แคปส่ายหน้าบอกว่าไม่ สองคนยืนอยู่ด้านหน้าประตูบานใหญ่ ชื่อพร้อมตำแหน่งเจ้าของห้องเด่นหราอยู่ต่อหน้าต่อตา แคปขบริมฝีปากล่างหนึ่งทีก่อนที่เสียงเคาะประตูจบลง
ปอไม่ได้เข้ามาด้วย เป็นเขาที่ยืนมองด้านหลังของพนักเก้าอี้สูง ๆ โดยที่เจ้าของที่นั่งหันหน้าไปอีกทาง มีเพียงเสียงทุ้มเฉียบขาดที่ลอดผ่านออกมาเท่านั้น “เข้ามาทำไม”
เอสนั่งหันหน้ามองออกไปที่ทิวทัศน์กว้างผ่านกระจกใสด้านหลังโต๊ะทำงานของเขา ไม่ได้หันมามองดูเลยว่าเป็นใครที่เดินเข้ามายืนนิ่งอยู่
เขายังคงคิดว่าเป็นเลขาของตัวเอง จึงสั่งเรื่องงานต่อด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความขุ่นมัว
“เรื่องประชุมกับฝ่ายสินเชื่อและฝ่ายกฏหมายวันพรุ่งนี้ป๊าจะให้กูเข้าแทน เจอกันเช้าหน่อย มึงขับรถให้กูก็แล้วกัน”
“.....................”
แคปยังคงยืนนิ่งงันอยู่แบบนั้น แม้ไม่ได้มองเห็นใบหน้าคนพูด แต่เดาจากน้ำเสียงก็พอจะรู้ได้ว่าเอสไม่สบอารมณ์มากนัก แก้วกาแฟที่ถืออยู่ทำเอาสองมือเริ่มแข็งเพราะความเย็น
“มึงเงียบทำไมวะ ไม่ได้ยินที่กู........” พอไม่ได้ว่ายินอีกฝ่ายตอบรับ เจ้าของห้องจึงหมุนเก้าอี้หันขวับกลับมาตั้งใจจ้องหน้าคนที่ยืนรอรับคำสั่ง
แต่ทว่าพอเห็นว่าเป็นใครที่ยืนจ้องเขาอยู่ จากใบหน้าที่เครียดระดับสาม กลับกลายเป็นเครียดระดับสิบ ระดับยี่สิบ แคปสาบานได้เลยว่าแววตาคมกริบนั้นจ้องมองเขากลับยิ่งกว่าจะจับกินเลือดกินเนื้อ “มาทำไม”
เสียงโหดไปแล้วครับท่านพี่
“มาหา”
เปล่า ไม่ใช่แค่มาหาแต่กูมาจีบมึงอ่ะ แล้วทำไมต้องทำเสียงดุด้วยวะ ก็มึงบอกให้กูมาจีบไม่ใช่เรอะ
“มาหาทำไม”
“กะ.........กินไหม” แคปลังเลเพราะว่าเสียงทุ้มนั้นดุดันเกินไป เขาไม่รู้จะตอบว่าอะไร มือเย็นจนชาไปหมดนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถือแก้วกาแฟเย็นไว้สองแก้ว เขาเดินอ้อมเข้าไปหาเจ้าของโต๊ะใกล้ ๆ วางแก้วลงพร้อมกับย่อตัวนั่งลงข้าง ๆ
เอสก็แค่เหลือบสายตามอง ถามน้ำเสียงห้วนจนขุ่นขลัก “อะไร”
“ก็ซื้อมาฝากไง มึงเลือกดูสิ ชอบแก้วไหนก็หยิบเอาไปดูด” แคปปั้นหน้าทำใจดีสู้เสือ ไม่เจอกันนานดุฉิบหาย เอสตวัดสายตามองเขียวอื๋อ
“กินดิ ชอบแก้วไหนมึงลองเลือกดู”
เอสเบนสายตาไปมองทั้งสองแก้วนั่น เกิดคำถามขึ้นในใจ ทำไมต้องมีสองแก้ว มันต่างกันยังไง หากแต่เขาไม่ได้ถาม เมิน แล้วหยิบปากกาขึ้นมาพลางเปิดแฟ้มงานที่วางอยู่ ดูเหมือนไม่ได้สนใจคนตรงหน้าที่จดจ่อรอให้เขาทำอะไรสักอย่างกับของฝากของมัน
“ทำไมไม่กินวะ” อย่าเมินกันนักสิ นี่กูอุตส่าห์ตั้งใจถือขึ้นมาฝากเลยเนี่ย
เอสยังคงก้มอ่านรายงานอยู่แบบนั้น แคปก็จ้องมันอยู่นั่นแหละ นั่งยองๆแบบนี้เมื่อยเหมือนกัน ช่วยไม่ได้เก้าอี้รับแขกดันไปอยู่เสียตรงโซฟานั่น เขาเลยต้องมานั่งจ้องมันใกล้ ๆ แบบนี้แหละ คนถูกจ้องทำงานไม่รู้เรื่อง ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ๆก่อนขยับปากถามด้วยน้ำเสียงและหน้าตาที่น่ากลัวไม่เปลี่ยน “มันต่างกันยังไงสองแก้วนั่น”
