‘ขอบฟ้าเหตุการณ์’
คือ ขอบเขตแนวบริเวณของหลุมดำ
ที่หากแตะเข้าไป ณ ขอบฟ้าเหตุการณ์นั้นแล้ว
เวลาจะหยุดนิ่ง ทุกอย่างจะมืดสนิท
และไม่มีสิ่งใด
สามารถกลับออกมาได้อีกเลย
แม้กระทั่งแสง
ตอนที่ 7
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ตอนนี้กำลังกอดปลอบคนที่จู่ๆก็ร้องไห้น้ำตาทะลักออกมา น่าแปลกที่หมอนี่ไม่ส่งเสียงสะอื้นออกมาเลยแม้แต่นิดเดียว มีเพียงน้ำตาที่ไหลจนรู้สึกเปียกชื้นที่บ่ากับไหล่ที่สั่นเทาเพียงเท่านั้น...
สักพักคนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมา ใช้หลังมือปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มลวกๆ เห็นอย่างนั้นเลยใช้นิ้วช่วยเกลี่ยน้ำตาให้ ผละออกจากกันแล้วเขยิบมานั่งข้างๆ
บรรยากาศเปลี่ยนไปเลยแฮะ
ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลย
ถ้าถามต่อหมอนี่จะน้ำตาร่วงอีกไหมวะ?ต่างคนต่างไม่พูดอะไรกัน ทำได้เพียงแค่จ้องหน้าอีกฝ่ายที่ขอบตาแดงๆเพราะผ่านการร้องไห้มาเท่านั้น
"ขอโทษนะ..." กลายเป็นคนตรงหน้าที่ชิงพูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน
"ขอโทษเรื่อง?"
"เรื่องที่จู่ๆก็ร้องไห้ออกมา..." เจ้าตัวหัวเราะกับตัวเองเบาๆ
"แล้วใครสั่งห้ามไม่ให้ร้องไห้ล่ะ หืม?" ยีหัวอีกฝ่ายไปหนึ่งที เพิ่งได้ลองสัมผัสครั้งแรก นุ่มดีเหมือนกันแฮะ
"ก็ไม่มีหรอก..." ลีโอยกมือขึ้นปัดทรงผมที่ไม่เป็นทรงให้เข้าที่ "แต่เพราะไม่ได้ร้องไห้มานาน มันก็เลย...ไม่ชิน..."
"หะ? ไม่ชิน?" ขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นปม
"อื้อ"
"ไม่เคยร้องไห้หรอ?"
"ก็เคย แต่นี่ครั้งที่สอง..." เดี๋ยวนะ หมอนี่ร้องไห้สองครั้งในชีวิต? นี่เก็บอารมณ์เก่งสินะ หรือยังไง เพิ่งเคยเจอคนแบบนี้
"แปลกดี"
"ขอโทษที่แปลก..."
"ขอโทษอีกแล้ว พอๆ ไม่ได้ผิดอะไรก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษ อย่าใช้คำนี้พร่ำเพรื่อนักสิ" ดุไปจนอีกคนหงอ เพิ่งเคยเห็นสีหน้าแบบนี้เหมือนกันแฮะ
ได้เห็นสีหน้าเยอะขึ้นกว่าเดิม
ควรจะดีใจไหมวะ?"เข้าเรื่องเลยนะ สรุปนายคือเจ้าของไอนี่ใช่ไหม" ชี้แผ่นพลาสติกสีน้ำเงินในมืออีกฝ่าย แต่ถึงขั้นมาร้องไห้ฟูมฟายเพราะได้ของคืน ถ้าไม่ใช่เจ้าของก็บ้าแล้ว
"อือ" ลีโอพยักหน้า "แล้วนายก็คือเด็กเมื่อตอนนั้นด้วยสินะ?"
พยักหน้าเป็นคำตอบกลับไปว่าใช่ อีกฝ่ายเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะปรับสีหน้ามาเป็นปกติ
"วันนั้นขอโทษนะที่จู่ๆก็หายไป"
"ไม่เป็นไร แต่ทำเอาตามหาตั้งหลายปี"
"ขอโท...โอ้ย...!"
