหนีขออากาศหายใจเมื่อผมจูบลึกและนานขึ้น  ผละออกมามองริมฝีปากสีชมพูที่เข้มขึ้นแล้วจูบเบา ๆ  ซับความชื้น  เกลี่ยริมฝีปากสวยด้วยปลายนิ้วแล้วยิ้มบางให้  ดวงตาสีดำหลุบมองคอเสื้อผมแล้วเอนตัวเข้ามากอดหลวม ๆ  กอดตอบอ่อนโยนแล้วก้มหอมขมับชื้นเหงื่อ  โทรศัพท์ในกางเกงภัทรสั่นจนผมรู้สึกได้  ก้มกระซิบถามข้างหู

“ไม่รับเหรอ?..”  ภัทรเงยหน้ามามองตาผมแล้วส่ายหน้าจนผมปลิว  ยิ้มให้แล้วกดปลายจมูกกับแก้มใส  กำลังจะจูบริมฝีปากสีชมพูที่ยิ้มรอ  โทรศัพท์ผมก็สั่นบ้าง  ล้วงออกมาขมวดคิ้วกับชื่อที่โทรเข้า  กดรับแล้วบอกว่าเดี๋ยวจะไปหาที่โต๊ะ  พี่พลตะโกนอะไรใส่หูบ้างก็ไม่รู้   เพลงมันดังผมฟังไม่รู้เรื่อง  วางหูแล้วหย่อนมือถือลงกระเป๋ากางเกง  ดึงภัทรเข้ามากอดแล้วกระซิบชวนไปนั่งที่โต๊ะด้วยกัน  ภัทรพยักหน้าแล้วกอดเอวผมเดินออกมาจากมุมมืด  ขายังก้าวไม่ถึงไหนไฟในร้านก็สว่างพรึ่บ  เบือนหน้าหลบแสงจ้าแล้วค่อย ๆ กะพริบตาปรับรับแสง  คนชุดดำหลายคนเดินตรงมาที่ผมกับภัทร  ดึงภัทรให้หลบข้างหลัง  ภัทรหัวเราะแล้วจับมือผมแน่นขึ้น  หันไปมองหน้าเล็กที่ก้มหน้าซ่อนยิ้มแบบงง ๆ

“คนของภัทรเอง”  เลิกคิ้วแล้วยิ้มตอบริมฝีปากสีชมพู  คนชุดดำเดินเข้ามาดึงภัทรออกจากข้างหลังผม  ภัทรทำหน้างงก่อนจะเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ

“อย่าเสียมารยาทกับแขกนะ”  คนชุดดำยืนนิ่งแล้วหันมามองผม..

“ที่นี่เป็นที่ของจักระ  ไม่ควรมีลมหายใจของ ‘เลาหเทวการ’ มาปะปน”  ผมขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินนามสกุล ‘จักระ’  หันไปมองหน้าภัทรที่ไม่เข้าใจเหมือนผม  จักระเหรอ?  คนของภัทรกำลังพูดถึงเรื่องอะไร  อย่าให้เป็นเหมือนที่ผมกำลังคิด..ว่าภัทรเป็นคนของจักระ..  เดินเข้าไปจะคว้าแขนภัทรให้มากับผมก็โดนพี่พลมาขวางระหว่างผมกับชุดดำเอาไว้
.
.
.

ออฟไลน์ jira

  • ปัญญาไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 890
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1324/-3
.
.
.
.
.
“เรามาอวยพรเพื่อนของแฟนที่เพิ่งเปิดร้าน..ไม่นึกว่าจะเป็นจักระ  แต่ถึงเป็นจักระ  ระหว่างผมกับคุณภัทร  เราไม่เคยมีเรื่องหมางใจ  ใช่ไหม?..คุณภัทร  จักระ”  พี่พลเบี่ยงหน้ามากระซิบกับผมว่าภัทรเป็นคนสุดท้องของจักระ  ยืนนิ่งเหมือนเหมือนถูกสาป..เด็กร้านทองไม่ได้เป็นลูกจ้างที่ร้าน..แต่เป็นลูกชายคนเล็กของจักระต่างหาก  ดวงตาสีดำไหวระริกเมื่อรับรู้ว่าผมเองก็เป็นลูกชายเตี่ยเหมือนกัน  ผมกับภัทรยืนมองหน้ากันนาน..จนพี่พลลากแขนผมให้ออกมาจากร้าน  ขืนตัวไว้แล้วมองตาสีดำที่ตัดพ้อผม

เบือนหน้ากลับมามองพี่พลแล้วหันไปมองภัทรอีกครั้ง  ชุดดำเข้ามาบังจนมองไม่เห็นประกายความน้อยใจจากดวงตาสีดำที่ผมเพิ่ง..ตกหลุมรัก  พี่พลลากคอผมออกมาจากร้าน  ขับพาผมเข้าบ้านเตี่ย  พี่พลถามผมแค่สั้น ๆ

“เรากับภัทรเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้รึเปล่าตี๋..”  หันไปมองพี่พลที่จอดรถข้างทางรอคำตอบจากผม  เล่าให้ฟังทั้งหมดว่าผมเห็นภัทรเมื่อเช้าที่ร้านทองฝั่งตรงข้ามร้านเรา  ไม่เคยคุยกัน  ไม่เคยรู้จักกันมากกว่านั้น  มาเจอกันอีกทีก็ในร้านเมื่อกี้  แล้วผมก็ตกหลุมรักภัทรไปแล้ว..

“ผมจะทำยังไงพี่พล..ผม..ผมตกหลุมรักจักระคนเล็กเข้าเต็มเปาแล้วพี่...”  หลับตาแน่นหลังเอ่ยประโยคอัดอั้นจบ  เอนหัวซบกับกระจกรถ  ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้วะ?!  พี่พลนิ่งไปก่อนจะออกรถตรงเข้าบ้านเตี่ย  เตี่ยนั่งรออยู่แล้วที่โซฟาในห้องรับแขก  ผม  พี่พล  พี่ตั้มเดินเข้าไปยกมือไหว้เตี่ย  เตี่ยรับไหว้แล้วมองหน้าผมนิ่ง  ผมสบตาเตี่ยโดยไม่หลบ  เตี่ยให้พี่พลพาพี่ตั้มไปส่งบ้านก่อนแล้วให้ไปเฝ้าร้านขายยาแทนผม  คนขับรถของเตี่ยยื่นกุญแจสำรองอีกชุดให้พี่พลแล้วเดินดันหลังพี่พลออกไปที่รถ  เสียงรถของพี่พลแล่นออกจากบ้านไป  เตี่ยนั่งลงแล้วพยักหน้าให้ผมนั่งได้

“อาตี๋..เล่ามา..”  ผมสบตาเตี่ยแล้วเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้น  เรื่องที่ผมรู้สึกดีกับภัทร..ผมก็ไม่คิดจะปิดเตี่ย  เล่าจบเตี่ยก็ถอนหายใจยาว  ผมหมดคำพูดและนั่งรอให้เตี่ยเป็นคนตัดสินใจเรื่องทั้งหมด  เตี่ยเอนหลังพิงพนักแล้วแหงนหน้ามองเพดาน  พักใหญ่ก็ละสายตาลงมามองหน้าผม  แล้วมองเลยผมที่รูปทวดที่ติดผนัง

“เลาหเทวการ  ทะเลาะกับ  จักระ  มานานกี่ชั่วอายุคนแล้วนะอาตี๋..เตี่ยเหนื่อยแล้วเหมือนกันว่ะ”  เตี่ยยิ้มหน่ายแล้วก้มมองมือตัวเอง  เงยหน้ามองผมก่อนจะยิ้มบาง  เอ่ยปากเล่าให้ฟังว่าเมื่อกลางวันเตี่ยพาอาม่าไปกินข้าวที่ภัตตาคารแถวเยาวราช  กินเสร็จก็กำลังจะกลับ  จักระคนพ่อก็เดินเข้ามาพร้อมกับคนติดตาม  อาม่ายิ้มทักทายพ่อของภัทรแล้วขอบใจเรื่องที่พ่อของภัทรช่วยอาม่าตอนที่ล้มที่ลานออกกำลังกายแถวบ้าน  เตี่ยปั้นหน้าไม่ถูก  พอ ๆ กับพ่อของภัทรที่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้อาม่า  อาม่าไม่เคยสนใจเรื่องการทะเลาะกันของเลาหเทวการกับจักระ และไม่เคยรู้ว่าคนของจักระรุ่นพ่อ  หน้าตาเป็นอย่างไร   อาม่าชวนพ่อของภัทรไปออกกำลังกายพร้อมกัน  เมื่อเย็นเตี่ยกับจักระเลยต้องเล่นบทคนไม่เคยทะเลาะต่อหน้าอาม่า  แรก ๆ ก็ยังเก้ ๆ กัง ๆ  แต่พอเริ่มเปิดเผยแล้ว  เตี่ยก็รู้สึกว่า..การพูดจากันด้วยเหตุผล  มันดีกว่าการตั้งป้อมเป็นศัตรูกว่าหลายเท่า 

ผมได้แต่หวังว่า..ที่เตี่ยยอมเล่าให้ผมฟัง  มันจะมีนิมิตหมายที่ดีตามมาด้วย

คืนนั้นผมนอนที่บ้านเตี่ย  หลับไปตอนตี  5  ตื่นขึ้นมาเตี่ยก็ให้ผมแต่งตัวแล้วให้คนขับรถไปส่งที่ร้านขายยา  มาถึงตลาด  สายตาผมก็มองไปที่ร้านทองฝั่งตรงข้ามร้านผมทันที  มองร้านทองที่ติดป้ายขายห้องแล้วใจหาย  ภาพดวงตาสีดำกับหน้าตัดพ้อเมื่อคืนผุดขึ้นมาในหัว  ปวดในอก..ลามมาถึงกระบอกตาจนต้องเงยหน้าขึ้น  ไล่น้ำตาให้ย้อนกลับทางเดิมก่อนผมจะกลายเป็นคนอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น  ลงจากรถเดินเข้าไปร้านขายยาของตัวเอง  พี่พนักงานยกมือไหว้ผมแล้วง่วนกับลูกค้าหน้าเคาน์เตอร์   เดินตรงไปหาพี่พลที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทอนเงิน 

“พี่ผมขอคุยกับพี่ตั้มหน่อย”  พี่พลเงยหน้าจากลิ้นชักเงินมามองหน้าผม  ส่ายหน้าปรามแล้วเอ่ยเสียงเบา  ‘ภัทรหายตัวไป..ตั้มพยายามติดต่อแล้ว  เราทำอะไรไม่ได้แล้วไอ้เสือ’  เขม้นมองพี่พลแล้วส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ  พี่พลลุกขึ้นกอดแล้วเช็ดน้ำตาที่ไหลเป็นทางออกให้อย่างเบามือ..

“ไม่เป็นไรไอ้เสือ..เดี๋ยวมันก็ผ่านไป  เราจะลืมมันได้เอง..”  กัดกรามแล้วหลับตาแน่น  กำหมัดข่มความเสียใจที่จะไม่มีวันได้กอดเจ้าของดวงตาสีดำอีกชั่วชีวิต  ความคิดก่อนนอนที่ว่า ‘เลาหเทวการ’  อาจจะญาติดีกับ ‘จักระ’  ได้ในรุ่นของเตี่ย..มันไม่มีวันเป็นจริง!

พี่พลไล่ให้ขึ้นมาสงบสติอารมณ์บนห้อง  ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นห้อง  ปล่อยน้ำตาให้ไหลไล่ความเสียใจออกให้หมด  ผมนั่งเหม่อปล่อยน้ำตารินนานจนแสงแดดจากภายนอกหายไป  ปาดน้ำตาทิ้งแล้วลุกไปล้างหน้าล้างตา  เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมาข้างล่าง  พี่พลถือถาดข้าวเตรียมจะขึ้นไปหาผมที่ห้องพอดี  ยิ้มให้พี่พลจนตาปิดแล้วเดินลงมานั่งกินข้าวด้วยกัน  2  คน  กินข้าวเสร็จพี่พลก็ชวนผมคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ผมลืมเรื่องดวงตาสีดำของจักระคนสุดท้อง

คนที่ต่อให้ตาย..ผมก็ไม่มีทางลืม..

ผมไล่พี่พลให้กลับไปนอนที่โรงงานน้ำแข็ง  ผมอยู่คนเดียวได้  ถึงผมจะเป็นแค่เด็กอายุ  16  แต่ผมก็มีวิธีรักษาหัวใจตัวเอง  ไม่ปล่อยให้ตัวเองทำอะไรโง่ ๆ ให้พี่พลต้องกังวลใจ  ทุกวันที่ผ่านไป  ผมใช้มันอย่างเต็มที่ให้กับร้านขายยาของตัวเอง  ตื่นขึ้นมานับเงินและเช็คสต็อกยา  กินข้าวเที่ยงกับพี่พนักงาน  เย็นเดินตลาดหาอะไรกิน  หัวค่ำอยู่กับพี่พล  ดึกนั่งมองประตูเหล็กที่ปิดประกาศขายฝั่งตรงข้ามจนหลับ..ทุกวัน

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะนั่งทอนเงินที่โต๊ะ  พรุ่งนี้ผมต้องเข้าไปรายงานตัวที่โรงเรียนและนั่นหมายถึง..ผมเปิดเทอมแล้ว  ไม่ต้องมานั่งขายยา  ไม่ต้องทอนเงินให้ลูกค้า  ไม่ต้อง..นั่งมองประตูเหล็กฝั่งตรงข้ามให้ปวดใจอีกต่อไป..

เงยหน้ามองนาฬิกาแขวนผนังแล้วลงบัญชีให้เรียบร้อย  ไหว้พี่พนักงานแล้วบอกเรื่องที่ผมจะมานั่งเป็นวันสุดท้าย  พรุ่งนี้และวันถัดไป   จะมีพี่พลสลับกับพี่น้ำ..พี่สาวคนรองมานั่งตรงนี้แทนผม  ปิดร้านแล้วเดินขึ้นมาเก็บของบนห้อง  ยกกระเป๋าลงมาข้างล่างรอเวลาที่พี่พลจะมารับไปบ้านเตี่ย 

วางกระเป๋าลงกับพื้นแล้วเดินออกมาหาอะไรกิน  รีบเดินกลับร้านเมื่อเห็นฝนที่ตั้งเค้ามาแต่ไกล  วิ่งกลับร้านแข่งกับฝนที่กำลังโปรยปราย  เปิดประตูร้านได้ก็ล็อคแน่นหนา  เปิดกระเป๋าค้นผ้าขนหนูมาเช็ดผม  เดินเข้าไปหยิบช้อนส้อมมากินข้าวผัดที่โต๊ะคิดเงินของตัวเอง  เปิดกล่องข้าวผัดทะเลกับเป๊บซี่กระป๋องกิน   เงยหน้ามองตามเสียงก๊อกแก๊กจากกระจกหน้าร้าน  ปล่อยช้อนร่วงจากมือเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าร้าน

สบตาสีดำที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกด้วยความรู้สึกหลากหลาย  ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปเปิดประตูเมื่อภัทรยกมือขึ้นกอดตัวเองเพราะฝนเริ่มตกหนักขึ้น  มองเท้าที่ซีดเพราะตากฝนนานของภัทรนิ่ง  ยื่นผ้าเช็ดตัวให้เช็ดตามเนื้อตัวแล้วเงยหน้ามองคนที่คิดถึงมาตลอด

ภัทรผอมลง  ขาวขึ้น  มือเล็กยื่นผ้าเช็ดตัวคืนผมหลังจากเช็ดหน้าแล้ว  รับมาแล้วมองหน้าภัทรเต็มตา  ริมฝีปากสีชมพูซีดเม้มแน่นก่อนจะเอ่ยปากถามผมเสียงสั่น..

“ทำไมไม่ตามหา?..ทำไมคุณถึงอยู่ได้  คุณไม่เคยคิดถึง..ผมเลย”  สบตาสีดำที่รื้นน้ำตา  ไหล่เล็กสั่น  ใจผมปวดเมื่อเห็นภัทรเจ็บ  ก้าวเท้าออกไปหาแล้วยื่นมือไปจับมือเล็ก  มือเรียวปัดมือผมทิ้ง

“ทำไมผมต้องเป็นบ้าอยู่คนเดียวด้วย!”  ภัทรตะโกนใส่หน้าผม  น้ำตาไหลพราก  ผมกอดไว้แน่นเพราะภัทรดิ้น  ปวดแขนเพราะภัทรฝังเขี้ยวลงไปจมเขี้ยว  ยิ่งดิ้นผมก็ยิ่งรัดให้แน่นขึ้น  ล้มลงไปนั่งกับพื้นทั้งคู่  ภัทรร้องไห้แล้วก็ดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดผม  เจ็บแต่ต้องทน  ถ้าผมปล่อยมือ..คนคนนี้จะต้องหายไปจากผมตลอดกาล

“..ผมคิดถึงภัทร  ผมไม่รู้จะเริ่มตามหาภัทรจากตรงไหน  พี่ตั้มก็ติดต่อภัทรไม่ได้  ผมปวดในนี้ทุกครั้งที่คิดถึงภัทร..ถ้าภัทรบ้า  ผมคงบ้าก่อนภัทร  บ้าตั้งแต่วันที่เดินออกจากร้านนั้น..”  ภัทรหยุดดิ้นแล้วนั่งร้องไห้เงียบ ๆ ในอ้อมแขนผม  กอดคนตรงหน้าแล้วลูบหลังปลอบให้หยุดร้อง  กว่าภัทรจะหยุดร้องไห้ฝนก็หยุดตกพอดี

บิดไหล่เล็กให้หันมาเผชิญหน้า  เช็ดน้ำตาให้แล้วดึงชายเสื้อตัวเองมาให้ภัทรเช็ดน้ำมูก  ภัทรเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่แยกกับผมที่งานเลี้ยง  พ่อภัทรก็ส่งภัทรให้ไปอยู่กับป้าที่เชียงใหม่  ยึดโทรศัพท์  ตัดช่องทางการสื่อสารทั้งหมด  ให้อยู่บ้านพักตากอากาศบนดอยกับลูกน้องของพ่อที่คอยเฝ้าไว้ตลอดเวลา  นั่งกินข้าวก็ร้องไห้   นอนก็ร้องไห้  จนเช้าวันนี้  เตี่ยกับพ่อของภัทรขับรถมารับภัทรกลับมาส่งให้ผมที่ร้าน  ยิ่งมาเห็นผมนั่งกินข้าวไม่สะทกสะท้านก็ยิ่งอยากร้องไห้

“ทำไมอ่ะ..ทำไมเห็นผมแล้วไม่ดีใจ  ทำไมต้องทำหน้าเหมือนเห็นผี!”  ย่นคิ้วแล้วมองหน้าเล็กเปื้อนน้ำตาโวยวายใส่  ยิ้มบางแล้วดึงเข้ามากอดไว้หลวม ๆ ลูบหลังจนภัทรสงบอีกครั้ง

ก้มมองหน้างอแล้วประคองหน้าขึ้นมาสบตา  ยื่นปลายจมูกแตะที่ปลายคางมน  ไล่หอมหน้าจนทั่ว  ริมฝีปากกระซิบว่าผมรักภัทรแค่ไหน  คิดถึงมากเท่าไร  จูบผะแผ่วที่ริมฝีปากแล้วไล้ปลายลิ้นตามกลีบปากสีชมพูซีด  แทรกปลายลิ้นเข้าไปดูดความหวาน..ชิมจนเสียงเคาะกระจกหน้าร้านดัง  ผละออกมามองคนที่เคาะก่อนจะรีบเช็ดริมฝีปากให้ภัทรแล้วดึงมือให้ลุกขึ้นยืน

“..พ่อยอมให้คบ  แต่ไม่ได้หมายความว่าภัทรจะปล่อยให้เขาทำอะไรแบบนี้ต่อหน้าพ่อได้นะ  กลับบ้าน..พรุ่งนี้ค่อยมาช่วยกันขายของ”  ผมยกมือไหว้พ่อภัทรและบอกว่าผมจะดูแลภัทรให้ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างผมจะทำให้ได้  พ่อภัทรมองหน้าผมแล้วยกยิ้มมุมปาก  หันไปปรายตามองเตี่ยที่ตีหน้าเฉยก่อนจะเดินออกจากร้านไปรอที่รถ  เตี่ยเข้ามาตบไหล่ผมแล้วยิ้มให้ภัทร  แล้วเดินกลับไปรอที่รถกับพ่อภัทร  ผมเดินไปส่งภัทรที่รถ  มองส่งจนลับตา  กลับเข้ามาในร้านก็ขมวดคิ้วมุ่นเพราะพรุ่งนี้ผมต้องไปรายงานตัวที่โรงเรียนนี่หว่า..ช่างมันเถอะ

ขึ้นไปอาบน้ำแล้วล้มตัวลงนอน  หลับสนิทในเวลาไม่นานเพราะไม่มีเรื่องให้ต้องเครียดอีกแล้ว

ใครจะไปรู้ว่าที่พ่อภัทรยอมยกภัทรให้ผมเพราะเตี่ยรับปากว่าจะเลิกหาเรื่องจักระก่อน   

แล้วใครจะคิดว่าภัทรจะตามผมไปเรียนที่เดียวกัน  ใช้ชีวิต ม.ปลายด้วยกันจนเรียนจบ  ไม่มีโศกนาฏกรรมให้สูญเสียเหมือนบทประพันธ์เรื่องดังของเชคสเปียร์ที่มีต้นตอคล้ายผมกับภัทร  นวนิยายที่มีแต่ความสูญเสีย  เพราะความหมางใจของผู้ใหญ่ที่ส่งผลให้ลูกหลานต้องรับผลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่..มันใช้ไม่ได้กับชีวิตจริงของตระกูลผมกับภัทร 

ผมกับภัทรเป็นตำนานใหม่ของเรื่องนี้ครับ..







..โรมิโอร้านขายยากับจูเลียตร้านทอง..

END.


.................................


กอดรวบ! บวกเรียบ!
เกิน 20,000  อักษรเสียได้  เลยต้องหั่นครึ่งมาลงเป็น  2  ท่อน ^^
วันนี้ชิลมากค่ะ  ตอนแรกจะถูกส่งไปประชุม  บังเอิญมีงานด่วนเข้ามาก่อนเลยไม่ต้องไป  ได้นั่งหน้าคอมพ์สบาย ๆ คึคึคึ
คุณ sirin_chadada  ใช่ค่ะ  น่ารักทุกคู่เลย  จิแอบลำเอียงชอบบางคู่มากกว่านิด ๆ (มากกว่าเท่าปลายเล็บที่ตัดแล้ว)  ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเหมือนกันนะคะ ^^
คุณ seaz  ไปเปิดร้านชา..ไปด้วยกันค่ะ!  จิเพิ่งถูกหวยงวดที่แล้วได้เงินมาก้อนนึง(หักทุนแล้วเหลือ  1,500)  พอซื้อของอยู่นะคะ  แล้วงวดหน้าเราค่อยมาซื้อของเพิ่ม  จิกะจะถูกมันทุกงวดล่ะค่ะ555
คุณ nekko  ต้องลิ้นจี่ปั่นใส่ฟรุตสลัดค่ะ  ชื่นใจมั่กๆ  ส่วนพี่เรย์น้องสอง  จิยังไม่มีเวลานั่งเทียนจิ้นต่อจากของเดิมเลยค่ะ  สงสัยต้องเอาไฟมาลนขนตูดตัวเองก่อน  คึคึ
คุณ KKKwanGGG  จิก็ชอบคู่นี้เหมือนกันค่ะ  จิชอบทุกคู่แต่ก็รักมากกว่านิด ๆ (เป็นหนึ่งในไม่กี่คู่ที่จิรักลำเอียง)  ชื่อตอน burn  เจ้าเต็มกับโอม คู่รัก SM  ถูกแล้วค่ะ ^^ 
 :pig4: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ขอบคุณคุณพ่อที่ยอมญาติดีกันเปิดทางให้เด็กๆ ได้รักกัน

ออฟไลน์ Sirada_T

  • We Will [Luk] You!!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 454
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
น่ารักดีค่ะ... จีบกันมุ้งมิ้งมากทุกคุ่เลย

ออฟไลน์ jira

  • ปัญญาไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 890
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1324/-3
แอบ..รัก


ฝนลงเม็ดโปรยปรายลงมาจากฟ้า  ไหลลู่ลงมาตามกระจกใสเป็นริ้วสวย  เหม่อมองความเหงาจากสายฝนที่ผืนฟ้าส่งมาให้ถึงบ้าน  นอนคุดอยู่ในผ้านวมผืนใหญ่  สองมือลูบแขนตัวเองให้คลายความเหงาที่เกาะกินหัวใจ  ผงกหัวขึ้นไปมองโทรศัพท์บ้านที่ส่งเสียงแผดลั่น   กระชับผ้านวมให้ห่อหุ้มตัวคลายหนาว  คลานเข่าไปรับโทรศัพท์เพราะไม่อยากได้ยินเสียงดังลั่นของมัน

“สวัสดีครับ..อือ  พรุ่งนี้กูต้องไปนั่งขายพริกแกงที่ตลาด  ถ้าวันนี้ก็ต้องตอนเย็น ๆ  หือ?  ฝนตกครับไอ้สัตว์!..เอ้ยยย จริงอ่ะ!  เต๊นท์..เต๊นท์!..”  วางหูโทรศัพท์แล้วรีบดึงผ้านวมที่ห่อตัวเหมือนข้าวห่อสาหร่ายมาพับ  วิ่งขึ้นห้องเอาไปโยนไว้บนเตียง  รวบกองเสื้อผ้า  กางเกงใน  ใส่ตะกร้าเสื้อผ้า   หมุนตัวมองรอบห้องแล้วเซ็งกับความมักง่ายของตัวเอง  ถอนหายใจทิ้งแล้วกลั้นใจเก็บกระดาษทิชชู่ที่มีคราบสีเหลือง ๆ ติดเป็นดวง ๆ ใส่ถังขยะ  เร่งมือเก็บซีดีหนังโป๊และเก็บกวาดห้องนอนให้ดูเรียบร้อย..ก็เท่าที่จะพอทำได้ล่ะนะ

หยิบมือถือที่สั่นตรงหัวเตียงมากดทิ้ง  วิ่งลงไปชั้นล่างเหมือนหนีไฟไหม้  ยิ้มกว้างต้อนรับเพื่อนที่บอกว่าจะมาหา  ตอนแรกมันจะให้ผมไปหามันตอนนี้  แต่ฝนมันตกหนักก็เลยบอกเชิงปฏิเสธกับมัน  มันที่อยากเจอผมมากก็เลยออกปากเองว่าเดี๋ยวจะฝ่าฝนกระหน่ำมาหาผมที่บ้าน  เพราะถ้ารอเจอผมในวันพรุ่งนี้ผมก็ไม่ว่าง  ต้องไปนั่งขายพริกแกงที่ตลาดแทนแม่  แม่ผมกับผมไม่ค่อยได้เจอหน้ากันครับ  แม่เป็นแม่ค้าที่ไม่ได้ขายพริกแกงเพียงอย่างเดียว  เล่นแชร์กับแผงพริกแกงและของแห้งในตลาดทั้งหมด  แน่นอนว่าแม่ผมต้องเป็นเท้าแชร์เองด้วย  ทำให้แม่ต้องทุ่มเทเวลาในการเก็บเงินลูกแชร์จนบางครั้งก็ลืมว่ามีลูกชายหล่อลากอยู่  1  คนอยู่ที่บ้าน  อ้อ..มีอีกคนเรียนที่ต่างจังหวัดอยู่กับพ่อด้วยครับ  พ่อกับแม่เลิกกันก็เลยแบ่งลูกกันไปเลี้ยงด้วย..ตามสูตรเป๊ะ! 

