ตอนที่ 23
[Frame’s part]
ผมล่ะเบื่อไอ้บ้าเฟียสมันจริงๆ อะไรของมันก็ไม่รู้ ตามมายุ่งกับผมอยู่นั่นแหละ ทั้งที่ผมพยายามจะหนีมันตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มันก็ยังไม่เลิก จนตอนนี้มันลามไปถึงเพื่อนของผม เวลามันหาผมไม่เจอก็จะไปขอความช่วยเหลือจากพวกเพื่อนๆของผม แล้วไอ้พวกเพื่อนตัวดีก็ดันเป็นใจ ให้ความร่วมกับมันอีก
“พี่เฟรมมมมมมมมม...” ตายยากจริงๆ กำลังนินทาอยู่ในใจ มันก็ดันโผล่มาซะได้
“.....” ผมเดินหนี ไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกันมัน อยู่กับมันแล้วมีแต่เรื่อง
“ยังไม่หายงอนผมอีกเหรอออ” ไอ้หมาบ้าตัวโตถามเสียงหงอยๆ เมื่อเห็นผมเมินหน้าหนี
“.....” ผมไม่ตอบ ก่อนจะเดินหนีมัน ตอนนี้มันก็เย็นพอสมควร ผมพึ่งเลิกเรียน และกำลังจะเดินกลับหอ
“พี่เฟรมกำลังจะกลับหอเหรอ งั้นกันด้วยกันนะ นะๆๆๆๆ” มันพูดพลางพยายามที่จะเข้ามาแย่งหนังสือห้าหากเล่มในมือผมไปถือเอง
“ไม่ต้อง ฉันกลับเองได้” ผมว่าพลางเบี่ยงตัวหนี ก่อนจะเดินต่อ แต่ไอ้เฟียสมันก็ยังไม่หยุด
“โธ่...พี่ ไปกับผมนี่แหละ ผมไม่ทำอะไรพี่หรอก” มันพูดไปด้วยและพยายามจะแย่งหนังสือในมือผมไปด้วย และสุดท้ายมันก็ทำสำเร็จ มันยิ้มนิดๆที่แย่งหนังสือจากมือผมไปถือเองได้
“เอาหนังสือฉันคือมา ฉันจะรีบกลับห้องไปอ่านหนังสือ” ผมว่าก่อนจะพยายามแย่งหนังสือของตัวเอง (ที่พึ่งไปยืมมาจากเพื่อนและห้องสมุด) กลับมา
“ถ้ารีบก็กลับผมสิ ป่ะ” มันถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับมือผม และลากไปที่รถมัน
“ปล่อยฉันนะเว้ย! ใครใช้ให้แกมาถูกตัวฉัน!!!” ผมพยายามสะบัดข้อมือออกจากมือมัน แต่นี่มือคนหรือคีมเหล็กว่ะเนี่ย!!
“จูบยังเคยมาแล้วเลย” มันพูดอย่างลอยหน้าลอยตา
“ไอ้เฟียส!” ผมแห้วเสียงใส่เสียงดัง ทำไมมันถึงได้พูดดออกมาหน้าด้านแบบนั้นว่ะ!
“ขึ้นรถเถอะพี่ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” คราวนี้มันใช้น้ำเสียงราบเรียบราวกับว่ากำลังจริงจัง ไม่มีความขี้เล่นหลงเหลืออยู่เลย
ผมงงกับมันที่อยู่ๆก็เปลี่ยนท่าที อะไรว่ะ กูปรับอารมณ์ตามไม่ทันนะเว้ย
“ฉันไม่มี” ผมบอกมันและพยายามจะสะบัดข้อมือออก
“.....” ไอ้เฟียสมันไม่พูดอะไร ลากผมไปที่รถของมัน มันเอาหนังสือของผมวางไว้บนหลังคารถ ก่อนที่จะหยิบกุญแจรถจากกระเป๋าของมันมากดปลดล็อครถ มันเปิดประตูหลังแล้วโยนหลังสือผมทั้งหมดไว้ที่เบาะหลัง โดยที่อีกมือมันก็ยังจับข้อมือผมแน่น จนผมรู้สึกเจ็บที่ข้อมือ
“เฟียส แกเป็นอะไร ปล่อยฉันนะ ฉันเจ็บ!” ผมโวยวายเมื่อสู้แรงผู้ชายตัวควายๆอย่างมันไม่ได้
“พี่เฟรม พี่อย่างี่เง่าไปหน่อยเลย โตๆกันแล้ว ผมมีเรื่องจะคุยด้วย” มันพูดไปพลางยัดผมเข้าไปในรถมัน ย้ำนะว่ายัด และแน่นอนว่าผมดิ้นสุดแรงเกิด
“ฉันไม่มีอะไรจะคุย ฉันเกลียดแก! ได้ยินมั้ยว่าฉันกะ..” คำพูดของผมสะดุดลง พร้อมกับที่ตาของผมได้เห็นหน้าไอ้เฟียสแบบระยะใกล้อีกครั้ง ลมหายใจอุ่นๆที่เป่ารดที่ใบหน้าของผม ความใกล้ของใบหน้า มันใกล้จนรู้สึกถึงความนิ่มของอะไรบางอย่างที่มันแนบอยู่ที่ริมฝีปากของผม ณ ตอนนี้
มันจูบผมอักแล้ว!!!