แคปยิ้มแล้วอธิบาย “แก้วนี้เป็นคาปูชิโน่ ส่วนแก้วนี้เป็นม็อคค่า กินดิ กูซื้อมาฝากมึงนะ”
“ไม่กิน” เอสตอบเสียงแข็ง อีกคนหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“ไม่กินก็เสียใจ” แคปแสร้งทำเสียงให้ดูน่าสงสารที่สุดต่อ มารยาทุกอย่างที่มีในตอนนี้พยายามจะงัดออกมาใช้ นึกแล้วโคตรอายตัวเองเลยว่ะ ผู้ชายเช่นกูทำไมมานั่งทำเรื่องน่าอับอายแบบนี้ได้
แต่เขาก็ต้องท่องไว้...อดทน....เพื่อหัวใจ
“เสียใจจริงนะเนี่ยถ้าไม่กิน” แคปว่าอ้อนๆไปอีก ให้ตายถ้าปกติกูไม่ทำแน่ ๆ ขนลุก
“เรื่องของมึง”
“.................” พูดไม่ออกเลยสิทีนี้ แคปนิ่งไป กำลังนึกว่าจะทำยังไงต่อ กับคนที่ตัวเองจริงจังนี่มันทำไมถึงได้อายขนาดนี้วะหน้าร้อนไปหมดไม่เข้าใจ เมื่อก่อนก็เล่นๆไปเรื่อยจีบใครป้อใครมันทำไมถึงเฉย ๆ ได้วะ จะทำยังไงต่อดี
“จิ๊ น่ารำคาญ” เอสตวัดตาเขียว ๆ ใส่คนที่เท้าคางทำหน้าจ๋อยอยู่กับโต๊ะก่อนดึงแก้วม็อคค่าเอาไปดูดหนึ่งทีแล้วทำหน้าเหยเกขึ้นมา แคปตาโตถามเสียงแข็งขึง “ทำไม!”
“อะไร” เอสที่หยิบแฟ้มขึ้นมาดูอีกทีถึงกับต้องละสายตาขึ้นมามอง เพราะว่าจู่ๆแคปลุกขึ้นแล้ว
“ทำไมมึงไม่หยิบแก้วนี้ล่ะ”
“ไม่อยากกินคาปูชิโน่ไง”
“.............” อย่าตอบออกมาง่าย ๆ แบบนั้นนะเว้ยโฮ้ยยยย มันเจ็บราวกับเข็มสักพันเล่มพุ่งเข้าใส่เลยมึงรู้ไหมห๊ะ!!
“ไม่ชอบแล้ว?” ไม่ชอบคาปูแล้วเหรอวะ แคปตั้งสติได้นึกว่าไม่ควรจะโวยวาย เขาจึงค่อยนั่งย่อตัวลงอีก สองมือประสานไว้ที่โต๊ะขยับใบหน้าเข้าไปถาม
“ไม่ชอบคาปูชิโน่แล้วจริงดิ”
“อืม”
ไอ้คนใจร้ายยยยยยยย ไอ้ยักษ์ ไอ้ตัวยักษ์ ไอ้คนใจยักษ์ ไหนมึงหงุดหงิดอยากให้กูมาหาไง ทำไมมาแล้วไม่เห็นจะมีทีท่าดีใจขึ้นมาเลย ดูทำหน้าโกรธกูยิ่งกว่าเก่าเสียอีกนี่หว่า
“ขยับไป จะทำงาน” เอสใช้แฟ้มดัน ๆ ให้คนที่เริ่มกินพื้นที่ออกห่างจากตัว เขามองแก้วน้ำที่มันเริ่มละลายเลอะเทอะ จะกดเรียกปอให้เข้ามาเก็บแก้วออกไป แต่แคปเหมือนรู้งานรีบหยิบกาแฟเย็นสองแก้วนั้นออกไปวางไว้ที่โต๊ะกระจกหน้าโซฟารับแขกแทน
“นี่ กูก็มาตามที่มึงบอกไว้แล้วไง ทำไมถึงยังทำหน้าแบบนั้นอีกอ่ะ”
“กูบอกให้มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จำไม่เห็นได้” เอสมองแคปที่กำลังพยายามลากโซฟาเดี่ยวเลื่อนๆๆมาใกล้ ๆ เขา จากนั้นมันก็นั่งลง
“ห้องมึงนี่ไม่ค่อยดีเลยนะ ไม่มีเก้าอี้ให้แขกนั่งเลย”
“แล้วที่นั่งอยู่นั่นไม่ใช่เก้าอี้หรือไง”
“ไม่ใช่แบบนั้น กูหมายถึงเก้าอี้ที่เอาไว้วางตรงนั้นน่ะ หน้าโต๊ะมึงไง”
“ไม่มีห้องผู้บริหารที่ไหนเขามีเก้าอี้ไว้สำหรับให้แขกมานั่งจ้องหน้าหรอกนะ”