มองหน้าเรียว  ตา  2  ชั้นสีน้ำตาลอ่อน  จมูกนิด  ปากแดงหน่อย  และรอยยิ้มกว้างตอบของมันที่โผล่ออกมาจากเสื้อกันฝนด้วยความสุข  ยื่นมือรับเสื้อกันฝนเปียกน้ำทั้งตัวของมันมาผึ่งหลังบ้าน  หันไปมองเพื่อนรักที่นั่งลงกับธรณีประตูปล้ำถอดรองเท้ายางกันน้ำสีดำที่ไม่น่าจะใช่ของตัวเองแล้วรีบเดินย้อนไปช่วยดึงออกจากส้นตีนมัน

“ไม่ใส่แตะธรรมดาวะไอ้เต๊นท์..มึงเอาของใครมาใส่เนี่ย?!  ถอดยากฉิบหาย”  เพื่อนรักทำหน้าเบี้ยวเมื่อผมช่วยดึงรองเท้าออกเท้ามันสำเร็จ  มันนวดส้นเท้าไปด้วยแล้วบอกผมหงุงหงิง

“เราขอยืมของพี่ติ๊กมาใส่  แต่ตีนพี่ติ๊กเล็กกว่าเรา  มันก็เลย..”  มองตาสีน้ำตาลกับหน้าสำนึกผิดของมันแล้วพูดไม่ออกครับ  ส่ายหน้าปลงแล้วถอนหายใจยาว  เดินนำเข้าบ้าน  มันก็เดินตามเหมือนหมาตามเจ้าของ..

ถ้าเป็นงั้นจริงก็ดีสิ..ผมอยากเป็นเจ้าของมันจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว!!!

มันไม่รู้หรอกว่าผมคิดไม่ซื่อกับมันมาตั้งแต่เนียนเป็นเพื่อนกับมันตอน  ม.4  แล้ว  มันซื่อแล้วก็โง่กับเรื่องพรรค์นี้ใส่ผมมาก..โง่จนผมจะทำโล่ให้ด้วยใจภักดิ์  ผมเอาใจ  ดูแล  เทคแคร์มันทุกอย่างจนเพื่อนในโรงเรียนรู้กันหมดว่าผมชอบมัน  แต่มัน..มันไม่รู้เหี้ยอะไรสักอย่าง!   

มันป๊อบมากในหมู่เกย์ครับ  ด้วยรูปร่าง  หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ไม่แปลกที่จะมีคนเข้าหามันยิ่งกว่าแมลงวันตอมขี้แมลงหวี่ตอมหน้า  เพื่อนในกลุ่มคอยกันให้ประจำ  มันน่ะรู้แล้วก็รับมือกับคนที่เข้ามาหาแบบแมนเต็มร้อย   ปฏิเสธหรือตอบรับชัดเจน 

แต่กับผม..มันยิ้ม  หัวเราะและฮากับการพยายามของผมทุกครั้ง 

แรกเริ่มตอนเนียนเทพมาเป็นเพื่อนผมก็พูดจาเสนาะหู  นานวันเข้าความเพราะพริ้งเพราเหล่านั้นผมก็โยนทิ้งไป  หลงเหลือเพียงความดิบหยาบถ่อยเถื่อน  แต่ก็ยังคงความอ่อนโยนให้มันเสมอต้นเสมอปลาย  ทุกวันนี้เพื่อนในกลุ่มมันกับผมก็ยังเชียร์ให้ผมกดมันอยู่นะครับ  แต่ก็นะ..ตบมือข้างเดียวมันก็มีแต่เสียง ‘วืด’  ตอบกลับมาเท่านั้น  ผมเห็นรอยยิ้มสดใสของมันที่ส่งมาให้แล้ว..อยากกู่ร้องตะโกนก้องว่ากูไม่ได้คิดเล่น ๆ กับมึงนะไอ้เหี้ยเต๊นท์!  กูชอบมึงงงงงงงงง~

ท้อก็ท้อ  เซ็งก็เซ็ง  แต่จะถอยมันก็ยากจะทำได้  มันน่ารักน่าหลงมากสำหรับผม  คอยมองหา  จองที่นั่งข้าง ๆ ให้  รอกลับบ้านกับผม(ถึงจะเพราะผมมีตัวประกันในการกลับบ้านพร้อมกันเป็นเกมส์ใหม่ให้มันก็เถอะ)  เฮ้อออ ผมกำลังป่วยทางใจขั้นโคม่าครับ

“เราขอผ้าเช็ดหน้าหน่อย”  เอามาเช็ดความหวานออกจากหน้าเหรอเต๊นท์?  ยกยิ้มมุมปากกับมุขเสี่ยวแต่หลุดออกมาจากใจของตัวเอง  หันหลังไปหยิบผ้าเช็ดหัวที่แขวนราวตากผ้าหลังบ้านมาให้มัน

“ของอาร์ตเหรอ?..”  มันยื่นมือรับผ้าเสร็จก็เพ่งพิศผ้าก่อนจะเงยหน้ามาถามผม  พยักหน้ารับแล้วเอามาเช็ดหัวให้มันดู  มันยิ้มบางหวานเยิ้มกลับมาให้แล้วคว้าผืนนี้มาซับหยดน้ำที่เกาะตามแก้มเนียน  ไรผม  แล้วยื่นผ้าเช็ดตัวที่เคยไร้ค่าแต่บัดนี้ทรงคุณค่าเพราะเหงื่อไคลและกลิ่นผิวหน้าของมันมาให้ผม  ไม่อยากจะมือสั่นแต่มันห้ามไม่ได้..

“อาร์ต..ไม่สบายเหรอ?!  กินข้าวกินยายัง?  ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรออาร์ต”  หลับตารับสัมผัสจากมือนิ่มที่ยื่นมาวัดอุณหภูมิที่หน้าผาก  แก้มขวา  และซอกคอ  ลืมตามาสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่สื่อถึงความห่วงใยมาให้ผมคนเดียว..เลือดกำเดาจะไหล

“เฮ้ย!  เงยหน้าไว้อาร์ต!  กระดาษทิชชู่อยู่ไหนเนี่ย..ไหลใหญ่แล้วอาร์ต!”  ผมมันปากตรงกับใจครับ  เงยหน้าให้เพื่อนรักเอาน้ำแข้งใส่ผ้ามาอังหน้าผากให้  แป๊บเดียวเลือดก็หยุดไหลครับ  ผมตื่นเต้นไปหน่อยมันก็เลยไหลไม่ไว้หน้าแบบนี้ล่ะ

“ไปหาหมอไหม?  เราว่าอาร์ตต้องป่วยแน่ ๆ เลือดกำเดาไหลบ่อยขนาดนี้ไม่ธรรมดาแล้วนะ  เราเสิร์ชเน็ตดูแล้วมันเกิดจากเส้นเลือดฝอยแตกบ่อย  หรือไม่ก็เกิดจากความกดอากาศ หรืออากาศเปลี่ยนแปลง  รวมถึงความดันโลหิตในแต่ละช่วงขณะเวลาที่ส่งผลต่อการปรับสมดุลของร่างกาย  ให้กินพวกผักแล้วก็พวกวิตามินซีเยอะ ๆ อย่าง  ส้ม  มะนาว  หรือพวกผลไม้เปรี้ยว ๆ อะไรแบบนี้อ่ะ  แต่มานั่งแก้เองมันไม่เหมือนไปหาหมอหรอกอาร์ต  ไปตรวจดูเหอะนะ..”  กูเลือดกำเดาไหลก็เพราะมึงต่างหากไอ้เต๊นท์  ถ้ากูไปหาหมอกูก็ต้องบอกหมอว่า  ‘หมอครับ..ทุกครั้งที่ผมโดนตัวผู้ชายคนนี้หรือผู้ชายคนแตะต้องตัวผม  ผมจะต้องเลือดกำเดาไหลทุกครั้งเลยครับ  หมอช่วยจ่ายยาหยุดไหลให้ผมด้วยครับ  เผื่อว่าตอนผมจะรักกันแบบโลกไม่ลืมกับเค้า  ผมจะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าเลือดกำเดาผมจะไหลปนกับเลือดพรหมจรรย์เค้าน่ะครับ’  อุ้ก!  เสือกคิดตามแล้วมีภาพตอนเต๊นท์ทำตาปรือ  เผยอปากยั่วขึ้นมาในหัว   แม่งก็เลยไหลทะลักแทงกระดาษทิชชู่ที่ผมยัดห้ามเลือดที่จมูกไว้อีกรอบ   

เอาให้กูเลือดหมดตัวตายไปเลยเถอะ..

“เย้ยยยยย  อาร์ตเป็นไข้เลือดออกรึเปล่าเนี่ย?!  ไปหาหมอกันเถอะ  ไปตอนนี้เลย!”  ขืนแขนที่เต๊นท์จับไว้แล้วใช้มืออีกข้างโบกห้ามเป็นพัลวัน  สมเพชตัวเองฉิบหาย

“ไม่เป็นไร  มันไหลแบบนี้ประจำ  ไหลรับวันฝนตกน่ะ..มึงไม่เข้าใจร่างกายกูหรอกเต๊นท์”  เอาผ้าที่มันใส่น้ำแข็งมาเช็ดเลือดแล้วเงยหน้าเดินไปทางห้องน้ำ  เต๊นท์มันก็ช่วยจับมือให้เดินไปห้องน้ำ  มือนิ้มนิ่ม..เนื้อตัวมันล่ะ  คงจะนิ่มกว่ามือ  100  เท่า..ออกมาอีกสิ..แค่นี้มันยังไม่ถึงเสี้ยวของเลือดในกายกูหรอกไอ้นรก!

“ออกไปรอข้างนอกไป..จะได้ไม่เลอะเลือด”  บอกมันแล้วเงยหน้าขึ้นให้เลือดมันไหลกลับทางเดิม  ควานหากระดาษทิชชู่มายัดปิดทางออก  ถอดเสื้อออกแล้วโยนใส่ถังขยะ  ใครจะเอามาใส่ได้อีกครับ  เลอะทั้งตัว

“....”  ยืนจับอ่างล้างหน้าแล้วเงยหน้าห้ามเลือดกำเดา  เหลือบไปมองเต๊นท์ที่ยืนนิ่งมองมาที่ผมอยู่ตรงประตูห้องน้ำ  ขมวดคิ้วใส่มันก็ยังยืนเฉย  ไล่ตามสายตามัน..มองกล้ามท้องผมอยู่นี่หว่า  โบกมือไล่แล้วหันหลังให้มัน  นับ  1-200  จนในจมูกเริ่มแห้งก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลง  ดึงกระดาษทิชชู่ทิ้งแล้วหันกลับมาล้างเลือดที่อ่างล้างหน้า  เงยหน้ามองกระจกแล้วเบี่ยงซ้ายย้ายขวา  ผมไม่ขี้เหร่..แค่ไอ้เต๊นท์ไม่เคยเหลียวมอง  ถอนหายใจกับความจริงข้อนี้แล้วหมุนตัวหันไปทางประตู 

เต๊นท์ยังอยู่..ยืนอยู่ที่เดิมเป๊ะ!




....................................



ผมเพ่งมองถนนแล้วเดินฝ่าฝนที่ตกกระหน่ำตรงไปบ้านที่อยู่ท้ายซอย  มือข้างหนึ่งบังฝน  อีกข้างกอดตัวเองกันหนาว  ช่วงนี้ปิดเทอมครับ  ผมอยู่บ้านก็เบื่อเลยออกมาหาเพื่อน  จริง ๆ บ้านข้างหน้านี่ก็เพื่อนครับ  แต่ผมไม่อยากแวะอ่ะ  ไปอีกหน่อยก็บ้านเพื่อนเหมือนกัน  แต่ผมไม่มีธุระอะไรกับมัน  เรื่องอะไรต้องแวะล่ะ  รีบเดินดีกว่า..ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ แถมรองเท้าที่ยืมพี่ติ๊กมาก็เริ่มจะกัดแล้ว

วิ่งเข้ารั้วอัลลอยด์สีดำตัดสีทองแล้วล้วงโทรศัพท์โทรออกหาเจ้าของบ้าน  ปลายสายตัดทิ้งก่อนจะเงยหน้ายิ้มตอบรอยยิ้มกว้างหยุดโลกของเพื่อน  เพื่อนผมชื่ออาร์ตครับ  ถึงจะเป็นเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเข้ากลุ่มมาได้ไม่กี่เดือน  ผมก็สนิทด้วยมากที่สุดครับ  ครั้งแรกที่ผมเจออาร์ตก็ตอน  ม.4   อาร์ตย้ายมาจากที่อื่นกลางเทอม  1  ครับ  เลยเข้ามาอยู่กับกลุ่มพวกผม  อาร์ตนิสัยดีเหมือนหน้าตาเลยครับ  แรก ๆ ก็พูดเพราะ  ผม - คุณ  แต่หลัง ๆ ก็เหมือนผู้ชายทั่วไปครับ  มึง – กู  ผมชอบแบบเมื่อก่อนมากกว่า..ออกจะน่ารักแท้ ๆ   เพราะความอ่อนโยนแล้วก็ใส่ใจกับผมทุกเรื่องนี่ล่ะมั้งครับ   มันก็เลยทำให้ผมติดอาร์ตแจยังกับเหาเจอหนังหัว  ก็อย่างเรื่องที่ผมไม่ชอบกินอะไรจากบ้านก่อนมาโรงเรียน..เบื่อข้าวแกงที่บ้านน่ะ  เลยมาหาอะไรกินที่โรงเรียนตลอด  แล้วทุกเช้าผมก็จะมีขนมปังสังขยากับน้ำเต้าหู้จากเพื่อนใหม่กินทุกวัน..จนเคยตัว  ขนาดปิดเทอมผมยังต้องหาเรื่องมาหา  เรียกมันออกมาเจออยู่ประจำครับ 

เพื่อนก็ชอบแซวให้ผมยอม ๆ ให้อาร์ตกดไปเหอะ  ผมก็ได้แต่ขำ  เจ้าตัวก็ชอบพูดเล่นเหมือนชอบผม  ถึงจะคิดเข้าข้างตัวเองบ่อย ๆ แต่ผมก็ไม่เคยยอมให้หัวใจผมคิดมากกว่าเพื่อนกับอาร์ตนะครับ  แม้ว่าลึก ๆ แล้วผมจะแอบชอบมันก็เถอะ 

อาร์ตจะมาคิดอะไรกับคนจืดชืดอย่างผมจริงจังล่ะ   ผิวก็ขาวจนซีด  ตาก็ตี่  จมูกก็ไม่โด่งเหมือนคนอื่น  ปากก็เล็กเกินไป  หน้านี่ไม่ต้องพูดถึงครับ  เอามืออาร์ตมาทาบแค่ข้างเดียวก็มิดละ  แต่รสนิยมคนเราไม่เหมือนกันครับ  ผมคิดว่าตัวเองจืดชืด  แต่ก็ยังมีคนมากมายที่ชอบผู้ชายจืดชืดอย่างผม  แต่ผมไม่เหมาะกับใครหรอกครับ  เรียนก็ไม่เก่ง  หน้าตาก็แย่  บ้านก็ไม่รวย  ขับรถก็ไม่เป็น  แถมยังที่บ้านขายข้าวแกงจนไม่มีเวลาให้อีกต่างหาก  ใครมันจะอยากมาเป็นแฟนล่ะครับ  ก็คงแค่อยากแกล้งผมสนุก ๆ กันเท่านั้นล่ะ

มองหน้าคมเข้มกับความสูงที่ผมต้องแหงนหน้าคุยด้วยแล้วนึกชื่นชมแทนพ่อแม่มันครับ  อาร์ตดึงเอาส่วนดีของพ่อแม่มารวมไว้ทั้งนั้น   แต่.. เห็นรูปร่างสูง  หุ่นเท่  เป็นนักบอลโรงเรียนแบบนี้   ใครจะรู้ครับว่าอาร์ตไม่ค่อยแข็งแรง   เลือดกำเดาไหลบ่อย  เมื่อก่อนไหลบ่อยกว่านี้  แต่ถึงตอนนี้จำนวนการไหลของเลือดกำเดาจะน้อยลงแล้ว   อาร์ตก็ไม่ควรวางใจนะครับ  น่าจะไปให้หมอตรวจดูบ้าง  อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน  มันไหลเยอะจนผมนึกกลัวเลยครับ  ห่วงมันอ่ะ 

“เย้ยยยยย  อาร์ตเป็นไข้เลือดออกรึเปล่าเนี่ย?!  ไปหาหมอกันเถอะ  ไปตอนนี้เลย!”  รีบจับแขนมันแล้วดึงมาทางประตูบ้าน  ยังไงวันนี้ผมก็ต้องให้มันถึงมือหมอครับ  มันส่ายหัวแล้วเงยหน้าห้ามเลือด  เดินสะเปะสะปะไปทางห้องน้ำ  ผมได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วจับมือพาไปห้องน้ำ   

“ออกไปรอข้างนอกไป..จะได้ไม่เลอะเลือด”  อาร์ตดึงกระดาษทิชชู่ห้ามเลือดแล้วไล่ผมให้ออกมาจากห้องน้ำ  ก่อนจะถอดเสื้อทิ้งถังขยะ ผมรู้ว่าผมควรจะเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วรีบหาน้ำอุ่นไว้ให้อาร์ต  แต่ผมก็ไม่ทำ 

ยืนเอนตัวพิงขอบประตูแล้วนิ่งมองแผ่นหลังกว้างที่มีมัดกล้ามเนื้อสวย    ผิวสีแทนเนียนตา  มือใหญ่เท้าเอว  เงยหน้าหันหลังห้ามเลือดกำเดาอยู่ในห้องน้ำ  ถ้าคนคนนี้ไม่ใช่เพื่อน  ผมคงยอมแหกกฎเอาเพื่อนมาเป็นแฟนไปแล้ว..

“....”  สะดุ้งกับดวงตาสีน้ำตาลของอาร์ตที่หันมาสบพอดี  ดีดตัวออกจากขอบประตูแล้วหันหลังเดินหนี  ออกมายืนหันรีหันขวางกลางห้องนั่งเล่นไม่รู้จะหยิบอะไรก่อน  กลืนน้ำลายเหนียวเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูห้องน้ำดัง  ‘ปัง’  กะพริบตาถี่แล้วกลั้นใจเดินมาทรุดตัวนั่งบนโซฟา  คว้ารีโมทที่วางข้างตัวมากดปุ่มเปิด  ไล่ดูช่องโน้นช่องนี้แก้เก้อ  หางตาเหลือบเห็นคนที่เลือดกำเดาชอบไหลยืนมองอยู่

“..นั่งไหม?”  ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วชวนอาร์ตนั่งดูทีวีด้วยกัน  อาร์ตส่ายหน้าตอบแล้วบอกผมให้รอแป๊บ  จะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเอาหนังลงมาให้ดู  เสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดไปทำให้ผมถอนหายใจแบบโล่งในปอด  ผมรู้ว่าไม่ควรตื่นตูมแบบนี้  กับแค่ยืนมองเพื่อนใคร ๆ ก็เคยทำ  แต่ยังไงผมก็รู้ว่าผมคิดอะไรตอนมองอาร์ต..จะให้มันรู้ไม่ได้ว่าผมแอบคิดกับมันมากกว่าเพื่อน 

ผมไม่อยากเสียมันไป..




................................


มือใหญ่เลือกแผ่นหนังมา  3-4  เรื่อง  เดินออกจากห้องแล้วปิดประตู  หยุดยืนหน้าห้องนอนแทนที่จะเดินลงข้างล่างทันที  เอนหลังพิงประตูแล้วนึกถึงสายตาที่สบก่อนจะออกจากห้องน้ำ  ดวงตาสีน้ำตาลที่หลงใหลแอบมองตัวเองอยู่นาน  ท่าทางสะดุ้งเหมือนถูกจับได้กับหน้าชมพูแบบนั้น..มันคืออะไร?

ถอนหายใจยาวแล้วเดินลงบันไดช้า ๆ ความอึดอัดในใจที่ระบายครั้งแล้วครั้งเล่าแต่กลับไม่ได้รับความสนใจอัดแน่นในอก  ยิ่งเห็นคนที่นั่งรอหนังบนโซฟาทิ้งตัวหลับตาพริ้มยิ่งอยากเข้าไปกระชากแขนให้ตื่นขึ้นมารับรู้ว่าข้างในมันจะระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว!

“..ไปนานจัง..เรื่องอะไรบ้างอ่ะ”  คนนอนอยู่ลืมตาตื่น  ขยี้ตาไปมาแล้วถามเสียงเบา  อาร์ตหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินไปทรุดตัวนั่งข้าง ๆ  มือเรียวรับหนังมาดูแล้วยื่นเรื่องที่จะดูกลับให้มือใหญ่   อาร์ตรับหนังมาใส่เครื่องเล่น  ภาพนักแสดงที่สวมบทบาทอยู่ในจอโทรทัศน์ไม่ดึงความสนใจให้หนุ่มนักบอลสนใจได้แม้แต่น้อย  ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็ทนกับความอึดอัดในใจแบบนี้ไม่ไหว

“..ในห้องน้ำ..เต๊นท์มองอะไร?”  คำถามลอยออกมาจากปากอาร์ตแผ่วเบา  แต่กลับดังอยู่ในหูเต๊นท์ชัดเจน  เสียงจากโทรทัศน์ดังต่อเนื่องจนแผ่นหนังเด้งออกมาจากเครื่องเมื่อเล่นไปจนหมดแผ่น  อาร์ตนั่งมองหน้าจอที่เป็นสีฟ้านิ่งรอคำตอบ  คนที่ต้องตอบก็นั่งเฉย  กัดริมฝีปากล่างจนเจ็บแล้วหันหน้าบอกเพื่อนสนิท

“วันหลังค่อยมาดูอีกแผ่นนะ..ฝนหยุดแล้ว  เรากลับบ้านก่อนนะอาร์ต”  เลี่ยงที่จะตอบคำถามแล้วลุกพรวด  เดินดุ่มฝ่าละอองฝนไปที่ถนนหน้าบ้าน  คนฟังกัดฟันกรอดแล้ววิ่งไปหยิบเสื้อกันฝนของเต๊นท์  วิ่งตามจนถึงตัว  ยัดเสื้อกันฝนใส่มือ  ตามองหน้าเล็ก  ไล่สายตาตั้งแต่ผมหนาจนถึงริมฝีปากเล็กสีชมพูเรื่อ..ด้วยความน้อยใจ

“ใส่ซะ..”  เอ่ยปากบอกแล้วนิ่งมองอยู่อย่างนั้น  เต๊นท์ยืนก้มหน้า  กัดริมฝีปากล่าง  คิ้วเรียวขมวดมุ่น  หลุบตามองพื้น  ท่าทางของเต๊นท์ที่เหมือนกำลังสับสนทำให้อาร์ตต้องถอนหายใจยาว  หยิบเสื้อกันฝนที่คาอยู่ในมือเล็กออกมาคลี่แล้วสวมให้ช้า ๆ  ในหัวก็ตัดสินใจย้ำเรื่องที่ตนรู้สึกออกไปอีกครั้ง  และตั้งแต่นี้จะทำทุกครั้งที่เจอกัน  จะไม่ปล่อยตัวเองต้องทนอึดอัดคนเดียวอีกแล้ว  ถ้าไม่ชอบตอบก็บอกมาตรง ๆ จะได้ตัดใจซะที..   