“.....” ผมนั่งนิ่งหลังจากที่มันผละริมฝีปากออกแล้ว มันอธิบายความรู้สึกไม่ถูก จะว่ายังไงดีอ่ะ มันช็อคจนผมทำอะไรไม่ถูกเลย
แล้วไอ้ความรู้สึกปั่นป่วนในท้องนี้คืออะไร ไหนจะอาการมือไม่สั่นจนทำอะไรไม่ถูกอีก
“...ช่วยนั่งนิ่งๆ แล้วไปกับผมนะ” ไอ้เฟียสที่ถอนจูบออกแต่ยังไม่ยอมเอาหน้าออกไปห่างจากหน้าของผมเอ่ยบอกกับผม ก่อนที่มันจะทำให้ผมต้องใจกระตุกเมื่อจมูกโด่งๆของมัน ประทับลงมาที่ข้างแก้มอย่างผมอย่างจงใจ แล้วมันจึงยืดตัวขึ้นปิดประตูรถ แล้วเดินไปยังอีกฝั่งก่อนจะขึ้นมาประจำที่คนขับ สตาร์ทรถและขับออกไปทันที
ตลอดทางนั้นไม่มีใครพูดอะไร มันได้แต่ขับรถไปอย่างเงียบๆ ส่วนผมก็นั่งมองทางที่มัน...ไม่ใช่ทางไปหอนี่ นี่มันเป็นทางไปหน้ามหาลัยนี่หว่า!?!
“เฟียสต้า แกจะพาฉันไปไหน” ผมรีบร้องถาม
“ไปหาที่คุย” มันตอบก่อนจะขับรถต่อไปเหมือนไม่สนใจว่าผมจะโวยวายมั้ย
“เฟียส แกจะมายุ่งอะไรกับฉันอีก เราไม่ได้สนิทกันตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง เราไม่มีเรื่องที่จะต้องเจอต้องคุย หรือจะต้องทักกันเสียหน่อย” ผมว่าอย่างอ่อนใจ ผมไม่เข้าใจกับการกระทำของมัน และก็ไม่เข้าใจว่ามันจูบผมทำไม ครั้งนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุเหมือนครั้งก่อน แต่มันตั้งใจ
สำหรับคนอื่นผมไม่รู้หรอกนะ ว่าคิดยังไงกับเรื่องจูบ แต่สำหรับผม...เรื่องจูบมันเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าไม่รักกันก็ไม่ควรจูบกัน และผมก็จะไม่จูบกับคนที่ผมไม่ได้รักโดยเด็ดขาด มันขยะแขยงจะตาย
แต่เมื่อมานั่งคิดดู ผมกลับไม่รู้สึกรังเกียจจูบของมัน มันเป็นเพราะอะไรกัน เพราะมันเป็นจูบแรกของผมเหรอ อันนี้ผมก็ยังไม่รู้แน่ชัด มันเป็นเพราะอะไรผมก็ยังไม่สามารถรู้ได้
“.....” ผมเผลอกัดปากตัวเองอย่างเป็นนิสัย เมื่อเวลาที่ตัวเองนั่งคิดมาก มันจะเป็นไปเองโดยไม่รู้ตัว จนเพื่อนหรือคนอื่นๆทักนั่นแหละ
“พี่เฟรม กัดปากทำไม” เฟียสมันทักผม ทำให้ผมรู้ตัวว่าเผลอกัดปากตัวเองอีกแล้ว จับคลายออกแล้วหันหน้าหนีมัน
ถามว่าเกลียดมันมั้ย ก็คงตอบได้เลยว่าไม่ได้เกลียด แต่ที่ไม่อยากเห็นหน้ามัน ก็คงจะเกี่ยวกับเรื่องจูบของมันนั่นแหละ ไม่ใช่ว่าโกรธตรงที่จูบ ผมรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ แต่ผมโกระตรงที่มันขอโทษเหมือนไม่ใส่ใจ มันพูดมาได้ว่ามันเป็นแค่ปากแตะปาก ผมจะซีเรียสทำไม เหอะ...คนอย่างมันคงผ่านมาเป็นร้อยแล้วสิ ถึงได้ไม่ให้ความสำคัญ แต่กับผมมันไม่ใช่ จูบสำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องสำคัญนะ และผมก็เก็บไว้ให้คนสำคัญ แต่มันดันมาขโมยไปซะได้ (ได้ข่าวว่าแกล้มลงไปจูบเด็กมันเองนะ)