“อ่ะจริงดิ งั้นกูไปนั่งตรงนั้นดีกว่า” แคปไม่ว่าเปล่าลุกขึ้นลากไอ้โซฟาตัวเก่า ลากๆๆมาจนถึงด้านหน้าโต๊ะของเอส พอเขานั่งลงไปมันกลับเตี้ยจนแทบจะมองไม่เห็นเจ้าของโต๊ะใหญ่ แคปจึงแหงนหน้ามอง
“ตลกไหม กูเป็นคนแคระ ริจะจีบยักษ์”
“ประสาท” เสียงทุ้มบ่นอุบออกมาหน้าบูดบึ้ง แคปยักไหล่แล้วปีนขึ้นไปนั่งบนแขนของโซฟาแทน
“นี่มึงกินข้าวยังอ่ะ” จะว่าไปยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนี่หว่า อาฟี่ไม่พาแวะ ท่าทางจะรีบไปทำธุระต่อเขาเลยลืมเรื่องอาหารเที่ยงเสียสนิท
“นี่ ไม่ได้ยินกูถามเหรอ มึงกินข้าวยังวะ”
“กินแล้ว ทำไม”
ตอบเสร็จก็สนใจงานต่อไม่ยอมมองหน้ากันจนแคปรู้สึกอับอายที่จะถามโน่นนี่นั่นต่อไปอีกเหลือเกิน ดูเหมือนเขากำลังกวนเวลาทำงานมันมากๆ
แคปลุกขึ้น
แต่ทางนั้นก็ยังนิ่งเฉยไม่มองมา
พอแคปก้าวฉับๆๆไปที่ประตู เสียงปากกากระทกลงที่โต๊ะดังสนั่นจนเขาต้องหันกลับมามอง
...สองคนจ้องหน้ากัน...
อะไรของมันวะพออยู่ก็ทำหน้าไม่พอใจ ทำเหมือนเขาเป็นตัวเกะกะ พอจะออกไปนั่งรอด้านนอกก็ทำหน้าเหมือนกับจะจับเขากินอย่างนั้นแหละ
จะเอาไงกันแน่
“ถ้ามีความอดทนแค่นี้ มึงก็คืนบัตรนั้นมาแล้วออกไปเลย”
“ไม่ให้! บัตรแฟนเรื่องอะไรจะคืน”
“กูไม่ใช่แฟนมึง!” เสียงทุ้มน่ากลัวสวนกลับมาอย่างไม่ต้องคิดให้มากความ แคปสตั๊นไปเลย
นี่มัน...ราวกับโลกหมุนย้อนกลับ
คำพูดที่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเขาเคยใช้กับคนตรงหน้า
รู้ว่าฟังแล้วต้องเจ็บร้าว ลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ แต่บางที...มันก็นึกอยากจะเสี่ยงลองฟังดูสักครั้ง
รู้ว่าไม่มีสิทธิ์อีกแล้ว
รู้ว่าเราสองคนไม่ได้ข้องเกี่ยวกันอีกแล้ว
แต่ว่า..
ถ้ากูไม่หน้าด้านแบบนี้ กูจะได้มึงมาครอบครองอีกครั้งไหมล่ะ
“ไม่ใช่จริงดิ”
ทั้งที่หัวใจเจ็บจนแทบแตกสลาย คำพูดคำจาแผ่วเบายังก่อกวนได้ต่อ ดวงตาสั่นไหวของเขาคงจะฟ้องบางอย่างออกมา เมื่อเอสมองเห็นแบบนั้นถึงกับต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ความเงียบโรยตัวขึ้นอีก กระทั่งแคปค่อยเดินอ้อมเข้ามาที่ด้านหลังเขา ขยับเข้าไปใกล้ ๆ แล้วยื่นบางสิ่งบางอย่างส่งไปให้
ท็อฟฟี่สีชมพู~เอสคงไม่รู้ตัว ว่าเสี้ยวใบหน้าที่แคปมองเห็นเขาจากด้านหลัง มันเห่อแดงขึ้นมาจนทำเอาคนให้ใจชื้น กำลังยืนอมยิ้มดีใจจู่ ๆ ร่างสูงใหญ่ลุกพรวดขึ้นก่อนจะดันแคปให้ออกจากทางแล้วทำท่าจะเดินไป แคปรีบคว้าแขนเอาไว้
“ทำไมวะ” มึงไม่ชอบเหรอ ลูกอมที่กูตั้งใจเอามาให้
“กูไม่กินของเด็กเล่นแบบนี้หรอก”
“แต่กูชอบกินนี่”
รวดเร็วเกินกว่าจะจินตนาการ เพราะว่าแคปแกะห่อท็อฟฟี่นั้นออกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขายัดมันเข้าไปในปากเอสโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวทัน คนถูกป้อนยืนทำหน้าเอ๋อแดกไปไม่เป็น ยิ่งพอแคปเบียดตัวเข้าชิดใกล้ เอสยิ่งตระหนกตกใจ
“ป้อนกูสิ...”