"แหนะ สองครั้งแล้วนะ บอกว่าอย่าใช้คำนี้พร่ำเพรื่อไง" ยีหัวอีกฝ่ายไปอีกรอบ ชักจะติดใจซะแล้วสิ นิ่มๆเหมือนหมาที่บ้าน
"วันนั้นมีเรื่องเกิดขึ้นเยอะเกินไปหน่อย เลยลืมเจ้านี่ไปเลย แต่ก็ขอบคุณนะที่เอามาคืน" ลีโอยิ้มบางๆ
เพิ่งเคยเห็นรอยยิ้มของหมอนี่เป็นครั้งแรก
แต่ทำไมกันนะ
ทำไมถึงรู้สึก...
ว่ามันเศร้าเหลือเกิน..."มีอะไรก็บอกได้แล้วกัน อาจจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่เป็นกระโถนให้ได้"
"อื้อ ขอบคุณนะ" อีกฝ่ายพยักหน้า ดูเหมือนสีหน้าจะกลับมาเป็นปกติแล้ว นี่ปรับอารมณ์ได้ไวขนาดนั้นเลยหรอ!?
ก้มมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ดูเหมือนจะได้เวลาจัดแสดงห้องฉายดาวแล้ว เลยลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำอีกฝ่ายเข้าไปในห้องฉายดาว
นั่งลงตรงกลางแถวที่ยังไม่มีใคร ข้างในห้องมีคนนั่งอยู่บ้างประปราย เอนพิงเก้าอี้ที่ปรับระดับจนนอนเอนหลังได้ เงยหน้ามองเพดานรูปโดมที่ถูกจำลองเป็นท้องฟ้าในโลกของเรา
ไม่นานไฟในห้องฉายดาวก็ดับลงพร้อมกับการแนะนำตัวของเจ้าหน้าที่ผู้รับหน้าที่บรรยาย
แอบลอบมองซีกหน้าของคนข้างๆที่มองเห็นเพียงลางๆจากแสงของเครื่องฉายดาว ใบหน้าขาวที่แม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอยากมองต่อไปเรื่อยๆ
ราวกับถูกดูดให้ถลำลึกเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดำที่มองไม่เห็น
ที่เมื่อถูกดูดเข้าไปแล้ว...จะออกมาไม่ได้อีกเลย
ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันนะ?นั่งฟังบรรยายเรื่องดวงดาวในห้องฉายดาวไปเรื่อยๆ เครื่องฉายดาวของที่นี่สามารถฉายดาวฤกษ์ได้มากถึงเก้าพันดวง ทั้งที่จริงๆแล้วเราสามารถมองเห็นได้เพียงห้าพันดวงเท่านั้น นอกจากนี้แล้วยังสามารถฉายดาวเคราะห์ต่างๆ รวมถึงดาวหาง ดาวตก กระจุกดาว กาแล็กซี่ รวมไปถึงปรากฏการณ์บนท้องฟ้าแบบต่างๆ
!
รู้สึกถึงแรงกดทับบริเวณไหล่เหมือนกับคราวที่แล้ว แต่ต่างจากครั้งก่อนตรงที่สิ่งที่พิงมาไม่ใช่แขน แต่เป็นเรือนผมนุ่มๆนั่นแทน
หันไปมองอีกฝ่ายที่หลับสบายเหมือนแมวที่ได้หลับบนตักเจ้าของ เผลอหลุดขำออกมาเบาๆกับคนที่บอกว่าอยากมาดูดาว แต่ดันให้ดาวมาดูตัวเองหลับเสียอย่างงั้น
อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยกับการเรียนในตอนเช้า หรือ อาจจะเหนื่อยเพราะร้องไห้ไปก่อนหน้านี้
หรืออาจจะทั้งสองอย่าง...
ไม่รู้ว่าความรู้สึกของตัวเองแบบนี้มันคืออะไร
แต่ที่รู้แน่ชัดในตอนนี้ คือ...