“.....” ผมไม่ได้ แต่หันหน้าหนีออกไปมองทางข้างนอกทั้งที่มันไม่เห็นมีอะไรดึงดูดตาเลย
“...เฮ้อ..” ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจเบาๆ และคงจะหันไปตั้งใจกับการขับรถต่อ
“แกจะพาฉันไปไหน” นิ่งเงียบอยู่นาน ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่ามันเริ่มที่จะไกลจากมหาลัยมามากแล้ว
“ไปหาที่คุยไงพี่” เสียงมันกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าผมเริ่มที่จะคุยกับมันก่อน เหอะ...ไม่เห็นจะต้องทำท่าทีแบบนั้นเลย ไม่เข้าใจมันจริงๆ
“.....” ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ มันคงไม่ลากผมไปฆ่าหมกป่าหรอกมั้ง (คิดดีเข้าไว้)
ผมนั่งมองทางโดยที่ไม่พูดอะไร รู้เพียงแค่ว่า...ไกล
มันเริ่มไกลจากมหาลัยมากขึ้นไปทุกที ...นี่มันจะพาผมไปไหนกัน?
แต่ผมคงไม่ต้องเสียเวลาถามเมื่อมันเลี้ยวรถเข้าไปยังหมู่บ้านที่ผมเคยเห็นยินมาว่ามันแพงมาก และการรักษาความปลอดภัยก็แน่นหนา มีแต่บ้านคนใหญ่คนโต ไม่ก็พวกที่รวยมากๆเท่านั้นที่มาอยู่
แล้ว...มันพาผมมาที่นี่ทำไมกัน
“สวัสดีครับ” มันเปิดกระจกเมื่อรปภ.เรียกให้มันจอด
“นี่ครับ” มันหยิบบัตรอะไรไม่รู้ส่งไปให้รปภ. ก่อนที่รปภ.จะยื่นใบที่มันส่งไปกลับคืน และตะเบะให้
“.....” เฟียสมันปิดกระจกก่อนที่จะขับรถเข้ามาในหมู่บ้าน เลี้ยวรถสองแยกมันก็มาจอดตรงหน้าบ้านหลังใหญ่ (มาก) หลังหนึ่ง
เฟียสบีบแตรติดกันสองที ก่อนที่ประตูใหญ่ของบ้านนี้จะค่อยๆเปิดออกด้วยความเร็วสม่ำเสมอ คาดว่ามันคงเป็นประตูเลื่อนเปิดอัตโนมัติ ไม่ก็เปิดด้วยรีโมท
มันขับรถเข้ามาจอดในโรงรถของบ้านนี้ที่มีรถยนต์จอดอยู่...เก้าคัน! รวมของมันด้วยก็เป็นสิบพอดี มีทั้งรถยุโรปหรูกับรถญี่ที่ราคาก็แพงหูฉีกเหมือนกัน
“นี่บ้านใคร” ผมถามเมื่อมันจอดรถและดับเครื่องเรียบร้อยแล้ว
“ลงมาสิ เดี๋ยวพี่ก็รู้” มันพูดจบ ก็ปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วลงไปจากรถเลย
“.....” แต่ผมไม่ยอมลง จับสายเข็มขัดนิรภัยไว้แน่นเลย จนไอ้เฟียสมันเดินอ้อมรถมาเปิดประตูรถฝั่งผม
“ลงมาเถอะพี่เฟรม เร็วๆ นี่ก็เย็นมาแล้ว” มันไม่พูดเปล่า ยื่นทั้งตัวแล้วหน้าเข้ามาในรถด้วย
