(ตอนเกือบพิเศษ) เรื่องสั้นของพัฒน์กับโอ๊ต ผมชื่อโอ๊ต เป็นแฟนกับพัฒน์มาได้เจ็ดปีแล้ว รักกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จนตอนนี้ทำงานมาได้พักใหญ่ๆ พัฒน์ทำงานบริษัทเอกชนส่วนผมสอนหนังสือ ตอนนี้เราย้ายมาอยู่ด้วยกันในคอนโดใกล้ๆที่ทำงานของพัฒน์ เราอยู่ด้วยกันเกือบตลอด เช้าแยกย้ายไปทำงาน เย็นหรือค่ำกลับมาเจอกัน
“ไปก่อนนะ” พัฒน์เร่งรีบออกไปจากห้อง
ผมพยักหน้า แต่เขาไม่เห็นเสียแล้ว
ทุกอย่างมันกลายเป็นความเคยชิน
ไม่รู้ว่าความหวานมันหายไปจากชีวิตเราตอนไหน
บางอย่างก็จำไม่ได้แล้วว่า ทำไปทำไม เพียงแค่รู้ว่าต้องทำเท่านั้น ผมเทกาแฟที่ชงไว้ให้พัฒน์ทิ้งลงในอ่าง ยืมมองคราบกาแฟไหลลงท่อไป
ช่วงนี้พัฒน์คงงานยุ่งมาก เขาเลยลืมจะกินกาแฟที่ผมชงให้ และคงลืมหอมแก้มแทนการบอกลา
ผมเก็บล้างส่วนที่เหลือแล้วเตรียมตัวออกไปทำงาน
ระหว่างทำงาน ผมมีสมาธิกับมัน ตอนสอน คิดอย่างอื่นไม่ได้ คนมาเรียนเขาไม่ได้มีหน้าที่มารับรู้ความทุกข์หรือความเศร้าของผู้สอน
ตกเย็น ผมเดินเอื่อยๆ กลับไปที่คอนโด จริงๆมันก็ไม่ได้อยู่ใกล้กับที่ทำงานผมมากนัก แต่ก็ยังพอเดินไหว ผมไม่อยากกลับเข้าห้องเร็วนัก ห้องที่ต้องกลับไปอยู่คนเดียวอีกหลายชั่วโมง
ผมเกลียดการรอคอย ไม่รู้ว่าพัฒน์จะกลับเมื่อไหร่ นานแล้วเหมือนกันที่พัฒน์ไม่โทรบอกว่า วันไหนจะกลับช้า เพราะว่าเขาเริ่มกลับบ้านช้าแทบทุกวัน
ผมเลือกจะทำกับข้าวง่ายๆ ไม่มากนัก เพราะไม่รู้ว่า พัฒน์จะกินมาแล้วหรือเปล่า แต่จะไม่ทำไว้ก็ไม่ได้ เผื่อว่าเขายังไม่ได้กินล่ะ
ตอกไข่ใส่ชาม ตีมันช้าๆ พยายามยืดเวลา เผื่อว่าพัฒน์จะกลับมากินพร้อมกัน
เมื่อก่อนผมทำกับข้าวไม่เป็นเลยสักอย่าง พัฒน์เป็นคนสอน
ภาพเก่าๆวิ่งผ่านเข้ามา “ตีแบบนี้ดิ คนไปคนมาแบบนั้นเมื่อไหร่จะเข้ากัน ดีครับ รอน้ำมันร้อนก่อน” เขาจับมือผมให้จับตะหลิว โอบกอดผมจากด้านหลัง และผมได้จูบหวานๆเป็นรางวัลที่เจียวไข่ได้เหลืองน่ากิน
วันนี้ไข่เจียวของผมคงไม่ต้องใส่น้ำปลา มันเค็มพอแล้ว เพราะน้ำตาผมหยดลงไป
ห้าทุ่มกว่า พัฒน์เพิ่งจะกลับบ้าน
เขายิ้มให้ผม มันเหมือนจะดี แต่มันเป็นแค่ยิ้มทักทาย
“ยังไม่นอน?” เขาคงไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีกว่านี้
“อือ” ผมก็เช่นกัน
เขาวางกระเป๋าลง โยนมือถือไว้บนโซฟาที่ผมนั่งแล้วเดินไปเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำขึ้นกรอกปาก ไม่รู้ว่าเขาจะเห็นข้าวไข่เจียวในทับเปอร์แวร์นั่นไหม คงจะเห็น แต่ก็คงจะอิ่มมาแล้ว
ผมก้มหน้าลงอ่านเปเปอร์ที่อ่านค้างอยู่ แต่มันไม่เข้าหัวเลย มือถือเขาดังขึ้น
++แปลกแต่จริง สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับฉัน++
ผมเพิ่งรู้ว่าเขาเปลี่ยนริงโทนใหม่แล้ว หน้าจอเป็นรูปเซลฟี่ของพัฒน์กับผู้ชายคนหนึ่งที่หน้าตาสะอาดสะอ้าน ทั้งคู่ยิ้มให้กล้อง พวกเขาไม่ได้แนบชิดกันแต่ดูสนิทกัน ผมมองเห็นความสดใสในรอยยิ้มของทั้งคู่
เอี๊ยม
ชื่อที่ขึ้นที่หน้าจอ
ชื่อน่ารักดีนะ
มือผมสั่นขณะเอื้อมมือไปหยิบมือถือพัฒน์ขึ้นมา และจ้องมองรอยยิ้มนั้นใกล้ๆ มือใหญ่ของพัฒน์เอื้อมมือมาขอมันไป
“ฮัลโหล ว่าไง”
พัฒน์ยิ้มให้กับคนในโทรศัพท์ เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่เห็นนานแล้ว มันต่างจากยิ้มที่ผมได้ตอนเขาเปิดประตูเข้าห้องมา
ผมควรไปอาบน้ำ แล้วให้น้ำล้างน้ำตาออกไป
ออกจากห้องน้ำ ผมส่องกระจก คนในกระจกเหมือนจะมองผมด้วยความเห็นใจ
“พอแล้วไหมไอ้โอ๊ต มันถึงเวลาจะพอแล้วไหม”
ผมถามตัวเองในใจ มือจับติ่งหู สมัยเรียนผมเจาะหูข้างซ้าย ตอนมาทำงานถอดออกเพราะไม่ค่อยเหมาะ ตอนนี้จะตันหรือยังนะ มือหยิบต่างหูที่เคยใส่ รูด้านหน้ายังไม่ตันแต่มันแทงไปด้านหลังไม่ได้ ผมควานต่างหูไปมาพยายามให้มันทะลุ
“พัฒน์ ใส่ต่างหูให้หน่อย”
ผมหันไปขอความช่วยเหลือจากพัฒน์ที่ตอนนี้อาบน้ำแล้วแล้วนั่งเล่นมือถืออยู่บนที่นอน
เขากวักมือเรียก ผมกำลังเดินไปหา มือข้างหนึ่งถือต่างหูคาไว้ที่หู
“เพิ่งจะมาบอกให้ทำอะไรตอนคนกำลังจะนอน” เขาส่ายหน้า
ผมชะงักเท้า
“อืม ไม่เป็นไร งั้น” ผมก้มหน้าลงซ่อนความรู้สึกไว้
“โอ๊ต ไม่เอาน่า” ดูเหมือนพัฒน์จะรู้ว่าผมน้อยใจ “เรื่องแค่นี้เอง”
((เรื่องแค่นี้เอง เรื่องแค่นี้เอง เรื่องแค่นี้เอง)) หูผมอื้ออึงไปหมด ความรู้สึกของผมมันเป็นเรื่องแค่นี้เองสินะ
“อื้อ ไม่เป็นไร เปลี่ยนใจแล้ว ข้างหลังมันคงตันอ่ะ คงต้องเจาะลงไปใหม่ ไม่เอาแล้ว กลัวจะเจ็บ ไว้ค่อยไปเจาะร้านใหม่”
ผมยิ้มจางๆเท่าที่จะฝืนไว้ แต่มองหน้าเขาไม่ไหว เดินหันหลังเพื่อจะไปเก็บต่างหู
เขาดึงข้อศอกผมไว้ จูงไปที่เตียง คิ้วขมวด
“ไม่ต้องแล้วพัฒน์ เดี๋ยวยังไงพรุ่งนี้เช้าก็ต้องถอดก่อนไปทำงาน นอนเถอะ” ผมขืนตัวไว้
“แน่นะ” เขาพยายามจ้องตาผม
“อื้อ” ผมจ้องตอบ
“ตามใจนะ” พัฒน์เดินกลับไปที่เตียง ตบที่ว่างข้างๆ “มานอนได้แล้ว”
คืนนั้นเรายังคงนอนข้างกันเหมือนเดิม เขาเอาขามาก่ายผมไว้ แล้วกักผมไว้ด้วยอ้อมแขนอีกชั้นหนึ่ง พัฒน์หลับไปแล้วแต่ผมยังลืมตามองเพดาน ความเจ็บปวดที่ซ่อนไว้มันหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย นึกถึงตอนที่เขาจีบผม ดูแลผม วันที่ทำให้ผมตกใจตัวเองที่ชอบผู้ชายด้วยกัน วันที่เขาขอผมเป็นแฟน
มันไม่มีอีกแล้วใช่ไหม
รักของเรามันจางไปมากแล้ว จนมันคล้ายกันเป็นแค่รูมเมท ไม่ใช่แฟน เราไม่ได้มีอะไรกันมาหลายเดือน พัฒน์ทำงานหนัก กลับดึก อาบน้ำและเข้านอนเลย
ผมไม่กล้าชวนเขา ผมเคยชวนให้เมคเลิฟกันหนหนึ่งเมื่อเดือนก่อน เขาเฉยๆไม่สานต่อ แค่ครั้งนั้นก็พอแล้ว แค่นั้นก็โคตรเจ็บแล้ว เพราะกว่าผมจะรวบรวมความกล้า เอ่ยปากชวนแบบนั้นมันยากนะ
เจ็ดปีของเรามันคงนานเกินไป พัฒน์อาจจะเหนื่อยที่จะอยู่ช่วยนับเลขกันไปอีกปีและอีกปี
“ยังรักอยู่ไหม” ผมอยากถามพัฒน์ แต่ก็ทำได้แค่คิด
เช้านี้ผมตื่นสาย เหลียวไปรอบห้องไม่เจอพัฒน์แล้ว แปดโมงแล้ว เขาคงไปทำงาน ส่วนผมไม่มีสอน วันนี้เข้าสายได้นิดหน่อย
ลากเท้าเดินผ่านกระจกเพื่อเข้าห้องน้ำ
เอะ ผมเห็นอะไรแวบแวบ เดินกลับมามาจ้องตัวเองในกระจก ยกมือจับหูข้างซ้ายอย่างเบลอๆ ต่างหูที่หูซ้ายมาได้ยังไง เมื่อคืนไม่ได้ใส่
ผมอมยิ้ม ด่าตัวเอง “ใจง่ายจังวะไอ้โอ๊ต” แค่พัฒน์ใส่ต่างหูให้ตอนผมหลับ ทำไมต้องดีใจขนาดนี้ก็ไม่รู้ มันเหมือนจะลบล้างความน้อยใจทั้งหมดที่มี
ผมตัดสินใจไม่ถอดต่างหูออก มันเป็นต่างหูเงินกลมๆเล็กๆ เล็กมากๆ คงไม่สะดุดตาเท่าไหร่
นักศึกษาบางคนตื่นเต้นกันต่างหูของผม
“วันนี้ดูแปลกตาไปมาก พี่ก็มองอยู่ตั้งนานว่าทำไมนะ” พี่จักร อาจารย์ที่ภาควิชาเดียวกัน ยืนพิงกรอบประตูห้องทำงานของผมอยู่
ผมได้แต่อมยิ้ม
ตกเย็นผมติดรถพี่จักรไปห้าง ตั้งใจจะทำกับข้าวดีๆสักมื้อ แล้วโทรชวนพัฒน์กลับมากิน
มันมีกำลังใจจะเติมความหวานให้ชีวิต ขึ้มมาบ้าง อยากพยายามสร้างบรรยากาศแบบเดิมๆให้กลับมา ให้รู้สึกถึงการเป็นคู่รัก
พี่จักรเสนอตัวช่วยผมเลือกซื้อของสด สงสัยจะเห็นความเงอะงะของผม
ผมเลือกซื้อของเสียเพลิน รู้ตัวอีกทีก็มีของเต็มจนเกือบล้นรถเข็น ทั้งของใช้ในบ้าน ของสด และของไร้สาระอีกมาก
ผมเงยหน้ามองพี่จักรที่เข็นรถตามหลังอย่างอายๆ พี่จักรยืนเท้าแขนสองข้างไปกับรถเข็นแล้วยิ้มล้อ
“ไม่ได้เข้าห้างมากี่ปีแล้วครับ น้องโอ๊ต” พี่จักรแซวขำๆ
แต่ผมสะอึก...สามเดือนแล้วล่ะมั้งที่ไม่ได้มาเดินห้าง มาเลือกของใช้ เพราะพัฒน์ไม่ว่างเลย และผมไม่ชอบเดินห้างคนเดียว มันประหม่ากับสายตาของใครต่อใคร ไม่รู้สิ ผมมันเป็นคนติดแฟนล่ะมั้ง พอเขาไม่ว่างถึงได้เหงาได้น้อยใจจะเป็นจะตายแบบนั้น
พี่จักรบริการช่วยขนของมาส่งถึงบนห้อง ทั้งที่ผมก็ห้ามแล้ว
“ตัวกะเปี๊ยกเดียว จะยกหมดเหรอ ลงมาขนสองรอบก็ยังไม่รู้จะหมดไหม” พี่จักรพูดเรียบๆ
ผมลืมตัว ทำปากยู่ใส่พี่จักร
พี่จักรยิ้ม แล้วจ้องผมอยู่อย่างนั้น
ผมว่า....ชักจะไม่ค่อยดีแล้วสิ....
หันไปกดลิฟท์แล้วจ้องตัวเลขที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆดีกว่า
“ขอบคุณมากพี่ วางตรงนี้ก่อนได้ครับ”
ผมชี้มือไปบนโต๊ะทานข้าว พลางหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาพัฒน์ เดี๋ยวผมจะถามเขาว่า งานยุ่งมากไหม กลับมากินข้าวเย็นด้วยกันได้หรือเปล่า อืม ต้องใส่เสียงอ้อนๆหน่อยนึงด้วยเนอะ
ผมคิดอะไรเพ้อเจ้อ ขณะกดปุ่มโทรออก
เสียงริงโทนเพลงโดราเอมอนดังมาจากโซฟา
ผมยืนถือโทรศัพท์ค้างอยู่ท่านั้น และมองแสงสว่างจากหน้าจอ ที่ยังคงกรีดร้องเป็นเพลงโดเรมอน
“พัฒน์ลืมมือถือเหรอ” พี่จักรที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ เดินเข้ามาถาม
น้ำตาผมไหล
“เฮ้ย โอ๊ต เป็นอะไร”
พี่จักรจับมือของผมที่ถือโทรศัพท์ค้างอยู่ลง กดตัดสาย แล้วโยนไปที่โซฟา จากนั้นหันมาจับบ่าเขย่าเบาๆ เพื่อให้ได้สติ
น้ำตาผมไหลไม่หยุด มันมากขึ้นและมากขึ้น จนกลายเป็นสะอื้น ผมกลั้นไว้ไม่ไหว ไม่ไหวจริงๆ
ริงโทนของผมยังคงเป็นโดเรมอน แต่ริงโทนของ เอี๊ยม ผู้ชายคนนั้นเป็นเพลงกระทันหัน
แปลกแต่จริง สิ่งนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับฉัน มันเป็นรักที่กระทันหันไป แต่มองยังไงเธอก็ใช่ คนเดียวที่ฉันรอ....บอกตรงๆ ตั้งแต่วันที่ได้พบเธอ ตั้งแต่วันที่ยังไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร....เป็นครั้งแรกที่รักใครไปโดยไม่ต้องคิด....
เนื้อเพลงนั้นดังอยู่ในหัวผมอย่างกระท่อนกระแท่น คำบางคำในเพลงรักใสๆเพลงนี้กำลังทำร้ายผม...
รักใครไปโดยไม่ต้องคิด...ไม่สนว่าจะถูกหรือผิด....ห้ามใจไว้ไม่ได้....พัฒน์รู้สึกอย่างนั้นใช่ไหม กับเอี๊ยมคนนั้นหรือเปล่า เจ้าของริงโทนเพลงนี้
ผมเดินไปหยิบมือถือของพัฒน์ขึ้นมา ภาพล็อคหน้าจอ ยังคงเป็นรูปของเรา
ฮึ ผมไม่รู้จะหัวเราะดีไหม
พัฒน์ถ่ายรูปของเอี๊ยมไว้หลายรูป ส่วนใหญ่เป็นรูปตอนเผลอ ตอนนั่งเหม่อที่โต๊ะทำงาน
ผมแน่ใจแล้วล่ะ สิ่งที่ผมสงสัย มันใช่จริงๆสินะ
ผมนั่งร้องไห้ ราวกับทุกอย่างในชีวิตมันพังลง ไม่สนใจแล้วว่า พี่จักรจะคิดยังไง ผมไม่เหลือสติอีกแล้ว
ผมร้อง ร้อง และร้อง จนไม่เหลือแรงจะสะอื้น จมูกตันไปหมด หายใจไม่ออก
พี่จักรเอื้อมมือเปล่าๆมาบีบจมูกของผม จมูกที่มีน้ำมูกใสๆไหลย้อย
“สั่งออกมา โอ๊ต สั่งเบาๆ” พี่จักรช่วยบีบและป้ายขี้มูกของผมออก
เขานั่งเงียบๆดูผมร้องไห้มาร่วมชั่วโมง และตอนนี้ยังทำแบบนี้อีก มือของเขาเปื้อนน้ำมูกของผม
ผมนั่งกอดเข่า เงยหน้ามองเขา ผมรู้ตัวดี สายตาของผมตอนนี้ มันเหมือนลูกหมาที่ไม่มีที่พึ่ง
“ช่วยเด้วย ผมเจ็บ” สายตาของผมคงพูดออกไปอย่างนั้น พี่เขาถึงโน้มตัวลงมากอดผมไว้ทั้งตัว และผมก็ร้องไห้อีกรอบ
.
.
.
ตอนนี้ผมอยู่ในรถของพี่จักรอีกแล้ว
หลังจากตั้งสติได้บ้าง ผมก็เก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นบางอย่างออกมาจากห้องนั้น
ผมยังไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป รู้แค่คืนนี้ผมอยู่มองหน้าเขาไม่ได้ จะกลับไปบ้านพ่อแม่ ก็ไม่ได้ กว่าพ่อแม่ของผมจะยอมให้เราคบกันก็ยากลำบากมาก และพัฒน์รับปากป๊าของผมแล้วว่าจะไม่ทำให้ผมเสียใจ ขืนผมกลับไปสภาพนี้ ป๊าคงเล่นพัฒน์จนอ่วม ผมไม่อยากให้ป๊าโกรธพัฒน์ ผมโง่ใช่ไหม งมงายกับคำว่ารัก มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่อยากให้ป๊ารู้สึกไม่ดีกับพัฒน์
ก่อนออกมา ผมส่งไลน์ ทิ้งไว้ให้พัฒน์ เป็นรูปผมที่ยิ้มทั้งน้ำตา และข้อความจากเนื้อเพลง เพลงหนึ่งเพียงสั้นๆ
...เมื่อใครคนนั้นเข้ามา สัญญาก็หมดความหมาย.... 
---ยังไม่จบตอน— แต่ก็เขียนต่อไม่ไหว---จะรอจนจบแล้วค่อยลงก็ไม่ไหวเหมือนกัน— ขอเอาความเศร้ามาแบ่งให้อ่านก่อน--วันนี้มันเศร้ามาก