“จำที่เราบอกได้รึเปล่า.. ‘ผมชอบคุณนะเต๊นท์  คุณทำกับข้าวอร่อยมาก’  เราหมายความตามนั้นจริง ๆ เลิกเมินใส่ความชอบของเราเถอะเต๊นท์  มองเรานอกจากเพื่อนบ้าง..”  คนฟังใจเต้นแรงจนเกือบจะหลุดออกมานอกอก  เสียงนุ่ม  แววตาอ่อนโยน และเรื่องที่อาร์ตชอบตนก็เป็นเรื่องจริง  ยกมือลูบหน้าแล้วจิกเล็บที่แก้มเต็มแรง  ความเจ็บแปลบที่แก้มไม่ทำให้คนฟังรู้สึกรู้สา  กะพริบตาปริบไล่หยาดฝนที่ไหลเข้าตาแล้วเงยหน้ามองเพื่อนที่จ้องอยู่ 

อาร์ตมองเพื่อนที่แอบหยิกแก้มตัวเองด้วยดวงตาอ่อนโยน  นึกดีใจที่เพื่อนเริ่มหันมาเก็บความชอบของตัวเองเอากลับบ้านไปคิดบ้าง  ทอดสายตามองหน้าเล็กที่ช้อนตาขึ้นมาสบ  ยกมือขึ้นเกลี่ยนิ้วโป้งปาดน้ำฝนที่ไหลระแก้มให้เบา ๆ  ยิ้มบางแล้วดึงแขนให้เดินไปพร้อมกัน

“ไม่ต้องส่งหรอก..ฝนตกแบบนี้อาร์ตเข้าบ้านเถอะ”  มือเล็กบิดออกจากการเกาะกุมช้า ๆ  คิ้วหนาของอาร์ตขมวดมองหน้าเรียวเล็ก  เต๊นท์ไม่สบตาแล้วหมุนตัวเดินวิ่งหนีกลับบ้าน  ทิ้งให้นักบอลยืนตากฝนมองแผ่นหลังเล็กที่ค่อย ๆ หายไปกับสายฝน..ที่ตกหนักขึ้นจนร่างกายเปียกปอน

“....อะไร  หมายความว่าไงวะ?!”  อาร์ตกำหมัดแน่นแล้วสบถใส่ตัวเองเต็มเสียง  บดกรามแน่นแล้วหลับตาลง  สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด  ลูบหน้าไล่น้ำฝนแรง ๆ แล้วเดินเข้าบ้าน  ปิดรั้วแล้วอาบน้ำ  หาข้าวและกินยา  เดินขึ้นมาบนห้องแล้วล้มตัวลงนอน  เปลือกตาปิดสนิทไม่เหมือนมโนสำนึกที่มีแต่เรื่องเพื่อนสนิทที่ชื่อ  ‘เต๊นท์’ 

กระบอกตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทุ่มเททำมาให้เพื่อนสนิท  ไม่ว่าจะเรื่องต่อแถวซื้อขนมปังสังขยา  น้ำเต้าหู้เจ้าอร่อยตั้งแต่ตีห้ามาให้กินทุกเช้า  ตั้งใจเรียนเพื่อจะติวให้คนขี้เกียจที่คอยหลับในห้อง  เรียนให้ทันเพื่อนคนอื่น  กลับบ้านพร้อมกันทุกวันทั้งที่ตัวเองต้องโดดซ้อมบอลเพื่อให้คนที่ตัวเองแอบชอบไม่ต้องรอนาน  ทั้งที่ทำให้ถึงขนาดนี้..แต่กลับส่งไปไม่ถึงสักที

“พอ..เลิกคิด!”  พลิกตัวนอนคว่ำหน้า  กลืนก้อนแข็งลงคอแล้วข่มตาให้หลับ  เมื่อฤทธิ์ยาออกฤทธิ์เต็มที่  นักบอลก็เข้าสู่ภาวะที่ร่างกายต้องการพักผ่อน  หลับเพื่อลืมเรื่องบางเรื่อง..ชั่วคราว

ตื่นขึ้นมาก็พบว่า..ตัวเองก็ยังจำเรื่องเพื่อนสนิทได้อยู่ดี  แค่นหัวเราะลงคอแล้วลุกขึ้นอาบน้ำ  แต่งตัวแล้วขับมอเตอร์ไซค์ไปหาแม่ที่ตลาด  วันนี้ตนรับปากกับแม่ว่าจะมานั่งขายพริกแกงแทน  เพราะแม่ต้องไปอุ้มขันหมากงานแต่งลูกสาวเพื่อน  แม่ออกจากร้านไปตอน  ตี  5  ครึ่ง  รับเงินที่จะต้องทอนมาเก็บแล้วนั่งเหม่อต่อไปจนพระอาทิตย์ตอกบัตรทำงาน  คิดถึงหน้าตาจิ้มลิ้มที่มึนกับเรื่องความรู้สึกชอบของตนแล้วยกยิ้มขื่น  ฝากร้านกับร้านข้าง ๆ แล้วเดินออกไปหาอะไรกินรองท้อง  เห็นร้านน้ำเต้าหู้ที่ชอบมายืนต่อคิวแล้วเบือนหน้าหนี 

“ไอ้หนูวันนี้ไม่กินเหรอลูก?”  หันกลับมายิ้มบางแล้วส่ายหัวตอบลุงขายน้ำเต้าหู้  คนขายยิ้มตอบแล้วรัดถุงน้ำเต้าหู้ขายให้ลูกค้าคนอื่นต่อไป  ตัดสินใจซื้อแซนด์วิชกับนมมากินเป็นมื้อเช้า  ซื้อองุ่นกับน้ำเปล่าติดมือกลับมานั่งที่ร้าน  ขายพริกแกงสลับกับนั่งเหม่อจนถึงเที่ยง

“น้องอาร์ตไม่ต้องไปหาข้าวเที่ยงกินที่ไหนนะลูก  เดี่ยวเที่ยงจะมีเด็กเดินเอาข้าวกล่องมาขายให้จ๊ะ”  อาร์ตสะดุ้งกับเสียงของน้าร้านข้าง ๆ แล้วผงกหัวรับคำ  พักเดียวก็มีแม่ค้าหน้าใสเดินมาขายข้าวคลุกกะปิ  กับข้าวราดผัดกะเพรา  อาร์ตยิ้ม ๆ แต่ไม่ได้สั่งเพราะไม่ชอบกิน  ถัดมาไม่กี่นาทีก็มีพ่อค้าหน้าใสมาขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนกับขนมจีบ  หนุ่มนักบอลยิ้มให้แล้วสั่งก๋วยเตี๋ยวลุยสวนมา  2  กล่อง  แล้วซื้อข้าวผัดทะเลกับแม่ค้ารุ่นเดียวกับแม่ที่มาทีหลังสุด  2  กล่อง  นั่งละเลียดกินข้าวและขายพริกแกงเผ็ดไป  3  ขีด  ยื่นเงินทอนให้ลูกค้าก็ต้องชะงักค้างกับใบหน้าเรียวซูบซีด  และหน้าตา  ‘จำเป็นต้องมา..เพราะถูกใครซักคนใช้ให้มา’  ยืนอยู่หน้าร้านรอคิวซื้อของ

“อาร์ต..เมื่อวานขอโทษที่ผลุนผลันวิ่งกลับบ้าน..”  หนุ่มนักบอลยิ้มบางตอบเพื่อนแล้วเอ่ยปากเปลี่ยนเรื่อง

“เอาอะไรเต๊นท์?..”  เพื่อนหน้าจิ้มลิ้มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเมื่อเห็นอาการเฉยชาของอาร์ต  ชี้นิ้วไปที่พริกแกงเขียวหวาน  เอ่ยเสียงเบาแหบแห้งเพราะไม่สบาย  ‘โลครึ่ง..”  มองมือใหญ่ตักพริกแกงใส่ถุงแล้ววางลงบนตาชั่ง  เหลือบมองหน้าเรียบสนิทแล้วใจหาย  นึกเสียใจที่เมื่อวานอายจนทำตัวไม่ถูก  วิ่งหนีกลับมาโดยที่ไม่บอกอะไรมากไปกว่าให้อีกฝ่ายรีบเข้าบ้านเพราะฝนตก

“คิดรวมกับคราวที่แล้วเลยนะ..ให้แม่เต๊นท์ไปเคลียร์กับแม่ผมเอง”  อาร์ตเงยหน้าจากตาชั่งแล้วมัดปากถุง  ยื่นส่งให้แล้วบอกเสียงเรียบ  ในเมื่ออีกฝ่ายลำบากใจกับความชอบที่มีให้..ก็จะเก็บเอาไว้เอง  จะไม่ทำให้ลำบากใจอีกต่อไป  คิดได้ดังนั้นก็ไม่มีอะไรให้หนักอกในการคุยกับเพื่อนสนิทคนนี้..แอบรักต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเรียนจบ  จนกว่า..จะแยกกันไป

“..เรามีเรื่องจะคุยกับอาร์ตนะ..เรา..คือ..มัน..”  หนุ่มนักบอลยิ้มบางแล้วส่ายหน้าบอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร  ลืมซะ..ถือว่าไม่เคยพูดอะไรไป  ให้ฝนเมื่อวานล้างไปให้หมด..

เพื่อนจิ้มลิ้มยืนนิ่งฟังแล้วสบตาสีน้ำตาลของหนุ่มนักบอล  มองค้นลึกลงไปจนเพื่อนนักบอลต้องหลบตา  คนที่บอกให้ลืมกลับไม่สามารถยืนยันคำพูดหนักแน่นเหล่านั้นด้วยการสบตาได้  คนที่ถูกบอกให้ลืมมองหน้าด้านข้างของเพื่อนนิ่ง  ถอนหายใจไล่ความปอดทิ้ง  เดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ แล้วแตะมือที่ขาเพื่อน..

“ลืมไม่ได้หรอก..นอนคิดมาทั้งคืนจนไม่สบาย  จะให้ลืมง่าย ๆ ทำไม่ได้หรอก”  หนุ่มนักบอลหายใจไม่ทั่วท้อง  เบือนหน้ากลับไปก้มมองหน้าเต๊นท์ที่กำลังก้มหน้า   ตาสีน้ำตาลอ่อนของเต๊นท์จ้องมองมือตัวเองที่กำแน่นอยู่บนตัก  อีกข้างที่แตะอยู่ที่ขาตนก็เย็นเฉียบ  อาร์ตมองเพื่อนด้วยความเข้าใจ..

“ไม่เป็นไร..ผมชอบเต๊นท์นะ  ยังไงก็ได้  ผมรอได้..”  เลื่อนมือกุมมือเย็นแล้วกระชับเบา ๆ เต๊นท์เงยหน้าขึ้นมาสบตาสีน้ำตาลที่มองอยู่ก่อน  รอยยิ้มอ่อนโยนและฝ่ามืออุ่นที่จับทำให้ความกล้าเริ่มทำงาน  บีบมือกลับแล้วยิ้มกว้างตอบเพื่อนที่ตนนอนคิดถึงทั้งคืน..

“..รอไม่ไหวหรอก..คบกันเถอะ”  คนพูดยิ้มกว้างเหมือนยกภูเขาที่แบกไว้ตั้งแต่ออกจากบ้านทุ่มทิ้งไว้หน้าร้านขายพริกแกงแห่งนี้  คนฟังยิ้มกว้างกว่าเพราะความพยายามที่ทำมาทั้งหมดได้รับการมองเห็นและได้รับรักตอบกลับมา  สบตาสีน้ำตาลอ่อนแล้วเอ่ยขอบคุณซ้ำ ๆ เพราะที่นี่คือตลาดสด  จะทำอย่างอื่นนอกจากจับมือกันก็ไม่ได้  เลยต้องขอบคุณคนที่รับความรักแล้วลดมือที่กุมอยู่ลงกันสายตาคนอื่นจ้องมอง  อาร์ตเงยหน้ากันไม่ให้เลือดกำเดาไหลเพราะตอนนี้มันร้อนโพรงจมูกไปหมด  สูดลมเข้าปอดสั้น ๆ แล้วนึกถึงเรื่องอาหารการกิน  เรื่องแต่งรถ  และอีกจิปาถะที่จะดึงความสนใจจากความดีใจที่เต๊นท์รับรักในตอนนี้ 

หนุ่มนักบอลขายของไม่ได้ไปถึงเย็นเพราะมีมือว่างแค่ข้างเดียว  คนหน้าจิ้มลิ้มก็ช่วยขายไม่ได้เพราะมือไม่ว่างต้องให้อีกคนเกาะกุม  กลับบ้านก็ไปส่งก่อนแล้วค่อยเข้าบ้านมานั่งยิ้มเหมือนคนบ้าจนหลับ..หลับทั้งที่หน้ายังคงยิ้มอยู่

นิยายเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า..









ความรักทำให้คน..เป็นบ้า


END.


………………………………………………………..



กอดหมับ บวกบวก!
ขออภัยที่ไม่ได้มาลงหลายวัน  จิตั้งใจจะลงให้ได้แบบวันเว้นวัน  แต่ก็..ทำไม่ได้  งานยุ่งมาก ๆ ค่ะ  เพิ่งจะได้นั่งหน้าคอมพ์อ่ะ  อาทิตย์ที่แล้วเป็นคนนิสัยไม่ดี  ถูกส่งไปอบรมติดกันหลายวันเลยค่ะ  (นี่คือข้อเท็จจริงค่ะไม่ได้แก้ตัว > < )
คุณ  nekko  เนอะคะ ^^ ถ้ามันไม่สมหวัง..จิโดนมันโดดเตะ  2  ขาคู่แน่ค่ะ
คุณ  gayraygirl   กอดเมย์  ผู้ใหญ่ที่ดีต้องแบบนี้ค่ะ  อย่าเป็นผู้ใหญ่แบบที่ทำงานจิ  รายนั้นกลั่นแกล้งจนจิจะกระอักเลือดตายอยู่แล้ววววววววว
คุณ  IMJokerz  เนอะคะ  น่ารักมุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งมาก  จิอยากเป็นเคะทุกตอนเลย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามนะคะ ^^
 :กอด1: :กอด1: :pig4:
ปูลู. สีน้ำตาลแดงของอาร์ต  สีเขียวของเต๊นท์  สีดำของจิค่ะ

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
ยินดีที่เรื่องนี้กลับมา ไมได้เข้าเล้ามานาน มาเจอเรื่องนี้แล้วโอ้ยดีใจ
โฮกกก มีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องนี้
ชอบการเขียนคุณจิมาก น่ารักอบอุ่นทุกคู่เลยยย
อ่านทีไรอมยิ้มแก้มตุ่ยทุกที
ช่วงไหนเครียดๆกับงานเราชอบมาอ่านเรื่องสั้นของคุณค่ะ
คือใช้เวลาไม่มากเพราะจบในตอน แต่มันทำให้เราหายเครียดได้เป็นอย่างดี
ขอกอดหนึ่งทีค่ะ ดีใจที่กลับมา




ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
เจอแบบนี้คงต้องยอมเป็นคนบ้า :-[


 :กอด1: :L2: :pig4:


ออฟไลน์ jira

  • ปัญญาไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 890
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1324/-3
บอกเล่าก่อนอ่าน
นิยายตอนนี้จิจินตนาการสถานะ  ประเพณี  และพิธีกรรมบางอย่างขึ้นมาทั้งหมด  อย่าไปอ้างอิงจากแบบเรียนหรือจากประวัติศาสตร์  ขอให้นักอ่าน  อ่านเพื่อความบันเทิงค่ะ


จากวังหลวงอีเรีย  ถึงแผงขายปลาตลาดสด  



ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองม่านเมฆผ่านกระจกใส  ขยับตัวให้นั่งในท่าทางสบาย  ยกมือเรียวเท้าคางมน  ปลายนิ้วชี้แตะคลึงหัวแม่โป้ง  หลับตาลงแล้วนึกถึงเรื่องที่ตนต้องมานั่งอยู่ตรงนี้   คิ้วเข้มขมวดมุ่นนึกถึงคำจากปากสุลต่านแห่งอีเรีย

“อีก  3  วันจะครบรอบวันตายของบรรพบุรุษเราที่ยู่เมืองไทย  เจ้าต้องไปอยุธยาแทนพ่อ”  เด็กหนุ่มผู้มีดวงตาแข็งกร้าวถอดแบบจากสุลต่านค้อมตัวรับคำสั่งนั้น  ก้าวถอยหลังออกมาด้วยจังหวะมั่นคง  เงยหน้าสบตาองค์สุลต่านผู้เป็นพ่อแล้วหันหลังออกจากห้อง  ชายเสื้อคลุมยาวสีขาวสะบัดไปตามจังหวะก้าวเดิน   คนติดตามที่องค์สุลต่านให้ติดตามมกุฎราชกุมารในการเสด็จเยือนประเทศไทยอย่างไม่เป็นทางการมีมากถึง  30  คน  และยังมีผู้ติดตามที่รัฐบาลไทยจัดหาไว้ให้หลังจากที่มกุฎราชกุมารแห่งอีเรียเสด็จถึง  เนื่องมาจากภายในอีเรียมีเหตุการณ์ไม่สงบเรื่องการช่วงชิงราชบัลลังก์ของน้องชายสายเลือดเดียวกับองค์สุลต่าน   การป้องกันภายในแน่นหนายากจะเข้าถึงตัวองค์สุลต่าน  คนพวกนี้ต้องหาเป้าหมายอื่นที่สั่นคลอนองค์สุลต่านได้  นั่นก็คือ  รัชทายาท..อย่างตน  ถอนหายใจพรูเมื่อคิดถึงข้อนี้.. 

กลิ่นของอำนาจ  มันหอมหวานยั่วยวนให้มนุษย์ลุ่มหลงมัวเมาจนลืมคำว่าพวกพ้อง..และสายเลือด

ทุกปีองค์สุลต่านจะต้องเสด็จด้วยทุกครั้ง  แต่จะไม่กราบไหว้เหมือนที่มกุฎราชกุมารกระทำ  เพราะองค์สุลต่านจะไม่กราบไหว้สิ่งใดนอกจากอัลเลาะห์  แต่องค์รัชทายาทซึ่งมีเชื้อสายเป็นชาวพุทธอยู่ครึ่งหนึ่งได้รับการยกเว้น  สุลต่านจึงมอบหน้าที่นี้เป็นของรัชทายาทมาตั้งแต่จำความได้    และหลังจากเสร็จภารกิจกราบบรรพบุรุษ  ตนก็จะอยู่ต่อเพื่อกราบอัฐิของแม่ที่อยู่จังหวัดใกล้ ๆ กับพระนครศรีอยุธยา..โดยไม่มีองค์สุลต่านอยู่ด้วย  แม่ที่เป็นคนไทยให้กำเนิดรัชทายาทคนแรกจึงทำให้ภรรยาคนอื่นของสุลต่านไม่พอใจ  ป้ายสีแม่ว่าคบชู้กับราชองค์รักษ์  องค์สุลต่านก็หูเบา  สั่งฆ่าแม่และราชองครักษ์โดยไม่ฟังความจากปากแม่..แม้แต่คำเดียว  สุดท้ายคนที่ตรอมใจก็หนีไม่พ้นคนสั่งฆ่า  กลับเมืองไทยเอาอัฐิแม่มาไว้ที่วัดบ้านแม่  และไม่กลับมาหาแม่อีกเพราะความผิดใหญ่หลวงที่ตนก่อ  ปล่อยความผิดนั้นทำร้ายหัวใจจนถึงทุกวันนี้..

ยกยิ้มเมื่อนึกถึงความเย็นชาขององค์สุลต่านที่มีต่อนางในฮาเร็ม  หญิงสาวที่รอถวายตนต่อองค์สุลต่านนับร้อยต่างคุ้มคลั่งเมื่อองค์สุลต่านสั่งให้คนสนิทนำตัวนางทั้งหมดคืนถิ่นเดิม  โดยไม่มีค่าน้ำใจใด ๆ ทั้งสิ้น  แค่นี้ยังน้อยนักกับสิ่งที่นางเหล่านี้ทำกับแม่!

“อีกกี่ชั่วโมงจะถึงไทย..มูฮัมหมัด”  ริมฝีปากสีชมพูออกแดงเอื้อนเอ่ยถามคนสนิท  พยักหน้ารับเมื่อคำตอบคืออีก  2  ชั่วโมงแล้วหลับตานิ่ง  พักสายตาจนถึงเวลาที่ต้องเหยียบแผ่นดินแม่   ในมโนสำนึกมีภาพซากปรักหักพังและโบราณสถานในเมืองเก่าอย่างกรุงศรีอยุธยา  และภาพวัดที่มีอัฐิของแม่อยู่  ลืมตาตื่นเมื่อล้อแตะกับรันเวย์  ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินออกไปสูดอากาศสบาย ๆ ในฤดูร้อนของเมืองไทย..เมืองของแม่

ก้าวเท้าแตะพื้นดินท่ามกลางวงล้อมของคนติดตาม  ทูตจากสถานทูตที่มารับไม่สามารถเข้าถึงตัวมกุฎราชกุมารแห่งอีเรีย  ส่งพวงมาลัยข้อมือสวยสดให้คนติดตาม  หลังตรวจสอบแล้วถึงได้วางลงบนมือเรียวนุ่มสมเป็นเจ้าชาย  พลิกพวงมาลัยข้อมือแล้วยกขึ้นมาสูดกลิ่นหอม  ยิ้มบางแล้วส่งให้คนสนิทรับไปถือ    ยกขวนออกจากสนามบินแล้วตรงไปเมืองเก่าตามคำสั่ง

“เจ้าชายจะพักที่เดิมหรือไม่ขอรับ”  เหม่อมองสองข้างทางที่มีแต่รถยนต์ติดอยู่บนท้องถนน  ตอบโดยไม่มองหน้าคนสนิท

“ไม่..เราจะพักที่บ้านแม่  เจ้าพาพวกนี้ไปพักที่เดิม  ให้อยู่กับเรา  3  คนก็พอ”  คนสนิทอ้าปากค้านก็ถูกมือเรียวยกห้ามก่อนจะโบกให้เลิกคุยเรื่องนี้  ยกหูโทรศัพท์สั่งการ์ดที่ตามมาให้ไปที่โรงแรมได้เลย  ส่วนคนที่สถานทูตจัดเตรียมให้ก็ขอบคุณและยกเลิกการอำนวยความสะดวก  เพราะเจ้าชายจะเดินทางกลับอีเรียในวันรุ่งขึ้น  ในรถเงียบสนิทจนถึงบ้านพักหลังใหญ่ของบรรพบุรุษ  รถจอดนิ่งคนสนิทก็ลงมาเปิดประตูให้คนนั่งด้านหลัง  ชายดิชดาชา(เสื้อคลุมยาวสีขาว)พลิ้วตามจังหวะก้าวที่มั่นคง  พระญาติที่มารอรับต่างยืนค้อมตัวต้อนรับรัชทายาทแห่งองค์สุลต่าน  รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดที่ริมฝีปากสีแดงธรรมชาติ  ดวงตาสีน้ำตาอ่อนทอประกายยินดี  คิ้วเข้มยาวเลยหางตา  ส่งให้ดวงตาคู่นั้นทั้งดุและหวานในเวลาเดียวกัน  จมูกโด่งแสดงถึงชาติพันธุ์  ลมร้อนพัดผ่านจนกุทตรา(ผ้าคลุมศีรษะ)พลิ้วโบก  แต่ไม่ปลิวหายเพราะอากอล(ที่ครอบศีรษะถักด้วยไหมสีทองแสดงความเป็นคนชนชั้นสูง)รัดอยู่  ถึงมกุฎราชกุมารจะไม่สวมบิชท์(เสื้อคลุมที่คลุมทับดิชดาชามีขลิบสีทองแสดงถึงสถานะ)  คนภายนอกก็รับรู้ถึงสายเลือดเชื้อพระวงศ์ได้เป็นอย่างดี

ทำพิธีเสร็จก็ออกมานั่งจิบน้ำชาและถามสารทุกข์ของทุกคน  ใบหน้ายิ้มน้อย ๆ และกิริยานุ่มนวลทำให้มกุฎราชกุมารเป็นที่รักใคร่ของทุกคน  คนสนิทกระซิบบอกให้เจ้าชายเตรียมตัวไปวัด  แย้มยิ้มแล้วเอ่ยลาก่อนจะนั่งรถหรูตรงไปวัดที่มีอัฐิของแม่อยู่  คนสนิทเตรียมปิ่นโตอาหารถวายพระไว้ท้ายรถ  พอถึงวัดก็ล้วงปืนพกที่เหน็บไว้ที่ซองสะพายไหล่ส่งให้คนสนิท  หันไปสั่งคนสนิทรอที่รถและลงไปพร้อมปิ่นโต

ถวายปิ่นโตและรับพรพระเสร็จก็เดินไปด้านหลังที่มีเจดีย์ใหญ่บรรจุอัฐิของแม่  มองยอดเจดีย์ไล่ลงมาจนถึงฐาน  กลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วถอดรองเท้าออก  คลานเข่าไปจุดธูปกราบที่รูปแล้วนั่งขัดสมาธิกับพื้น  มองภาพแม่ที่ยิ้มอย่างมีความสุขด้วยดวงตารื้นน้ำตา  ความสุขสุดท้ายที่แม่ภูมิใจหนักหนาคือลูกชายคนเดียวได้รับอิสริยยศที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่ผู้ที่จะสืบราชสันตติวงศ์ต่อไป 

มกุฎราชกุมาร  ตำแหน่งค้ำคอที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ  จำกัดการใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในกรอบประเพณีของผู้สืบทอด  มีร่างกายและจิตใจแข็งแกร่ง  ตัดสินและเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ ด้วยสติ  รับมือกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยความสงบ  ทำได้..และทำได้ดีเสมอมา  แต่ข้างในหัวใจเหมือนถูกแช่แข็ง  ทำทุกอย่างเพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำทั้งสิ้น  อยากใช้ชีวิตโดยไม่สนใจใคร..สักครั้ง

ถอนหายใจพรูแล้วก้มกราบภาพของแม่  ปลายนิ้วไล้ลงบนภาพตามโครงหน้าสวยของผู้เป็นมารดา  หรี่ตาเพื่อเก็บกลั้นความเสียใจที่กำลังก่อตัวขึ้น  กัดกรามแน่นแล้วลุกขึ้นยืน  หมุนตัวเดินออกมาจากหน้าเจดีย์  กราบลาหลวงพ่อเจ้าอาวาสแล้วเดินทางกลับ  ระหว่างทางมีรถยนต์สีดำติดฟิล์มทึบแล่นมาประกบ  ก่อนที่คนสนิทจะไหวตัวทันกระสุนปืนก็วิ่งเข้าเจาะกระจกด้านหลัง  3  นัดติด  คนขับรถเจ้าชายรีบเร่งความเร็วและสาดกระสุนคืนให้รถที่เข้ามาคุกคาม  เสียงปืนยิงตอบโต้กันดังสนั่นเหมือนนั่งชมภาพยนตร์ในโรง  รถที่เจ้าชายนั่งมาขับเข้าไปในเขตชุมชน  คันที่คุกคามขับตาม  แต่มีจิตสำนึกดีพอที่จะไม่สาดกระสุนใส่คนบริสุทธิ์  ขับเข้ามาจนถึงซอยที่จะต้องตัดสินใจว่าจะออกไปถนนเส้นหลักหรือเข้าเมือง  กระสุนปืนจากคนจ้องคุกคามก็เจาะเข้าที่ยางหลังทั้ง  2  เส้น  รถเจ้าชายประคองตัวเองและเลี้ยวเข้าไปจอดขวางทางเข้าตลาดสด  คนสนิทวิ่งลงจากรถและประคองเจ้าชายที่ถูกกระสุนปืนถากเข้าที่ต้นแขน  ดิชดาชาเปื้อนสีแดงสดของเลือด  มือเรียวกุมห้ามเลือดไว้แน่นก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในตลาดสดที่มีคนพลุกพล่าน 

คนสนิทประคองเจ้าชายพร้อมกับหาทางหนีทีไล่ให้เจ้าชายปลอดภัย  ชายชุดดำวิ่งฝ่าคนที่เดินในตลาดตามเจ้าชายและคนสนิท  เห็นจวนตัวก็ผลักคนสนิทให้ไปอีกทาง  ‘ระวังพระองค์ด้วย’  พยักหน้ารับแล้วหันหลังวิ่งไปในซอยของทะเล  เจ้าชายดึงอากอลและกุทตราออก  เบียดเสียดผู้คนจนเกือบจะถึงท้ายซอย  เหลือบเห็นชายชุดดำโผล่มาทางท้ายซอยแล้วหยุดเดิน  หันหลังกลับกะทันหัน  ชนเข้ากับเด็กเข็นปลาสดของร้านขายปลาที่ใหญ่ที่สุดในตลาด

“โอ๊ะ!  เดินยังไงของมึงห๊า!  เฮ้ยยย  ปลา!”  แรงจากการชนส่งให้ถังพลาสติกล้มคว่ำ  ปลาที่อยู่ในถังพลาสติกกระโดดออกมาดิ้นจนเต็มพื้นทางเดิน  คนแตกตื่นฮือฮา  บ้างช่วยจับคืน  บ้างก็จับใส่ถุงตัวเองกลับบ้าน  ชายชุดดำปรี่เข้ามาแทรกคนที่ก้ม ๆ เงยจับปลาอยู่ตามทางเดินจนเกือบถึงตัวมกุฎราชกุมารหนุ่ม  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตวัดมองก่อนจะล้วงเข้าไปในแขนเสื้อหยิบปืนพกในซองสะพายไหล่ ..