“เฮ้ย! จะทำอะไรว่ะ!” ผมปล่อยมือจากสานเข็มขัดแล้วเปลี่ยนมาผลักมันแทน และคงได้จังหวะมัน เมื่อมันได้โอกาสก็ปลัดสายเข็มขัดนิรภัยออก ก่อนจะดึงตัวผมออกมาจากรถทันที
“ปล่อยฉันนะ! แล้วนี่มันบ้านใครเนี่ย!” ผมพยายามกระชากมือตัวเองออก ก่อนจะหันไปดูรอบๆ นี่บ้านหรือวังว่ะ ทำไมมันใหญ่อย่างนี้เนี่ย
“บ้านผมนี่แหละ ไม่งั้นผมจะเข้ามาได้ยังไง” มันตอบก่อนจะลากผมในเดินเข้าไปในบ้าน แต่ผมขืนตัวไว้
ก็พอจะรู้ว่ามันคงจะรวย นี่ดูจะบ้านแล้วนี่มันเกินคำว่ารวยไปไกลแล้วเนี่ย ระดับเศรษฐีแล้วมั้ง
แล้วมันพาผมมาบ้านมันทำไมว่ะ ไม่เข้าใจ
“แล้วพาฉันมาทำไม ปล่อยยย”
“นิ่งๆสิพี่ อ้าว...พี่ฟี ออกมารับเฟียสเหรอ” มันพูดกับผม ส่วนอีกประโยคนึงมันหันไปพูดกับใครก็ไม่รู้ที่เดินออกมาจาตัวบ้าน เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ น่าจะพอๆกับเฟียสเลย และถ้าหากมองดูดีๆ ก็จะพบว่า หน้าเหมือนเฟียสแบบเป๊ะๆ ราวกับฝาแฝด แต่ติดที่ว่าผู้ชายคนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่และดูมีภูมิฐานมากกว่าเฟียสเยอะเลย
“เออสิ คุณแม่ตื่นเต้นจะตายที่แกบอกว่าวันนี้จะมาบ้าน แล้วนั่นใคร” ผู้ชายที่เฟียสเรียกว่าพี่ฟีพูดกับเฟียส ก่อนจะถามเฟียสแล้วหันมามองหน้าผม
“รุ่นพี่ที่มหาลัยน่ะ ชื่อเฟรม ...พี่เฟรม คนนี้พี่ชายคนโตของผม ชื่อฟีฟ่า” เฟียสแนะนำผม ก่อนจะแนะนำพี่ชายตัวเองให้ผมได้รู้จัก
“.....” ผมยกมือไหวเขา เพราะดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าผม...หลายปีเลยล่ะมั้ง
“เข้าบ้านเถอะ ...เฟียส พี่ว่าเราปล่อยมือเฟรมเขาก็ได้มั้ง เขาคงไม่หนีเฟียสไปไหนหรอก” พี่ฟีฟ่าเอ่ยบอกกับเฟียส ก่อนจะชี้มายังข้อมือผมที่ถูกเฟียสมันจับไว้ซะแน่นเลย ช้ำหมดแล้วมั้งเนี่ย เพราะมันกระชากลากถูผมตั้งแต่อยู่ที่มหาลัยล่ะ
“ใครบอกล่ะพี่ฟี คนนี้เนี่ย...เอะอะก็หนี แถมยังดุโคตรๆ”
“ฉันไม่ใช่หมานะ” ผมแห้วเสียงใส่ทันที ก่อนจะดึงมือตัวเองออก ...แต่มันไม่หลุดเลย แม่ง...เจ็บข้อมือแล้วนะ
“ผมไม่ได้ว่าพี่เป็นหมาสักหน่อย เข้าบ้านกัน” เฟียสว่าก่อนจะเดินลากผมเข้าไปในตัวบ้านที่ใหญ่โคตรๆ โดยมีพี่ฟีฟ่าเดินตามหลังมา
“เฟียสต้า โอ้โห...ดำขึ้นเยอะเลยะนลูก มาๆ ไหนแม่กอดหน่อย” เสียงผู้หญิงตัวเล็กๆ พูดก่อนจะวิ่งเข้ามากอดไอ้เฟียส ที่มันก็กอดตอบด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็ยังจับข้อมือเอาไว้แน่น อะไรมันจะขนาดนั้นว่ะ!!!