แคปว่าออกมาเบาๆ ปลายจมูกโด่งแทบจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ใกล้ชิดมากจนต่างฝ่ายรับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาไม่รอดแล้ว โดนจูบแน่ ๆ
แต่วันนี้
ไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว
เพราะคนที่ไม่ขยับเลยก็คือ.......เอส
ดวงตาคมกริบสองคู่จ้องมองกันอยู่อย่างนั้นชั่วขณะ จนเป็นแคปที่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปาก
“ทำไม” ไม่จูบกูจริงอ่ะ
“หลีกไป”
คำพูดง่าย ๆ ที่พูดออกมาพร้อม ๆ กับวงแขนที่กันแคปให้พ้นออกจากทาง เอสเดินอ้อมมานั่งลงที่โต๊ะทำงานเรียบร้อย
แคปปลง เวลาดำเนินเรื่อยไปตั้งแต่ตอนนั้น คนหนึ่งนั่งทำงานไปขณะที่อีกคนนั่งลงที่โซฟาเดี่ยวที่ตัวเองลากออกมาจ้องคนที่โต๊ะนิ่งอยู่แบบนั้นมองซ้ายมองขวานึกบางอย่างขึ้นได้เขาจึงแอบดึงเอากระดาษโน๊ตแผ่นเล็กๆบนโต๊ะออกมาเขียนอะไรบางอย่างลงไป
“นี่..” แคปเลื่อนแผ่นกระดาษที่มีตัวเลขสิบตัวเรียงกันอยู่ส่งให้ เอสละสายตาออกจากหน้าจอรายงาน “ตอนนี้ใช้เบอร์นี้อยู่ โทรหากูได้นะ”
“....................”
โดนเมินตามเคย เอสเหลือบมองอย่างนึกเซ็ง ก่อนหันไปสนใจงานตัวเองต่อปล่อยแคปไว้อาลัยกับเบอร์โทรศัพท์ของมันไป
“ถ้าอย่างงั้นกูขอเบอร์มึงได้ไหม”
โดนตวัดสายตาใส่เป็นรอบที่ยี่สิบของวัน แคปเริ่มคิดว่าตัวเองอาจพูดอะไรบางอย่างผิดไปเขาจึงพูดใหม่ “ผมขอเบอร์คุณได้ไหม” อึ๋ยยยทำไมถึงตาเขียวอื๋อยิ่งกว่าเก่าวะ นึกว่าเมื่อกี้พูดไม่เพราะมันเลยทำตาเขียวใส่ นี่น่ากลัวกว่าเดิมอีก เห็นท่าจะไม่ใช่เรื่องสำเนียงการพูดเสียแล้ว
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูขอกับเลขามึงเองก็ได้”
“อยากจะรู้ไปทำไม ถ้าจะโทรหาก็ไม่ต้องนะเสียเวลา เบอร์ที่กูใช้ก็เบอร์เก่านั่นแหละ ห้าปีที่ผ่านมา ไม่เคยเปลี่ยนหรอก”
“ไม่เปลี่ยนจริงหรือเปล่า” แคปเลื่อนหน้าเข้าไปถามใกล้ ๆ แน่นอนเขาหมายถึงคน แต่ทำไมถึงได้ยินเสียงเอสหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เฉพาะเบอร์นั่นแหละที่ไม่ได้เปลี่ยน นอกนั้นเปลี่ยนไปหมดแล้ว”
คนฟังจ๋อยไปเลยสิ นี่หน้าชาไปไม่รู้กี่สิบหนแล้วนะ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันที่ยังนั่งทนทานหน้าด้านอยู่ตรงนี้ต่อได้ เขาได้ยินเสียงต๊อกแต๊กของคีย์บอร์ด แอบมองขึ้นไปเห็นเอสพิมพ์ข้อความอะไรสักอย่างในเมล แคปทิ้งเวลาสักครู่ เขาคิดว่าตัวเองช่างไร้ค่าจริง ๆ ไม่มีอะไรจะทำต่อแล้วยกเวลาขึ้นดูพอเห็นว่าเย็นแล้วเขาเองก็ลุกขึ้น
“นี่...”