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบิกโพลงเมื่อปืนพกไม่อยู่ที่ซอง  คิ้วเข้มขมวดมุ่น  เหงื่อกาฬไหลท่วม  ดึงมือออกจากเสื้อแล้วกำหมัดแน่น  หันไปตามแรงกระชากจากมือแข็งที่ไหล่  หมุนตัวเข้าประชิดแล้วจับกระบอกปืนที่จ่อมาทางตนแน่น  บิดออกด้วยกำลังข้อมือเต็มแรง  ชายชุดดำบดกรามแน่น  ออกแรงดันปากกระบอกปืนให้หันไปทางเจ้าชาย  ดวงตาสีน้ำตาลจ้องผ่านแว่นดำจากคนคุกคามตรงหน้า  เสียงกัดฟันกรอดและแรงบิดมากขึ้นจนชายชุดดำขนหัวลุก  แต่ยังไม่ทันที่ชายชุดดำจะเหนี่ยวไก..ก็มีมือดีฉกเหยื่อที่ตามมาตั้งแต่สนามบินไปต่อหน้าต่อตา

“มึงใช่ไหมที่เดินมาชนเด็กกูจนปลากูเละเทะแบบนี้!”  เจ้าชายหันมามองคนที่กระชากไหล่เต็มแรง    เด็กหนุ่มหน้าใส  ดวงตาเอาเรื่องจ้องตานิ่ง  ด้านหลังมีเด็กวัยเดียวกันยืนกร่างเป็นแบ็ค  ถัดไปเป็นคนงานที่เข็นปลาเมื่อครู่  เหลือบมองชายชุดดำที่รีบเก็บปืน  เพราะคนที่ก้ม ๆ เงย ๆ จับปลาตามทางเดินเริ่มหันมาสนใจตรงนี้เป็นจุดเดียว         

ดวงตาสีดำสนิทมีประกายเหมือนลูกแก้วของคนที่จะเอาเรื่องจ้องดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเนิ่นนาน  จากที่โมโหเพราะของที่จะเอาไปส่งเสียหาย  กลับถูกดวงตาคู่สวยจ้องกลับจนลืมเรื่องที่ไม่พอใจ  ลูกน้องสะกิดไหล่ให้รู้สึกตัวก่อนจะกระแอมไล่ความอายทิ้ง 

“มึงกับเพื่อนมึงต้องจ่ายค่าเสียหายให้กู!”  ชายชุดดำเลิกคิ้วสูงก่อนจะหันซ้ายหันขวาหาคนที่เป็นเพื่อนกับเจ้าชาย  เด็กหนุ่มเดินเข้าผลักอกแล้วชี้หน้าชายชุดดำ

“มึงอย่ามากวนตีนไอ้บอด!..กูหมายถึงมึงกับไอ้รุ่มร่ามนี่ล่ะ”  ชายชุดดำยืนนิ่ง  ใบหน้ากลั้นขำจนแดงก่ำเมื่อเด็กหนุ่มพูดถึงเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ว่า  ‘ไอ้รุ่มร่าม’  ส่วนคนถูกพาดพิงอย่างเจ้าชายยืนตัวแข็ง  กะพริบตาปริบไล่ความขุ่นใจที่ถูกเด็กหนุ่มว่าเรื่องการแต่งกาย  เบือนมาสบตาสีดำสนิทที่กำลังจ้องตนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างช้า ๆ สายตาที่กำลังมองอยู่ทำให้หน้าหล่อคมเข้มของเจ้าชายขึ้นสีเรื่อ  ยิ่งประโยคที่เด็กหนุ่มเอ่ยหลังจากมองหัวจรดเท้ายิ่งอยากเดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด

“..มึงเต็มรึเปล่า?  ร้อนจะตายห่ายังเสือกใส่ชุดคลุมถึงตีน  หึ!  ไอ้นี่บ้าแน่ว่ะไอ้บาส..”  เด็กหนุ่มหน้าใสยืนกอดอกวิจารณ์ดุเด็ดเผ็ดร้อนตามด้วยเสียงหัวเราะจากลูกน้องที่มาด้วยกัน  เจ้าชายสูดลมหายใจเต็มปอดแล้วไล่ลมออกช้า ๆ เอ่ยชัดถ้อยชัดคำจนเด็กหนุ่มหยุดหัวเราะ

“เราเป็นมุสลิม”  เด็กหนุ่มหน้าใสหยุดยิ้มเยาะก่อนจะขมวดคิ้ว  มองไล่ตั้งแต่คอลงมาเท้าถึงใหม่  เจ้าชายผายมือไปข้าง ๆ ที่มีกุทตรากับอากอลที่ตกอยู่กับพื้น  เด็กหนุ่มมองของที่พื้นแล้วเบือนขึ้นมาสบตาสีน้ำตาลอ่อนทรงพลัง  กลืนน้ำลายเหนียวกับบรรยากาศกดดันที่มองไม่เห็นแล้วหันไปบอกลูกน้องตัวเองให้ขอโทษเจ้าชาย
 
“ขอโทษเขาสิ  มึงไม่เห็นเหรอว่าเขาเป็นมุสลิมอ่ะ”  เสียงขอโทษดังพึมพำจากด้านหลังเด็กหนุ่ม  ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนมองรายตัวจนคนถูกมองก้มหน้าหลบตากันหมด  ชายชุดดำยกยิ้มร้ายก่อนจะล้วงมือหยิบธนบัตรสีเทาส่งให้เด็กหนุ่ม

“ค่าเสียหายของพี่กับเพื่อน”  เด็กหนุ่มยื่นมือรับเงินแล้วมองหน้าขาวแว่นดำด้วยความไม่เข้าใจ  ว่าทำไมถึงได้ให้เยอะขนาดนี้  เงยหน้ามองชายชุดดำที่เข้าประชิดด้านหลังของคนรุ่มร่ามแล้วขมวดคิ้วมุ่น

“ไปเถอะ..ผมจ่ายให้เด็กนี่แล้ว..”  เด็กหนุ่มมองมือของชายชุดดำคว้าแขนที่มีเลือดติดกรังของคนรุ่มร่ามไว้แน่น  ไล่สายตาขึ้นสบกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของคนรุ่มร่ามที่กำลังไหวระริก  เด็กหนุ่มยืนนิ่งมองก่อนจะตัดสินใจ..

“พี่ให้แต่ไอ้รุ่มร่ามนี่ยังไม่ได้ให้  แค่นี้มันไม่พอหรอก!..  มึงมากับกู  ไม่มีเงินให้ก็ต้องทำงานใช้หนี้!”  เด็กหนุ่มคว้าแขนเจ้าชายที่ว่างอีกข้างแล้วออกแรงดึงมาทางตน  ชายชุดดำขืนแขนที่จับไว้แล้วล้วงธนบัตรอีกปึกส่งให้เด็กหนุ่ม

“นี่ส่วนของเพื่อนพี่..รับไปซะ”  เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มแล้วเมินเงินปึกนั้น  ดึงแขนเจ้าชายเต็มแรงจนหลุดจากการเกาะกุมของชายชุดดำ  ตวัดหางตาแล้วกอดอกบอกชายชุดดำ

“มันคนละคนกันพี่..ไปได้แล้วไอ้รุ่มร่าม”  บอกเสร็จก็หันไปทางเจ้าชาย  ผลักแผ่นหลังให้เดินนำ  ก่อนจะปรายตามองกวนชายชุดดำแล้วเดินตามเจ้าชายออกไปทางท้ายซอย  ชายชุดดำเดินตามก็ถูกลูกน้องเด็กหนุ่มยืนขวางไว้  ผลักอกเด็กหนุ่มให้หลีกทางก็ถูกหมัดที่หนักเกินตัวซัดเข้าปลายคาง  ล้มทั้งยืน..สลบอยู่ตรงนั้น  ลูกน้องเดินตามลูกพี่หลังจากเล่นงานคนพาลเสร็จ  ไม่หันกลับไปมองคนที่นอนหงายแผ่หลาอยู่กลางซอย

แม้หางตา..ก็ไม่แล


.....................................................




เดินไปพร้อมกันกับไอ้รุ่มร่ามก็อดเหลือบมองมันไม่ได้   ดูจากลักษณะกับบุคลิกของมันแล้วไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา  ยิ่งไอ้คนที่ใส่แว่นดำเหมือนพวกมือปืนที่อยู่กับมันยิ่งทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า..

มันอาจจะเป็นพวก..มาเฟียค้ายา!  แต่หน้าตามันก็ยังเด็กอยู่  ไม่น่าจะอยู่องค์กรค้ายาใหญ่ ๆ จนถึงกับมีคนตามหาเรื่องแบบนี้ได้   เอ..หรือจะเป็น..ลูกเศรษฐีน้ำมันที่กำลังจะถูกลักพาตัว!  หื้อ?!  ลูกเศรษฐีต้องมีเงินสิวะ!  นี่แค่ค่าเสียหายไม่กี่บาทก็ไม่มีจะให้  หรือมีแล้วกั๊กวะ?  ไวเท่าความคิด  ผมดึงแขนที่มีกล้ามเนื้อแน่นใต้เสื้อคลุมแขนยาวของไอ้รุ่มร่ามไว้แล้วเอ่ยปากบอก

“เอาค่าเสียหายมาให้กู  3  พัน”  หน้าขาวคมเข้มของมันเบือนมามองผมแล้วหันมาหาผมเต็มตัว  ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเป็นรอบที่..เท่าไหร่ไม่รู้  มองตามันแล้วแทบจะลมใส่เมื่อเห็นและได้ยินคำจากริมฝีปากสวยนั่น

“เราไม่มีเงินติดตัว  แต่ถ้าต้องการค่าเสียหาย..นี่คงพอจะช่วยได้”  มันถอดนาฬิกาข้อมือที่ดูเหมือนมีราคาส่งให้ผม  ยิ้มมุมปากกับของพรรค์นี้แล้วปัดทิ้ง  อารมณ์โกรธปะทุขึ้นมาเมื่อผมอุตส่าห์ช่วยให้มันรอดจากไอ้บอดแล้ว  มันกลับเอาของก๊อปมาให้ผมแทนเงิน  ดูแล้วน่าจะเป็นลูกผู้ดีมีอันจะกินแต่เอาเข้าจริงก็บ่อจี๊  เฮอะ!  นาฬิกาห่วยแบบนี้ขืนเอาไปให้พ่อดู..พ่อกูคงเตะทั้งกูทั้งมึงออกมาไม่ทันแน่ไอ้เหี้ย!

“กูไม่ตลกไอ้รุ่มร่าม!  ถ้าไม่มีเงินใช้คืนมึงต้องทำงานใช้จนกว่าหนี้มึงจะหมด  ไป!”  ผลักไหล่มันแล้วพยักพเยิดให้ไปทางขวา  มันมองไปทางนั้นแต่เสือกเดินไปทางซ้าย   วิ่งตามแล้วคว้าแขนมันให้เดินมาทางที่ถูก  อดด่ามันไม่ไหวจริง ๆ ครับ

“รถกูอยู่ทางนี้ไอ้แขกถังแตก!”  เหวี่ยงแขนมันเมื่อลากถูลู่ถูกังมันมาจนถึงรถ  มันเป็นคนตัวใหญ่  แล้วก็ดูแข็งแรง  เพราะแขนที่มีกล้ามเนื้อกับจังหวะการเดินที่หนักแน่นของมันทำให้ผมที่ออกกำลังกายอยู่ตลอดต้องออกแรงบังคับทั้งที่มันแทบไม่ขัดขืนอะไรเลย  ถ้าได้มันมายกลังปลาคงจะทุ่นค่าแรงจ้างพม่าไปหลายคน  ขึ้นรถได้มันก็ปรับเบาะเอนลงจนพนักพิงหัวติดกับเบาะหลัง  สงสัยจะกลัวพวกไอ้บอดมันตาม  ผมไม่สนหรอกว่ามันเป็นใครและจะอันตรายแค่ไหน..เพราะ..

กูก็ลูกพ่อเว้ย!

ขับออกมาจนถึงปากซอยก็สังเกตว่ามีรถขับตามมาตั้งแต่ตลาดสด  ยกยิ้มมุมปากแล้วหักพวงมาลัยเข้าทางลัด  เร่งความเร็วเต็มที่แล้วเปิดเพลงเสียงดังสนั่นรถ  ฮัมตามเพลงแล้วหมุนพวงมาลัยเข้าไปทางซอยส่วนบุคคล  หางตาเหลือบมองกระจกเห็นรถสีดำขับตามมา  ยกยิ้มแล้วบีบแตร  3  หนติดให้ยามรู้  ยามยกไม้กั้นรอแล้วยกปิดทันที  ผมผ่านเข้ามาได้ก็เลี้ยวเข้าหลังซอยแรกทันที  ขับทะลุถนนเส้นหลัก  คนที่นั่งมาด้วยกันไม่เอ่ยอะไรกับผมซักคำ  ได้แต่นั่งทำตาปริบ ๆ  คงจะอึ้งกับความเมพของผม

เบาเพลงลงเมื่อเข้าเขตบ้านตัวเอง  ทางเข้าบ้านผมมีเอกลักษณ์เพื่อให้ลูกค้ามารับปลาได้ถูกและง่ายครับ  เป็นถนนส่วนบุคคลที่ไม่ปรับปรุงภูมิทัศน์ข้างทางเลยแม้แต่ตารางวาเดียว  เหมือนซุ้มมือปืนสมัยก่อนน่ะ  ต้องอยู่แบบป่า ๆ หน่อยถึงจะเท่  เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าโกดังปลาแล้วดับเครื่อง  ปรายตามองไอ้รุ่มร่ามที่ปรับเบาะเป็นปกติ  ตาสีน้ำตาลจ้องผมกลับจนผมแทบจะไปไม่เป็นเพราะแรงดึงดูดในดวงตามัน..

“..ชื่ออะไร?  กูจะได้บอกพ่อถูก”  เอ่ยถามมันเสร็จก็เบือนหน้าไปมองป่ารกชัฏตรงหน้า  รอคำตอบจากปากสีสวยของมันนิ่ง  ผมไม่โกหกว่ะว่าผมลุ้นอยู่..อยากรู้ว่าชื่อแบบอิสลาม  มุสลิม  มันจะเพราะแค่ไหน

“..เชค  ไมทา  บิน  โมฮัมเหม็ด  คาอิล  อัล  ฮาละฮ์..นั่นคือชื่อของเรา”  ขมวดคิ้วตั้งแต่คำว่า ‘เชค..’  เบือนหน้าไปมองมันช้า ๆ จนริมฝีปากสีแดงของมันบอกคำสุดท้ายของชื่อมันเอง  ยาวขนาดนี้..พ่อแม่มันตั้งเองแล้วจะจำได้หมดทุกคำมั้ยวะ?!  ถอนหายใจยาวแล้วเปิดประตูก้าวเท้าลงจากรถ  ลูกน้องผมก็วิ่งมารับพร้อมผ้าเย็นและน้ำเปล่า  ยื่นมือรับผ้าเย็นมาเช็ดแล้วโยนทิ้ง  ไอ้บาสวิ่งมารับทันพอดีก่อนจะร่วงถึงพื้น  รับน้ำเปล่ามาดื่มแล้วยื่นให้ไอ้บี๊กเอาไปเก็บ  ตวัดหางตามองไอ้รุ่มร่ามชื่อยาวให้มันเดินตามมา  เห็นมันมองสำรวจพื้นที่รอบบ้านผมแล้วก้าวเท้าเดินตามมา  เห็นแล้วก็หงุดหงิด..ไอ้ท่าเดินสง่าแบบนั้นมันทำไงวะ?!

เดินเข้าโกดังปลา  รับไหว้คนงานที่เดินผ่าน  ทุกคนมองมันเป็นตาเดียว  พามาหาพ่อแล้วเล่าให้มันฟังเรื่องปลาที่เอาไปส่งที่ตลาด  พ่อรับฟังแล้วจ้องตาไอ้รุ่มร่าม  ผมอดทึ่งกับการมองตาพ่อตอบของมันไม่ได้  แม่งกล้าดีว่ะ!  พ่อหันมาถามผมเรื่องตอนชนกันที่ตลาด  ใครจะไปรู้ล่ะว่าแผลที่แขนมันได้มายังไง   เด็กมันมาตามผมตอนปลามันหกเกลื่อนพื้นแล้ว  ส่ายหน้าตอบพ่อแล้วยืนรอคำสั่ง  พ่อเบือนตาจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของมันแล้วบอกให้ผมพามันไปนอนที่บ้านผมด้วย

“ครับ..ให้มันทำงานกี่วันดีพ่อ? ค่าเสียหายมันอยู่ที่  3,000  ครับ”  พ่อถอนหายใจแล้วลูบหัวผม  ‘จนกว่าเค้าจะกลับ’  ขมวดคิ้วมุ่นแล้วถอนหายใจยาว  คำสั่งพ่อผมคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว  ก่อนจะเดินออกจากโต๊ะพ่อก็ถามชื่อจากมัน  ผมรีบบอกชื่อที่คิดให้มันตั้งแต่เดินลงจากรถกับพ่อ  ขืนให้พ่อฟังชื่อมันพ่อคงปวดหัว

“..‘ภูริช’  น่ะพ่อ”  พ่อมองหน้ามันแล้วยกยิ้ม  มันก้มหัวขอบคุณพ่อแล้วเดินตามผมออกมาจากโกดังปลา  พาเดินดูโน่นนี่เสร็จก็เดินเข้าบ้าน  ให้มันกินข้าวเย็นพร้อมกัน  ไอ้บาสก็แนะนำลูกน้องเพื่อนพ้องที่โตมาพร้อมกันกับผมให้มันรู้จัก  มันก็ยิ้มทักทายทุกคนดี

ผมเพิ่งเห็นว่าตอนมันยิ้ม..โลกสว่างพรึ่บเลยครับ

ก้มหน้ามองจานข้าวแล้วนั่งฟังมันตอบคำถามที่มันตอบบ้างไม่ตอบบ้าง  ดวงตาสีน้ำตาลของมันมองผมเป็นระยะ  มันยิ้มให้ผมก็เผลอยิ้มตอบ  ดูไปมันก็เป็นคนดี  ไม่น่าถูกพวกไอ้บอดมันตามเอาได้  ถอนหายใจแล้วสั่งลูกน้องตัวเองให้แยกย้ายไปพักผ่อน  พามันเดินมาห้องที่ว่างอยู่  สั่งให้ไอ้บาสขนที่นอนและจัดการเรื่องผ้าห่ม  ผ้าปูให้เรียบร้อย   เบือนหน้าไปสบตามันแล้วเสไปมองบันไดบ้าน  ทำหน้ายังกะลูกหมาถูกทิ้ง..

“ห้องน้ำมี  2  ห้อง  ข้างหลังบ้านห้องหนึ่ง  แล้วก็ชั้นบนห้องหนึ่ง  รออยู่นี่ล่ะจะไปเอาเสื้อผ้ามาให้  ไอ้บาส..ภูริชอาบน้ำเสร็จก็ทำแผลให้มันด้วย”  หันหลังให้ไม่รับรอยยิ้มขอบคุณสว่างไสวจากมัน  เดินขึ้นบ้านแล้วเปิดตู้เสื้อผ้าค้นเสื้อผ้าให้มัน  ดูจากไซส์มันไม่มีทางใส่ของผมได้แน่  แต่จะให้เบียดเบียนเสื้อผ้าคนอื่นผมก็ทำไม่ได้  ทุกคนที่อยู่โกดังไม่ใช่คนรวย  ทุกคนต้องทำมาหากินเลี้ยงตัวเองกับครอบครัว  ไม่มีเสื้อผ้าเหลือมาให้มันแน่  เออใช่!

“นี่เสื้อผ้าของมึง..”  มันรับเสื้อกับกางเกงจากมือผมโดยไม่พูดอะไร  ไอ้บาสหยิบออกจากมือมันแบบถือวิสาสะออกมาคลี่ดู  อะไร?!  มันก็แค่เสื้อลายสก๊อตสีแดงเข้มที่พวกโต๊ะจีนมันชอบใส่  แล้วก็กางเกงขาก้วยเอวย้วยตัวหนึ่ง   ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มแล้วเบือนหลบตาตำหนิของไอ้บาส  ถอนหายใจทิ้งยาว ๆ แล้วหันมาบอกให้มันทั้งคู่สบายใจ             

 “พรุ่งนี้กูจะพาไปหาซื้อใหม่ก็แล้วกัน”  ไอ้บาสยิ้มออกมาแล้วตบหลังให้กำลังใจภูริช  มองแผ่นหลังไอ้บาสที่เดินเข้าหลังบ้านเพื่อหากล่องยาทำแผลให้มันแล้วเดินหันหลังขึ้นห้อง  ก้าวขึ้นบันไดขั้นที่  3  มันก็ถามคำถามเรื่องความหมายของชื่อมันกับผม..

ยกยิ้มร้ายกับตัวเองก่อนจะหันไปยิ้มกว้างให้  ‘ภูริช’  เจ้าตัวยิ้มกว้างรอฟังความหมายเพราะพริ้งจากชื่อที่ผมตั้งให้

ภูริช  แปลว่า  แผ่นดินครับ  เป็นชื่อที่ผมอยากเปลี่ยนมาใช้มาก  แต่ชื่อ  ‘โกสินทร์’  ที่หลวงปู่ตั้งให้มันก็ไม่ได้แย่อะไรมากกับชีวิต  ผมก็เลยยกชื่อนี้ให้มันชั่วคราว  สบตาสีน้ำตาลสวยของมันแล้วบอกความหมายให้มันรู้..

“  ‘ภูริช’  แปลว่า..







‘ผิดรู’..”   ตีหน้าเฉยประกอบด้วยแววตาจริงจัง  ก่อนจะหันหลังเดินขึ้นห้อง  กลั้นขำจนปวดท้องเมื่อนึกถึงหน้าช็อคสุดขีดของมัน.. ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ

โอ้ยยย ขำเหี้ย ๆ   ฝันดีแล้วผม555

.
.
.

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ jira

  • ปัญญาไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 890
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1324/-3
เสียงลมพัดใบไม้เบียดกันจากนอกหน้าต่างดังหวีดหวิว  ฟ้าร้องครืน  ลมแรงขึ้นจนผ้าม่านตรงหน้าต่างปลิวสะบัด  ฝืนลืมตาตื่นแล้วลุกมาปิดหน้าต่าง  ก่อนจะดึงหน้าต่างปิดก็มองสายฟ้าที่ผ่าลงตรงบ่อทรายท้ายบ้าน  ละอองฝนกระเซ็นโดนหน้าจนต้องหลับตารับความเย็นชื้นนั้น  เสียงฟ้าร้องดังกลบเสียงสายฝน  น้ำฝนที่สาดเข้ามาทำให้ต้องปิดหน้าต่างกันฝนสาด  แต่ความงามและบรรยากาศตอนนี้ก็ทำให้ผมตัดใจจากภาพตรงหน้าไม่ลง  ปิดหน้าต่างทางซ้ายแค่บานเดียว  ดึงเก้าอี้มานั่ง  เกยคางบนแขน  มองสายฟ้าที่ผ่าลงมาเป็นเส้น  สวยจนละสายตาไปไหนไม่ได้..

นั่งมองอยู่อย่างนั้นจนฝนหยุดตก  หลับตารับลมเย็นหลังฝนตกจนแสงสว่างของวันใหม่เข้ามาทักทายถึงในห้อง  ยิ้มบางรับอรุณรุ่งแล้วลุกมาหยิบผ้าเช็ดตัวคาดทับกางเกงบอล  ไม่ต้องเสียเวลาถอดเสื้อ  เพราะเวลานอนผมไม่ใส่อยู่แล้ว  คว้าแปรงบีบยาสีฟันใส่แล้วยัดเข้ามาในปาก  เดินลงไปข้างล่างก็แปรงฟันไปด้วย  พยักหน้าทักไอ้บาสกับไอ้บิ๊กที่พาน้องสมศักดิ์  ไก่ชนเงินแสนของผมออกกำลังกายอยู่ตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน  เดินเลียบไปทางท้ายบ้านไปดูว่าที่เห็นฟ้าลงหลังบ้าน  มันผ่าอะไรตรงไหนของบ่อทรายบ้าง  แปรงฟันไปด้วยสำรวจไปด้วย  ดูเหมือนจะผ่าลงกล้วยที่เป็นเป้าซ้อมยิงปืนผมอย่างเดียว..