แต่ว่าผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ เป็นแม่มันหรอว่ะ! โคตรจะไม่เหมือนกันเลย แถมท่านยังดูสาวมากๆ ยังดูไม่ค่อยเหมือนมีอายุสักเท่าไหร่ หน้าเด็กๆเลยล่ะ
“แล้วนี่...เฟรมใช่มั้ยจ๊ะ” แม่มันหันมาถามผม
“สวัสดีครับ” ผมนกมือไหว้แม่มันอย่างมีมารยาท แต่ไอ้ตัวลูกมันยังเสียมารยาทจับข้อมือผมไว้อีก ดูมันเป็น ...ว่าแต่ แม่มันรู้จักผมได้ยังไง
“หน้าตาหล่อเหล่าอย่างที่เฟียสเคยบอกแม่จริงด้วย ว่าแต่...เราน่ะ จะจับข้อมือพี่เขาอีกนานมั้ย ปล่อยได้แล้ว” มันโดนแม่มันเอ็ด จนมันต้องปล่อย แต่ก็ยังมีอิดออด
“โธ่..คุณแม่ ก็พี่เฟรมเขาดื้อจะตาย ชอบหนีผมนี่นา กว่าจะพามาได้ก็ลำบากนะคุณแม่” มันพูดกับแม่มันเสียงง่องแง่งราวกับเด็ก...เด็กที่ตัวใหญ่กว่าควายน่ะนะ
“เรานั่นแหละดื้อ ดูสิ...ข้อมือพี่เขาแดงหมดแล้วเนี่ย” แม่ของเฟียสว่า ก่อนจะจับข้อมือผมขึ้นมาดูแล้วลูบเบาๆ
“แดงจริงด้วย ผมขอโทษนะพี่เฟรม ไม่นึกว่าผิวพี่จะบาง” มันว่าก่อนจะแย่ข้อมือผมจากมือแม่มาจับไว้เอง แล้วลูบเบาๆ
“บางอะไรล่ะ แกกำลังข้อมือฉันแรงจะตาย ไม่คิดจะถามเลยรึไงว่าเจ็บมั้ย” มันอดไม่ได้ที่พูด ก่อนจะดึงมือกลับ แต่นึกขึ้นได้ว่าแม่มันก็ยืนอยู่ด้วย เลยหันไปขอโทษแม่มันเบาๆ ที่พูดจาเสียมารยาทต่อหน้าเขา
“ไม่เป็นไรหรอกลูก เรื่องนี้เฟียสเป็นคนผิด เฟรมจะต่อว่าเฟียส แม่ก็ไม่ว่าหรอก ดุด่าได้เต็มที่เลย แม่อนุญาต” แม่ของเฟียสพูดอย่างยิ้มๆ
“ครับ” ผมยิ้มตอบ เห็นแบบนี้ผมก็เป็นคนมีมารยาทกับผู้ใหญ่นะครับ
“ผมว่าเราไปทานข้าวกันเลยเถอะ หิวจะแย่แล้ว” พี่ฟี่ฟ่าที่ยืนเงียบเอ่ยขึ้นบ้าง
“จริงสิ เฟรม...วันนี้อยู่ทานข้าวกับแม่น้า แม่มีเรื่องอยู่คุยกับเฟรมเยอะเลย” แม่ของเฟียสมาบอกผม
“เอ่อ...ครับ” ผมพยักหน้าก่อนปล่อยให้ตัวเองโดนแม่ของเฟียสลากไป
แม่ของเฟียสพาผมเข้ามาในห้องหนึ่ง พบว่าเป็นห้องที่ดูเหมือนจะเป็น...ห้องอาหารของบ้านนี้มั้งครับ ไม่แน่ใจเหมือนกัน เคยเห็นแต่ในละครอย่างเดียว
“คนนี่พี่สาวของเฟียสอีกคน ชื่อแฟร์รี่จ้ะ ส่วนคนนั่นก็คุณพ่อ” แม่มันแนะนำอีกสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารอยู่ก่อนแล้ว
“.....” ผมยกมือไหว้ทั้งสองคน พี่สาวของเฟียสยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ผม พ่อมันก็เหมือนกัน
“นั่งลงสิ เฟรมใช่มั้ย” พ่อมันเอ่ยถามผม
“ครับ”
“มานั่งตรงนี้สิ” พ่อมันชี้บอก...ว่าให้ไปนั่งข้างๆพ่อของมัน คือ...พ่อมันนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ และชี้มายังเก้าตัวถัดจากพ่อของมัน ซึ่งที่อยู่ทางขวามือของท่าน
“เอ่อ...ครับ” ผมว่า ก่อนจะเดินไปนั่งตามที่ท่านบอก แล้วแม่ของเฟียสก่อนเดินมานั่งข้างๆผม ...ทำไมผมรู้สึกเกร็งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกว่ะ ทั้งที่คนอื่นๆก็ดูมีท่าทีที่สบายๆกันทั้งนั้น
“คุณแม่...เฟียสอยากนั่งใกล้พี่เฟรมอ่ะ ที่ของคุณแม่อยู่ข้างคุณพ่อฟังนู้นต่างหาก” ไอ้โวยวายหน่อยจากเฟียสครับ
“ก็วันนี้แม่จะนั่งตรงนี้ เราน่ะไปนั่งข้างพี่แฟร์แทนแม่สิ” แม่มันไม่ยอมครับ จนมันต้องเดินไปนั่งที่ที่ดูเหมือนแม่ของมันจะนั่งเป็นประจำ...มั้ง
“ป้าน้อย ตักข้าวเลยค่ะ” พี่แฟร์เอ่ยบอกป้าที่ยืนอยู่มุมห้อง ดูท่าว่าน่าจะเป็นแม่บ้านของบ้านนี่ล่ะมั้ง
สุดท้ายก็คือ...ผมอยู่กินข้าวเย็นที่บ้านของเฟียส เมื่อกินเสร็จแทนที่จะได้กลับ ก็โดนคนในบ้านมันถามนู้นถามนี้ จนกระทั่งมาถึงคำถามที่ทำเอาผมเผลอปล่อยแก้วน้ำในมือลงพื้นจนแก้วแตกกระจาย
คือ...แม่มันถามผมว่าเป็นแฟนกับเฟียสมันมานานรึยังไง
ผมนี่ตกใจจนมือไม้อ่อนเลยครับ
“ว้าย! ตายแล้ว... ป้าน้อยไปตามคนมาเก็บเศษแก้วที เฟรมอย่าพึ่งขยับนะลูก เดี๋ยวแก้วบาด” แม่ของเฟียสอย่างตกใจ แม้ว่าผมจะโดนบาดนิดหน่อยที่เท้าไปแล้ว แต่ก็ไม่ขยับตัวไปไหนอย่างที่แม่เฟียสร้องบอกไว้
จนกระทั่งมีคนมาเก็บกวาดเช็ดถูกเสร็จ แม่ของเฟียสให้ผมย้ายไปนั่งข้างๆท่าน จนกายเป็นว่าผมมานั่งระหว่างกลางทั้งพ่อและแม่ของเฟียสมัน
“เอ่อ...ไม่ต้องตกใจหรอกนะเฟรม แม่กับพ่อก็พอจะรู้ว่าเฟียสเขามีรสนิยมแบบไหน” แม่มันพูดบอกกับผม
“ผมกับเฟียสเราไม่ได้เป็นแฟนกันนะครับ” ผมรีบปฏิเสธ กว่าท่านทั้งสองจะเข้าใจผิด
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ จะคบกันแม่ก็ไม่ว่าหรอก เห็นว่ามีงอนๆกันอยู่เหรอ เฟียสเขาโทร.มาปรึกษาแม่บ่อยมากเลย”
ผมไม่รู้ว่ามันคุยอะไรกับแม่มันเรื่องผม แต่ที่ทำให้คนที่บ้านมันคิดว่าผมกับมันเป็นแฟนกันนี่...มันทำไปเพื่อนอะไร มันต้องการอะไร เราไม่มีความเกี่ยวข้องกันไม่ใช่เหรอ อาจจะใช่ที่ตอนหลังเราก็เริ่มจะไม่ค่อยตีกัน เจอกันก็คุยกันบ้าง ทักกันบ้าง หรือแม้แต่ไปกินข้าวด้วยกันก็เถอะ แต่...ทำไม มันทำไปเพื่ออะไร เพื่อความสนุกของตัวมันเองที่ได้แกล้งผมเหรอ
“เปล่าหรอกครับ แต่ว่า...วันนี้ผมก็ต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ พรุ่งนี้มีสอบย่อย จะกลับไปอ่านหนังสือน่ะครับ”
“นอนที่นี่ก็ได้นะลูก”
“ห๊ะ! ...ครับ?” ผมตกใจกับสิ่งที่แม่มันพูด นอนที่นี่?...งั้นเหรอ??
“นอนที่นี่แหละจ้ะ มันไกลจากมหาลัย ตอนนี้ก็ค่ำแล้วนะลูก นอที่นี่แหละจ้ะ” แม่มันพูดเหมือนจะมัดมือชกผม
“ไม่ดีกว่าครับ เกรงใจ ผมกลับแท็กซี่เองดีกว่า”
“ได้ยังไงลูก กลางค่ำกลางคืนอันตรายจะตาย นอนที่นี่แหละ”
“แต่...”
“นอนที่นี่แหละเฟรม” คราวนี้พ่อมันพูดขึ้นบ้าง ท่านก็ไม่ได้เป็นคนนิ่งๆแบบนภัทรหรือติณณ์หรอกนะ เพียงแต่ว่า...น้ำเสียงที่ใช้พูดมันดูน่าเกรงขามจนผมไม่กล้าขัดเลยล่ะ
“.....” ผมเงียบอย่างชั่งใจ
“มีปัญหาอะไรก็เคลียร์ๆมันซะวันนี้เถอะลูก เรื่องมันจะได้ไม่บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ โตๆกันแล้วนะ” พ่อมันพูดอีกจนผมไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“เอ่อ...สรุปพี่เฟรมนอนนี้นะ งั้นเฟียสขอตัวพี่เฟรมเลยล่ะกัน คุณพ่อคุณพ่อยึดตัวพี่เฟรมนานไปแล้วนะครับ” เฟียสมันพูดขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาจับข้อมือผมแล้วลากให้เดินตามมันไป
“พี่พรครับ เดี๋ยวช่วยไปเอากระเป๋ากับหนังสือที่อยู่ในรถให้หน่อยนะครับ” มันลากผมออกมา ก่อนจะเรียกพี่ผู้หญิงที่ดูแล้วก็คงจะเป็นแม่บ้านของที่นี่อีก ก่อนที่มันจะให้พี่เขาไปเอาของในรถของมัน
“เราไปหาที่คุยกันดีกว่า” มันหันมาบอกผม ก่อนจะลากให้ผมเดินขึ้นบันไดตามมันไป โดยที่คราวนี้มันไม่ได้จับแน่นเหมือนที่ผ่านมา
มันพาผมมาที่ห้องๆหนึ่ง พอได้เข้ามาก็พบว่าเป็นห้องนอนครับ ดูท่าว่าจะเป็นห้องนอนของมันล่ะมั้ง ดูเรียบร้อยสะอาดตาดี คงจะมีคนเข้ามาทำความสะอาดให้ตลอดล่ะมั้ง
“.....” มันพาผมมาที่โซฟาของห้องนี้ ก่อนที่เราทั้งคู่จะเงียบและไม่พูดอะไรกัน
“พี่เฟรม...” เฟียสเอ่ยเรียกชื่อผมเบาๆ
“.....”
“เรื่องจูบน่ะ มันเป็นอุบัติเหตุ ผมขอโทษนะที่วันพูดขอโทษแบบส่งไป ผมพึ่งคิดได้ตอนโทร.มาปรึกษาคุณแม่ เรื่องจูบสำหรับใครบางคนมันน่าจะเป็นเรื่องใหญ่มาก ใช่มั้ยพี่?”
“เออ” ผมตอบมัน ใช่...เรื่องจูบสำหรับผมมันใหญ่มาก ผมควรจะเก็บมันไว้ให้คนที่ผมชอบสิ
“แล้วก็นะ...พี่เฟรม ...ผมมีเรื่องจะสารภาพ”
“.....” ผมเงียบและรอฟังว่ามันจะพูดว่าอะไร
“พี่...ผมชอบพี่”
อืม...มันบอกชอบผม
...ว่าไงนะ!!!!
“.....” ผมว่าหน้าผมตอนนี้ต้องประหลาดมากๆแน่เลย แต่ว่า...ฌมื่อกี้มันพูดว่ามันชอบผม อะไรยังไง อะไรว่ะ..เฮ้ย! เดี๋ยว กูงง?
“ผมชอบพี่นะพี่เฟรม แม้ว่าตอนแรกผมจะสนุกกับการแกล้งพี่ แต่ว่ามันไม่ใช่อ่ะ...พี่ทำให้ชีวิตของผมมีสีสัน พี่อาจจะไม่เชื่อนะ...แต่ว่า ผมชอบพี่จริงๆ รู้ตัวอีกทีก็มองหาแต่พี่ อยากไปไหนด้วยกัน อยากจะอยู่ด้วยกัน อยากคุยอยากจะเจอทุกวัน ผมยอมรับเลยว่าอยู่กับแล้วพี่มีความสุขมาก จนไม่อยากจะมองใคร ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับใคร ตอนที่พี่หลบหน้าผม ผมร้อนใจเป็นบ้า พยายามคิดหาวิธีทำทุกอย่างให้พี่หายโกธร ผมแทบจะขาดใจเลยตอนที่พี่บอกว่าเกลียดผม รู้ป่ะว่าตอนนี้ผมเกือบจะร้องไห้เลยนะ” แล้วมันก็แร็ปยาวใส่ผมจนแทบจะฟังไม่ทัน แต่...
มันชอบผมจริงๆเหรอว่ะ ผมจะเชื่อมันได้เหรอ
แล้วไอ้หัวใจกูเนี่ย...มึงเป็นอะไร เต้นแรงหาพ่องมึงเหรอ หน้ากูก็เหมือนกัน จะรู้สึกร้อนๆทำไม แอรืในห้องนี้มันก็เย็นจะตาย!
“พี่เฟรม...พูดอะไรบ้างดิพี่ อย่าเงียบดิ” ไอ้เฟียสมันถาม เมื่อเห็นผมเงียบไป
“..แก ...ชอบ ...ชอบ เอ่อ...” ปากผมขยับไม่ได้ดั่งใจไปชั่วขณะ
“ผมชอบพี่ ...เฟียสชอบพี่เฟรม ...ชัดยัง?”
“เออ...ชัด” ยิ่งมันพูดย้ำว่าชอบ ผมก็ยิ่งเขิน เป็นอะไรว่ะกู
เฮ้ย..ผมคงแค่เขินเพราะมีคนมาบอกชอบ...ล่ะมั้ง
“ผมจีบพี่ได้ใช่มั้ย”
“เออ ...เฮ้ย! ไม่ๆๆๆๆๆ” ผมเผลอตอบก่อนจะรีบร้องปฏิเสธ
“ไม่สน พี่ตอบผมมาแล้วว่าอนุญาตให้ผมจีบ”
“ไม่!” ถ้าผมอนุญาตก็แปลว่าผมมีใจให้มันน่ะสิ
“พี่เฟรม...ผมจริงจังนะ” มันเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แบบว่า ...บอกให้รู้ว่ามันจริงจังจริงๆ จนผมไม่กล้าที่จะโวยวายใส่มันต่อ
“.....”
“ผมรู้ว่าพี่อาจจะรับได้ยาก แต่ว่า...พี่ก็ไม่ควรจะปิดกันทั้งตัวเองและก็ผม...”
“ฉันไม่ได้ปิดกั้น...” ผมพูดเสียงเบา
“ยังไง”
“ฉัน...ฉัน ...จะให้ฉันมั่นใจในตัวนายได้ยังไง ว่านาย...ไม่ได้หลอกฉัน” ผมพูดเสียงเบาในตอนท้าย
“โหยพี่...จนผมพาพี่มาที่บ้านเพื่อให้เห็นความบริสุทธิ์ใจ นี่พี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”
“...หา!?!” ผมหน้าเหวอทันที อะไรนะ??
“จริงๆ”
“.....”
“.....”
“เออ จะจีบก็จีบ ติดไม่ติดก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน” แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่ามันพูดจริงมากน้อยแค่ไหน แต่ว่า...ในเวลามันพิสูจน์ก็แล้วกัน บอกไว้ก่อนเลยนะ...ว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับมันเลย
ไม่ได้คิด...
...แม้ว่าจะไม่ได้รังเกียจจูบของมันเลยก็เถอะ -////-
*************************************************************
จะว่าอะไรมั้ย ถ้าจะบอกว่าคู่นี้จบแค่นี้ เพราะวางพล็อตเรื่องสองคนนี้ไม่ให้เด่นออกมามาก เอาให้แค่จิ้นต่อว่าเขาจะเป็นยังไง ส่วนถ้าอยากให้มีของคู่นี้ต่อก็คงจะถูกยกไปไว้เป็นเรื่องอื่นแล้วอ่ะนะ ก็ต้องดูความต้องการของคนอ่านด้วยว่าอยากจะอ่านของคู่นี้กันอ่ะเปล่าาาาาาาาาา
ช่วยกันโหวตหน่อยนะ ขอแค่ไปดูโพลล์กดว่าจะเอาอันไหน แค่นั้น ง่ายๆเอง ผมอยากได้คำตอบภายในวันศุกร์นี้นะครับ ช่วยกันหน่อยน้าาาาาาาาา
FANPAGE
Twitter
นี่แหละที่เขาเรียกว่า 'ความรัก'
เผลอใจ 'รัก' ไปซะแล้ว
ถ้ามันเรียกว่ารัก...อืม รักก็ได้