'อยากเห็นรอยยิ้มที่ยิ้มอย่างมีความสุขของหมอนี่'
'สักครั้ง...'บนโดมท้องฟ้าจำลองปรากฏเป็นภาพดวงอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าพร้อมกับเสียงไก่ขันจากเครื่องเล่นเสียง เป็นสัญญาณบอกว่าการบรรยายได้จบลงแล้ว เจ้าหน้าที่ที่รับหน้าที่บรรยายกล่าวขอบคุณ ผู้ชมคนอื่นลุกจากที่นั่งเดินไปยังประตูทางออก
เหลือแค่คนสองคนที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
เอายังไงดีวะ อยากจะปลุกแต่พอเห็นหน้าก็ไม่กล้า
คราวที่แล้วบนรถไฟฟ้าก็นั่งจนตัวเกร็ง แต่อีกฝ่ายเอนตัวกลับไปนั่งหลับดีๆเหมือนเดิมเลยพอปลุกได้
หรือจะแกล้งหลับด้วยดี...ก็เข้าท่าแฮะ
ในขณะที่กำลังคิดหาวิธีอยู่ จู่ๆพี่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงก็เดินเข้ามาเรียกจนคนที่หลับอยู่รู้สึกตัวขึ้นมา
"ขอโทษ..." คนที่หลับซบไหล่อยู่เมื่อกี้หันมาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ พี่เจ้าหน้าที่ผู้หญิงยิ้มขำกับเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนจะเดินจากไปเมื่อเห็นว่าเราทั้งคู่ลุกจากเก้าอี้แล้ว
"หลับไปตอนไหนกัน...?" เจ้าคนที่เดินอยู่ข้างๆบ่นพึมพำ
"ตั้งแต่เริ่มๆบรรยายเลย"
"เฮ้ย! จริงดิ" อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหรา จนเผลอหัวเราะออกมา
"ร้องไห้จนเหนื่อยไง จะหลับก็ไม่แปลก"
"ไม่ใช่สักหน่อย..." อีกคนเถียง
"ร้องไห้ร่วมครึ่งชั่วโมงแต่ไม่เหนื่อยนี่สุดยอดไปเลยนะ" หยอกไปอีกหนึ่งทีกะให้อีกคนหัวเสีย
"..." แต่ดูเหมือนเจ้าตัวไม่รู้จะเถียงกลับยังไง เลยเลือกที่จะเงียบแทน หมดสนุกเลยแฮะ
"ไหนๆแล้วก็ไปกินข้าวกันดีกว่า" พูดขึ้นมาเพราะเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่เที่ยงมายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เพราะรีบออกมากะให้ทันรอบสุดท้าย ซึ่งเป็นรอบที่เปิดตอนบ่ายเพียงรอบเดียว
อีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย คงจะหิวเหมือนกัน
"แล้วกินที่ไหน?"
"ห้างใกล้ๆนี่ก็ได้"
"อือ..." เป็นอันว่าตกลงสินะ
ณ ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งในห้างสรรพสินค้าไม่ไกลจากท้องฟ้าจำลอง เพราะยังไม่ถึงเวลาเลิกงานคนในร้านจึงดูบางตา ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆน่ารักที่มีเพียงไม่กี่ที่นั่ง ราคาอาหารเองก็ไม่แพง เลยเลือกสั่งอาหารจานเดียวไปกันคนละจาน
“ว่าจะถามนานแล้ว ทำไมถึงเรียนเคมีล่ะ?” ระหว่างรออาหารเลยหาเรื่องชวนคุย เริ่มต้นด้วยเรื่องที่ตัวเราเองสงสัยมานาน
“หืม?” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาจากจอมือถือ ก่อนจะกดปิดหน้าจอแล้วเก็บใส่กระเป๋า “เพราะชอบน่ะ”
“เห็นชอบดูดาว นึกว่าจะเรียนภาคฟิซะอีก”
“ชอบเป็นงานอดิเรกมากกว่าน่ะ เพราะบางอย่างมันก็เหมาะจะทำเป็นงานอดิเรกมากกว่า” พยักหน้าเข้าใจ ก็เหมือนกับพ่อของเราที่ว่างทีไรก็ชอบที่จะต้องไปดูดาวตลอด
“แล้วที่ชอบเคมีนี่เพราะอะไรล่ะ?”
“ชอบปิโตรเคมี อยากทำงานออฟชอร์” อ๋อ ชอบปิโตรเคมี เดี๋ยวนะ ออฟชอร์!?
“เห้ย!? จริงดิ!!?”
“อื้อ ทำไมหรอ?” ลีโอเลิกคิ้วถาม
“เราก็อยากออฟชอร์เหมือนกัน” ตอบไปตามความจริง ที่สอบเข้าวิศวะที่นี่ก็เพราะอยากจะเรียนวิศวะเคมี เพราะงั้นเลยต้องพยายามทำเกรดปีหนึ่งให้ดีๆเข้าไว้ เพื่อที่ตอนเลือกภาคจะได้เรียนภาคนี้
แม้ว่าวันนี้จะโดดวิชาฟิสิกส์สองไปแล้วก็ตาม...ออฟชอร์ก็คือการทำงานที่อยู่นอกชายฝั่งทะเล จริงๆแล้วมีงานหลายสาขาที่ทำนอกชายฝั่ง แต่ที่ตัวเราใฝ่ฝันคือการที่จะได้ทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล
“จริงหรอ?” ลีโอเบิกตากว้าง หน้าตาดูดีใจสุดๆ ทั้งยังพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ไม่คิดว่าจะมีคนอยากทำงานแบบนี้ด้วยเหมือนกัน”
“ก็จริง นานๆจะเจอสักที...”
"แล้วอยากทำงานแบบไหนล่ะ?" ถามอีกคนไป เพราะที่ลีโอเรียนดูเหมือนจะเป็นเคมีบริสุทธิ์ คงจะไม่ได้ทำงานในแบบเดียวกับวิศวกร
"อยากทำพวกแลปตรวจคุณภาพน้ำมัน ไม่ก็อยู่บริษัทผสมโคลน หรือพวกสารลดการอลวนในท่อสูบน้ำมัน... แต่เอาจริงๆตอนนั้นไม่รู้จะได้ทำงานแบบนี้หรือเปล่า"
"เอาน่า นี่เพิ่งจะปีหนึ่งยังมีเวลาอยู่อีกเยอะ"
"อื้อ"
ไม่นานพนักงานก็นำอาหารมาวางตรงหน้า บทสนทนาเลยเป็นอันต้องจบลงเสียดื้อๆ แต่ก็ทำให้ได้รู้ว่ายังมีเรื่องที่หมอนี่เองก็สนใจคล้ายๆกันกับเราอยู่เหมือนกัน
หาอะไรใส่ท้องจนอิ่มเรียบร้อยก็พาอีกคนมุ่งหน้าเตรียมกลับไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสเหมือนเดิม หลังจากเถลไถลกันมาตลอดช่วงบ่าย
“ลีโอ…”
“หืม?”
“จากนี้...เอ่อ...ว่าไงดีวะ?...เราเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ป่ะ?” ถามไปลูบหลังคอไปแก้เขิน ว่าแต่ทำไมต้องเขินวะ? ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ทำไมอยู่กับไอมนุษย์กระดาษดับเบิ้ลเอนี่ทีไรต้องไม่เป็นตัวของตัวเองทุกที
“ก็เป็นอยู่แล้วนี่ ถามอะไรแปลกๆ?” อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ตอนนี้รู้สึกอยากจะตีปากตัวเองแรงๆหลายๆที ถามบ้าอะไรออกไปวะเนี่ย ใครเขาถามแบบนี้กันวะ ไอเอกนะไอเอก!
“เออว่ะ นั่นสินะ ถามอะไรแปลกๆวะ ฮะฮะ…” หัวเราะแห้งๆตอบกลับไป แต่ในใจก็รู้สึกดีใจอยู่เหมือนกันแฮะ
เหมือนได้ยินเสียงเลเวลอัพดังขึ้นพร้อมกับปีกสีขาวโผล่ขึ้นมาบนหัวเลย…เดินกันมาเรื่อยๆจนมาถึงทางออกหน้าห้าง ไม่รู้เป็นเพราะเวรกรรมอะไร หรือเพราะผลบุญที่เคยสั่งสมมาลอดชีวิตจะหมดไปกับการสอบเข้ามหาลัย บุคคลที่คุ้นเคยที่สุดเพราะออกมาจากท้องแม่เดียวกันกำลังเดินสวนมาตรงหน้า จักรภพเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจที่จู่ๆก็เจอน้องชายของตัวเองในสถานที่ที่ไม่คิดว่าจะเจอ สายตามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆสลับกับตัวเราซึ่งเป็นคู่กรณีไปมาหลายครั้งพร้อมยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยทักทาย
“บังเอิญจังเลยนะ”
・゜゚・*☆
TBC
กราบสวัสดีค่ะ ในที่สุดก็สอบเสร็จแล้วค่ะดีใจมากๆเลย

ตรงช่วงที่บอกว่าเลเวลอัพนี่อยากให้นึกภาพเกมRagnarokนะคะ อิมเมจมาจากตรงนั้นแหละค่ะ 555
สอบเสร็จแล้วคงมาอัพตามปกติแล้วนะคะ
ยังไงก็อ่านแล้วมีอะไรอยากจะติชมตรงไหน ติชมมาได้ตามสบายเลยนะคะ

รักคนอ่านทุกท่านค่ะ เจอกันตอนหน้านะคะ