“อรุณสวัสดิ์”  โดดเข้ากอกล้วยเพราะสะดุ้งกับเสียงแปร่งทักทายจากด้านหลัง  ร้องไม่ออกเพราะแปรงสีฟันคับปาก  ก้มมองหน้าแข้งเขียว ๆ ของตัวเองแล้วเงยหน้ามองหน้าคมของมัน  ลดสายตามองแผงอกแกร่งกับผิวขาวของมัน..ล่ำดีนี่หว่า  จับแปรงสีฟันออกจากปากแล้วบ้วนฟองทิ้งลงข้างต้นกล้วย  สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วยิ้มบางทักทายมันกลับ

“มึงตื่นเร็วนะภูริช..หลับสนิทรึเปล่า?”  ทักมันแล้วจับผ้าเช็ดตัวมาคาดใหม่ไปด้วย  ทุลักทุเลพอควรเพราะมือข้างหนึ่งจับแปรงสีฟัน  ขมวดคิ้วกับปมที่ไม่ค่อยแข็งแรงแล้วจับแปรงยัดปากเหมือนเดิม

“เราหลับสบายมาก  อากาศที่นี่ดีนะ  ไม่ร้อนเหมือนบ้านเรา”  ขมวดปมเรียบร้อยก็เงยหน้ามองตามัน  พยักหน้ารับแล้วเดินเลี่ยงมันกลับเข้าบ้าน  มันเดินตามมาข้าง ๆ  ผมชะลอฝีเท้าแล้วชี้นิ้วไปที่ผืนนากว้างข้าง ๆ บ้าน  ปากก็พยายามอธิบายว่านี่เป็นเกษตรสาธิต  ไม่ได้ทำจริงจัง  เพราะหลังที่นาก็เป็นแปลงผัก  ถัดไปก็ปลูกถั่วฝักยาวกับข้าวโพด  เย็นนี้กะจะพาลูกน้องไปทำราวให้ถั่วฝักยาวได้เลื้อยด้วย 

“เราว่า..ไปล้างหน้าเสียก่อนเถอะ”  หยุดเดินแล้วมองมันตาขวาง  ถอนหายใจกับดวงตาจริงใจของมันแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้านไปล้างหน้าล้างตา  อาบน้ำเสร็จก็ลงมาชวนลูกน้องไปกินข้าว  รวมทั้งลุกน้องหน้าใหม่อย่างมันด้วย

“ไปโกดังหาข้าวกินกันพวกมึง..ไปภูริช”  ชวนพวกพ้องยกพลไปกินข้าวแล้วขมวดคิ้วกับเสื้อผ้าที่ไอ้แขกถังแตกมันใส่  รอให้มันเดินมาแล้วถามมันว่าเอาของใครมาใส่  มันยิ้มแล้วบอกว่าบาสหามาให้  พิศเสื้อยืดสีขาวมีกระทิงแดง  2  ตัวอยู่ตรงกลางแล้วพยักหน้ารับรู้  ไอ้บาสใส่แล้วลูกทุ่งกรรมกรมาก  แต่มึงใส่แล้ว..ยังกะเป็นพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มชูกำลัง55+

“เป็นอะไร?..”  ยิ้มค้างแล้วขมวดคิ้วมองหน้าคมเข้มของมัน  เสือกชะมัด55+  ยักไหล่ก่อนจะเดินนำมันเข้าโกดังปลา  ถามป้าอุ่นแม่ไอ้บาสว่าทำกับข้าวที่สั่งทำแยกให้ไอ้แขกถังแตกรึเปล่า?  ป้าอุ่นชี้นิ้วส่ง ๆ ไปที่กระบะท้ายรถโฟร์วีลของผมเอง  สาวเท้าไปหยิบจานปลาราดพริกกับเนื้อแดดเดียวมาวางลงตรงหน้ามัน  ทำเฉยกับรอยยิ้มขอบคุณของมันแล้วเดินมาตักข้าวราดแกงไปหาพ่อ  นั่งกินข้าวกับพ่อเสร็จก็เดินมาบอกให้ลูกน้องเตรียมยกลังปลาใส่รถเอาไปส่งให้ลูกค้าได้แล้ว  เหลือบมองภูริชที่ลุกตามไอ้บาส  ท่าทางตั้งอกตั้งใจกับการยกลังปลาทั้งที่ก็ไม่น่าจะถนัดของมันทำให้ผมขำไม่ออก  มันก็ดูเป็นคนใช้ได้เหมือนกัน..

“ต้น..วันนี้ไม่ต้องพาภูริชออกไปข้างนอกนะ  ถ้าอยากไปก็พาลูกน้องพ่อไปด้วย..ให้พวกบาสอยู่ที่โกดังกับพ่อ”  นิ่งมองตาพ่อแล้วพยักหน้ารับคำ  ไปกับลูกน้องพ่อผมอยู่บ้านดีกว่า  ลูกน้องพ่อไม่ฮาพาเครียดด้วย  ดีเหมือนกัน  พาไอ้แขกถังแตกไปยิงปืนที่บ่อทรายดีกว่า  เอาจานข้าวตัวเองไปเก็บแล้วเดินออกมาดูลูกน้องขนลังปลาใส่รถ  6  ล้อ  ภูริชมันขยันดีครับ  ช่วยขนขึ้น  6  ล้อเสร็จก็เดินไปช่วยไอ้บิ๊กขนขึ้นท้ายกระบะด้วย  เดินไปบอกพวกมันว่าวันนี้ผมไม่ออกไปส่งปลาด้วย  ให้ระวังด้วยเวลาขนย้ายลังปลา   มองเวลาแล้วสั่งให้พวกมันหาข้าวเที่ยงกินก่อนออกไปส่งปลา 

“พี่ต้นไม่ไปด้วยเหรอพี่?”  พยักหน้าให้ไอ้บิ๊กแล้วหันไปหาไอ้แขกถังแตก

“วันนี้มึงต้องอยู่ที่นี่  เดี๋ยวให้ไอ้บาสมันซื้อเสื้อผ้ามาให้  บาสมึงดูเสื้อผ้ามาให้มันด้วย  ตามกูมานี่ไอ้แขกถังแตก”  สั่งเสร็จก็หันหลังเดินมาทางบ้านตัวเอง  มันเดินตีคู่ขึ้นมาผมก็หันไปถามมันว่าเคยยิงปืนรึเปล่า?  มันยิ้มแทนคำตอบ..น่าจะเคย  พามากินข้าวที่บ้านแล้วให้มันขนปืนยาวอัดลมไปที่บ่อทรายหลังบ้าน  ผมเดินย้อนกลับไปที่รถแล้วหยิบ .357  ของตัวเองติดมือไป  กระบอกนี้ผมได้มาตอนอยู่  ม.4   ยืมมาจากลิ้นชักเก็บเงินของพ่อ  พ่อไม่ถามหาผมจะคืนทำไมล่ะ  เวลาผมยิงหมดแมกซ์ก็ไปหากระสุนในโกดัง  พ่อชอบวางไว้ปนกับพวกลังปลาน่ะ

“ปกติชอบมายิงปืนเล่นที่นี่เหรอ?”  พยักหน้าตอบมันแล้วง่วนกับการบรรจุกระสุนปืนอัดลม  ยกขึ้นเล็งมองหานกเป็ดน้ำกับพวกนกที่บินเหนือผืนนา  ภูริชก้มหลบเมื่อผมส่องหาเป้าหมาย  ยกยิ้มกับกล้องส่องที่ติดเหนือกระบอกปืน  ปืนลมกระบอกนี้ผมซื้อมาจากซีคอน  พ่อพาไปซื้อเพราะทนผมรบเร้าไม่ไหว  ที่บ้านผมมีแต่ปืนอัดลมแบบกระจอก ๆ  กับปืนของพ่อ  เห็นคนงานมันเอามายิงนกผมก็อยากมีแบบนั้นบ้าง  คนซวยก็คือพ่อ..ต้องหามาประเคนผม555+

“คุณมี .357  ด้วยเหรอ?”   เหนี่ยวไกใส่เป้าหมายแล้วลดปืนลง  เดินกึ่งวิ่งไปดูแถวปลายนา  นกอะไรก็ไม่รู้นอนตายอยู่  ถอนหายใจไล่ความเซ็งเพราะผมไม่ได้เล็งไอ้ตัวนี้  ผมเล็งนกเป็ดน้ำต่างหาก  หันไปมองภูริชแล้วพยักหน้า  มันขมวดคิ้วเหมือนงงผมเลยตอบคำถามมันแทนที่เป็นการพยักหน้าตอบ

“กูมี .357  มีนานแล้ว  ยืมพ่อมา..มึงถามกูเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ?”  ภูริชยิ้มบางตอบแล้วพยักหน้ารับ  กูตอบช้า..ไม่ได้แปลว่ากูลืมว่ามึงถามอะไร  ผมบอกให้มันลองยิงได้  กระสุนผมมีอีกเป็นสิบ  หันมาบรรจุกระสุนลงในรังปืนอัดลม  เดินกลับมาที่บ่อทราย  กะระยะยืนให้อยู่ประมาณ  7-8  หลา  แล้วยกเล็งไปที่ต้นกล้วย  ภูริชเดินเข้ามาจับน่องผมให้ถ่างออกอีกนิด..

“ยืนแบบนี้ดีกว่า  น้ำหนักตัวจะได้เฉลี่ยบนเท้าเท่า ๆ กัน..”  ก้มมองแล้วขยับเท้าเหมือนที่มันบอก  ยกปืนขึ้นเล็งแล้วเหนี่ยวไก  อืม..รู้สึกเหมือนมันเสถียรกว่าเดิมแฮะ  เหลือบไปมองภูริชที่กำลังนั่งยอง ๆ พลิก .357  ของผมดู  มันเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพอดีก่อนจะยิ้มบางส่งมาให้ผม  ยิ้มคืนมันแบบเก้อ ๆ แล้วหยิบกระสุนมาบรรจุต่อ  แม่ง..เหมือนผมแอบมองมันเลยว่ะ  แต่ก็จริงล่ะ  ผมว่ามันเป็นคนแปลก  มันดูเก่งหลายเรื่อง  แล้วท่าทางที่รู้เรื่องปืนนั่นด้วย 

อยากรู้ว่ะ..มันเป็นใครวะ?

แต่ผมไม่ใช่คนชอบเสือก  มันอยากเล่ามันก็คงเล่าเองล่ะ  หันมาสนใจเป้าที่บินไปบินมาเหนือท้องนา  ส่ายปากกระบอกปืนไล่ล่านกโชคร้ายที่บินหนีออกมาจากฝูง  ความสนใจทั้งหมดพุ่งไปที่ลำตัวที่มีขนสีเทาดำปกคลุมจนทั่ว  กำลังจะเหนี่ยวไกก็สะดุ้งสุดตัวกับเสียงลูกปืนดีดออกจากรังเพลิงของ .357   3  นัดติดซะก่อน  หันไปมองหน้าด้านข้างของมันแล้วถอนหายใจยาว  ภูริชมันรีบลดปากกระบอกปืนลงแล้วหันมาหาผม  ‘เราทำเสียสมาธิรึเปล่า?..ขอโทษด้วย’  สูดลมหายใจเข้าไปเลี้ยงปอดแล้วบอกมันว่าไม่เป็นไร  หันมองเป้าหมายที่บินหนีไปหมดแล้วกัดกรามแน่นข่มความหงุดหงิด  กูเล็งมาเกือบ  10  นาที  ถ้าไม่เพราะเสียงปืนของมัน  ผมสอยนกตัวนั้นได้อยู่แล้ว  ยกปืนขึ้นส่องใหม่อีกครั้ง  คราวนี้ปลายจมูกผมได้กลิ่นฝนลอยมาแต่ไกล  เงยหน้าขึ้นมองฟ้า  เมฆสีดำกำลังก่อตัวกันเป็นก้อนอยู่ทั่วทั้งบริเวณ  มึงตกไปแล้วยังจะตกเหี้ยอะไรอีก!

หันกลับมาส่องนกตัวใหม่ไม่สนใจสภาพอากาศรอบกาย  เสียงภูริชมันเก็บปืนกับกระสุนที่วางไว้  มันนิ่งมองผมที่เอาแต่ส่องนกก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจพรูจากมัน  ตามมาด้วยเสียงทุ้มเอ่ยบอกผมว่าให้กลับบ้านได้แล้ว

“กลับเถอะ”  อ้าปากจะบอกมันว่าผมต้องสอยไอ้ตัวนั้นให้ได้ก่อนมันก็ลากแขนผมเข้าบ้าน  ยื้อไว้มันก็หันมาคว้าปืนอัดลมในมือผมไปถือเองแล้วดึงให้เดินตามมัน  หงุดหงิดเพราะยังไม่ได้นกตัวที่ผมพอใจ  แล้วไอ้การกล้าดีมาลากหรือบังคับผมให้ทำโน่นทำนี่  ทั้งที่ไม่ใช่ญาติมันก็ทำให้ผมนึกฉุนมันหนักยิ่งขึ้น  ง้างเท้าเตะก้นมันเต็มหลังตีน    มันหันมามองตาขวางผมก็ตั้งท่าจะเตะซ้ำ  มันโยนปืนอัดลมไปทางซ้ายแล้วเหน็บ .357  ไว้ที่เอว  คว้าข้อมือผมดึงเข้าหาตัว  ผมก้มหลบแล้วพลิกหันหลังเอาหัวโขกเข้ากับปลายคางมันเต็มแรง  เสียงดัง  ‘กึ๊ก’ ก้องอยู่ในหัว  ผมมึน..แต่ผมว่ามันเองก็ต้องมึนเหมือนกัน  มันปล่อยข้อมือผมออกแล้วอ้อมมาอยู่ข้างหน้า  จับข้อมือผมไว้ทั้งสองข้างแล้วไพล่หลังไม่ทันให้ตั้งตัว  ผมดิ้นมันก็ออกแรงดึงแขนผมให้ไพล่หนักกว่าเดิม  ขาก็เตะมันไม่ได้เพราะมันจับแขนผมไพล่หลังแบบนี้ตัวมันก็ต้องติดกับผมอยู่แล้ว   เจ็บ..แต่เรื่องอะไรจะยอมแพ้มัน  ผมดิ้นเต็มที่มันก็ดึงแรงขึ้นเรื่อย ๆ ..ผลก็คือ..ผมเจ็บจนน้ำตาเล็ด

ยิ่งมันออกแรงดึงมากเท่าไหร่ตัวก็ชิดกันมากกว่าเดิม  ผมเตี้ยกว่ามันหน้าก็เลยฝังอยู่ตรงไหปลาร้ามัน  ยิ่งมันออกแรงมากผมยิ่งหายใจไม่ออก  งัดหน้าขึ้นเอาคางเกยไหล่มันเพื่อรับอากาศ  เสียงกัดฟันของตัวเองดังกรอด ๆ สลับกับเสียงหายใจแรงของมันที่ดังอยู่ข้างหู  รอบตัวเริ่มเย็นขึ้น  หยาดฝนเม็ดเล็ก ๆ โปรยปรายล้างเหงื่อผมที่กำลังไหลเข้าตา   ความเจ็บที่ข้อมือแล่นมาจนถึงกล้ามเนื้อแขน  นานจนผมเริ่มทนไม่ไหว..

“ยอมรึยัง?..เลิกทำตัวเป็นเด็กได้แล้ว  คุณโตแล้ว..รู้ว่าอะไรควร..ไม่ควร”  เสียงที่ดังข้างหูบอกผมเลิกทำตัวเป็นเด็ก  แล้วมันล่ะ  ตัวมันดีแค่ไหนกัน  อ้าปากจะด่ามันก็ดึงแรงขึ้นอีก  ผมกัดฟันแน่น  เจ็บจนนิ่วหน้า  น้ำตาที่หางตาไหลลงมาปะปนกับหยาดฝน  ยังไง..กูไม่ยอม!

“ทำไมถึงได้ดื้อขนาดนี้?..หืม!?”  น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยถามคำถามแรก  แต่กลับปิดท้ายด้วยเสียงห้วนเหมือนผมกำลังขัดใจมัน  เชิดหน้าขึ้นสบตาสีน้ำตาลของมันแล้วส่งความท้าทายผ่านดวงตาสีดำสนิทของตัวเอง  มันยิ่งดึงแรงขึ้นกว่าเดิม  ฝนตกหนักขึ้นพร้อมกับน้ำตาแห่งความเจ็บปวดทางร่างกายที่ไหลออกมา  ผมไม่สนหรอกว่ามันจะสังเกตเห็นรึเปล่า?  อารมณ์ผมตอนนี้..

กูไม่แพ้ยอมมึงเด็ดขาด!

บดกรามจนปวดกล้ามเนื้อหน้า  กะพริบตาไล่น้ำฝนที่ไหลเข้าตา  จ้องตาสีน้ำตาลอ่อนที่ยังคงมองผมด้วยแววตาของผู้ใหญ่มองเด็กหัวดื้อคนหนึ่ง  มันเบือนหลบตาผมแล้วถอนหายใจยาว  คลายแรงที่ข้อมือผมแต่ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ  ยืนตากฝนนานจนปากผมเริ่มสั่น  จ้องหน้าด้านข้างของมันจนมันหันกลับมามองผม  ดวงตาสีน้ำตาลของมันมองหน้าผมจนทั่ว  แววตาดุแปรเปลี่ยน..เป็นสายตาที่ตีความหมายไม่ออก  ขมวดคิ้วมุ่นมองตามันตอบก่อนจะเป็นฝ่ายหลบซะเอง  ดึงมือตัวเองที่มีมือหนาของมันจับข้อมือแน่นขึ้นมาปาดน้ำออกจากหน้า  มันปล่อยมือผมแล้วช่วยเช็ดน้ำฝนที่หน้าผมด้วย  กะพริบตาปริบสบตากับกับกระทิงแดงบนเสื้อมันแล้วเดินเข้าบ้าน  มีมันเดินตามหลังมาติด ๆ  เข้าบ้านได้ก็ดิ่งขึ้นชั้นบน  เสียงมันตะโกนตามหลังให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย  หยุดเดินทันทีแล้วเบือนหน้าไปมองมันช้า ๆ ปรายตามองมันตั้งแต่หัวจรดเท้า  ปวดกระบอกตาแต่ต้องทำ  ผมรู้ว่ามองแบบนี้มันกวนส้นตีนคนอื่นแค่ไหน  ผมจัดมองเหยียดหยามให้มันชุดใหญ่ก่อนจะตอกหน้ามันด้วยคำพูดของ  ‘เด็ก’  ให้มันหน้าหงาย

“หน้าไม่เหมือนพ่อ..ก็อย่าเสือกมาสั่งกู!”  เดินโยกตัวเข้าห้องนอน  กดล็อคประตูแล้วนวดตามแขนไล่มาจนถึงหัวไหล่  แรงแม่งดีชิบหาย  มิน่า..ถึงได้ยกลังปลาปลิวได้แบบนั้น  สะบัดแขน  2-3  ทีแล้วเดินมาหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ  อาบน้ำไปก็นึกถึงดวงตาสีน้ำตาลของมันไป  ไม่ได้อยากคิด..แต่มันโผล่เข้ามาเอง  ตามันสวย  แล้วก็ดุด้วย  ไม่รู้ว่าทำไมผมไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัว..ผมว่ามันดูมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่า

“โอ้ย!”  ยกแขนขึ้นมาดูว่าทำไมโดนสบู่ถึงแสบ  รอยแดงช้ำที่ข้อมือกับรอยเหมือนรอยข่วนยาวเป็นทางที่แขนนี่เอง  ไม่รู้โดนอะไรตอนไหนเหมือนกัน  ล้างสบู่ออกเบามือแล้วรีบล้างตัว  ออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้อง  เสียงไอ้บาสกับลูกน้องผมเจียวจาวอยู่ข้างล่าง  กลับมาเร็วนี่หว่า..

“พี่ต้นผมแวะร้านพี่อาร์ตเอาพริกแกงที่พี่สั่งมาแล้วนะ  แล้วก็ซื้อเนื้อมาให้แล้ว  ทำเลยมั้ยพี่?!”  ยืนนิ่งอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงรายงานจากปากไอ้บาส  ยิ้มเจื่อน ๆ แล้วเดินลงไปสมทบกับพวกที่รออยู่ข้างล่าง  พยายามไม่สบตาสีน้ำตาลอ่อนของไอ้แขกถังแตก  ผมลืมสั่งไอ้บาสให้เอาไปให้แม่มันทำเลย  มันเป็นแขก  กินหมูไม่ได้  ผมก็เลยห่วงว่ามันจะไม่มีแรงยกลังปลาถ้ามันกินอะไรไม่ได้น่ะ  เลยสั่งลูกน้องซื้อเนื้อกับเอาพริกแกงที่ร้านไอ้อาร์ตเพื่อนผมมาด้วย  กะผัดกินเองด้วยถึงได้ให้ซื้อมาเยอะ ๆ ..

“ขอบใจนะ..”  พยักหน้ารับคำขอบใจของมันแบบส่ง ๆ ยิ่งมันเดินตามผมยิ่งเกร็ง  มันไม่ควรมีบรรยากาศกระอักกระอ่วนแบบนี้กับเจ้านายลูกน้อง  มันควรจะเป็นแบบผมกับไอ้พวกนี้มากกว่า  สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วหันไปตบหลังมัน  2-3   ที  ยิ้มแยกเขี้ยวแล้วบอกมันอย่างที่ใจคิด

“ไม่เป็นไร..มึงลูกน้องกู  กูต้องรักมึงเท่ากับไอ้ลิงพวกนี้อยู่แล้ว  มึงเป็นแขกแดกหมูไม่ได้  วันนี้กูทำผัดเผ็ดเนื้อให้กินเอง555”  มันยิ้มบางให้แล้วก้มหัวล้อผมเหมือนเคารพผมเต็มที่  กวนตีนเหมือนกันนี่หว่า555  ผมนั่งกระดิกเท้ารอให้พวกมันหั่นเนื้อเสร็จถึงจะเดินไปควงตะหลิว  แต่..

ขอโทษที..ไหม้เกือบหมดกระทะว่ะ

“โอ้ยยยยพี่ต้น  พี่เหมือนเก่งเลยว่ะ555+”  ผมก้มหน้าหลบควันไม่ทันเลยต้องนั่งลงไอโขลกกับพื้น  ชี้หน้าไอ้บาสที่หัวเราะไปแซวไปก่อนจะลุกขึ้นวิ่งไล่เตะมัน  มันวิ่งหนีไปขอโทษไป  จากที่เคืองก็ฮาไปตามระเบียบ  นั่งลงกินข้าวไปแย่งกันไปจนผัดเผ็ดเนื้อจานใหญ่หมดเกลี้ยง 

“อิ่มแล้วก็ทำงาน!  ไปหลังบ้านทำราวให้ถั่วฝักยาวเลื้อยกัน”  ยกแก้วน้ำขึ้นกระดกทีเดียวหมดแก้วแล้วชวนพวกมันไปหลังบ้าน  ไอ้บาสกับภูริชเดินไปหาไม้มาทำราว  พักใหญ่ก็ได้ไม้มาหอบเบ้อเริ่ม  ผมกับคนอื่นก็ถือจอบรอ  ไอ้บาสมันขำใหญ่ที่เห็นผมถือจอบ  มันมาถึงมันก็ปักไม้ลงบนดินแล้วกดให้แน่น 

“พี่ต้นเป็นคนสอนผมให้ทำแบบนี้เพราะขี้เกียจแบกจอบมาขุดดินอ่ะ  พอผมเถียงพี่ก็ดุ  แล้วยังบอกผมอีกว่า  ‘มึงไม่เคยเห็นก็เห็นซะ..ขี้เกียจแต่ได้ดี’  จำได้ยัง?  ผมจะได้ไม่โดนพี่ด่า55+”  ขมวดคิ้วมุ่นนึกตามแล้วดุนลิ้นดันกระพุ้งแก้มแก้เขิน  หัวเราะเหี้ยไรนักไอ้พวกนี้!?  วางจอบไว้แล้วหยิบไม้ไปปักตามแปลงถั่วฝักยาวจนทั่ว  พวกมันแบ่งไปทำแล้วช่วยกันดูจนเสร็จ   เดินผิวปากมาที่บ่อทราย  ใช้เท้าขีดเส้นทำสนามบอลแล้วเอารองเท้าตัวเองวางไว้เป็นเขตประตู  ไอ้พวกนั้นถอดเสื้อก่อนจะหยิบรองเท้าไปวางไปนอกเส้น  แบ่งทีมเสร็จผมก็เตะเปิด  วิ่งไล่บอลจนเหนื่อยก็นึกขึ้นได้ 

“มึงลงมาเลยภูริช  หรือมึงเล่นไม่เป็น?”  ตะโกนชวนมันที่นั่งคุยกับลูกน้องผมข้างสนาม  มันหันมายิ้มบางแล้วส่ายหน้าตอบ  ผมหรี่ตามองมันก็ขำแล้วส่ายหัว  ไอ้บาสวิ่งออกให้มันเข้ามาเล่นแทน  ลูกน้องผมส่งลูกให้มัน  พอลุกอยู่ในเท้ามันผมถึงได้รู้..เทพชิบหาย

“พี่ภู!  อย่านะเว้ยเฮ้ยยยย”  ไอ้บิ๊กนายทวารฝั่งผมร้องเสียงหลงเมื่อเห็นไอ้แขกถังแตกเลี้ยงหลบผมกับลูกน้องอีก  2  คนมาถึงหน้าประตู  มันเหลือบมามองไอ้บิ๊กก่อนจะหัวเราะร่าเมื่อส่งลูกบอลเข้าไปในเขตประตู..เตะรองเท้ากูซะกระจุย  มันหันมายิ้มให้ผมก่อนจะเดินเข้ามาหาด้วยท่า  ‘ขอแท็คมือ’  หึ..

