https://www.youtube.com/v/SF_0zTmlsiE[30]ปลายฝนต้นหนาว...
อากาศเย็นสบายได้ย่างกรายเข้ามาแล้ว คนบนเตียงยังติดอยู่ในความฝันคิดว่าตัวเองกำลังสูดเอากลิ่นชื้นแฉะของดินหอม ๆ ที่ลอยเข้ามาแตะถึงปลายจมูก เขามุดหัวออกมาจากผ้าห่มนวมผืนโต ยืดแขนยืดขาบิดขี้เกียจรับอรุณหากแต่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างรอบตัว จากกลิ่นที่คิดว่าเป็นกลิ่นดิน มากลายเป็นว่าเขากำลังสูดเอากลิ่นหอมอโรมาอ่อน ๆ จากห้องแอร์เย็นเฉียบภายในคอนโดสูงใหญ่ย่านใจกลางเมืองกรุง
ห้องพักหรูหราที่ให้ความรู้สึกเสมือนเซฟเฮาส์ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษคดีลับกรมตำรวจ....ห้องของอาฟี่
แคปลุกพรวดขึ้นหลังจากลืมตาตื่นแล้วกลอกลูกกะตาทวนความจำอยู่สักพัก พอจดจำเรื่องราวได้ว่าเพราะเหตุใดตัวเขาถึงได้มาซุกหัวนอนอยู่ที่นี่เขาถึงกับสะดุ้ง
“ตายห่า กี่โมงแล้ววะ!”
แคปสบถพลางควานหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดยิกๆเช็คเวลาและเช็คอะไรต่อมิอะไร พอลุกออกจากเตียงใหญ่เดินไปแง้มม่านหน้าต่างดู ถึงกับผงะไปนิดเนื่องจากความสูงที่เกินบรรยาย ไม่ไหว ๆ เพ่งมากๆแล้วปวดตาปวดหัว เขารีบปรี่ออกไปที่ด้านนอก กวาดตามองทุกสิ่งรอบตัวให้ชัดๆอีกสัก เนื่องจากเมื่อคืนกลับมาถึงก็รีบมุ่งเข้าสู่ห้องเล็กในทันที ยังไม่มีเวลาดูทุกอย่างให้แน่ชัด นี่จึงถือเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่แคปมีโอกาสได้เข้ามาเห็นห้องพักของอาฟี่ สถานที่ๆเฮียโก้บอกว่ามันมีอยู่จริง หากแต่ไม่สามารถบอกใครๆได้ว่าตั้งอยู่ที่แห่งไหนและห้องอะไร ทุกอย่างในห้องยังคงอยู่ใสความเงียบและมืด มีแสงรำไรจากม่านหน้าต่างผืนหนาที่รูดปิด คือจะบอกว่าเงียบกริบก็คงไม่ได้เพราะว่าเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหงี่ร่วมอยู่เบา ๆ รู้แค่ว่ามันเงียบในแบบที่ว่าน่าจะมีใครสักคนอาศัยอยู่ด้วยกัน และใครคนนั้นก็น่าจะเป็นเจ้าของห้องๆนี้
แคปมองไปที่ประตูห้องนอนใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้องนอนเล็กที่เขาเพิ่งเดินออกมา เวลายังพอมีแต่ก็ถือว่าน้อยนิด มีเรื่องบางอย่างที่เขาต้องทำ แคปจึงรีบย่องเข้าไปแนบใบหูเข้ากับบานประตูเย็นเฉียบ
“อาฟี่นอนอยู่จริงๆด้วย กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” เขาพูดบ่นอยู่คนเดียวด้วยเสียงที่เบาหวิวราวกับกลัวว่าคนในห้องจะได้ยิน หลังจากนิ่วหน้าคิดอย่างชั่งใจว่าจะเปิดเข้าไปดีหรือไม่ เพราะว่ามันมีเหตุให้ต้องเข้าไปที่ห้องๆนี้เพื่อนำของบางอย่างออกมา
“เอาวะ เสี่ยงเป็นเสี่ยงล่ะกู”
จบคำพูดให้กำลังใจตัวเองแคปจับก้านลูกบิดประตูกดลงให้เบาที่สุด เงียบที่สุด หลับตาปี๋ด้วยความลุ้นเพราะกลัวว่ามันจะมีเสียงกริ๊กดังเล็ดลอดออกมา ถึงตอนนั้นถ้าโดนคุณอาสุดโหดของเขาจับได้ว่าย่องเข้ามาตอนคุณชายท่านหลับอยู่เขาคงถึงคาดตายคาเตียงแน่ ๆ ก็รู้กันอยู่อาฟี่เกลียดคนไร้มารยาทที่ชอบรบกวนเวลานอนอันแสนมีค่าเสมอ
เมื่อคืนหลังจากแคปกลับมาจากตึกรัชชานั่น เจ้าปอพาไปนั่งกินข้าวแล้วดื่มกันเล็กๆน้อยๆ เขาเค้นคอวางแผนอะไรบางอย่างสำหรับเช้าวันนี้จนมันต้องยอมรับ หลังจากนั้นว่าจะแยกไปหาโรงแรมพักแต่เฮียโก้ดันโทรเข้ามาแล้วบอกให้เขาเข้าไปพักที่ห้องของอาฟี่แทน ทางนั้นโทรคุยกันอย่างไรไม่มีใครรู้ รู้แค่ว่าในตอนที่เข้าไปรอว่าจะขอขึ้นไปที่ห้องนี้ได้ ทางผู้ดูแลโทรเข้าหาคุณอาเขาไม่รู้กี่สิบครั้งหากแต่คนที่รับสายกลับไม่ใช่อาฟี่เลยสักครั้ง แคปนั่งรอไปจนสักพักจนมีตำรวจชั้นสัญญาบัตรนายหนึ่งผลักประตูกระจกเดินเข้ามาแล้วบอกอะไรบางอย่างกับทางผู้ดูแล ในตอนนั้นเขาถึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาได้
ช่างเป็นห้องที่เข้าถึงได้ยากสมกับเจ้าของห้องจริง ๆ
“นอนอยู่จริงๆด้วยว่ะ”
แคปเข้ามาด้านในได้แล้ว บนเตียงใหญ่ มีกองผ้านวมสีขาวฟูๆคลุมร่างกายใครบางคนที่นอนคว่ำหน้ามุดซุกอยู่ในนั้น ที่ผนังห้องสีขาวสะอาดตาติดตั้งกรอบรูปถ่ายขนาดใหญ่ของอาฟี่ในชุดฝึกของทหารถูกติดตั้งคู่กันกับรูปถ่ายของคนๆเดียวกันหากแต่ภาพนี้ให้กลิ่นอายของนายแบบนิตยสารเพราะอาฟี่เปลือยท่อนบนในกางเกงยีนส์สีสนิมแอคท่าดูดบุหรี่แบบเท่ ๆ เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยดินและหยาดเหงื่อที่ปอยผม น่าจะเป็นลูกน้องหรือใครสักคนที่แอบถ่ายเอาไว้ แคปมองแล้วถึงกับตาโต อดคิดในใจไม่ได้ว่ารูปนี้คงไม่ใช่เฮียโก้หรอกนะเพราะว่าแรงดึงดูดที่ออกมาจากรูปดูมีเสน่ห์เย้ายวนแม้แต่เพศเดียวกันยังต้องหันมอง
กว่าเขาจะละสายตาออกมาได้แคปต้องเพ่งแล้วเพ่งอีกอยู่สักพักไม่แน่ใจว่ารูปนั้นเป็นรูปอาฟี่หรือเฮียโก้ตอนถอดแว่นกันแน่ เพ่งจนกระทั่งเห็นไฝเม็ดเล็กๆที่ขอบกางเกงในโผล่แพลมออกมานั่นแหละ เขาจึงจำได้ทันทีว่านั่นคืออาฟี่ตัวจริง เอ๊ะแต่ก็ไม่แน่หรอกบางทีเรื่องนี้เขาเองยังสับสนอยู่ว่าใครกันแน่นที่มีไฝตรงขอบเอวนั่น อย่างไรก็ตามแคปบอกตัวเองว่าให้หยุดคิดเรื่องไร้สาระ เขารอช้าไม่ได้แล้วแล้วขืนรอให้เจ้าของห้องรู้ตัวก่อนอะไรๆที่ตระเตรียมไว้คงไม่ได้ทำ ถึงไม่มีเสียงกรน เสียงหายใจหนักๆจากคนหลับเล็ดลอดออกมาแต่ทว่าเขาก็มั่นใจว่าคุณอาหลับสนิทแน่นอน มีอย่างที่ไหนเข้ามายืนจ้องขนาดนี้ยังไม่รู้ตัวไม่มีตื่นไม่รู้เป็นทหารตำรวจได้ยังไง หรืออาจเพราะเพิ่งจะกลับเอาเกือบสว่างแล้ว เพราะอย่างนั้น หึหึ อาฟี่ไม่มีทางรู้เรื่องว่าเขาแอบเข้ามาเอาอะไรๆในนี้แน่ๆ
แคปมุ่งไปที่เป้าหมายทันที....นั่นคือตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ มันเป็นตู้บานเลื่อน เพราะงั้นเขาจึงดันแล้วค่อย ๆ เลื่อนช้า ๆ เพื่อให้เสียงเงียบเชียบมากที่สุด แคปกวาดสายตาในที่มืดๆอย่างเร็ว จุดหมายคือ..
สูทดีๆสักชุด
อย่ามานึกสงสัยว่าเหตุใดไม่เอาของไอ้ปอเพื่อนรักตัวดี ก็เพราะว่าเมากันไปแล้ว ตกลงกันว่าวันนี้เขาจะต้องใส่สูทแล้วเพื่อนตัวดีอย่างมันก็ไม่นึกเสนอขึ้นมาว่าของตัวมันก็มี เพราะงั้นเขาที่จวนจะนอนหลับฝันดีเพราะว่าได้คุยสายกับใครบางคนแล้วถึงกับเพิ่งนึกได้
จะเป็นคนขับรถให้คุณชายกลางของรัชชา...แน่นอนว่ามันจะต้องใช้สูทดี ๆสักชุดและที่ๆจะหาได้ก็มีแต่ตู้เสื้อผ้าของอาฟี่นั่นแหละ ของฟรีที่หรูหราแต่ว่าต้อง...เสี่ยง!!
และแน่นอนว่าตอนนี้แคปได้สิ่งที่ต้องการมาอยู่ในมือแล้วเรียบร้อย ทั้งกางเกงทั้งเสื้อตัวในเสื้อตัวนอก มีเนคไทสีอะไรสักอย่างจากลิ้นชักที่หยิบขึ้นมาแบบมั่ว ๆ ถ้าหากว่ามันไม่เข้ากันกับสีเสื้อตัวในนั่นก็ช่วยไม่ได้ไปละกัน
แคปยิ้มเผล่ วางมือลงที่บานประตูตู้เพื่อที่จะเลื่อนกลับคืน หากแต่เสียงทุ้มน่ากลัวจากด้านหลังดังขึ้นมาก่อน ทำเอาเขาสะดุ้งโหยง หายใจติดๆขัดๆ ยืนนิ่งเป็นปูนปั้น
“มึงกำลังทำอะไร”
ตายๆๆๆๆ
หลักฐานทุกอย่างอยู่ในมือเขานี่เอง ทั้งหมดในมือคู่นี้ฟ้องสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ทุกอย่าง แคปค่อยหันไปมองคนบนเตียงช้า ๆ อาฟี่ที่ขอบตาคล้ำสุดยันตัวลุกขึ้นมาจ้องหน้าเขาแล้วถามนิ่ง ๆ เชิ้ตสีแดงราคาแพงอาบด้วยกลิ่นน้ำหอมยับยู่ยี่แถมกระดุมยังหลุดลุ่ยเผยให้เห็นแต่กล้ามเนื้อสวยสุขภาพดีขาวอมชมพูสีเดียวกันกับเฮียโก้เปี๊ยบ แคปมองแค่ครั้งเดียวเกิดความคิดขึ้นเลยว่าเมื่อคืนอาฟี่ไปทำงานอะไรมาวะ??
“กูถามว่ามึงเข้ามาทำอะไร”
คำถามครั้งที่สองทำไมแลฟังดูน่ากลัวกว่าครั้งแรกอีกวะ แคปหน้าซีดเหลืองเข้าไปใหญ่ อ้าปากยืนถือหลักฐานโชว์ความผิดพลาดของตัวเอง สบตากับคนที่พลิกตัวขึ้นมานั่งก่อนเสยผมยุ่ง ๆ นั่นให้เข้าที่ หน้าตาบึ้งตึงอยู่บนเตียงกว้าง ฟี่สะบัดผ้าห่มที่คลุมท่อนล่างของเขาออกแล้วทำท่าจะลุกขึ้นมาเอาเรื่อง แคปรีบปรี่เข้าไปนั่งลงบนเตียงแล้วเทหลักฐานทั้งหมดให้คุณอาเขาดู ไม่มีคำว่าปิดบังได้อีกต่อไป หลานชายคนเก่งพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด แผ่วเบาราวยุงตัวน้อย ๆ กำลังจะโดดตบ
“จะมาขอยืม”
“แล้วขอหรือยัง”
“ผมเห็นอาฟี่นอนเลยไม่อยากรบกวน
“แล้วแบบนี้เรียกว่ากวนไหม”
“กวนครับ”แคปเสียงอ่อนยอมจำนน
“แล้วมึงจะออกไปได้หรือยัง”
“แต่ผม..” คนถูกไล่ กวาดตามองชุดที่กองลงอย่างแสนเสียดาย
“กูตัวใหญ่กว่ามึงตั้งเยอะคิดว่าจะใส่ได้หรือไง”
“ใส่ได้สิครับ แค่ให้ผมยืม คือว่ามีธุระต้องใช้อ่ะ”
“............”
“อาฟี่คร้าบ คาปูจะชงโกโก้ร้อนๆวางไว้ให้ อาฟี่ออกไปเมื่อไหร่ได้กินเมื่อนั้นเลย..” แคปลากเสียงทำตัวเป็นเด็กแปดขวบ จำได้ว่าช่วงนั้นอาฟี่ใจดีกับเขาที่สุดแล้วและแน่นอนที่สุดคุณอาเขาโนกาแฟนะฮะ ดื่มอยู่แค่อย่างเดียวคือโกโก้
แคปทำตาละห้อยจนฟี่ต้องถอนหายใจหนักๆอย่างเบื่อหน่ายก่อนส่ายหัวแล้วตามมาด้วยขยี้ๆจนหัวทุยๆของเขายุ่งเหยิงไปหมด
“ไปเอาที่ตู้ฝั่งโน้นโน่น มีชุดของโก้แขวนอยู่สองสามชุดมึงไปเลือกเอาที่ตรงนั้นเลย”
“จริงเหรอครับอาฟี่ขอบคุณมาก” แคปรีบลุกขึ้นรวบเก็บชุดที่กองอยู่บนเตียงอย่างเร็ว ก่อนเอาเข้าไปแขวนๆยัดๆไว้ที่เก่าจากนั้นเลื่อนตู้อีกฝั่งออกแล้วคว้าชุดที่อยู่ริมสุดออกมาโดยไม่ได้เลือกสีอะไรเลย รสนิยมของเฮียโก้เรียบร้อยอยู่แล้วมั่นใจได้ ส่วนเนคไทไม่จำเป็นต้องใส่หรอก ขอแค่ได้ชุดที่เข้ากับขนาดตัวของตัวเองเขาก็พออกพอใจ
“อาฟี่ทำไม....”
“เสร็จแล้วก็ออกไป ปิดประตูให้กูด้วย”
แคปกำลังจะอ้าปากถามว่าทำไมและเหตุใดจึงมีชุดของเฮียโก้อยู่ในตู้เสื้อผ้าของห้องๆนี้ แต่ทว่ายังไม่ทันได้ถามหรอก เพราะคุณอาของเขาไล่แบบโคตรจะรำคาญจากนั้นมุดตัวซุกลงในผ้าห่มผืนหนาเหมือนเดิม
“อะไรกัน อาฟี่อายุสี่สิบจริงๆหรือวะ ไม่ใช่ว่ายี่สิบห้ายี่สิบหกเรอะ” แคปมุ่นคิ้วสบถอย่างไม่เข้าใจพลางเดินออกมาที่ห้องนอนเล็กของตัวเอง แล้วรีบเร่งจัดการทำธุระส่วนตัวทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่จะมายืนอยู่หน้ากระจกตรวจเช็คความหล่อด้วยชุดสูทสีเข้มตัวนอกกับเสื้อเชิ้ตสีเทามันเงาตัวใน ไม่มีอุปกรณ์เซ็ทผมใดๆทั้งสิ้นเขาไม่เสี่ยงเข้าไปหยิบออกมาจากห้องอาฟี่เด็ดขาด
“แบบนี้หล่อเหมือนกันล่ะวะ แต่เอวคับไปหน่อยแฮะต้องแขม่ว”
ก็แหงล่ะสิเขาอ้วนขึ้นราวๆสามโลได้ ปกติรูปร่างส่วนสูงพอกันกับเฮียโก้แต่เดี๋ยวนี้เอวกับพุงแซงคุณพ่อรูปหล่อมาดแว่นของเขาไปเสียแล้ว แคปยักคิ้วพออกพอใจก่อนคว้าเอาโทรศัพท์กระเป๋าตังค์กับพวงกุญแจแล้วเดินออกจากห้องไป
“ช้าฉิบหายเลย!!!!!!!”
นี่คือคำพูดแรกของเจ้าปอหลังจากที่เห็นแคปก้าวลงมาจากรถแท็กซี่แล้ววิ่งหน้าตั้งเข้ามาที่ลานจอดรถคอนโดเก่าของตัวมันเอง แคปหอบแฮกๆทำหน้าตาสำนึกผิดหน่อยๆ
“อย่าเพิ่งด่ากูไอ้หมาปอ มึงรีบขึ้นไปหยิบรองเท้าหนังมาสักคู่ซิ รองเท้าของมึงน่ะคู่ไหนก็ได้เร็ว!”
ปอกวาดตาสำรวจชุดที่แคปใส่มาด้วยความรวดเร็ว โอเคล่ะว่ามันผ่านหากแต่มองลงไปที่เท้าถึงได้เห็นว่าแคปมันท่าจะบ้าใส่รองเท้าผ้าใบกับสูทหรูหราแบบนี้มาได้ยังไงกันเขาถึงค่อยเข้าใจความหมายของมัน
“ทำไมมึงถึง...”
“อย่าถามมากน่า รองเท้าอาฟี่คู่ใหญ่อย่างกับรองเท้ายักษ์ใครจะไปใส่ได้วะ เอาของมึงนี่แหละกูคิดมาดีแล้ว” ปอพยักหน้าหงึกๆราวกับต้องมนต์ เขาบอกให้แคปรอหลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาทีก็ลงมาพร้อมกับหิ้วรองเท้าหนังมันปลาบมาส่งให้
“พอดีเลยให้ตาย” แคปถอดคู่เก่าออกแล้วสวมคู่ใหม่อย่างเร็วก่อนจะบอกให้ปอเปิดท้ายรถแล้วหยิบเอารองเท้าผ้าใบเข้าไปวางเก็บไว้ด้านใน
“แบบนี้มึงว่าโอเคไหม”
“ก็โอแหละ แต่กูไม่เข้าใจว่ะ” ปอเบ้หน้าสงสัย
“ทำไม ไม่เข้าใจอะไร” แคปดูเวลาชี้บอกให้ปอไปขึ้นรถ เขาจะขับเอง พอรถออกตัวก็เกิดคำถามทำลายความเงียบของยามเช้าขึ้นมา
“ทำไมมึงไม่มาเอาชุดกูเลยวะ ไหนๆก็จะเอารองเท้ากูแล้ว ทำไมถึงจะต้องยุ่งยากไปเอาชุดอาฟี่มาใส่แบบนี้” ดูเหมือนปอยังทำท่านึกต่ออีกนิด เขามองชุดที่แคปใส่ ความยาวแขนเสื้อ ความยาวปลายขา คือมันทำไมพอดีทั้งที่อาฟี่ตัวสูงใหญ่กว่าแคปมันตั้งเป็นสิบเซ็นต์แบบนั้น
“นี่ใช่ชุดอาฟี่แน่เหรอวะ ไหงมันเล็กจนมึงใส่ได้พอดีอ่ะ”
“นี่ชุดเฮียโก้เว้ย มีอยู่ในห้องว่ะ” แคปหมายถึงที่ตู้ผ้าอาฟี่มีเสื้อผ้าของเฮียโก้ด้วย
“กูก็ว่าอยู่...” ปอลูบคางพลางพยักหน้าหงึกๆคลายความสงสัย สักพักมองแคปแล้วก็นึกสงสัยขึ้นมาอีก
“แล้วนี่ถ้าหากว่าไม่มีชุดเฮียโก้อยู่ในนั้นมึงจะไม่ต้องใส่กางเกงลากขา ใส่เสื้อแขนยาว ๆ คลุมมือมาเลยหรือไงห๊ะ”
“มึงอย่าเป็นเจ้าหนูจำไมเจ้าสงสัยไปหน่อยเลย มันไม่น่ารักสักนิดหรอกไอ้หมาปอ กูจะเป็นยังไงก็ช่างกูเหอะตอนนี้ใกล้จะถึงที่ทำงานมึงแล้วลองตรวจสอบดูกูก่อนซิ กูแต่งตัวแบบนี้มันโอเคแล้วใช่ไหม ดูเหมือนจะเป็นคนขับรถที่ดีของเจ้านายมึงขึ้นมาได้หรือยัง”
“แต่งตัวน่ะดีแล้ว เสื้อผ้าราคาแพงเกินมาตรฐานของพนักงานขับรถเช่นกูด้วยซ้ำ มึงไม่ต้องกลุ้มใจไปหรอก”
“อ่ะจริงดิ งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย”
รถยุโรปหรูหราใช้เวลาโลดแล่นบนท้องถนนเพียงไม่นานก็เลี้ยวเข้าที่ชั้นใต้ดินซึ่งเป็นชั้นจอดรถของผู้บริหารระดับบนสุดของรัชชา แคปขับไปจอดลงที่ล็อคจอดตามที่ปอชี้บอก
“มึงต้องจำไว้นะห้ามทำเสียเรื่องเด็ดขาด มีหน้าที่ขับรถแค่อย่างเดียว”
“เออน่า” กูรู้หรอก มึงอย่ามาทำหน้ากลุ้มแบบนั้นสิวะ กูก็รู้สึกผิดเหมือนกันนะที่บังคับมึงแบบนี้
“งั้นนั่งรออยู่นี่เดี๋ยวเจ้านายกูจะเดินลงมาแล้ว ระหว่างทางถ้าเขาไม่รู้มึงก็ทำเฉยไว้ปกติเจ้านายกูจะไม่ค่อยพูด มึงก็ขับของมึงไปเรื่อย ๆ จนถึงที่หมายนั่นแหละ เข้าใจตามที่กูบอกใช่ไหม ห้ามทำเสียเรื่องจริงๆนะแคป คุณเอสต้องเข้าประชุมแทนท่านเจ้าสัวเลทไม่ได้เด็ดขาด”
“เข้าใจแล้วน่า” แคปพยักหน้ารับคำ กวาดตามองรอบๆบริเวณเนื่องจากเป็นชั้นใต้ดินในนี้มันจึงดูมืดกว่าปกติ และกว่าเจ้านายไอ้ปอจะรู้ตัวก็คงจะอยู่บนท้องถนนไปแล้ว แคปส่ายหัวกับความคิดเจ้าแผนการณ์ของตัวเอง บางทีก็ทำเรื่องเสี่ยงไปนะ แต่ก็อย่างว่าริจะจีบดอกฟ้าแบบนั้นเขาต้องทุ่มสุดตัวกันหน่อย ดีนะไอ้เพื่อนปอยังเป็นเลขาของมันอยู่
“อีกนิดนะแคป ถ้ามีปัญหามึงต้องจอดเลยนะกูจะขับตามอยู่ใกล้ ๆ เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนกันถ้ามันไม่ไหวไม่เวิร์คจริง ๆ”
“มึงจะโดนตัดเงินเดือนไหมเนี่ยไอ้ปอ” กูล่ะหวั่นใจ
“ตัดไปเหอะ ถึงตอนนั้นจะลาออกไปทำงานที่ไร่กับมึงก็แล้วกัน” ปอเองตั้งแต่เมื่อคืนที่ตัดสินใจว่าจะร่วมมือกับแคป เขาก็นึกปลง นึกทางออกไว้แล้วเหมือนกัน
“นี่พูดจริงดิ?”
“ก็เออสิวะ”
“เออมึงไปได้แล้วไป เผื่อนายมึงลงมาเดี๋ยวเห็นเป็นเรื่องอีก”
ปอพยักหน้าบอกแคปเปิดท้ายรถ เขาเดินไปหยิบรองเท้าผ้าใบของเพื่อนเอาไปใส่ไว้ที่รถยนต์ส่วนตัวของตัวเองที่จอดทิ้งไว้ที่บริษัทตั้งแต่เมื่อวานเหตุเพราะวันนี้ต้องทำหน้าที่ขับรถให้เจ้านายไปประชุมที่ตึกปีกอินทรย์ตึกใหญ่แม่ข่ายของรัชชา อันที่จริงแล้ววันนี้ถือว่าเขาบกพร่องในหน้าที่อย่างแรงเลยก็ว่าได้ มีความผิดถึงขึ้นถูกไล่ออกได้ด้วยซ้ำ เพราะว่าเป็นทั้งเลขาเป็นทั้งบอดี้การ์ดหากแต่ปล่อยให้คนนอกบริษัทมาขับรถให้เจ้านายนั่งแทนตัวเอง
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”
ในที่สุดปอที่นั่งพึมพำอยู่หลังพวงมาลัยรถอีกคันก็มองดูท้ายรถเมอเซเดสสีดำคันใหญ่ที่แคปทำหน้าที่รอเป็นสารถีอยู่ ประตูลิฟต์เปิดตัวออกแล้ว ร่างสูงสง่าในชุดสูทสากลเข้ารูปสีเข้มก้าวออกมาพร้อมกับเปิดขึ้นไปนั่งที่เบาะหลัง
ในตอนนั้นปอเพียงแค่ยิ้มแห้งๆ นึกอวยพรขอให้เพื่อนรักโชคดี แม้จะเห็นสีหน้าแบบนั้นจากเจ้านายของเขา ตอนนี้เขาไม่รับรู้แล้วว่าในรถคันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
กรุงเทพวันนี้ทำไมมันร้อนนักวะ!
นี่คือความคิดในหัวแคป ณ ขณะนี้เลย
ทุกอย่างบนรถระหว่างทางไปตึกแม่ข่ายของรัชชาเงียบกริบ คือมันเงียบจนแคปต้องยื่นมือออกไปเพื่อที่จะเปิดเพลงจากสถานีวิทยุฟังบ้างไรบ้างแต่พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองตอนนี้กำลังทำหน้าที่อะไร อยู่ในสถานะไหน เขาก็ยั้งมือไว้ได้สองรอบแล้ว แอบมองกระจกหลังบ้างหลายต่อหลายครั้งแต่มองไม่เห็นหน้าคนข้างหลังเลยเพราะว่านั่งคนล่ะฟาก จู่ ๆ จะให้ปรับกระจกเพื่อมองไปอีกทางมันจะดูจงใจเกินไป แคปจึงต้องแอบมองจากกระจกด้านข้างเอา หากแต่มันก็เห็นไม่ชัดเพราะความมืดของฟิล์มติดรถ
อึดอัดขึ้นมาแล้ว
แน่นอนว่าคนไฮเปอร์อย่างเขาต้องให้มาอยู่นิ่ง ๆ ทำตัวเรียบร้อยสงบปากสงบคำมันดูไม่ใช่ตัวเองชะมัด แต่อย่างไรก็ตามเขาบอกตัวเองว่าให้พยายาม พยายาม และพยายาม
คนข้างหลังยังคงนั่งเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร นี่มันครึ่งทางแล้วด้วยซ้ำ แคปมองรถยนต์ของปอที่ขับตามไล่กันมาเรื่อย ๆ ผ่านทางกระจก บางทีเขาก็แกล้งหลบมันบ้าง เปลี่ยนเลนแกล้งมันบ้าง แต่สักพักมันก็จะโผล่มาเกาะตูดรถเขาได้อย่างเดิม สองคนเหมือนกำลังเล่นกันอยู่มากกว่า แคปคงไม่รู่ว่าปอนี่หัวเสียสุดๆ ในขณะที่คนทางนี้นั่งอมยิ้มเพราะมีเรื่องแก้เซ็งทำ พอเจอรถบางคันขับปาดหน้าแคปจะสบถออกมาก็ต้องรีบหุบปากเอาไว้ รักษากิริยามารยาทให้เรียบร้อย เขาขับต่อไปอีกหน่อยพอตัดเข้าถนนเส้นนี้รถเริ่มติดแบบบรมโคตรติด โชคดีที่มีทางเบี่ยงเลี่ยงออกได้ สัญชาตญาณทำให้แคปส่งสัญญาณไฟขอทางก่อนเลี้ยวตัดเข้าซอยเล็กๆ โดยมีปอขับจี้ตามมาเรื่อยๆ รถมุ่งหน้าซอกแซกไปตามซอกตามซอยจนกระทั่งออกมาโผล่ก่อนถึงทางเข้าตึกสูงใหญ่ของรัชชาแม่ข่ายแค่บล็อคเดียวเท่านั้น
‘ตายห่าแล้วกู ลืมถามมันมาว่าต้องไปจอดส่งคุณชายที่ตรงไหน’
พอนึกขึ้นมาได้แคปร้อนใจจนเหงื่อตก มองกระจกข้างเห็นรถของปอตีคู่ขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาจึงเบาคันเร่งลงเพื่อให้อีกฝ่ายแซงหน้าขึ้นไปได้
จะว่าไปคล้ายกับได้ยินเสียงหัวเราะโทนต่ำเย้ยดังมาจากเบาะหลังด้วยสิ แคปลองเงี่ยหูฟังดูดีๆอีกทีกลับไม่ได้ยินอะไรเลย เขาจึงคิดว่าตัวเองคงหูฝาดคิดมากไป รถต้องเลี้ยวซ้ายมุดเข้าชั้นใต้ดินของตัวตึก ก่อนที่แคปจะจอดลงตามหลังรถคันหน้าของปอแบบนิ่มนุ่มและละมุนละเมียดอย่างถึงที่สุด
นี่ไอ้คนนั่งมันไม่รู้จริงๆเหรอวะว่าใครขับรถมาให้ตลอดทาง เซ่อจริงๆเป็นผู้บริหารได้ยังไงวะ
แคปคิดไปพลางกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเดี๋ยวเกิดรู้ขึ้นมากลางทางบอกให้จอด เขานี่ยังคิดไม่ตกว่าจะต้องทำอะไรยังไง
ว่าแต่....ทำไมจอดตั้งนานแล้วคุณชายไม่ยอมลงวะ หรือว่าเขาต้องทำอะไรให้มันก่อนรึเปล่า ตายๆไอ้หมาปอมันไม่ได้บอกไว้ด้วยสิ จอดแล้วก็น่าจะลงเลยสิวะ นั่งเงียบกริบอยู่แบบนี้เขาก็แย่สิจะให้หันไปเรียกงั้นเรอะ
แคปชั่งใจไปพลางเริ่มเหงื่อตกทำอะไรไม่ถูก ไม่เข้าใจทำไมเอสถึงยังไม่ยอมลงหรือว่าจะรอให้ลงไปเปิดประตูให้วะ ไม่น่าใช่ ตอนที่ขึ้นมามันยังเปิดเองเลยนี่หว่า เอ๊ะหรือว่า..
“ทำไมถึงเป็นมึง”
เสียงทุ้มเย็นเฉียบทำลายความเงียบถามแทรกขึ้นมา แคปใจหายวาบหันขวับไปมองหน้าคนบางคนที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงจ้องมาที่เขาราวกับยักษ์กำลังจะฉีกเหยื่อ
“ ระ...รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ประสาท!”
เอสสบถพลางส่ายหน้า เขาทำท่าจะเปิดประตูลงหากแต่แคปเองก็เร็วมากไม่แพ้กันกระเสือกกระสนตัวจนแทบจะหลุดมาเบาะหลังได้ทั้งตัวเพื่อที่จะมาจับมือเอสเอาไว้ยังไม่ยอมให้ลง
เอสจ้องหน้าคนที่มันกำลังทำท่าทางบ้าๆแบบนั้นอยู่บนเบาะรถ อะไรคือการที่ลำตัวพาดมาที่ด้านหลังครึ่งนึงอีกครึ่งนึงส่วนล่างยังยักแย่ยักหยั่นอยู่บนเบาะ
“หยะ...อย่าเพิ่งลง”
“ทำไม”
“กูขับรถนิ่มดีไหม มึงชอบหรือเปล่า”
“.................”
“น่า อย่าใจร้ายสิ ขับดีไหมบอกมาก่อนแล้วจะปล่อยให้ลงนะ นะครับ” พูดจบหน้าร้อนผ่าว ๆ จนต้องเบือนหนีไปอีกทางแต่ก็แอบๆเหล่รอฟังคำตอบ
“ว่าไง มึงชอบไหมกูขับรถนิ่มดีใช่ไหมล่ะ”
“ขับรถได้แย่มาก”
เฮ้ย! แย่ที่ไหนวะ! นี่กูคอนโทรลคันเร่งจนฝ่าเท้าปวดไปหมดยังมาหาว่าแย่ เดี๋ยะเถอะอย่าให้กูได้มึงก่อนเถอะนะไอ้ๆๆๆๆ “ไม่แย่หรอกครับ กูทำเต็มที่เลยนะ เพื่อมึง ตั้งใจให้นิ่มนุ่มที่สุดเลย”
“ก็ยังยืนยันคำเดิม คำรถไม่ได้เรื่อง”
“..................” ฮึ่มมมมมมมมม
“ปล่อยได้แล้ว”
แคปทำหน้าสุดแสนเสียดายเมื่อเอสดึงมือเขาที่จับข้อมือมันไว้ออก เสียงดังปึ๊ดเลยเชื่อเหอะ มันดึงออกแรงมากจริง ๆ หรือว่าเพราะเขาจับมันแน่นมากไปก็ไม่รู้
“มึงมันใจร้าย”
แคปถอนหายใจก่อนหันมาทิ้งตัวนั่งลงหลังพวงมาลัยแบบดี ๆ ขยับตัวจับเสื้อสูท ได้ยินเสียงประตูรถด้านหลังเปิดออกแล้วเขาจึงต้องรีบหันไปพูดด้วยความรวดเร็ว “จะรอรับมึงกลับนะ”
“ไม่ต้องรอ” สวนกลับมาเร็วเช่นเดียวกัน ทำเอาคนฟังน้อยใจขึ้นมา
“เดี๋ยวกูกลับกับเลขากูเอง มึงจะไปที่ไหนก็ไปเลย”
....เจ็บที่สุด....“ไม่ไปที่ไหนหรอก จะรออยู่แถวนี้แหละ”
“................”
“นานแค่ไหนก็รอเหมือนเดิมอ่ะ”
ไม่มีคำตอบ มีแต่เสียงประตูรถปิดลงอย่างดัง ปอที่ยืนรออยู่ไม่ไกลหันมองมาที่แคปครั้งหนึ่งก่อนเดินตามหลังเอสเข้าไป หนึ่งเจ้านายกับหนึ่งเลขาเดินหายเข้าลิฟต์ไปแล้ว แคปเลื่อนรถมาจอดเข้าซองไว้ดี ๆ ยอมรับว่าเจ็บกับคำพูดของอีกฝ่ายมากพอสมควรแต่เขายังยอมรับได้ ดับเครื่องลงแล้วนั่งรอต่อไป ไม่มีอะไรทำก็เล่นมือถือไปสิ ฟังเพลงไปสิ จนรู้สึกตัวอีกทีสิบเอ็ดโมง น่าจะเป็นช่วงพักเบรคเพราะว่าเจ้าปอโทรลงมาถามแล้วบอกแคปให้หาข้าวเที่ยงกินเลย ประชุมคราวนี้เลิกเย็นแน่ ๆ แคปยังจะรอไหมถ้าไม่รอปอจะเอากุญแจรถคันเล็กลงมาให้แล้วให้ขับคันเล็กของเขากลับไปก็ได้
“มึงไม่ต้องห่วงหรอก กูบอกแล้วว่าจะรอ กูก็ต้องรอ”
(แล้วข้าวเที่ยงมึงจะกินที่ไหน)
“แถวนี้แหละ เดี๋ยวหาดูก่อน”
(กูห่วงมึงนะ ไม่ฝืนรู้ไหม)
“ห่วงทำไมวะ มึงรู้อยู่แล้วไม่ไหวกูไม่ฝืนแน่ ๆ ว่าแต่มึงเหอะโดนเจ้านายด่ามารึเปล่าวะ” นายมึงพูดเรื่องกูมั่งไหม
(ไม่หรอก เขาไม่ได้พูดอะไรเลย)
“อืม” แคปครางรับอย่างเหนื่อยใจ ก่อนที่ปอจะขอตัววางสายไปก่อนเพราะโดนเรียกตัวถามเรื่องงาน แคปนั่งชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ๆดูเวลาแล้วราวๆก่อนเที่ยงสักเล็กน้อยเขาจึงค่อยเคลื่อนรถออกไปที่ลานด้านหน้าหาที่จอดให้เรียบร้อยก่อนมุดออกมามองซ้ายมองขวาว่าตัวเองจะไปหาอะไรกินที่ไหนดี จำได้ว่าเคยผ่านมาแถวนี้ครั้งหนึ่ง มีร้านกาแฟเล็กๆที่อยู่ถัดไปจากทางออกของอาคารสูงใหญ่นี้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แคปมุ่งไปทันที
ปิ้น!
เสียงแตรรถที่ดังขึ้นดักหน้าทำเอาเขาชะงักเท้าที่จะข้ามทางแทบไม่ทัน รถยนต์สีดำคันสวยเคลื่อนตัวมาหยุดลงตรงหน้าพร้อม ๆ กับกระจกรถฝั่งคนขับที่ลดลงแบบเรื่อย ๆ
“แคปจริงๆด้วย พี่ก็นึกว่าตัวเองจะจำผิดหรือเปล่า ตาฝาดไหม ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
สาวสวยคนนี้คือพี่แอมป์ พี่สาวคนเดียวของเอส เธอน่าจะมาเข้าประชุมด้วยแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ออกมาช่วงเที่ยงไหนว่าประชุมยาวจนถึงเย็นไง
“สวัสดีครับพี่แอมป์” แคปยกมือขึ้นไหว้สวัสดี เธอรับไหว้แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เขาจดจำใบหน้าของเธอได้อย่างแม่นยำแบบไม่ต้องให้ใครมาบอกมาเตือน พี่สาวเอสมีแววตาอบอุ่นแบบนี้ให้เขาเสมอ แต่ไหนแต่ไร
“มาประชุมเหรอครับ”
“ใช่จ๊ะ ยังไม่เสร็จหรอกพอดีมีธุระที่อื่นนิดหน่อยเลยขอตัวออกมาก่อน ดีใจนะที่เจอเรา แคปกลับมาแล้วจริงๆด้วย พี่รู้แล้วมิน่าล่ะ...”
หญิงสาวว่าแล้วยิ้ม แคปนึกสงสัยกับคำว่ามิน่าล่ะของเธออยู่นิดๆเหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามก่อนอื่นต้องขอบคุณเธอก่อนที่ไม่เคยจะลืมกันเลย
“ครับพี่ ขอบคุณมากครับ”
“โอเคงั้นพี่ไปก่อน อ้อ ข้างในมีร้านอาหารนะ อร่อย สะอาดเข้าไปทานได้เลย แล้วก็อย่าลืมถ้ามีเวลาบอกเอสพาไปกินข้าวไข่เจียวหมูสับที่ร้านด้วยกันอีก เดี๋ยวจัดการเตรียมไว้ให้...เหมือนเดิม”
แคปยิ้มรับพลางขอบคุณเธออีกครั้ง คำว่าเหมือนเดิมของเธอแฝงความนัยไว้เมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แคปรู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ เขายิ้มให้เธออีกครั้งถูกแซวกลับมาว่ามีน้ำมีนวลอ้วนขึ้นนิดๆ แคปได้แต่พยักหน้ายอมรับไป
“งั้นพี่ไปล่ะ ถ้าจะขึ้นไปหาเอสก็ชั้นบนสุดเลย มีบัตรแล้วใช่ไหมเราน่ะ”
“ครับพี่”
แคปรับคำพลางโบกมือให้เมื่อตอนที่รถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว นึกถึงเรื่องร้านอาหารด้านในแล้วมองดูเวลาโอเคว่ายังมีเวลาอีกเยอะเขาจึงเดินตามทางเท้าดูร้านรวงแถว ๆ นี้ก่อน มันมีซอยที่เต็มไปด้วยของน่ารักสวยงามสำหรับวัยรุ่นนักศึกษามากมายอยู่แถวๆนี้ด้วยแค่เดินต่อไปอีกหน่อยเดียวเท่านั้น แต่จะว่าไปเขาใส่สูทนี่หว่าจะมาเดินโด่ๆร่อนอยู่แบบนี้คงไม่ค่อยเหมาะ เลี้ยวเข้าร้านเพื่อหาเอสเพรสโซ่เย็นๆขมๆสักแก้วแหกตาไว้ก่อน ระหว่างรอมองเห็นว่าร้านข้าง ๆ กันเป็นร้านหมี คือสารพัดหมีเขาก็นั่งดูรอไปเรื่อย ๆ พลันความคิดหนึ่งพัดวูบเข้ามา แคปยิ้มนิดๆในตอนที่เดินเข้าไปรับกาแฟ