ก๊อกๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ แคปจึงต้องหยุดไว้ก่อน ปอเดินเข้ามาพร้อมรายงานในมือยื่นส่งให้กับเอส ก่อนหันมองมาที่แคปแล้วแอบอมยิ้มร้าย ๆแคปถลึงตาใส่มันจากนั้นขยับปากแบบไร้เสียงบอกให้รีบ ๆ ออกไปเลย
“นายครับ เดี๋ยวคุณมินตราจะเข้ามาแล้วนะครับ”
“อืม”
แคปได้ยินเต็มสองรูหู ไอ้เพื่อนปอมันพูดถึงคู่หมั้นเจ้านายมันเหรอวะ บอกว่าจะเข้ามาแล้วหมายความว่ายังไง แล้วปล่อยให้เขามานั่งป้อเจ้านายมันอยู่นานสองนานนี่นะ
บ้าเอ๊ย
นี่กูลืมไปได้ยังไงว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้วทั้งคน สวยแบบฉิบหาย อีกทั้งน้องโบว์อะไรนั่นอีก ถือว่าเป็นน้องที่เขาสนิทด้วยอีกต่างหาก น่ารักตัวแม่
แคปลุกขึ้นเลย มองเห็นปอโค้งคำนับให้เจ้านายก่อนล่าถอยออกไป เขาเดินเข้าไปหาเอสใกล้ ๆ
“แบบนี้ไม่แฟร์”
“อะไร” เอสละสายตาออกจากแฟ้มมองขึ้นมา
“คิดเอาเองว่าเรื่องอะไร”
“ใจฝ่อจริงๆ ไหนว่าจะเอาชนะกูให้ได้ไง ไหนบอกว่าจะเอาชนะบรรดาผ้หญิงพวกนั้นให้ได้ไม่ใช่หรือไง แค่ได้ยินชื่อคู่หมั้นกูมึงก็ฝ่อขึ้นมาแล้วหรือไงหื้ม”
“กูไม่ได้ฝ่อ”
“จะเชื่อดีไหมล่ะ” แคปได้ยินเสียงคนพูดหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับจะเย้ย ทำเอาเขากัดฟันไว้แน่น ขยับเข้าไปหาเอสใกล้ ๆ
“ตอนแรกกะจะชวนให้ไปส่งกูที่ห้องเย็นนี้ แต่ตอนนี้คิดว่ามึงคงไม่ว่างแล้วล่ะสิ”
“ไม่ว่างแน่อยู่แล้ว ก็ว่าที่คู่หมั้นกูจะมานี่นะ”
“ขอถามอีกที จะไปส่งกูไหมหรือว่ามึงจะไปพร้อมกับคู่หมั้นมึง”
“คำตอบมีอยู่ในคำถามแล้วนี่”
“จะไปกับใคร”
เอสยกข้อมือดูเวลา ในตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือเขาดังขึ้นมา ที่หน้าจอเป็นรูปของสาวสวยที่มีชื่อกำกับว่ามินต์ สองคนจ้องหน้ากัน
วัดใจ
จนกระทั่งเอสหยิบเครื่องโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดรับสาย ทั้งที่ตายังจ้องอยู่ที่คนตรงหน้า
“ครับ”
ทันทีที่เขาเลือกที่จะรับสายแล้วพูดคำว่าครับลงไป เวลานั้นแคปหันหลังออกไปจากห้องนั้นในทันที เสียงบานประตูปิดลงพร้อม ๆ กับตัวคนที่เดินกัดฟันกรอดก้าวฉับ ๆ ผ่านโต๊ะของปอกำลังจะเลี้ยวผ่านเข้าไปที่ห้องสูบบุหรี่ดันสวนทางกับผู้หญิงที่เขาเพิ่งเห็นรูปเธอโชว์อยู่ที่หน้าจอมือถือเครื่องนั้นของเอส
เธอคุยโทรศัพท์ไปยิ้มไป
ไม่ต้องเดาก็รู้อยู่แล้วว่าปลายสายนั้นเป็นใคร
ควันสีเทาลอยหม่นอยู่รอบกาย บุหรี่จวนจะหมดมวนอยู่แล้วในตอนที่ปอเดินเข้ามาตบลงที่ไหล่เพื่อนตัวเองพลางบีบลงแรง ๆ หนึ่งที ในมือถือกระเป๋าเตรียมพร้อมไว้
“มึงจะค้างที่ไหนวะคืนนี้”
“โรงแรมมั้ง”
“ค้างห้องกูไหม ห้องเก่าของพวกเราไง”
“ไม่ดีหรอกมั้ง” มันทำให้นึกถึงอดีต ที่สำคัญยิ่งเห็นผู้หญิงคนนั้นเขายิ่งรันทดอดสูจริง ๆ คนสวยขนาดนั้นเขาจะเอาอะไรไปสู้วะ สู้ได้ด้วยเหรอ
“เข้มแข็งไว้เพื่อน มึงท่องไว้มึงต้องเข้มแข็ง”
“เออกูก็อยากจะแข็งอยู่หรอก แต่มึงก็เห็น....”
“เอาน่านี่มันแค่เริ่มต้น มึงต้องมั่นใจตัวเองเข้าไว้ ให้กำลังใจตัวเองสิวะ กลับกันเถอะ”
“เจ้านายมึงกลับไปแล้ว?”
“อืม คงใช้ลิฟต์ตัวในน่ะ”
แคปพยักหน้าเบา ๆ สองคนเดินไปเรียกลิฟต์เพื่อลงมาที่ชั้นจอดรถด้วยกัน แต่ปอบอกว่าต้องแวะทำธุระที่ฟร้อนชั้นหนึ่งก่อน แคปจึงต้องลงมาด้วย
“กูออกไปรอด้านนอกนะ” ปอพยักหน้าให้ มองตามแคปที่เดินเซ็ง ๆ ผ่านกระจกหมุนออกไป
“อ้าวคุณ สวัสดีครับ” เสียงพี่รปภ. คนเดิมที่เคยกักตัวแคปไว้ร้องทัก คราวนี้รู้แน่แล้วว่าเป็นแขกของท่านประธานเขาจึงยกมือขึ้นทำความเคารพแคปด้วย
“หวัดดีครับพี่ วันนี้ร้อนจังนะ” แคปตอบทักแล้วเดินตามพี่เขาไปนั่งลงแถว ๆ บันไดเล็กๆข้างตู้รับบัตรของยาม ที่เก่าที่เขาเคยมานั่งเมื่อสองสัปดาห์ก่อน มีรถแล่นผ่านเข้าออก แลกบัตรโดยพี่รปภ.อีกคนที่ยืนอยู่ในตู้
เล็กๆนั่น
“วันนี้คุณก็มาหาท่านประธานเหรอครับ” เป็นแขกวีไอพีที่ทำตัวไม่วีไอพีเลยสักนิด ไม่น่าเชื่อว่าวันนั้นท่านประธานจะลงมารับผู้ชายคนนี้ด้วยตัวเอง
“อะ..อ๋อครับ เสร็จธุระแล้วล่ะ ผมลงมากับคุณปรเมธน่ะ เขาคุยธุระอยู่ ผมนั่งเล่นแถวนี้รอได้ไหมเนี่ย”
“ได้สิครับถ้าคุณไม่ว่าอะไรก็นั่งเถอะครับ แถวนี้พวกผมใช้นั่งเล่นกันช่วงดึกตลอดอ่ะ ยิ่งดึกอากาศจะดีมากๆเลยล่ะครับ”
แคปมองไปที่สวนหย่อมที่เป็นป้ายทางเข้าออกของบริษัท ต้นลีลาวดีสูงใหญ่ปกคลุม มีดอกร่วงกราวลงมาตามกระแสลมอ่อนๆ คุณลุงคนสวนกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ด้วย กลิ่นชื้นของดินมันทำให้เขานึกถึงไร่ของตัวเองขึ้นมา อากาศที่ไร่ดีกว่าตั้งเยอะจะว่าไปเขาไม่ค่อยถูกกับเมืองกรุงเลยจริงๆนะ แคปกำลังอมยิ้มอารมณ์ดีๆอยู่รอยยิ้มพลันต้องสลายหายวับ เมื่อรถยนต์สีดำคันใหญ่เลี้ยวผ่านช่องตรวจบัตรออกมาออกมาโดยไม่จำเป็นต้องยื่นบัตรผ่านเลย แสงแดดที่สาดเข้าใส่ฝั่งด้านหน้าทำให้มองเห็นเลยว่าเป็นใครที่ขับรถคันนี้อยู่
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า คนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ คือหญิงสาวสวยมากคนนั้น
ก๊อกๆ
แกรกกก~
“ป๊า คุณแม่ล่ะครับ”
“อยู่ข้างในน่ะ นึกยังไงเข้ามาหาป๊ากับแม่ถึงที่ห้องนอนเนี่ยเราหื้ม”
“เสียงอะไรคะคุณ อ้าวเอสมาหาแม่กับป๊าเหรอลูก กำลังลองชุดอยู่เลย มาๆมาดูช่วยดูให้แม่ทีนะ ว่าแต่เรามีเรื่องอะไรสำคัญใช่ไหมเนี่ย ร้อยวันพันปีจะเข้ามาหาแม่ถึงในห้องแบบนี้ มานอนด้วยกันเลยดีไหมหื้ม”
“แม่ครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณแม่น่ะครับ”
“เอ๊ะ เรื่องด่วนเหรอลูก มีอะไรรึเปล่า”
“ครับคุณแม่...”
.....
คืนนั้นไม่รู้ว่าทำไมคูเปอร์ถึงได้เดินวนไปวนมาจนเอสต้องลุกขึ้นมาลูบหัวลูบหลังมันหลายต่อหลายครั้ง “คูเปอร์”
งิ๊งๆๆ
“ปวดท้องหรือเปล่า หรือจะขึ้นมานอนกับพี่”
เจ้าคูเปอร์เลียมือเอสอ้อน เขาเดินไปส่งมันขึ้นนอนที่โซฟาซึ่งเป็นที่นอนของมัน แต่มันส่ายหัวไม่ยอม เดินไปหยุดอยู่ที่ประตูระเบียงหันมามองเอสแล้วร้องหงิงๆ
“จะออกไปเหรอ”
เอสเลื่อนบานประตูเปิดออกให้ ลมเย็นๆยามดึกเย็นพัดเข้ามาปะทะใบหน้า คูเปอร์เดินไปกระโดดเอาสองขาเกาะอยู่ที่ขอบระเบียง
มันเห่า
“คูเปอร์เป็นอะไร”
“โฮ่ง”
“เข้านอนได้แล้ว นึกยังไงอยากเล่นดึกดื่นขนาดนี้” เอสอุ้มมันลงมาแล้วบอกให้เดินเข้าไปนอนลงที่เดิม เจ้าคูเปอร์หันมามองหน้าเจ้านายแบบงอน ๆ จากนั้นกระโดดขึ้นโซฟาเบสตัวสีเทาแล้วหมุนๆๆก่อนทิ้งตัวนอนลง เป็นเวลาเดียวกับเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เขาเดินไปหยิบขึ้นมาดู จากนั้นเผลอยิ้มออกมา ก่อนเปลี่ยนไปทำหน้านิ่ง ๆ อย่างเคย
“โทรมาทำไมรบกวนคนจะหลับจะนอนจริง ๆ”
แคประบายรอยยิ้มบาง ๆ ออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มต่อว่ามาจากปลายสาย เขาทาบนิ้วที่คีบบุหรี่จรดเข้าที่ริมฝีปากก่อนปล่อยควันสีเทาหม่นเจือจางให้ลอยอ้อยอิ่งออกมา
“อ้าวจริงดิ นี่ไม่รู้ตัวเลยนะว่ากดมาเบอร์มึงเนี่ย งั้นกูวางเลยละกัน”
(มึงลองวางสิ)
“จะเอาไงแน่วะ”
(รบกวน น่ารำคาญ)
“รำคาญแล้วจะคุยได้ไหมล่ะ”
(สองนาที)
“ก็ยังดีกว่าให้แค่นาทีเดียวล่ะเนอะ”
(มีอะไร)
“เปล่า แค่อยากได้ยินเสียง”
(อืม งั้นจะไม่พูด)
“งั้นก็ดี เพราะแค่เสียงลมหายใจของมึงก็ทำให้กูคึกคักน่าดูอยู่แล้ว”
(ประสาท)
“หึหึ ดีใจจัง”
(บ้ารึเปล่า)
“นี่ เมื่อตอนเย็นมึงไปส่งผู้หญิงคนนั้นเหรอ” กูเสียใจนะ
(ใช่ ทำไม)
“มึงชอบเขาเหรอ”
(เธอเป็นว่าที่คู่หมั้นของกู)
“รักเธอหรือเปล่า”
(ไม่เกี่ยวกับมึง)
“เกี่ยวสิ”
(ตรงไหน)
“ก็ถ้ากูคิดว่าจะจีบ กูก็จะเคลียร์ตัวเองให้เกียรติคนๆนั้นที่กูคิดจะจีบ มึงเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกันนะ”
(นี่มึงมีคนของมึงอยู่แล้ว?)
“ถ้ามีแล้วผิดเหรอ” ความจริงไม่มีหรอก แต่พูดแล้วก็นึกขำขึ้นมาไม่ได้เพราะว่าทางนั้นเงียบไปเลย
แคปเดินเข้าห้อง กระโดดขึ้นเตียงคว้าหมอนมากอดไว้ที่ตัก
“งอนเหรอวะ”
(......................)
“อะไรล่ะนั่น อย่าเงียบไปดิ คนที่ควรโกรธต้องเป็นทางนี้ไหม มึงมีว่าที่คู่หมั้นสวยมากขนาดนั้นอ่ะ)
(นี่มึงมีแฟนแล้วจริง?)
“อะไร ถ้ามีแล้วผิดหรือไงล่ะ” ทำเสียงดุไปได้ มีที่ไหนกันเล่าของแบบนั้น
(..................)
“โกรธอีกแล้วเหรอ”
(จะวาง)
“ไม่วางดิวะ ยังคุยไม่เสร็จเลย”
(จะวาง)
“เดี๋ยวจะเคลียร์ทุกคนออกให้หมด จะตั้งใจจีบมึงแค่คนเดียว จะไม่เจ้าชู้อีกแล้ว มีแต่มึงคนเดียวเลยดีไหม” เอ๊ะนี่กูเคยเจ้าชู้ด้วยเหรอวะ พูดแล้วต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดหน้า อายตัวเองดิสัส พยายามนึกถึงคำโอ้โลมปฏิโลมมันทุกวิถีทางแล้วเนี่ย
(.................)
“เชื่อใจกูนะ ไม่งอน แล้วมึงเองก็ต้องเลิกกับทางนั้นให้หมดทุกคนด้วย”
(.................)
“ได้ไหม” อ้อนเข้าไปอีกไอ้แคปมึง งัดออกมา เทคนิคของมึง
(.................)
“เอส”
(ไม่!)
“โอ๊ยอะไร จะให้กูซื่อสัตย์อยู่คนเดียว ส่วนมึงจะมีใครก็ได้งั้นดิ”
(ใช่ กูจะมีใครก็ได้)
ไอ้คนชั่วร้าย เห็นแก่ตัวแม่ง ชั่วๆๆๆๆ (ใจร้ายจัง~) พูดได้แค่นี้ไปก่อน เดี๋ยวจีบไม่ติด
(จะวางแล้ว)
“เดี๋ยวดิ”
(เกินสองนาทีแล้ว)
“เพิ่งนาทีเดียวเอง” ถึงความจริงสิบห้านาทีแล้วก็เถอะ
(มีอะไรอีกรีบพูด)
“พรุ่งนี้เข้าไปหาอีกได้ไหม”
(ไม่ได้)
“จริงดิ”
(ตอนเช้าไม่ว่าง)
“งั้นไปตอนบ่าย”
(บ่ายก็ไม่ว่าง)
“ไม่อยากไปตอนเย็นอ่ะ กลัวเจอภาพบาดตาอีก ผู้หญิงของมึงสวยเกินไป”
(คิดว่าจะเจอเขาอีกหรือไง)
“ทำไมอ่ะ เดี๋ยวเขาก็มาหามึงอีก” กูเจ็บนะ เขาเป็นว่าที่คู่หมั้นมึงนี่
(...................)
“นี่...”
(วางแล้วนะ ลูกกูเรียกแล้ว)
“เฮ้ย!! มึงมีลูกแล้วดิ” ตอนไหนอะไรยังไงฟร๊ะ!!
(คูเปอร์ไง)
“เหยดดดดดดดดดด แล้วแม่มันล่ะ”
(แม่มันทิ้งไปแล้ว ช่างหัวมันสิ)
“หนอย ไอ้สัส!! คูเปอร์ลูกกูนะ” แคปลืมตัวพ่นคำด่าออกมายกมืออุดปากไว้แทบไม่ทัน เหมือนได้ยินฝ่ายนั้นพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ
(...............)
“นี่มึงยิ้มอยู่เหรอ”
(ใครยิ้ม)
มึงนั่นแหละ ยิ้มชัดๆยังจะมาถามเสียงดุ
“มึงยิ้มแน่ๆอ่ะ”
(.................)
“เอส”
(กูไม่ได้ยิ้ม)
“เคยมีคนบอกหรือยัง ว่ารอยยิ้มของมึง สวยที่สุดเลย”
(ไม่เจอกันนาน บ้าขึ้นเยอะเหมือนกันนะแคป)
“ก็....
ติ๊ด----
เสียงกดตัดสาย เบรกคำพูดทุกๆอย่างลง แคปที่กำลังอ้าปากค้างเพราะถูกด่า พูดมาจนถึงตรงนี้กลับหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาอีกได้ไงไม่รู้ เขาทำอะไรไม่ถูกคว้าเอาหมอนขึ้นมากัดมาบดจนฟันปวดหนึบไปหมด แม้ว่าทางนั้นจะวางสายไปแล้วก็เถอะ แต่ความรู้สึกในใจกลับพุ่งพล่านจนยากจะอธิบาย
กัดลิ้นตายไปเถอะกู พูดออกมาแต่ละอย่างช่างไม่อายปากเล๊ยยยย
.
ในขณะเดียวกัน ที่คฤหาสน์ใหญ่ของรัชชา เอสวางโทรศัพท์มือถือลง เขานั่งสงบใจอยู่สักครู่ก่อนเอนตัวลงนอนแล้วเอื้อมมือไปดึงปิดโคมไฟผ้าที่หัวเตียง
ในความมืดที่โอบล้อมอยู่รอบตัว คำพูดเมื่อสักครู่ของแคปกลับย้อนขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึง.....ครั้งแล้วครั้งเล่า
“เคยมีคนบอกหรือยัง ว่ารอยยิ้มของมึง สวยที่สุดเลย” .
.
.
“เคยมีคนบอกหรือยัง ว่ารอยยิ้มของมึง สวยที่สุดเลย” .
.
.
“เคยมีคนบอกหรือยัง ว่ารอยยิ้มของมึง สวยที่สุดเลย”ก็เพราะ...ทุกอย่างที่เธอเคยได้ทำ
นั้นเปลี่ยนใจที่เคยบอบช้ำ
ความอ่อนโยนทุกๆถ้อยคำ
คอยเติมและทำให้ความหวังของฉัน.............กลับมา
(Cr.ทุกสิ่ง/พรู)
Tbc.รอกันนานเลยมินขอโทษนะคะ บทนี้มาแบบชิลๆ สั้นแต่ยืดและย้วยมากกกเละเทะไปนิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรหรอกเนอะ ถือเสียว่าอ่านไปเล่นๆไม่ต้องจริงจังอะไรมากมาย มินไม่ค่อยมีเวลาเลยค่ะ รู้สึกขอบคุณเสมอสำหรับทุกๆข้อความที่ทิ้งกำลังใจไว้ให้กัน บอกตามตรงเพิ่งลงมือเขียนในช่วงที่มีคอมเม้นท์ทวงนี่เอง เจียดเวลาจากหนังสือที่ต้องอ่านสุดๆ แต่เพราะว่ารักและหน้าที่ เพราะงั้นเลยทำให้ปั่นออกมาได้จนเสร็จ 5555+
ช่วยรักและเอ็นดูเอสแคปต่อไปด้วยนะคะ 
ปล. นักอ่านของมินรอเก่งทุกคนอยู่แล้ว ตอนหน้ารออีกนะ(ยิ้มตาหยีให้) 