“กูเป็นฝ่ายเสียประตูนะไอ้แขกถังแตก!  ไอ้นี่บ้าแน่555+”  ถึงจะพูดโน่นพูดนี่แต่ผมก็แท็คมือกับมันจนได้ครับ555  สัมผัสฝ่ามือมันแล้วก็ขมวดคิ้ว  หันไปคว้ามือมันมาลูบฝ่ามือ  เงยหน้ามองหน้างงของมันแล้วถาม

“มึงอยู่บ้านมึงทำงานอะไรบ้างวะ?  มือไม่สากเหมือนคนอื่น..ไอ้บาสมึงลองดิ!” ลูกน้องผมชักแถวมาสัมผัสมือมันแล้วพยักหน้าเห็นด้วยกับผม  มันก็เอาแต่ยิ้มให้ผมอย่างเดียว  แม่ง..ปากหนักนะมึง!  เดินเข้าไปผลักอกแล้วเตะหน้าแข้งมันเบา ๆ มันขำแล้วล็อคคอผมมาขยี้มะเหงกใส่หัวผม  ลูกน้องผมก็ฮาแตกแถมยังช่วยกันจับผมให้มันแกล้งได้ถนัดอีกต่างหาก

“โอ้ยยย เลี้ยงเสียข้าวมันไก่ไอ้ห่า555  ปล่อยยยกูไอ้สัตว์555+”  เล่นกันจนค่ำก็เดินกลับมาที่โกดัง  กินข้าวกันอีกรอบแล้วแยกไปอาบน้ำบ้านใครบ้านมัน  ผมกับภูริชเดินกลับมาที่บ้าน  ระหว่างทางก็เดินไปผลักกันไป  ผมเตะมันก็เอี้ยวตัวหลบ  ขำกันไปตลอดทางจนถึงบ้าน  ผมเดินขึ้นข้างบนมันก็เดินเข้าห้องมัน  ก่อนปิดประตูผมก็ตะโกนสั่งมันให้ล็อคประตูบ้านด้วย  ได้ยินเสียงมันรับคำก็ปิดห้อง  อาบน้ำเสร็จก็เปิดคอมพ์เล่นเกมส์  เล่นไปพักใหญ่ก็ต้องปิดคอมพ์เพราะได้ยินเสียงฟ้าผ่าตรงไหนซักแห่ง  หันไปมองนอกหน้าต่างก็เห็นภาพเดิม ๆ คือลมพัดแรงและฝนกำลังจะตก  เดินมาปิดหน้าต่างก็เหลือบเห็นเงาตะคุ่ม ๆ แถวใต้ต้นไม้  เพ่งมองลงไปก็เห็นภูริชยืนอยู่ข้างล่างแค่คนเดียว  พยายามจ้องผ่านพุ่มไม้เพื่อมองหาเงาอีกเงาที่ผมเห็น..มันก็ไม่มีแล้ว  ขมวดคิ้วมุ่นจนเป็นปม  ปิดหน้าต่างแล้วเดินลงไปดูข้างล่าง  ภูริชหันมามองผม  ถามว่า  ‘นอนไม่หลับเหรอ?’  หยุดมองหน้ามันก่อนจะเดินไปดูรอบ ๆ จนทั่วให้แน่ใจว่าผมตาฝาดจริง ๆ ถึงย้อนมาตอบคำถามมัน

“ก็ด้วย..แต่เมื่อกี้กูเห็นมีเงาอีกเงายืนอยู่กับมึง..มึงคุยอยู่กับใครภูริช?”  มันยิ้มให้ผมแทนคำตอบแล้วเบือนหน้าไปมองบ่อปลาแทนหน้าผม  ถอนหายใจยาวแล้วหันไปมองบ่อปลาตัวเอง  แสงสะท้อนจากดวงจันทร์กระทบผืนน้ำสว่างไปทั้งบ่อ 

“สูบเป็นรึเปล่า?”  หันไปตามเสียง  ภูริชส่งยาเส้นให้ผมสูบ  ส่ายหน้าแล้วตอบตามตรง

“เคยลองแล้ว  เมาฉิบหาย..เดี๋ยวมา”  ผมเคยหัดสูบยาเส้นครั้งหนึ่งตอน  ม.3  ตอนนั้นเพิ่งสูบบุหรี่เป็น  เคยสูบแต่บุหรี่ธรรมดา  ลูกน้องพ่อเลยให้ลองดูดยาเส้นดู  เมา  เวียนหัว  แล้วก็อ้วกแตกเหมือนหมา555+  วิ่งขึ้นบนบ้านแล้วหยิบ  LM  เมนทอลกับไฟแช็คลงมา    เดินกลับมาที่เดิมมันก็นั่งกับพื้นหญ้ามองบ่อปลาผมอยู่  ดูแล้วมันน่าจะคิดถึงบ้าน  หน้าตาหมาป่วยได้อีก  ถอดรองเท้าแล้วนั่งลงข้างมัน  มันยิ้มให้แล้วมอง  LM  ที่ผมยื่นให้

“ขอบใจ”  มันหยิบไปมวนเดียวแล้วจ้องบุหรี่นิ่ง  ผมเบือนมามองบ่อปลาแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ  ปล่อยควันขาวออกมาทางจมูก  มองกลุ่มควันล่อยลอยไปกับลมพัดเอื่อย  มองแผ่นฟ้าสีดำสนิทที่เคยตั้งเค้าฝนเมื่อครู่  ตอนนี้กลับเป็นท้องฟ้าที่มีเมฆสีขาวลอยคว้างแทนที่  เอนหลังลงนอนแล้วบดก้นบุหรี่ลงหญ้าข้าง ๆ ตัว  ภูริชหันมามองก่อนจะเอนหลังตามผม  เราไม่ได้คุยอะไรกันแม้แต่คำเดียวทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมมีเรื่องอยากถามมันเป็น  100  ข้อ  หันไปมองหน้าด้านข้างที่กำลังสูบยาเส้น  กลิ่นของยาสูบแบบนี้มันทำให้ผมเวียนหัวมาก  ถอนหายใจยาวแล้วมองท้องฟ้าที่เหมือนอยู่แค่เอื้อมตรงหน้า  หลับตารับความเย็นจากลมที่พัดเอากลิ่นธรรมชาติมาให้ผมเอาเข้าไปฟอกปอด  ลืมตาขึ้นมามองท้องฟ้าแล้วควานหาซอง  LM

“ลองดู..โตแล้วนี่  ไม่เมาหรอก”  ยกยิ้มมุมปากแล้วรับยาเส้นมาสูบ  ทันที่ที่มันเข้าหลอดลมอาการเดิมก็เล่นงานผมจนได้   ปลายมือชาจนต้องยื่นยาเส้นคืนให้มัน  นอนนิ่งรับอาการเริ่มเวียนหัว  ลืมตามองฟ้าแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ  คราวนี้ผมเมาไม่นาน  เหมือนร่างกายมันเริ่มมีภูมิคุ้มกันแล้ว  ยื่นมือออกไปขอมวนที่มันกำลังสูบ  ภูริชยิ้มบางแล้วจ่อยาเส้นที่ปากผม  สูบเข้าปอดแล้วพ่นควันออก  มึนก็มึนแต่หยุดไม่ได้  เพราะคนยื่นให้สูบมันไม่ยอมหยุดมือ  สูบจนหมดมวนแล้วนอนหลับตา  ตอนนี้ร่างกายผมมันชานิด ๆ แล้วในหัวก็โล่งไปหมด 

“เมาเหรอ?”  ยกยิ้มให้มันทั้งที่ยังหลับตา 

“ชาว่ะ..ตอนแรกแค่ปลายนิ้ว  แต่ตอนนี้ลามไปทั้งตัว..สบายยยย”  บอกมันแล้วปล่อยแขนตกข้างตัว  เสียงหัวเราะของมันลอยไปตามลม  ปลายนิ้วรับสัมผัสจากฝ่ามือนุ่มที่ผมจับเมื่อตอนเล่นบอล ฝืนลืมตามองก็เห็นมันจับมือผมขึ้นมานวดเบา ๆ

“ยังชาอยู่รึเปล่า..เราเคยให้คนสนิทเราทำแบบนี้ให้ตอนเราหัดสูบบุหรี่ครั้งแรก  สำลักควันแล้วก็ไอจนน้ำตาไหลพราก  เวียนหัวด้วย..ดีขึ้นรึเปล่า?”  พยักหน้าแล้วปล่อยให้มันนวดต่อไป  เคลิบเคลิ้มกับการนวดแผนไทยของมันจนต้องพลิกตัวนอนคว่ำแล้วให้มันนวดน่องแล้วเหยียบฝ่าเท้าให้ด้วย  มันนิ่งไปก่อนจะหัวเราะลงคอแล้วนวดตามคำร้องขอของผม
.
.
“รู้หรือไม่?..ว่าเราไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครมาก่อน”  ผงกหัวเกยคางบนแขน  หลับตาพริ้มแล้วบอกมันตามตรง

“แล้วมึงรู้หรือไม่..มึงเป็นคนแรกเช่นกันที่ได้รับเกียรติให้นวดน่องและเหยียบฝ่าเท้าให้กู”  หันไปมองมันที่ยิ้มกว้างส่ายหัวกับความปีนเกลียวของผม  ยิ้มคืนให้มันแล้วพลิกนอนหงายให้มันนั่งพับเพียบนวดต้นขา  มันขำก๊ากแล้วว่าผมว่าผมขอมากเกินไปแล้ว  ขำตามมันแล้วบอกว่าล้อเล่น..แค่เผื่อฟลุค

มันยิ้มบางแล้วดึงมือผมมานวด  ยิ้มบางตอบแล้วมองหน้ามันไปด้วย  ยิ้มไปยิ้มมาผมก็เริ่มสังเกตว่ามันหล่อแบบแขกขาว  หล่อแบบผู้ดี  ผิวพรรณก็ดี  นิสัยก็ดี  ดูมีความรู้ด้วย  ชวนมันคุยเพราะความเงียบมันเข้ามาอยู่กับผมนานเกิน  15  นาทีแล้ว..   
.
.

ออฟไลน์ jira

  • ปัญญาไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 890
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1324/-3

“บ้านมึง..หมายถึงบ้านเกิดมึงน่ะ  เป็นยังไง?”  มันยิ้มบางแล้วเบือนหน้าไปมองบ่อปลาผม  มองริมฝีปากสีแดงของมันแล้วหลับตานึกภาพตาม

“เราอยู่ชานเมืองหลวง  อาศัยในบ้านหลังใหญ่ที่มีคนสนิทกับแม่บ้านอยู่เป็นเพื่อน  พ่อของเราเป็นคนดูแลจัดการทุกอย่างทั้งในบ้านและนอกบ้าน  บ้านเราหลังค่อนข้างใหญ่นะ  เราอยู่ชั้นบนสุด  มองลงมาก็มีสวนสวยอยู่ข้างล่าง  หญ้าเขียวเหมือนตรงนี้  มีสระกว้างอยู่ตรงกลาง  แต่เราว่าบ่อปลาแบบนี้ก็ดี..กลับไปเราจะเปลี่ยนเป็นบ่อปลา  แม่เราเป็นคนไทย  สอนให้เราพูดภาษาไทย  รู้วัฒนธรรมและประเพณีหลายอย่าง..”  มันหันมาสบตาผมแล้วพูดต่อ

“ที่บ้านเรามีทะเลทราย  เคยขี่อูฐหรือไม่?..ไม่สิ  อย่างเธอต้องขี่ม้าในทะเลทราย  มันสนุกมาก..”  ผมยิ้มตอบมันแล้วกระชับมือ..

“เรียกชื่อกูบ้างก็ได้  ถ้าไม่อยากเรียกชื่อเล่นก็เรียกชื่อจริง  ชื่อกูไม่ยาวหรอก  ‘โกสินทร์’ น่ะ”  มันมองตาผมนิ่งแล้วยิ้มตอบ

“โกสินทร์..ตอนนี้เราทำงานใช้หนี้ไปได้เท่าไหร่แล้ว?  ยังคงค้างอีกเท่าไหร่?”  ขมวดคิ้วมุ่นกับคำถามเรื่องค่าแรงที่มันต้องทำงานใช้หนี้

“ทำไมไอ้แขก?!  มึงอยากกลับบ้านมึงมึงก็กลับไป  พ่อกูบอกแล้วว่าจนกว่ามึงจะกลับ  นั่นแปลว่าค่าเสียหายของมึงมันจะหมดทันทีที่มึงกลับ!”  ดึงมือออกมันก็จับไว้  แววตาขอโทษของมันส่งมาให้ผมจนต้องหันหนี  ถอนหายใจไล่ความหงุดหงิดแล้วหันไปสั่งมัน

“นวดไป!”  มันยิ้มบางใส่มือผมแล้วนวดเบา ๆ  ผมเบือนหน้าไปมองบ่อปลา  เบี่ยงหลบแสงสะท้อนที่ตกกระทบมาใส่หน้าพอดี  เหลือบมองตามันแล้วก็..เริ่มสงสาร  มันคงอยากอยู่บ้านมันมากกว่า  ฟังแล้วมันอยู่บ้านไม่ลำบากเลยสักนิด

“มึงจะกลับเมื่อไหร่..ภูริช”  มันไม่ตอบเอาแต่นวดมือผม  มองสันจมูกโด่งของมันนิ่ง  จู่ ๆ มันก็เงยหน้าขึ้นมาสบตา  สะดุ้งแต่ก็ไม่หลบ  กะพริบตาแล้วมองตอบ  มันถามผมแล้วปล่อยมือที่นวดมือผม..

“ที่มือหายชารึยัง?..ตรงนี้..ชารึเปล่า?”  พยักหน้ากับคำถามแรก  ผมไม่ค่อยชาที่ปลายมือแล้ว  แต่กลั้นหายใจเมื่อมือนุ่มของมือยื่นมาตรงหน้า  เกร็งหน้าเมื่อปลายนิ้วมันค่อย ๆ แตะไล้ตั้งแต่แก้ม..ไปจนถึงริมฝีปากผม  เบี่ยงตัวหลบแล้วลุกขึ้นยืน  ก้าวขาได้ครึ่งก้าวมันก็คว้ามือไว้..

“เราต้องกลับแล้วโกสินทร์..”  หยุดขาตัวเองแล้วหันกลับไปมองหน้ามัน  ภูริชเงยหน้ามาสบตาผมแล้วยิ้มบาง

“ถ้าเราอยู่นานกว่านี้..ที่นี่จะกลายเป็นสุสาน”  ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า  ‘สุสาน’  จากปากมัน  อ้าปากจะถามมันก็ลุกขึ้นยืนแล้วกอดผมเบา ๆ คำถามที่ผมจะถามมันถูกดวงตาสีน้ำตาลของมันสูบไปจนหมด..ทุกคำ

“เรามีความสุขมากที่ได้อยู่กับทุกคนที่นี่..ได้ใช้ชีวิตแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ  ขอบคุณมาก”  ผมไม่เข้าใจ  มันนึกจะไปมันก็ไปงั้นเหรอ?  แล้วไอ้สุสานนี่หมายความว่ายังไง?  ไอ้บอดมันจะตามมาเก็บมันแล้วฆ่าพวกเรายกโกดังเหรอ?  คิดว่าทำได้ง่าย ๆ รึไงวะ?!

“เรารู้ว่าคนที่โกดังปลาเก่งและกล้าแค่ไหน  เพราะแบบนี้เราถึงต้องไป  เราอยู่นานมากเท่าไหร่ที่นี่ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น  พวกชุดดำรู้ที่อยู่เราแล้ว  เมื่อกลางวันเราจัดการมันไป  2  คนตอนที่อยู่บ่อทราย  ศพของมันถูกเก็บไปแล้วไม่ต้องห่วง  แต่ตอนนี้..”  มือผมเย็นเฉียบเมื่ออ่านคำพูดต่อไปจากสายตามัน  พวกไอ้บอดมันรู้แล้วว่าภูริชอยู่ที่นี่  มันจะต้องมาจับและจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่..

เลือดในกายพุ่งพล่าน..อยากยิงคนดูสักครั้งว่ะ!

มันเลิกคิ้วสูงใส่หน้ากระเหี้ยนกระหือรือของผม  ก่อนจะโบกมือห้ามเป็นพัลวัน  ‘อย่าได้คิดอย่างนั้นโกสินทร์..ชีวิตเธอยังอีกยาวไกล  อย่าทำเหมือนเล่นขายของ’ ขมวดคิ้วอีกครั้งแล้วอ้าปากจะเถียงมันก็ยกมือมาปิดปากผมแน่น  กอดผมไว้ทั้งตัวแล้วดึงมาหลบหลังต้นไม้  มองไปทิศที่มันกำลังจ้องก็เห็นคน  3  คนย่องเข้าบ้านผมไป 

“คนของมัน..เงียบนะ  ไปโกดังเก็บปลากันเถอะ  มืดแบบนี้เธอนำทางที”  พยักหน้าแล้วเดินนำมันไปเงียบ ๆ เร่งฝีเท้าให้ถึงโกดังเก็บปลาให้เร็วที่สุด  โดยไม่รู้เลยว่า..ภูริชไม่ได้ตามผมมาด้วย   มองซ้ายมองขวาแล้วย่องเข้าโกดังปลา  เข้าไปได้ก็หันหลังมองหาภูริช..ไม่มี  กำลังจะก้าวขาออกไปพ่อก้คว้าแขนดึงเข้าไปหลังลังปลาที่กองพะเนินอยู่  กระซิบถามผมข้างหูเบา ๆ ..

“มีคนแปลกหน้าบุกเข้ามา  ลูกน้องพ่อโดนยิงไป  2  คนแถวทางเข้า  ต้นไม่เป็นไรนะลูก..แล้วภูริชล่ะ?”  ส่ายหน้าตอบพ่อแล้วจับแขนพ่อไว้แน่น

“ภูริชมันบอกว่าพวกนี้เป็นพวกที่กำลังตามตัวมันอยู่  เมื่อกลางวันมันมาที่บ่อทรายแต่ภูริชมันเก็บไปแล้ว  ตอนนี้..มันมากี่คนพ่อ?!”  พ่อส่ายหน้าตอบผมก่อนจะดึงมือผมให้ตามมาหยิบปืนไว้ป้องกันตัว  ผมหยิบ .357  เพราะผมเคยมือที่สุดแล้ว  กวาดกระสุนใส่กระเป๋ากางเกง โชคดีที่วันนี้ไม่หยิบกางเกงบอลมาใส่นอน  ไม่งั้นคงต้องเอากระสุนใส่ถุงพลาสติกแล้วห้อยข้อมือแหง  นึกขอบคุณพ่อที่ไม่ยอมให้พวกลูกน้องผมมานอนค้างที่บ้านผมหรือในโกดัง  พ่อไม่อยากให้มันเคยตัวติดนิสัยไม่กลับบ้านน่ะ

ย่องเดินออกข้างหลังตามพ่อกับลูกน้องพ่อออกไปตามหาไอ้แขกถังแตก  เห็นเงาตะคุ่มแถวหน้าบ้านลูกน้องพ่อก็ยกปืนขึ้นส่อง  พ่อรีบดึงมือมันแล้วให้รอดูไปก่อน   หัวใจเต้นโครมครามเมื่อเห็นมีคนล้มลงตรงหน้าบ้านผมคนหนึ่งและอีก  2  คนก็ค่อย ๆ ล้มตาม  ไม่ถึง  5  นาทีก็มีเงาตะคุ่มเดินออกมาจากข้างบ้านและตามต้นไม้ที่ผมปลูกให้เป็นศิลปะ  มือเย็นเฉียบเมื่อคิดไปไกลว่า  1  ในคนที่ล้มอาจจะเป็นไอ้แขกถังแตกก็ได้  แล้วปล่อยไปแบบนี้..นานเข้ามันอาจจะเสียเลือดจนตายก็ได้  พ่อจับไหล่ผมแน่นเพราะผมสั่นจนควบคุมตัวเองไม่ได้  จนเงาตะคุ่มที่ยืนเป็นกลุ่มจัดการลากคนที่ล้มผ่านแสงสว่างตรงทางเดินถึงได้เห็นว่าคนกลุ่มที่เป็นฝ่ายเก็บใส่ชุดคลุมสีดำ  ทรงมันเหมือนที่ภูริชใส่ตอนแรกที่เจอกัน  ของภูริชเป็นสีขาว  แต่คนพวกนี้เป็นสีดำ  และคนที่เดินออกมาให้เห็นถัดมาก็ไม่ใช่ใคร..เป็นคนที่ผมกลัวที่สุดว่ามันอาจจะตายก็ได้

“ภูริช!”  ผมตะโกนเรียกชื่อมันแล้วโผล่ออกมาจากที่ซ่อน  พ่อคว้าแขนผม  ผมสะบัดทิ้งแล้วรีบเดินมาหามัน  มันหันมามองผมแล้วรีบเดินมาจับมือจับแขนผม  2  มือที่นวดมือผมประคองหน้าผม  มองตาไล่สำรวจร่องรอยแผลหรือรอยขีดข่วนบนตัวผมแล้วดึงผมเข้ามากอดเบา ๆ  มันขอบคุณอัลเลาะห์แล้วกอดผมแน่นขึ้น  กอดมันตอบเบา ๆ แล้วถาม

“มึงไม่เป็นไรนะ..มึงเจ็บตรงไหนรึเปล่าไอ้แขกถังแตก” มันดึงไหล่ผมออกมามองตาแล้วยิ้มบาง  ส่ายหน้าแล้วหมุนตัวให้ผมดูว่ามันไม่เป็นไร  ยืนมองตามันนิ่ง  คนรอบตัวมันเดินอ้อมมายืนข้างหลังมันเป็นแถว  ดูก็รู้ว่ามันเป็นคนสำคัญ  มันมองหน้าผมแล้วเดินเข้ามาใกล้  หลุบตาลงมองคอเสื้อมัน  ผมรู้ว่ามันจะพูดอะไร..มันต้องไปแล้ว  ผมจะไม่ได้เจอมัน..อีกแล้ว

ภูริชย่อตัวลงจนหน้าผมกับมันอยู่ระดับเดียวกัน  ผมมองตามันด้วยความรู้สึกของคนที่กำลังจะเสียของเล่น  เอ้ย!  ของที่ตัวเองรัก  ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้อาลัยมันนัก  ไม่รู้..จริง ๆ

“เราจะกลับมา..จะกลับมาเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย  สัญญากับเราได้หรือไม่โกสินทร์  ว่าจะรอเรา”  อดหรี่ตาจับผิดมันไม่ได้.

“ให้รอ..รออะไร?  ค่าเสียหายที่เหลือ?  หรือจะกลับมาทำงานใช้หนี้ที่ยังค้างอยู่  หรืออะไร?..ไอ้ผิดรู”  เสียงขำพรืดดังมาจากคนที่ยืนอยู่หัวแถว  เหลือบมองมันก็รีบตีหน้าขรึม  ไอ้แขกถังแตกมันยิ้มกว้างแล้วขยี้มะเหงกใส่กบาลผม

“เราสั่งให้รอก็ต้องรอ  อย่ามีใคร  อย่ายกหัวใจของเธอให้ใคร..รอจนกว่าเราจะกลับมาขอหัวใจของเธอ  ตอนนี้เธอได้หัวใจของเราแล้ว..ได้โปรด..รับปากเราว่าจะรอเรา..โกสินทร์”  มองดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของมันแล้วกะพริบตาปริบ  เน่าก็เน่าแต่ผมก็อยากได้ยินอีก  หัวใจเหรอ?  ไอ้นี่นอกจากจะบ้าแล้วยังตกหลุมรักคนง่ายอีกต่างหาก   สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วบอกมัน

“มึงให้กูรอแต่กูไม่มีหลักประกันอะไรซักอย่างว่ากูจะรอเก้อรึเปล่า?  แล้วมึงตกหลุมรักคนง่ายเหมือนเดินตกท่อแบบนี้เดี่ยวมึงก็ลืมกู..”  หน้าคมของมันนิ่งมองหน้าผม  ผมพูดกับมันโดยไม่หลบตา  ระยะเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงมันไม่ยั่งยืนพอจะให้ผมเชื่อในหัวใจที่มันบอกว่าให้ผมมาแล้ว  ทุกอย่างอยู่ที่ตัวมันทั้งหมด..ว่าจะทำให้ผมรัก  หรือลืมได้ในเวลาไม่นาน

“กูไม่รอ  มึงมาเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน  ไป..กลับไปทำอะไรของมึงให้เรียบร้อย  แล้วค่อยว่ากันไอ้ผิดรู”  มันยิ้มบางแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้  ผมไม่หลบการเข้าหานั้น  มองปลายจมูกที่กดลงมาที่แก้มตัวเอง  ไล่สายตาขึ้นไปมองแพขนตาสีดำสนิทของมันก่อนจะสบตาสีน้ำตาลในระยะประชิด  แววตาเชื่อมที่ส่งมาทำให้หัวใจผมเต้นเสียงดังกลบความอายที่คนอื่นกำลังมองได้มิด

“เรารักโกสินทร์..เป็นความรักอย่างไม่ต้องสงสัย”  หลับตารับสัมผัสจากริมฝีปากนุ่มที่แตะลงมาเบา ๆ ที่ริมฝีปากผม  ก่อนจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง  มันจับมือผมไว้แล้วยิ้มอ่อนโยน  หันไปก้อมหัวให้พ่อผมแล้วบอกเสียงดังฟังชัด

“ขอบคุณมากที่ให้เราได้พักอาศัย  เราจะกลับมาทำตามประเพณีที่คนไทยต้องกระทำเมื่อต้องมาสู่ขอโกสินทร์”  ตาเหลือกลานมองหน้าจริงจังของมัน  พ่อมึงตายเหอะ!  แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากบอกมันก็ก้มมาจูบลาผมอีกที  รีบบอกก่อนมันจะปล่อยมือ

“กูไม่ชอบให้ใครหันหลังให้  จะไปก็ไปไม่ต้องลากู”  แรงกอดของมันโอบล้อมผมไว้ชั่วครู่ก่อนจะกระซิบบอก

“เราจะรีบมา”  หลับตาเก็บสัมผัสอบอุ่นไว้จนแรงกอดนั้นจางหาย  บอกมันเสียงดังถึงระยะเวลาที่ผมมักจะหลงลืมมันไปได้หากนานเกินช่วงเวลานี้

“ถ้ากูจบ ม.ปลายแล้วมึงยังไม่มา..ก็หายไปจากชีวิตกูได้เลย  ไม่ต้องกลับมา”  ไม่มีเสียงตอบรับจากมัน  แต่เสียงฝีเท้ามั่นคงของมันทำให้ผมรู้ว่ามันรับรู้เงื่อนเวลาของผมแล้ว  ตอนนี้ผมอยู่  ม.6  ตอนนี้ปิดเทอม  1  มันเหลือเวลาเท่าไหร่ก็ไปบวกลบเอาเอง

หลังจากมันกลับไปผมก็ทำตัวเหมือนไม่เคยมีมันเข้ามาในชีวิตมาก่อน  พวกไอ้บาสตอนแรก  ๆก็ถามหาแล้วก็บ่นถึง  แต่พอเปิดเทอมก็เงียบกันไป  จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อนจะสอบมันก็รื้อฟื้นเรื่องภูริชขึ้นมาอีกครั้ง

“พี่ดูข่าวต่างประเทศรึเปล่า?  ผมเห็นพี่ภูออกทีวีด้วยพี่  จับกบฏอ่ะ  กลับไปจะไปเสริชเน็ตดูรายละเอียดข่าว..”  มันพล่ามข้างหูผมก็ไม่ได้สนใจฟัง  ผมไม่เคยได้รับการติดต่อจากมัน  และไม่สนใจจะรับรู้ข่าวอะไรจากคนอื่นด้วย  แม้แต่กับพี่หมัด  คนสนิทของมันที่ต้องมาสั่งปลาที่บ้านผมไปกินที่บ้านที่เมืองมันโน่น  ผมก็ไม่ฟัง.. 

ผมอยากฟังจากปากมันเอง..ทุกเรื่อง

สอบวันสุดท้ายเสร็จผมก็กลับบ้านตามปกติ  ผมสังหรณ์มาหลายวันแล้วว่าเดี๋ยวมันต้องโผล่หัวมา  ไม่ผิดจากที่คิดไว้แม้แต่น้อยเมื่อลานจอดรถผมมีรถยนต์แปลก ๆ 3-4  คันมาจอดที่บ้าน  ก้มหัวทักทายคนติดตามของมันที่ค้อมตัวต่ำเคารพผม  เดินเข้าบ้านก็เห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคย  พ่อผมลุกจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องปล่อยให้ผมอยู่กับมันตามลำพัง

แผ่นหลังกว้างของมันค่อย ๆ หันกลับมามองผม  ดวงตาสีน้ำตาลคู่เดิมมองผมนิ่ง  ความรู้สึกทั้งหมดมันสื่อมาให้ผมผ่านดวงตาของมัน  มองทุกก้าวที่มันก้าวเข้ามาหา  ปล่อยกระเป๋าตกพื้นทันทีที่อ้อมกอดของมันโอบกอดผม


“คิดถึง..”   ผมเองก็คิดถึงคำอื่นไม่ออกเหมือนกัน  หลับตารับสัมผัสจากริมฝีปากนุ่มของมันที่พรมจูบผมทั่วหน้า  มันอ้าปากจะพูดผมก็ปิดปากมันด้วยจูบของตัวเอง  ผมกอดมันจนหายคิดถึงมันก็พาผมมานั่งรับลมที่สวนศิลปะหน้าบ้านผม  ฟังเรื่องชีวิตรันทดหดหู่ของมันไปด้วยกินข้าวไปด้วย  จับใจความได้ว่า..

โคตรพ่อมันเป็นสุลต่าน  มันเองเป็นเจ้าชาย  แล้วน้องพ่อแม่งอยากได้อำนาจก็จะก่อกบฏ  มันเองก็กลับไปปราบกบฏหลังจากปิ้งความน่ารักของผมที่ช่วยชีวิตมันเอาไว้  อามันยอมหยุดความโลภเพราะมันบอกจะยกตำแหน่งรัชทายาทให้หลาน  เพราะตัวมันเองคงไม่มีทายาทเอาไว้สืบสกุล  ฟังได้แค่นี้ผมก็ให้มันหยุด  วางจานข้าวลงแล้วดึงมือมันเข้าห้อง..

เรื่องราวต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องที่พวกคุณควรใช้วิจารณญาณ  และใช้จินตนาการกันให้จงหนักเอาเองนะ..

ผมรู้แค่  2  อย่าง  คือ  1.  ผมรักมันมันรักผม  ส่วนอีกเรื่องน่ะเหรอ  หึหึ..  อิสลามอย่าง  ‘ผิดรู’  สามารถรักผู้ชายได้เพราะมีแม่เป็นคนไทยและนับถือพุทธครับ  เหตุผลช่างเหนือคำบรรยายมาก  พอหลังผมแตะที่นอนเจ้าชายจากแดนไกลก็กระซิบข้างหูถึงเรื่องที่ผมต้องตาเหลือกลาน..

“โกสินทร์..ชื่อของเราน่ะ  มันแปลว่า  ‘แผ่นดิน’  ต่างหาก..  รู้หรือไม่ว่าการปดเราซึ่งเป็นถึงสุลต่านมีโทษหนักเช่นไร?





เจ้าโดนหนักแน่วันนี้  หึหึ”










อึก..ช่วยกูด้วยยยยยยยยยยย


END.


แถม
.
.
.

พอหลังผมแตะที่นอนเจ้าชายจากแดนไกลก็กระซิบข้างหูถึงเรื่องที่ผมต้องตาเหลือกลาน..

“โกสินทร์..ชื่อของเราน่ะ  มันแปลว่า  ‘แผ่นดิน’  ต่างหาก..  รู้หรือไม่ว่าการปดเราซึ่งเป็นถึงสุลต่านมีโทษหนักเช่นไร?

เจ้าโดนหนักแน่วันนี้  หึหึ”  กลืนน้ำลายเหนียวลงคอแล้วคิดในใจดังลั่น  ‘อึก..ช่วยกูด้วยยยยยยยยยยย’  ร้องไปงั้น  ใครมันจะมาช่วยวะ?  ใครจะกล้าขวางสุลต่านแห่งอีเรีย  อย่าคิดว่าผมไม่ตกใจที่รู้ว่ามันเป็นเจ้าชาย  แต่จะให้สาวแตก  ปลาบปลื้มที่มีแฟนเป็นเจ้าชายมาช่วยยกลังปลาให้ตั้งหลายชั่วโมงก็กระไร  พี่หมัดมันพราวด์ลี่พรีเซนท์นายมันชิบหายวายวอดอยู่แล้ว  แต่ผมไม่อยากฟัง..

ผมอยากฟังทุกเรื่องจากปากมันเอง..เคยบอกแล้วนี่?!

ยิ้มเจื่อนรับปลายจมูกที่กดลงมาที่แก้มซ้าย  สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มที่เมื่อต้องรับโทษที่ปดเรื่องความหมายของชื่อที่หลอกมันเอาไว้  แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้..

แม่ง..ไม่ใจเลยว่ะ!

ริมฝีปากสีแดงที่จูบลงมาที่ริมฝีปากล่างผมเบา ๆ  ไม่ทำให้เคลิบเคลิ้ม  ลิ้นดันกระพุ้งแก้มเพราะความหงุดหงิดเล็ก ๆ ภูริชผละออกมามองหน้าด้านข้างที่เบี่ยงหลบจูบของผมแล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แก้มผม  ไล้ปลายจมูกไปตามโครงหน้าก่อนจะหอมที่ใบหูผมฟอดใหญ่

“ยังเป็นเด็กอยู่เลยนะโกสินทร์”  ขมวดคิ้วแล้วหันไปสบตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองผมอยู่ก่อน  แววตาอ่อนโยนของคนเป็นผู้ใหญ่นี่อบอุ่นดีเหมือนกันแฮะ  ยิ้มบางแล้วถอนหายใจยาว  ยื่นหน้ากดปลายจมูกตัวเองลงกับแก้มใสของสุลต่านแห่งอีเรีย  ภูริชยิ้มกว้างแล้วก้มลงจูบริมฝีปากผมเบา ๆ ก่อนจะไล้ปลายลิ้นชิมริมฝีปากผมทั้งบนและล่างสลับกันอย่างอ่อนโยน  ฝ่ามือร้อนสัมผัสผมทั่วทั้งตัวก่อนจะสอดเข้ามาในเสื้อนักเรียน  ผมยิ้มกับริมฝีปากที่ยังชิดกันแล้วจับมือมันมาปลดกระดุมเสื้อตัวเองออก

ปลายนิ้วเรียวแกะกระดุมผมออกแล้วดึงเสื้อผมออกจากตัว  ริมฝีปากนุ่มผละออกจากริมฝีปากผมแล้วบดจูบไปทั่วทั้งซอกคอจนถึงหน้าอก  ไม่มีส่วนไหนที่ภูริชไม่ได้แตะปลายลิ้นชิม  แอ่นอกรับปลายลิ้นร้อนที่สัมผัสยอดอก  ครางต่ำกับความสุขที่สุลต่านปรนเปรอให้  ยกก้นให้ถูริชถอดกางเกงผมให้ง่ายขึ้น  มันผละออกเพื่อมองสำรวจผม

เห็นสายตามันแล้วไม่อยากจะบอกพวกคุณเลย..กูโคตรแมนเลยสินะ

มันยิ้มบางให้ผมก่อนจะถอดเสื้อผ้ามันออกบ้าง  แผ่นอกแกร่งรับกับกล้ามเนื้อสมส่วนทั่วทั้งตัว  ไรขนสวยตั้งแต่ใต้สะดือลงมาทำให้ผมอยากเห็นปลายทางที่อยู่ในกางเกงในสีขาวของมัน  มองตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองตาผมไม่กะพริบแล้วหลับตาลงเมื่อภูริชก้มหน้าลงมาจูบผม  มือนุ่มลูบไล้ผมทุกสัดส่วน  โอบกอดแผ่นหลังแกร่งเข้าหาตัวเมื่อฝ่ามือร้อนสัมผัสท่อนแข็งของผม  ภูริชขยับสะโพกตัวเองเข้าหาผมจนก้นผมสัมผัสความต้องการที่ดันผ่านกางเกงเนื้อบางของมัน  ยิ่งมันจงใจกดส่วนหัวเข้ามาที่ช่องทางร้อนของผมมันยิ่ง..เสียว

ดันหน้ามันออกมามองตาก่อนจะยิ้มอ่อนโยนให้มันบ้าง  ภูริชยิ้มกว้างตอบผมแล้วกอดผมแน่นขึ้น  แยกขาออกแล้วเลื่อนมือล้วงจับความต้องการของมันผ่านกางเกงใน  ส่วนหัวที่โผล่พ้นกางเกงในสู้ปลายนิ้วผมเต็มที่  มองตาสีน้ำตาลและริมฝีปากสีแดงที่เผยอครางเมื่อผมบดปลายนิ้วหยอกล้อกับส่วนปลายคนน้ำเหนียวไหลเปรอะมือ 

“ซืดดด”  หายใจหอบหนักเมื่อเสียงครางของมันทำให้ความดิบในตัวผมพุ่งพล่าน  กดเจ้าชายสักครั้งจะเป็นไงวะ?! 

...ได้แค่คิดว่ะ  เพราะมันถอดกางเกงในตัวเองทิ้งแล้วหันมาจับผมดูดปากอย่างแรง  จับความต้องการของมันเองมาถูที่ก้นผมจนเลอะเทอะไปหมด  แต่แม่ง..เซ็กซี่ฉิบหาย
ดันตัวมันให้ลุกขึ้นพร้อมกับตัวผมที่ขยับถอยหลังจนพิงกับหัวเตียง  มันจับขาผมยกขึ้นแล้วแทรกตัวเข้ามาจนไม่มีช่องว่าง  แล้วจับสะโพกผมยกขึ้น  จับความต้องการของตัวเองรอรับช่องทางร้อนของผมที่มันคอยกำกับให้ค่อย ๆ หย่อนลงมาหาช้า ๆ ผมเห็นความใหญ่ของมันแล้วก็ต้องลืมความอายไปชั่วขณะ  ถ่มน้ำล้ายตัวเองลงบนฝ่ามือแล้วป้ายที่ท่อนแข็งของมันก่อนจะเป็นคนควบคุมการทิ้งน้ำหนักเอง

แหงนหน้ากัดกรามแน่นเมื่อส่วนหัวของมันผลุบเข้าไปในตัวผมเรียบร้อยแล้ว  เหงื่อไหลท่วมทั้งที่แอร์ในห้องทำงานตามปกติ  น้ำลายของผมกับภูริชช่วยกันหล่อลื่นจนความของมันเข้ามาจนสุด  ผมก้มหน้าลงมาจูบมันบรรเทาความเจ็บและปล่อยให้ร่างกายพร้อมก่อนจะส่งสัญญาณบอกมันด้วยการตอดถี่ยิบ  ภูริชหัวเราะแต่ผมเสียวหนัก  แม่งกะแทกเข้าจุดเสียวผมเต็มรักเหอะ

“ซี๊ดดด  เสียวว่ะ  เร็วเหอะ  เดี๋ยวกูเจ็บไม่ให้ต่อนะผิดรู”  มันยิ้มกว้างก่อนจะจับหน้าผมรับจูบหวาน  บั้นท้ายของมันทำงานหนักหน่วงบวกกับหน้าตาที่เก็บกลั้นอารมณ์ไม่ไหว  ผมรับความสุขที่มันมอบให้เต็มที่แล้วปลดปล่อยก่อนเวลาอันควรในฝ่ามือนุ่มของมัน  แล้วมันก็ปลดปล่อยตามผมมาในเวลาไม่ต่างกันนัก  ผมดันหน้าท้องมันออกก่อนมันจะปล่อยได้ทันพอดี  ปรับลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะให้มันพยุงมาล้างตัว  ล้มตัวลงนอนก็บอกให้มันเอาเสื้อผ้าผมใส่ตระกร้าให้เรียบร้อยค่อยมานอนกอดผม

เสียงสุลต่านกระซิบบอกรักผม  หลอกหลอนจนถึงในฝัน  ฝันที่เหมือนจริงมาก..

ผมใส่ผ้าโพกหัวสีขาว  มีที่คาดสีดำคาดกันผ้าปลิวอีกชั้นหนึ่ง  มีผ้าปิดหน้าสีน้ำตาลอ่อนปิดกันทรายเข้าจมูก  ขี่ม้าอยู่ในทะเลทรายสีทอง  โดยมีคนที่กุมบังเหียนม้านั่งตัวติดกันกับผม  ผมหันไปมองแล้วยิ้มกว้างให้คนคนนั้น  ยื่นมือไปเปิดผ้าที่มันคาดปิดหน้าแล้วยื่นปลายจมูกไปหอมที่ปลายคางมน  ดวงตาสีน้ำตาลของคนคนนั้นมองผมแล้วส่งยิ้มกว้างคืนมาให้  ประคองหน้าผมมาจูบเนิ่นานก่อนจะพาขี่ม้ากลับไปที่บ้านหลังใหญ่..เหมือนวังมากกว่า

ผมว่ามันคงเป็นฝันบอกอนาคตน่ะ..





อนาคตอันใกล้ของผมกับสุลต่านแห่งอีเรียไงครับ..


END.

กอด ๆ บวก ๆ ค่ะ
เอาผิดรูมาส่งค่ะ  เกิน  20,000 อักษร  ตัดแบ่งได้  3  ท่อนค่ะ  วันนี้ผู้ใหญ่ที่ทำงานไม่อยู่  รู้สึกเป็นอิสระมากค่ะ
คุณ PoP~Pu  กอดกันๆ จิดีใจที่คุณชอบเรื่องนี้นะคะ  จิก็ชอบค่ะ  เกือบไม่ได้เอามาลงค่ะถ้าไม่มีนักอ่านใจดีที่เก็บเรื่องนี้ไว้อ่านเล่น  ไม่ว่าจะเป็น พี่ love2y  คุณ @rnon  และคุณ ΩPRESTOΩ (คนสุดท้ายนี่น่ารักมาก  เก็บแฟนฟิคไว้ด้วย  ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ) ไฟล์ของจิเองเก็บไว้แบบกระท่อนกระแท่นมวาก  น่าขายหน้าที่สวดดดดด........คิดถึงนะคะ ^^
คุณ nekko  ใช่ค่ะ  เจอแบบนี้ต้องยอมเป็นบ้าแน่ๆ  แล้วก็...บ้ากันได้น่ารักดีแท้ๆ เลย

วันนี้ไปกินข้าวนอกบ้านมาค่ะ  แบบ  เห็นผู้ชายตัวสูงๆ ยืนดูดบุหรี่หน้า 7-11  โอ้โห..เท่  เถื่อน  หยาบมาก  น่าจิ้นมาก ๆ อาห์..ขนลุกพรึ่บพรั่บเลยทีเดียว

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามนะคะ
 :กอด1: :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
น้องต้นแลจะน่ารักและหลงตัวเองมากนะผิดรู  55555


 :กอด1: :L1: :pig4:


ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :L2: ชอบค่ะ เขียนได้น่ารักทุกคู่เลย อ่านไปยิ้มไป

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
น่ารักทุกคู่เลยค่ะ แต่ฟินเจ้าชาย(สุลต่าน)ยกลังปลาสุดละ

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3

ออฟไลน์ jira

  • ปัญญาไม่ค่อยมี หน้าตาดีไปวันๆ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 890
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1324/-3
มนต์รักขนมครก


นั่งกอดอกมองริมฝีปากสีชมพูวาววับด้วยลิปกลอสของครูสอนพิเศษที่แม่จ้างมาสอนเลขให้ที่บ้าน  ไล่สายตาลงไปมองซอกคอขาว  เลยไปจนถึงคอเสื้อเว้าที่อวดเนินอกอย่างจงใจ  เหลือบมองดวงตาสีฟ้าของครูแล้วกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ  ครูสอนพิเศษค่อย ๆ วางหนังสือเลขลงบนโต๊ะแล้วโน้มตัวมาจนหน้าห่างจากผมไม่ถึงฝ่ามือกั้น  หลับตาลงเมื่อริมฝีปากของครูสอนพิเศษแตะที่ริมฝีปากผมเบา ๆ ก่อนจะเพิ่มความร้อนแรงขึ้นตามอารมณ์   หนังสือเลขถูกมือเรียวกวาดลงจากโต๊ะ  เสียงลมหายใจของผมแข่งกับเสียงจากริมฝีปากครูที่จูบผมไปทั่วทั้งหน้าอก  ลืมตาขึ้นมองครูที่นั่งคร่อมผม  ครูแลบลิ้นเลียริมฝีปากเมื่อได้เห็นความแข็งขืนของผมกำลังตั้งชันรอการมาเยือนของครู

คนสวยกำลังจะนั่งทับลงมา..ประตูห้องผมก็เปิดพอดี

“หือ?!  เต้!  แยกออกจากกันเดี๋ยวนี้นะ!”  แม่ผมตรงดิ่งเข้ามากระชากแขนครูให้ลุกขึ้นแล้วเหวี่ยงไปข้างหลังทันที  ดึงผมให้ลุกขึ้นแล้วเอาตัวบัง..ไม่ให้ครูมองความแข็งขืนของผมที่ยังคงชูคออยากรู้อยากเห็นอยู่  แม่จ้องครูเขม็งจนครูต้องขอโทษแล้วเดินออกจากบ้านไป  แหงล่ะ!  ใครจะอยากติดคุกข้อหาทำอนาจารกับเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ  แต่เด็กอย่างผมมันก็โตเกินวัยไปหน่อย  ครูสอนพิเศษหรือเด็กมหาลัยแถวนี้ก็อยากสอนให้ผมโตตามรูปร่างหน้าตาเร็ว ๆ

กลืนน้ำลายลงคอเมื่อแม่หันมามองหน้าผมนิ่ง..ฮะฮะฮะ




โคตรซวย!

..........................

ท่ามกลางความร้อนจากแสงแดดที่แผดเผาหลังฝนตก  ใต้ต้นไม้ใหญ่หลังบ้านก็ยังให้ความร่มเย็นให้คนในบ้านอย่างผม  ป้า  และลูกพี่ลูกน้องได้อาศัยร่มหลบแดดนั้น  ยืนมองมือขาวจับกระบวยตักแป้งที่ผสมน้ำหยอดลงหลุมทีละหลุม  กลั้นหายใจลุ้นแทนอย่างห้ามไม่ได้เมื่อมันหยอดไม่ตรงหลุม  เจ้าตัวสบถเสียงเบาแต่ก็ได้ยินชัด  ‘เช้ดเข้!’  เผลอขมวดคิ้วลุ้นตามตอนมันหยอดแป้งใหม่อีกครั้ง   มองแป้งหยดสุดท้ายหยดลงหลุมแล้วใจเต้นโครมคราม

“ตามึงแล้วเชี่ยเต้!  โอ้ยยยยย เจ็บครับ!”  เหลือบมองมือขาวของลูกพี่ลูกน้องที่ขึ้นสีแดงเข้มเพราะป้าหยิกเต็มแรง  หน้าขาวจิ้มลิ้มของมันก็เหยเกไปตามระเบียบ  ยิ้มมุมปากแล้วเอื้อมตักแป้งมาหยอดลงหลุมขนมครกบ้าง  จ่อบนหลุมแล้วเทพรวด  พลิกข้อมือเปลี่ยนเป้าหมายไปที่หลุมต่อไป  ทำแบบเดิมไปจนครบทุกหลุมแล้วเงยหน้ามองหน้าเหวอของตั้ม

“น้องเต้เก่งมากเลยลูก  หยอดครั้งแรกไม่มีเลอะเทอะเลย  หนูจะเอาหน้าอะไรลูก?”  ยิ้มบางตอบป้าแล้วเอื้อมไปอุ้มชามข้าวโพดที่ฝานแล้วมาโรยหน้าขนมครกของตัวเอง  มองหน้าไอ้ตั้มแล้วอดขำไม่ได้  มันหยิบกระบวยตักแป้งไปเติมเบ้าที่ไม่เต็ม  ป้าก็ดุเพราะแป้งมันจะสุกไม่เท่ากัน  ขนมมันจะไม่อร่อย  ฟังเสียงเถียงกันของมันกับป้าแล้วแย่งใส่เผือกโรยหน้าขนมครกของมัน..ปนกับต้นหอมด้วย

“เชี่ยเต้มึงทำไร?!  ใครจะกินวะไอ้ห่านี่!”  ป้ามองผมกับไอ้ตั้มเถียงกันแกล้งกันแล้วยิ้มส่ายหัวเดินเข้าไปในบ้าน  ผมหันมามองหน้ามันแล้วกระซิบเสียงเบาแต่ก็ดังพอให้มันได้ยิน

“มึงก็เอาไปให้พี่พลกินไง”  มันหยุดเขี่ยต้นหอมออกจาก  ‘ขนมครกหน้าเผือก’  แล้วมองหน้าผมแล้วอ้าปากค้าง  ยิ้มมุมปากแล้วอาศัยความเร็วส่วนตัว  คว้าช้อนมาแคะขนมครกของตัวเองมายัดปากที่อ้าของมัน  อมยิ้มกับเสียงร้องของมันแล้วหยิบจานมาวางข้าง ๆ แล้วฮัมเพลงไปด้วยแคะขนมครกออกจากเบ้าไปด้วย  มันยืนนิ่งมองหน้าด้านข้างของผมนาน  ยิ้มบางกับช้อนแล้วหันไปมองหน้ามัน

“กูไม่ได้บอกใครว่ามึงกับพี่พลเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมตลาด  เป็นเรื่องของมึงที่จะเป็นคนบอกพ่อแม่มึงเอง..ไม่ต้องห่วงว่ากูจะเอาไปบอกใคร”  ยื่นมือไปลูบหัวมันแล้วหันมาแคะขนมต่อ  เสียงขอบคุณของมันดังพำพำอยู่ข้างหลัง  ลูบหลังมือที่กอดเอวผมเบา ๆ ผมรู้ว่าลูกพี่ลูกน้องผมมีแฟนเป็นผู้ชาย  ไม่แปลกหรอก..เพราะหน้าตาอย่างมันไม่น่าจะรอดมือผู้ชายไปตกถึงท้องผู้หญิงคนไหนแน่

“ไปดูขนมครกหน้าเผือกของมึงไปตั้ม..กูได้กลิ่นไหม้”  มันรีบผละออกจากเอวผมแล้วหันไปโวยวายใส่เบ้าขนมครกของตัวเองแทน  ขำมันก่อนจะรีบแคะของตัวเองจนหมดแล้วช่วยมันแคะขนมครกออกจากเบ้ามัน    นั่งหัวเราะกับผลงานของเราแล้วจัดการจับแปรงมาจุ่มน้ำมันพืชละเลงเช็ดเบ้าขนมครกจนครบทุกเบ้า  ตักแป้งหยอดแล้วเอาฝามาปิด  รอพักใหญ่ก็เปิดฝาแล้วโรยต้นหอมลงไป  พอสีของต้นหอมเปลี่ยนเป็นเข้มกว่าเดิมก็เอาช้อนแคะออกมาจากเบ้า  นั่งกินขนมครกหน้าข้าวโพดกับเผือกไหม้ของไอ้ตั้มจนอิ่มแปล้แล้วช่วยกันเก็บล้าง  เตรียมโต๊ะ  เก้าอี้กับอุปกรณ์ขาย  ‘ขนมครก’  ไว้สำหรับขายที่ไนท์บาร์ซ่าพรุ่งนี้

“พรุ่งนี้ป้าขับไปส่งที่ตลาดนะลูก  ตั้มเราจะขายชาไข่มุกหรือจะไปช่วยเต้ขายขนมครกล่ะ?”  มันยิ้มกว้างแล้วบอกป้าว่าเลือกจะขายขนมครกกับผม  ยิ้มให้มันแล้วเดินขึ้นห้องไปอาบน้ำล้างตัวเพราะเหนียวตัวกับเหงื่อที่ไหลโชกมาทั้งวัน  อากาศที่นี่ร้อนมากต่างจากที่บ้านผมลิบลับ! 

เอาล่ะ!  ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ครูสอนพิเศษเข้าหาผมที่บ้านตอนนั้น  ผมก็ถูกส่งมาอยู่บ้านป้าตอนใกล้จะเปิดเทอมเพราะที่บ้านไปต่างประเทศกันหมด  แม่กลัวว่าผมจะพาใครมานอนด้วยเลยบอกให้ผมมาอยู่บ้านป้าจนกว่าพ่อกับแม่จะกลับ  นี่ก็ปาเข้าไป  10 วันแล้วครับที่ผมมานอนกลิ้งอยู่เฉย ๆ ที่บ้านป้า 

“มึง..รู้ตอนไหนวะ?  เรื่องกูกับพี่พลน่ะ”  ยิ้ม ๆ แล้วหันมามองหน้าลำบากใจของมัน  ผลักหัวเน่าเล่นแล้วโยกไปมาเบา ๆ

“สายตาไงไอ้ตั้ม  มึงมองกันไม่เหมือนเพื่อนร่วมตลาด  มันมีฟองอากาศสีชมพูลอยวิ้งอยู่รอบ ๆ จนกูรับไม่ได้  รักกันนาน ๆ นะตั้ม  กูว่าพี่พลมันก็เป็นคนดี..ลุงกับป้าน่าจะยอมรับได้”  มันยิ้มบางแล้วเดินเข้ามาล้มตัวนอนหนุนตักผม  จับมือผมมาโปะตรงหัวมัน  ผมรู้ว่ามันไม่สบายใจกับเรื่องนี้  ไม่มีใครยอมรับได้อย่างหน้าชื่นตาบานว่าลูกชายตัวเองเป็นเกย์แน่  ครอบครัวมันก็อาจจะเป็นหนึ่งในครอบครัวที่ยอมรับไม่ได้เหล่านั้นเช่นกัน  โชคดีที่ครอบครัวผมไม่สนใจเรื่องแบบนี้  เพราะผมเองก็พาแฟนเข้าบ้านตลอด  ไม่ว่าจะผู้หญิง  หรือผู้ชาย  พ่อกับแม่ก็ไม่เห็นจะว่าหรือห้ามไม่ให้คบ  บอกแค่อย่าเกินเลยกันก็พอ  แต่พออยู่ใกล้ ๆ กัน..บางครั้งมันก็ห้ามไม่ได้ครับ  ถอนหายใจยาวแล้วลูบหัวทุยของมันเล่นจนเริ่มเมื่อยขา

“ลุกไปนอนที่เตียงมึงไอ้ตั้ม  กูเมื่อยแล้ว”  มันลุกไปโดยดี  มองหน้ามันแล้วยิ้มให้กำลังใจ  ลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงไปใหม่  มันยิ้มสำนึกผิดก่อนจะคลานเข่ามานวด ๆ ขาให้ผม  ปัดมือมันทิ้งเพราะยิ่งมันนวดผมยิ่งปวดหนัก  ไล่ให้มันไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อย ๆ ลุกกะเผลกไปที่ตู้เสื้อผ้า  หยิบกางเกงนอนออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัว  พาดบ่าแล้วยืนรอหน้าห้องน้ำ  อาบน้ำต่อจากมันเสร็จก็ล้มตัวลงนอน

หลับลึกจนฝันอะไรแปลก ๆ ฝันเห็นพญานาคตัวเท่าต้นกล้วยหลังบ้านป้าเลื้อยไล่กวด  วิ่งหนีไม่ทันโดนรัดจนหายใจไม่ออก  สะดุ้งตื่นพร้อมกับเหงื่อที่ไหลท่วม  นั่งปรับลมหายใจพักใหญ่ก็ลุกไปอาบน้ำล้างเหงื่ออีกรอบแล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง  คราวนี้หลับสนิทถึงเช้า..ไม่ฝันประหลาดอีกเลย  ตื่นตอนเช้าก็เล่าให้ป้าฟัง  ป้าหันมามองผมเต็มตาแล้วยิ้มกว้าง 

“ฝันดีมีโชคนะเต้  จะได้สัตว์  2  ขาจ๊ะ”  ยิ้มงงตอบป้าก่อนจะช่วยป้ายกกับข้าวไปที่โต๊ะ  กินข้าวเช้าเสร็จก็ไปตลาดกับป้าช่วยหิ้วของ  กลับมาถึงบ้านก็ช่วยทำแป้งขนมครก  ช่วยไอ้ตั้มที่หนีการหิ้วของที่ตลาดหั่นเผือก  เตรียมของเสร็จก็บ่าย  2  เกือบบ่าย  3  ขึ้นมาอาบน้ำแล้วงีบกับไอ้ตั้มจนถึงบ่าย  4 ครึ่ง  ตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอใครแล้ว  ตั้มมันโทรหาป้า  ป้าไปเตรียมของให้ที่ตลาดเรียบร้อยแล้ว  ให้ผมกับตั้มไปขายได้เลย  ขับรถตามป้าไปที่ตลาดแล้วเดินไปพร้อมไอ้ตั้ม 

ไนท์บาร์ซ่าที่ผมเคยเดินมันกว้างกว่านี้แล้วของก็เยอะกว่านี้มาก  อาจจะเพราะผมอยู่จังหวัดใหญ่  นักท่องเที่ยวเยอะ  ของขายมันก็เลยเยอะตามไปด้วย  แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน  ดูน่ารักดี  เดินมาเกือบถึงท้ายซอยก็เจอป้ายืนอยู่หน้าร้าน  เดินเข้าไปหาแล้วเข้าร้าน  ป้าส่งเงินทอนให้ตั้มแล้วหันมายิ้มให้ผม  ยิ้มตอบป้าแล้วหยิบกระบวยมาคนแป้งไม่ให้มันนอนก้น  มองส่วนประกอบทุกอย่างแล้วหันไปยิ้มให้ไอ้ตั้ม

“ไปช่วยพี่พลขายน้ำแข็งใสไป  อยู่ก็เกะกะกูเปล่า ๆ”  มันเหลือบมามองผมสลับกับถุงเงินทอน  เอื้อมมือแย่งถุงเงินทอนมาเทใส่ลิ้นชักโต๊ะแล้วไล่มันอีกครั้ง  มันถอนหายใจแล้วบอกผมว่าจะหมั่นเดินมาช่วย  ยิ้ม ๆ แล้วโบกมือไล่เป็นครั้งที่  3  เปิดแก้สติดเตาแล้วเบาให้อ่อนที่สุด  ยิ้มส่งแผ่นหลังมันแล้วหันมามองเบ้าขนมครกของตัวเอง  เงยหน้ามองลูกค้าคนแรกที่เดินมาสั่งแล้วยิ้มการค้าทักทาย

“สักครู่ครับ..สั่งทิ้งไว้แล้วเดินไปดูของร้านอื่นก่อนได้นะครับ  ผมยังไม่ได้เริ่มทำเลย”   ลูกค้ายิ้มเขิน ๆ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร  เต็มใจจะยืนคอย  ยิ้มบางตอบแล้วลงมือจุ่มก้อนใบตองลงในน้ำมันป้ายแถวเบ้า  หยอดแป้งลงเบ้า  เงยหน้าขึ้นมองลูกค้าอีกกลุ่มที่เดินเข้ามายืนรอคิวแล้วบอกประโยคเดิม  ผมก็ได้คำตอบแบบเดิม ๆ กลับมาอีกครั้ง  หยอดแป้งลงเบ้าที่ว่างแล้วเงยหน้าถามลูกค้าคนแรกว่าเอาหน้าอะไร  หยิบข้าวโพดมาโรยแล้วหันหลังมาค้นกระทงใบตองที่ป้านั่งทำมาให้  หยิบช้อนออกมาแคะขนมครกออกมาใส่กระทงแล้วส่งให้ลูกค้า

“10  บาทครับ”  ลูกค้าทำหน้าเหวอกับราคาขนมครกแล้วบอกผมว่าเอาหน้าเผือกกับต้นหอมเพิ่มอย่าง  2  กระทง  ยิ้ม ๆ แล้วหยอดแป้งใหม่  หยิบช้อนแคะขนมครกที่สุกมาใส่กระทงแล้วส่งให้ลูกค้าทีละคน  มันไม่แพงแต่ก็ไม่ถูกเท่าไหร่  ชิ้นละบาททั้งที่ต้นทุนมันก็ไม่ได้สูงอะไร  บวกลบแล้ว..ถึงผมจะแคะขนมเสียไปหลายร้อยชิ้น  ป้าก็ยังได้กำไรตั้งหลายร้อยอยู่ดี  ยืนแคะขนมครกไปก็เริ่มสังเกตสิ่งรอบตัว  ลูกค้าร้านผมแน่นกว่าร้านอื่น  และยังเป็นสาว ๆ ทั้งหมดอีกต่างหาก

“30  ครับ”  รับเงินแล้วใส่ลิ้นชัก  เงยหน้ามองแถวยาวยืดแล้วยิ้มกับเบ้าขนมครก  ก้มหน้าก้มตารับออเดอร์แล้วแคะขนมครกลงกระทงจนเกือบจะทุ่ม  ไฟในตลาดยังไม่เปิดให้เพราะยังมีแสงสว่างจากพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน  เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงจากโทรโข่งที่กำลังส่งเสียงหนวกหูหาเสียงและแนะนำผู้สมัคร ส.ส. ในเขตพื้นที่ในตลาด  เพ่งมองไปหน้าปากซอยก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ใส่เสื้อสีเดียวกันเดินเรียงหน้าเข้ามาในตลาด  ยักไหล่ไม่ใส่ใจก่อนจะหันมาแคะขนมครกหน้าต้นหอมต่อ  ง่วนกับขนมครกและลูกค้าที่แอบใช้มือถือถ่ายรูปผมตอนส่งขนมครกลงกระทง  เงยหน้าขึ้นยิ้มมุมปากส่งให้ลูกค้าก็ได้ยินเสียงกรี๊ดเบา ๆ  ส่งขนมครก  คิดเงินและขายต่อจนกลุ่มผู้สมัครกับหัวคะแนนในพื้นที่เดินมาแนะนำตัวผู้สมัครที่แผงผม  ละมือแล้วเงยหน้ามองผู้สมัคร  ส.ส.  แล้วยื่นมือรับแผ่นปลิวแนะนำตัวมาดู  ยิ้ม ๆ ให้ ส.ส.  คนนั้นแล้วก้มหน้าก้มตาแคะขนมครกต่อ  ยกยิ้มให้เสียง ส.ส. แนะนำตัวกับคนเดินไนท์บาร์ซ่า  ขมวดคิ้วมองแผ่นปลิวที่เพิ่งจะรับจากมือ ส.ส. แล้วเงยหน้าขึ้นมองคนส่งรอบหลัง 

หน้าเนียนใสกับดวงตาสีดำกำลังมองผมอยู่เหมือนกัน  ริมฝีปากบางเฉียบสีชมพูอ่อนขยับแนะนำตัว ส.ส. ให้ผมรู้จักและขอให้ผมเก็บไปตัดสินใจหากจะเลือก ส.ส. ในวันอาทิตย์เดือนแห่งฤดูฝน  นิ่งมองหน้าใสแก้มเนียนแล้วยื่นมือรับแผ่นปลิวมามองอีกครั้ง  จำชื่อ ส.ส. แล้วยิ้มให้คนช่วยเดินหาเสียง  รอยยิ้มโดดเด่นเพราะเหล็กดัดสีชมพูสะดุดตา  คนเดินหาเสียงยิ้มเขินกับรอยยิ้มกว้างของผมก่อนจะเดินตามกลุ่มใหญ่ไปทางท้ายซอย   มองเจ้าของเหล็กดัดสีชมพูที่แอบหันมามองผมแล้วยิ้มบางส่งให้  หันมาสนใจขนมครกในเบ้าแล้วรีบแคะออกจากเบ้าอย่างรวดเร็ว  ดีที่มันไม่ไหม้..

“ส.ส. ...เขาคนดีนะเธอ  ตอนน้ำท่วมที่บ้านเขายังออกมาเยี่ยมเลย  แต่ไม่ได้เอาของมาให้นะ  ผิดกฎหมายเลือกตั้งน่ะ  หน้าตาดีทั้งตระกูลเลยเนอะเธอ..”  เหลือบมองลูกค้าสูงอายุ  2  คนที่ยืนรอขนมครกหน้าเผือกของผม  ฟังแล้ว ส.ส.คนนี้เป็น ส.ส.เก่า  สมัยที่แล้วส่งลูกชายคนกลางลงแล้วตัวเองก็เป็นเงาอยู่เบื้องหลัง  พอลูกชายคนกลางหมดสมัย  ตัวเองก็ลงแข่งกับคู่แข่งของอีกพรรคที่กำลังมาแรงอยู่ตอนนี้  นิ่งฟังก็สะดุดกับชื่อของคนช่วยหาเสียงที่น่าจะใช่เจ้าของเหล็กดัดสีชมพูที่ผมเตะตาเมื่อครู่

“น้องสิทธิ์ลูกคนเล็กก็น่ารัก   เผลอแป๊บเดียวเป็นหนุ่มหล่อเชียว  พ่อพามาหาเสียงเตรียมปูทางให้เป็น ส.ส.ล่ะมั้ง?  เสียดายที่เอาเหล็กเอาลวดมาใส่ฟัน  ฟันน้องก็ไม่ได้ยื่นไม่ใช่เหรอ?  เออ..แล้วเรื่องลูกชายคนโตที่กำลังลง ส.ส.อีกเขตล่ะเธอ  เห็นว่าแข่งกันดุเดือดเลยนี่..”  เงียบฟังลูกค้าที่คุยกันเรื่องของครอบครัว  ส.ส.  ที่กำลังหาเสียงอยู่  ยิ้มให้แผ่นปลิวที่มีหน้า ส.ส. คนพ่อแล้วขายขนมครกต่อ  เงยหน้ามองไอ้ตั้มที่เดินมาช่วยแคะขนมครกที่ร้าน

“น้ำแข็งใสพี่พลขายดีไหม?  ร้านเราขายดีมากว่ะตั้ม  กูยืนแคะเมื่อยมือไปเลย..”  คุยกับตั้มก็มองรอบ ๆ ไปด้วยเพราะท้องเริ่มจะร้องโครกคราก  บอกให้มันเฝ้าร้านแล้วเดินออกมาหาอะไรกิน  เดินมาทางปากซอยก็สะดุดกับเจ้าของเหล็กดัดที่ถูกพ่อค้าแม่ค้ารุมล้อมอยู่แถวปากทางเข้า  ยิ้มแล้วเดินเนียนเข้าไปในกลุ่ม

“เรียนที่โรงเรียน...ครับ  ปีนี้ก็ ม.6  แล้วครับ”  รุ่นพี่เหรอ?  ดูหน้าแล้วไม่น่าจะเป็นรุ่นพี่  น่าจะอ่อนกว่าหรือรุ่นเดียวกันมากกว่า  เจ้าของเหล็กดัดหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วขอตัวเดินออกมารับโทรศัพท์แถวใต้ต้นลีลาวดีนอกไนท์บาร์ซา  เดินตามแล้วยืนรออยู่แถวนั้นจนเจ้าของเหล็กดัดคุยเสร็จ  เดินออกมาขวางลูกคนเล็กของ ส.ส. ที่ก้มหน้าก้มตาเดินไม่สนใจใคร  ยิ้มบางส่งให้เพราะคนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จเงยหน้าขึ้นมามอง  ดวงตาสีดำหลบตาผมแล้วมองคอเสื้อแทน..

“ผมจำไม่ได้แล้วครับว่า ส.ส. ลงเบอร์อะไร?”  เจ้าของเหล็กดัดเงยหน้าขึ้นมามองแล้วเบือนหลบตา  เดินเลี่ยงผมก่อนจะตอบอ้อมแอ้ม  ‘เบอร์...ครับ”  เดินตามจนทันแล้วถามว่ากินข้าวเย็นรึยัง  เจ้าตัวก็เงยหน้ามายิ้มบางส่ายหัวเป็นคำตอบ

“ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน  แถวนี้มีร้านไหนอร่อยบ้างครับ?  ผมไม่ใช่คนแถวนี้  แต่มีญาติอยู่ที่นี่  ปิดเทอมก็เลยมาอยู่กับป้าที่นี่ครับ..ชื่อ  ‘เต้’  ครับ  แล้ว?..”  เจ้าของเหล็กดัดยิ้มน้อย ๆ แล้วแนะนำตัว  แน่นอนว่าชื่อ  ‘สิทธิ์’  อย่างที่คิดจริง ๆ  สิทธิ์พยักหน้ารับรู้ก่อนจะพาผมไปกินข้าวแกงที่ร้านแถวนั้น  กินเสร็จก็จ่ายเงิน  เจ้าตัวไม่ยอมให้ผมเลี้ยงเพราะตัวเองเป็นเจ้าถิ่น  ก็อยากจะเลี้ยงผม  แต่ผมไม่อยากให้สิทธิ์โดนมองไม่ดี  ถึงจะไม่ได้เป็นคนลงสมัคร  แต่ลูกคนสมัครมาเลี้ยงข้าวคนอื่นในช่วงหาเสียง..มันก็ไม่น่าจะดีนัก

“ให้ผมเลี้ยงเถอะ..แล้ววันหลังสิทธิ์ค่อยเลี้ยงผมคืน”  สิทธิ์ถอนหายใจแล้วปล่อยให้ผมเป็นคนจ่ายเงิน  ลูกชายคนเล็กของผู้สมัครส.ส. พาผมเดินดูของในไนท์บาร์ซา  ได้ของกินมาจนล้นมือเพราะเจ้าของเหล็กดัดเป็นคนน่ารัก  พ่อค้าแม่ขายที่นี่เลยเอ็นดู  ผลดีก็เลยตกมาถึงท้องคนเดินตามอย่างผม..

“อิ่มตื้อเลย..เต้อยากไปไหนอีกรึเปล่า?”  ยิ้มบางแล้วส่ายหน้าตอบ  โทรศัพท์ผมสั่นในกระเป๋ากางเกงจนต้องยื่นขนมกับน้ำให้สิทธิ์ถือ  รับโทรศัพท์แล้วหันไปบอกสิทธิ์ว่าต้องกลับร้านแล้ว  ลูกชายคนเล็กของ ส.ส.คนดังเดินตามผมไปช่วยเก็บของ  ตั้มมันก็ก้มหัวทักทายแล้วยิ้มมารยาท  มันกระซิบบอกผมว่าอยู่โรงเรียนเดียวกัน  แต่ไม่เคยคุยกันเพราะอยู่คนละห้อง  แถมสิทธ์ยังอยู่ในกลุ่มพวกลูกคนดังของโรงเรียน  ก็เลยยิ่งห่างกันไปใหญ่  เก็บของใส่รถป้าเสร็จก็ให้กลับไปก่อนเพราะสิทธิ์บอกว่าจะพาผมไปดูสวนน้ำตอนกลางคืนแล้วจะพาผมมาส่งที่บ้านเอง

เดินออกมาจากไนท์บาร์ซาแล้วขึ้นรถยนต์หรูของลูก ส.ส.คนดังมาถึงสวนสาธารณะขนาดใหญ่  เลี้ยวรถเข้าไปจอดที่หน้าน้ำพุกลางสวนแล้วเดินเท้าเปล่าบนสนามหญ้า  นั่งลงบนพื้นหญ้าแล้วมองความงามจากน้ำพุ  สิทธิ์เดินตามมานั่งลงข้าง ๆ  หันไปมองหน้าใสตาสวยจนคนถูกมองต้องก่อนจะเบือนหลบไปมองน้ำพุ  นั่งมองน้ำพุรับลมเย็นเฉื่อย  มือที่วางบนตักค่อย ๆ เอื้อมไปหามือของคนที่นั่งข้าง ๆ มากุมไว้หลวม ๆ  มือเย็นของสิทธิ์เกร็งและขืนไว้ก่อนจะปล่อยให้ผมได้จับนิ่ง ๆ ยิ้มให้หลังมือสวยก่อนจะไล่สายตามองแขน  หัวไหล่  คอยาวระหง  จบที่แก้มใส  ยื่นหน้าเข้าไปช้า ๆ จนปลายจมูกเกือบจะสัมผัสกับแก้มเนียน  ดวงตาสีดำหันมามองหน้าผมก่อนจะเบี่ยงหลบได้หวุดหวิด

“ทำไร?!  ไปห่าง ๆ เลย”  จับมือที่ดันหน้าอกตัวเองมาคล้องคอแล้วก้มลงไปฉกหอมแก้มใส  ‘เดี๋ยวก็ต้องกลับบ้านโน้นแล้วสิทธิ์  ไม่ต้องไล่หรอก..’  เจ้าของเหล็กดัดหยุดดิ้นแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาผม  ริมฝีปากบางเฉียบเม้มแน่นแล้วก้มหน้านิ่ง  ดึงเข้ามากอดไว้เต็มตัว  ลูบหลังแล้วเหม่อมองน้ำพุ  สิทธิ์เงยหน้าขึ้นมองผมแล้วเบือนไปมองน้ำพุ  ปล่อยให้เจ้าตัวจัดท่านั่งเองแล้วกอดไว้หลวม ๆ นั่งอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางแสงไฟจากสวนสวยจนกระทั่งได้เวลาปิดสวนก็เดินออกมาขึ้นรถ  สิทธ์ถามทางเข้าบ้านผมแล้วพามาส่งถึงบ้าน  ไม่ได้ล่ำลานานนักเพราะที่บ้านสิทธิ์โทรตามให้รีบกลับ  มองส่งรถจนลับตาก็เดินเข้าบ้าน  อาบน้ำนอน

คืนนั้นผมไม่ได้ฝันถึงพยานาคให้ต้องตกใจตื่นเหมือนเมื่อคืนวาน  แต่กลับมีลูกชายนักการเมืองมาวิ่งเล่นไล่จับกับผมในฝันแทน  ตื่นขึ้นมาก็เจอเจ้าตัวมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่กับป้า  อย่างที่คิดกันนั่นล่ะ..ผมใช้เวลาที่เหลือกับลูกชาย ส.ส.  จนกระทั่งเปิดเทอม  ติดต่อกันผ่านมือถือกับเฟสจนเรียน  ม.ปลายจบ  เข้ามหาลัยก็เรียนที่เดียวกัน..

คนไม่ค่อยเอาถ่านอย่างผมกลายมาเป็นทนายความประจำตระกูลของ ส.ส. คนดัง  ในขณะที่ลูกชายคนเล็กไม่ได้เดินตามรอยเท้าพ่อ  แต่เป็นหมอบนดอยห่างไกลความเจริญเพราะเบื่อการเมืองเต็มทน  แล้วท้ายที่สุด..

ผมก็ต้องมาว่าความให้ชาวเขาเสียส่วนใหญ่  เงินก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง  แต่ก็เต็มใจทำครับเพราะทำใจให้ห่างคุณหมอนาน ๆ  ไม่ไหว..นอนกอดหมอก็นึกถึงเรื่องในฝันที่เห็นพญานาค  อมยิ้มเพราะพญานาคที่ฝันเห็นตอนนั้น  ขนาดไม่ได้ใหญ่เหมือนในฝัน  แต่ที่พอจะแปลได้  น่าจะเป็นเรื่องของเนื้อคู่ที่มาจากตระกูลดัง  และมีอิทธิพลมากกว่า..

เขาว่าฝันเห็นงูรัดแปลว่าจะเจอเนื้อคู่  ผมที่เจอทั้งไล่ทั้งรัดแถมเป็นพญานาคอีกต่างหาก  เชื่อเถอะครับ..โบราณว่าอะไรไม่ผิดหรอก  และอีกอย่างที่ผมเชื่อหมดใจเลยก็คือ..ผู้ชายที่แต่งงานแล้ว  ร้อยทั้งร้อย..









กลัวเมียทุกคนครับ!


END.


กอดรวบ!
งานเยอะคนก็ยุ่งค่ะ  ขออภัยที่มา ๆ หาย ๆ นะคะ

คุณ  nekko  นอกจากหลงตัวเองแล้วยังเอาแต่ใจอีกต่างหากค่ะ555
คุณ  boonpa  ยินดีตอนรับค่ะ  ดีใจที่อ่านแล้วชอบนะคะ ^^
คุณ  Celestia  ยินดีต้อนรับนะคะ  จิก็ฟินค่ะ555
คุณ  gayraygirl  กอดเมย์  ต้นฝันแม่นไม่เท่าจิจิ้นค่ะ  ฮี่ๆๆๆๆ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
 :กอด1: :pig4: :o8:

ออฟไลน์ nekko

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +422/-4
ไม่ได้กลัวหรอกน้องเต้ แค่ไม่อยากขัดใจ :katai3:

 :กอด1: :L2: :pig4:


ออฟไลน์ PURE LOVE

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
หูย น้ำลายไหล อยากกินขนมครกอ่ะ ไม่ได้กินนานแล้ว
ทำไมเดี๋ยวนี้ขนมครกหากินยากจังเลย ตอนเด็ก ๆ เห็นมีคนขายเต็มไปหมด
ตอนเต้กับตั้ม หัดทำขนมครก ทำให้นึกถึงสมัยตอนเป็นเด็ก ๆ เลยค่ะ
เคยเล่นกับพี่สาวเหมือนกัน สนุกดี แต่ที่ทำสำเร็จกินได้นี่น้อยมาก 555
เหมือนคุณแม่จะส่งลูกชายมาเจอเนื้อคู่เลยเนอะ แหม่ โชคสัตว์สองเท้า  :o8:
น่ารักมากเลย ได้แฟนดี ๆ ก็ทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จด้วยแหละเนอะ
ได้เป็นถึงทนายความเชียว ทนายความกับคุณหมอ ในชนบทที่ห่างไกล รู้สึกโรแมนติกอ่ะ
แต่เต้กับสิทธิ์ ไม่ได้อยู่ในตลาดแล้ว อย่างนี้จะมีคู่นี้มาให้อ่านอีกไหมนะ น่ารักดี
ขอบคุณมากค่าาา  :กอด1:


ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3532
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ สนุกมากกกกจ้า~ :-[ น่ารักน่าฟัดทุกคู่เลย :o8:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด