บทที่ 38
และแล้วงานเฉลิมฉลองการก้าวเข้าสู่ปีใหม่ของชาวบัณตราก็ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม องค์เหนือหัวสเตฟานทรงเปิดเขตพระราชฐานรอบนอกของวังเพื่อให้ประชาชนได้เข้ามาร่วมชมงานมหรสพที่ทางพระราชวังได้จัดขึ้น มีการแสดงพื้นเมืองต่างๆ การโชว์รำกระบี่กระบอง มีการโชว์การฝึกเสือและสิงโต มีมุมให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ตามซุ้ม มีเครื่องดื่มและของทานเล่นให้กินดื่มฟรีตลอดงาน ส่วนงานนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่จะจัดที่ริมทะเล จะมีการแสดงดนตรี ชาวบ้านจากทุกหมู่บ้านจะนำอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อของแต่ละหมู่บ้านมาแจกจ่ายให้ทุกคนได้ได้ดื่มกินฟรีโดยทางพระราชวังจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด
ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เมื่อเห็นว่ามีประชาชนมาเยอะกว่าที่คิดเอาไว้มาก ผมว่าชาวบัณตราก็มีหน้าตาคล้ายคนไทยเพียงแต่สีผิวจะเข้มกว่า ผมเดินเข้าซุมโน้นออกซุ้มนี้ด้วยความสนใจ ปกติอยู่เมืองไทยไม่ค่อยได้ไปงานแบบนี้ ตอนนี้สามารถทำได้แบบสบายๆ เลยสนุกใหญ่ พวกเพื่อนๆ ผมก็เหมือนกัน ตอนนี้มันแยกย้ายกันเดินเที่ยวรอบงาน ส่วนผมก็เดินเล่นอยู่กับพี่ธีมแค่สองคน ดูมันสบายใจมากขึ้นที่ไม่ต้องเป็นเจ้าชายแล้ว
“พี่ธีม พี่แน่ใจเปล่าว่าชาวบัณตราฝึกเสือเป็น วันนั้นนาวเกือบตาย” ผมกระตุกเสื้อไอ้หมาธีมเมื่อเดินมาถึงกรงเสือขาว เด็กๆ นั่งดูกันเต็มเลย
“ไม่รู้เหรอว่าวันนั้นเสือมันแสดงนะ มันไม่ได้โดนทำร้ายจริง” พี่ธีมเฉลยให้ผมฟัง
“จริงดิ สุดยอดอะ! แสดงเก่งกว่านาวอีก เล่นเอาหัวใจจะวาย แกล้งตายเหมือนด้วย เฮ้ย นั่น เจ้าเมือกปลา” ผมเห็นลูกเสือขาวที่ผมเคยเล่นกับมันผมเลยรีบเดินเข้าไปหามัน ทหารส่งมันมาให้ผมอุ้ม ผมอยากพามันไปเดินเล่นด้วย แต่ผมจะบอกเขายังไง พูดภาษาอังกฤษไปแต่ดูเหมือนเขายังไม่เข้าใจ ผมพยายามทำมือทำไม้สุดท้ายเขาก็พยักหน้า แต่พอผมจะเดินออกไป ทหารก็ส่ายหน้าผมเลยยืนงง
“เขาคงนึกว่านาวจะเข้าไปแสดงกับเสือให้เด็กๆ ดู” ไอ้โหดมันเดา ซึ่งถ้ามันเดาถูกผมเห็นทีต้องกลายร่างเป็นเสือเผ่น ผมรีบส่งเจ้าเมือกปลาคืนทหารไป นึกเสียดายเพราะมันเลียมืออ้อนผมด้วย แต่ให้เล่นกับแม่มันผมไม่เอาดีกว่า
“พี่ธีมๆ นั่นอะไรอะ” ผมกระตุกชายเสื้อให้โหดแล้วชี้ไปที่กระโจมเล็กๆ สีส้ม
“กระโจมหมอดูมั๊ง” มันตอบ
“จริงดิ แถวยาวมาก คนที่นี่ก็เชื่อเรื่องพวกนี้เหมือนคนไทยเลยเนอะ เรื่องผีป่าก็อีก”
“อาจเพราะที่ผ่านมาคนที่นี่มีความสุขน้อยกว่าความทุกข์เลยหาอะไรยึดเหนี่ยว”
“แล้วถ้าไปดูแล้วหมอดูทายว่าจะทุกข์กว่าเก่าไม่แย่เหรอ”
“นาวไม่เชื่อว่าผีป่ามีจริง แล้วจะเชื่อคำหมอดูรึไง” มันย้อนถามผม
“นาวหมายถึงคนอื่นดิ”
“นั่นแหละ นาวว่าหมอดูเขาเห็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ เขาก็พูดไปตามหลักเกณฑ์ความน่าจะเป็น แต่ก็ต้องมีคำพูดให้คนที่ไปดูสบายใจมากกว่าทุกข์ใจไง คนถึงชอบดู ไม่เชื่อลองเข้าไปดูกัน” มันดึงมือผมให้ไปต่อแถว
“ไม่เอา ไม่อยากดู” ผมไม่ยอมตามมันไป
“กลัวแม่นเหรอ” มันถาม สีหน้าท้าทายมาก
“ไม่ได้กลัว แค่ขี้เกียจ อืม..แต่ดูก็ได้ สบายอยู่แล้ว หมอดูคู่หมอเดา กลัวที่ไหนกัน” ผมยักไหล่ ส่วนพี่ธีมมันยิ้มๆ ระหว่างนั้นผมก็โทรตามอลันให้มันช่วยแปลให้ด้วย เดี๋ยวก็รู้ว่าจะแม่นหรือจะมั่ว
ผมยืนรอนานพอสมควรจนกระทั่งถึงคิวของผมกับพี่ธีม ผม พี่ธีมและอลันเข้าไปในกระโจมด้วยกัน พอมีผู้ชายสามคนเข้าไปนั่งข้างในกระโจมก็ดูคับแคบไปถนัดตา เราสามคนนั่งลงบนเก้าอี้ปูพรมนุ่ม ที่ด้านหน้ามีโต๊ะกลางความสูงระดับหน้าท้องตั้งอยู่ ด้านบนของโต๊ะปูด้วยผ้าสีเทาเหลือบเงิน ส่วนด้านหลังของโต๊ะมีผ้าม่านสีดำสนิทกั้นเอาไว้ ที่ปลายด้านบนผูกอยู่กับหลังคากระโจม ปลายด้านล่างละพื้น ซึ่งมันกั้นบังหมอดูเอาไว้จนไม่สามารถเห็นได้ว่าหน้าตาของหมอดูเป็นยังไง
“โอ้..สาแวนด้า มารีบูอันตา โคระมานูเอลล่า บายันมารีกูเตอารา” เสียงทุ้มทรงพลังภาษาบัณตราของผู้หญิงดังผ่านลอดผ้าม่านสีดำออกมา
“เขาอนุญาตให้คนที่ดูกับล่ามเท่านั้นครับ” อลันแปลให้ฟัง ผมหันไปมองไอ้โหด อยากให้มันอยู่ด้วยนี่
“หรือจะไม่ดู” ไอ้โหดถามผม ผมชั่งใจอยู่สักพักก็ตัดสินใจ
“ไม่ดูดีกว่า” ผมบอก
“แต่พี่อยากดู งั้นนาวไปรอข้างนอก” มันบอก ผมมองหน้ามัน ไม่คิดว่ามันจะอยากลองของขนาดนี้
“อย่าช้านะ ถ้าช้านาวหนีไปซุ้มอื่นด้วย” ผมบอกมัน มันพยักหน้า ผมเลยเดินออกไปรอข้างนอก
ผมเดินออกมารอข้างนอกอยู่พักใหญ่จนเริ่มจะหงุดหงิด ก็มันหนาวนี่นา เห็นคุณมาคัสบอกว่าคืนนี้หิมะน่าจะตกที่นี่ด้วย ระหว่างที่รอก็มีชาวบัณตราบางคนที่เข้ามาทักผม มาขอถ่ายรูป บางคนก็พูดภาษาไทยได้นิดหน่อยเป็นคำทักทาย เช่น สวัสดีค่ะ สบายดีไหม ทำนองนี้ ส่วนใหญ่ใช้ภาษามือกับผม แปลออกมั่งไม่ออกมั่ง
“เสร็จแล้ว” พี่ธีมเดินมาสะกิดผมที่นั่งยองๆ รออยู่หน้ากระโจม ผมลุกขึ้นมามองหน้ามัน ทำไมสีหน้าของมันไม่ค่อยดีเลย
“หมอดูว่ายังไงบ้าง” ผมรีบถาม
“ไม่แม่นหรอก ไปเดินดูอย่างอื่นกันเถอะ” มันไม่ยอมเล่าแล้วก็จูงมือผมเดินออกไป ผมหันไปมองอลัน แต่สีหน้าของอลันก็เจื่อนๆ มันยิ่งทำให้คนที่ขี้สงสัยอย่างผมอยากรู้ใจจะขาด
“ไม่แม่นก็เล่าได้ เล่าหน่อย” ผมเขย่าแขนมัน
“ก็แค่บอกว่าแฟนพี่เป็นคนใจเย็น ไม่ชอบคิดอะไรมาก ไม่มโนสักนิด เห็นไหม ไม่แม่นแล้ว” มันบอก ผมหน้างอเลย เออ ไม่แม่นจริงๆ ด้วย แต่เหมือนมันประชดผมเบาๆ นะไอ้หมาธีม
“หลอกลวงผู้บริโภคชัดๆ พี่ธีม นาวหิวน้ำ” ผมบ่นหมอดูก่อนจะอ้อนมัน
“เดี๋ยวผมไปเอาให้ครับ” อลันอาสา
“ไม่ต้อง! เอ่อ คือนาวจะให้อลันไปเอาขนมที่ซุ้มนั้นให้หน่อย” ผมเผลอตัวรีบห้ามไปหน่อย แต่ไอ้โหดก็ไม่ได้สงสัยอะไร มันให้ผมรอตรงนี้ ส่วนมันจะเดินไปหาจุดที่แจกน้ำให้ อลันทำท่าจะเดินไปเอาขนมแต่ถูกผมห้ามเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยว อลัน บอกมา หมอดูว่าอะไร” ผมทำหน้าที่คิดว่าเหี้ยมที่สุดเป็นการขู่กลายๆ ตั้งใจให้พี่ธีมไปที่อื่นก่อนจะได้เค้นถามอลัน
“เอ่อ คือ...”
“ถ้าไม่เล่า เราจะไม่ให้ไลน์ยีนนะ” นี่คือคำขู่ที่ดูน่ากลัวที่สุดที่ผมคิดได้ อลันทำหน้าตื่นทันที บอกแล้วว่าคำขู่ผมน่ากลัว
“ก็ได้ครับ หมอดูบอกว่า.....”
แล้วอลันก็ถ่ายทอดคำทำนายของหมอดูให้ผมฟัง หลายสิ่งมันตรงจนน่าขนลุก ทั้งนิสัยและสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับไอ้โหดที่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครรู้ เพราะมันตรงมากๆ พออลันเล่าถึงคำทำนายสุดท้ายมันทำเอาผมถึงกับอึ้งไปเลย
‘ดวงของเจ้าจะต้องแต่งงานกับหญิงสาวที่พรั่งพร้อมไปด้วยหน้าตาและฐานะ หญิงที่สูงศักดิ์ เป็นคนที่ฟ้าส่งมาให้ แม้เป็นคนที่เจ้าไม่ได้รัก แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าก็ต้องได้นางมาเป็นภรรยาและผู้ให้กำเนิดบุตรของเจ้า นอกเสียจากว่า...’
“ว่าอะไรเหรอ” ผมรีบถามอลันหลังจากที่อลันเล่าค้างเอาไว้
“ไม่รู้ครับ เจ้าชาย เอ้ย คุณธีมไม่ยอมฟังต่อ ลุกออกมาเลย ท่าทางจะหงุดหงิดไม่ใช่น้อย”
“โหย ไอ้หมาธีม ทำไมไม่ฟังให้จบ จะได้รู้ว่าต้องแก้ไขยังไง”
“ไหนว่าไม่เชื่อหมอดูไง!”
“เฮ้ย โผล่มาเงียบๆ ตกใจหมด” ผมสะดุ้งเมื่อไอ้หมาธีมมันมาพูดอยู่ข้างหลังของผม ก็ไม่เชื่อไง แต่เราก็ควรฟังเอาไว้บ้าง
“สรุปคือไม่ได้อยากกินน้ำ แต่อยากรู้” มันถามผมก่อนจะโยกหัวผมไปมา
“ขอกลับไปถามหมอดูก่อนว่าแก้ไขยังไง พี่มันไม่ได้เรื่องเลย ไหนๆ ก็ฟังแล้วน่าฟังให้จบ” ผมว่ามันก่อนจะเดินกลับไปที่กระโจม แต่ปรากฏว่ากระโจมถูกเก็บไปแล้ว ผมให้อลันไปถามหาว่าหมอดูไปไหน คำตอบคือไม่มีใครรู้ แล้วก็ไม่มีใครเห็นหน้าตาของหมอดูด้วย ผมรู้สึกไม่สบายใจยังไงบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่อยากให้ไอ้หมาธีมมันกังวลไปด้วยเลยทำเป็นว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้ว
เมื่อเดินไปจนทั่วงานแล้วก็เลยชวนมันกลับวังขาว ผมเมื่อยขาไปหมดแล้ว กลับไปถึงวังพวกเดอะแก๊งก็ยังไม่กลับมากัน แต่ยังมีเวลาอีกสองชั่วโมงถึงจะเป็นเวลาที่ต้องไปงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันต่อที่ชายทะเล ไอ้เกลือกับไอ้มีนจะขึ้นไปร้องเพลงโชว์ด้วย เดี๋ยวพวกมันกลับมาก็คงมาเรียกผมเอง ผมกับไอ้หมาธีมเดินขึ้นมาถึงบนห้อง มันก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ สักพักก็ออกมาแล้วจับผมถอดกางเกงเหลือแต่บ็อกเซอร์
“ไอ้หมาหื่น เดี๋ยวต้องไปงานต่อนะห้ามเจ๊าะแจ๊ะ” ผมรีบโวยวาย ขืนโดนมันกินตับ ผมต้องเมื่อยไปทั้งตัวแน่ๆ มันไม่ฟังพาผมเดินเข้ามาถึงห้องน้ำ มันเปิดน้ำอุ่นเอาไว้ กลิ่นมินท์ที่ลอยมาพร้อมกับไอน้ำหอมทั่วห้องเลย
“เอาขาแช่ลงไป เมื่อยไม่ใช่เหรอ” มันถาม ผมทำตามที่มันบอก แต่ทำเกินกว่าที่มันบอกนิดหน่อยคือแก้ผ้าออกหมดเลย ก่อนจะหย่อนร่างกายลงไปในน้ำอุ่นๆ หอมๆ
‘อืมม..แสนจะสบาย’ ผมรู้สึกสบายมากขึ้นมื่อไอ้โหดมันก็นั่งลงข้างๆ อ่างจากุชชี่แล้วนวดไหล่ให้ผม
“เอาใจแบบนี้อยากได้อะไรแน่ๆ พูดดิ๊” ผมถาม มันส่ายหน้า
“พี่แค่อยากให้นาวมีความสุข” มันตอบ ผมหันไปมองมันก่อนจะพลิกตัวเอาแขนไปวางที่ขอบอ่างแล้วเกยคางไว้ที่แขนอีกที
“นาวมีความสุขมาก” ผมบอกมัน มันจะได้สบายใจ
“ไม่ต้องไปสนใจคำทำนายรู้ไหม เชื่อการกระทำของพี่ก็พอ” มันบอกก่อนจะวักน้ำมาราดที่หัวไหล่ของผม
“ใครบอกว่านาวเชื่อ เปล่าสักหน่อย พี่ไม่มีทางมีคนอื่นหรอก หลงนาวจะตาย” ผมยื่นหน้าไปหอมที่หน้าผากมัน
“เรานี่ก็ช่างยั่วพี่จริงๆ” มันดีดหน้าผากผมก่อนจะยิ้มให้
“อดทนระงับความหื่นหน่อยนะ เพราะตอนนี้นาวอยากแช่น้ำอุ่นเฉยๆ” ผมลอยหน้าลอยตาแกล้งมัน
“งั้นคืนนี้เอาแบบคืนนั้นนะ” มันยิ้มกริ่ม มันคงหมายถึงคืนที่ผมต้องแกล้งว่าตัวเองโดนวางยาแล้วมีอะไรกับมัน ผมออนท็อปแถมยังกัดที่ไหล่ของมันด้วย มันต้องเป็นพวกมาโซชอบความรุนแรงแน่ๆ คืนนั้นมันเลยส่งเสียงครางฮึมฮัมพึงพอใจใหญ่เลยครับ
“ติดใจละซี่ นาวบอกแล้ว ว่านาวเก่งทุกอย่าง ลองให้นาวรุกพี่บ้าง เอาไหม เผื่อจะชอบ” ผมถามมัน
“ไม่ได้” มันรีบตอบ
“ทำไมอะ ไม่เชื่อฝีมือนาวเหรอ”
“ไม่ใช่”
“แล้วทำไมกลัวเจ็บเหรอ นาวจะค่อยๆ ทำก็ได้”
“เปล่า”
“แล้วทำไมล่า บอกเหตุผลหน่อย” ผมเซ้าซี้มัน มันลุกขึ้นยืนถอดเสื้อผ้าออกแล้วเดินลงมาแช่น้ำกับผม มันดึงผมให้ไปนั่งพิงหน้าอกมัน แล้วมันก็จูบไซร้ที่ซอกคอจนผมต้องส่งเสียงฮึมฮัมออกมาเบาๆ
“พี่ไม่อยากให้นาวรุกเป็น เดี๋ยวอยากไปทำกับคนอื่น เดี๋ยวอยากไปลองกับผู้หญิง แค่รอให้พี่เป็นฝ่ายสร้างความสุขให้ก็พอ เข้าใจไหม” มันกระซิบบอกผมก่อนจะงับที่หูผมเบาๆ
“ขี้หึงว่ะ ขี้มโนด้วย แล้วมาว่าแต่นาว” ผมว่ามัน
พี่ธีมเอื้อมมือมาสัมผัสนาวน้อยก่อนจะสร้างความสุขให้ผมอย่างที่ปากมันพูด ผมจะห้ามได้เหรอ มันเล่นแก้ผ้าลงมาในอ่างขนาดนี้แล้ว มันก็จัดการถวายงานให้ผมจนผมลอยละลิ่วไปกับความสุขด้วยน้ำมือมัน เรานัวเนียนคลอเคลียจนน้ำอุ่นแทบจะไม่อุ่นแล้วมันถึงได้พาผมขึ้นจากน้ำ แต่เราสองคนไม่ได้ทำอะไรต่อหรอกนะครับเพราะได้เวลาที่ต้องไปที่ริมทะเลแล้ว พี่ธีมต้องไปช่วยดูความเรียบร้อยให้ท่านปู่
ผมเดินทางมาถึงสถานที่จัดงานแล้ว อลันมาตามไอ้โหดบอกว่าท่านปู่ต้องการพบ ส่วนผมไม่ยอมไปกับมัน เพราะกลิ่นอาหารตามซุ้มต่างๆ ลอยมาจนท้องร้องประท้วงแล้วครับ ไอ้เกลือกับไอ้มีนไปเตรียมตัวที่หลังเวทีแล้ว โดยมีไอ้ยีนตามไปอยู่เป็นเพื่อนไอ้มีนด้วย มิเชลพาไอ้บูมไปเดินเล่นก่อนการแสดงจะเริ่ม น้องทัสก็พาไอ้จอมไปถ่ายรูปดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าตรงจุดชมวิว ธารก็อยู่กับแม่เม คุณมาคัสก็พาราณีไปพบญาติๆ ที่มาร่วมงานด้วย ก็เลยเหลือผมกับไอ้บิวที่เดินไปชิมอาหารด้วยกันแค่สองคน ไอ้บิวมันอยากลองชิมอาหารฝีมือชาวพื้นเมืองแท้ๆ มานานแล้ว ระหว่างที่เดินไปหาของกิน ผมก็เล่าเรื่องหมอดูให้ไอ้บิวฟัง
“หมอดูกระโจมส้มๆ ใช่ไหม” ไอ้บิวมันถามผม
“ใช่”
“ฉันว่าเขาดูแม่นมากอะ พูดเรื่องฉันอย่างกับตาเห็น” ไอ้บิวเล่าให้ผมฟัง โอ้โห ไอ้บิวก็ไปดูกับเขาด้วย แต่คำยืนยันของมันเล่นเอาผมเริ่มไม่สบายใจอีกแล้ว
“งั้น พี่ธีมก็ต้องมีเมียมีลูกดิวะ” ผมถามไอ้บิว
“แต่เรื่องของพี่ธีมอาจจะไม่แม่นก็ได้” ไอ้บิวปลอบผม
“แกว่าหมอดูเขาจะสองมาตรฐานเหรอวะ ฉันก็เซ็งที่มันไม่ยอมฟังให้จบ” ผมบ่นไปถึงไอ้หมาธีม ไม่งั้นคงจะรู้วิธีแก้ไข แล้วผมกับมันหยุดสนทนาเรื่องนี้ แล้วเดินไปหาอะไรอร่อยๆ กินต่อจะได้ลืมเรื่องคำนาย
ตอนนี้การแสดงบนเวทีเริ่มขึ้นแล้ว สมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์มานั่งร่วมชมอยู่ด้านหน้าสุดของเวที ร่วมถึงเสด็จพ่อของไอ้หมาธีมด้วย ท่านดูแข็งแรงขึ้นมาก เจ้าชายแอชตันไม่ยอมออกงานตามเคย พ่อผมกับแม่เมก็นั่งอยู่ด้วย ผมไม่ได้เดินไปนั่งข้างหน้าหรอก นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ที่ด้านหลัง ดีที่พี่ธีมมันบังคับให้ใส่เสื้อหนาวตัวที่หนาที่สุดมา เพราะตอนนี้หนาวมาก ยิ่งมีลมทะเลพัดมาปากผมสั่นกึกๆ เลย การแสดงจากชาวบัณตราดำเนินไป จนมาถึงคิวของไอ้มีน มันร้องเพลงภาษาบัณตราด้วยครับ สำเนียงอย่างกับคนท้องถิ่น ไพเราะมาก มันมีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ
“นาว เมื่อกี้ฉันไปเข้าห้องน้ำ ฉันเจอกระโจมหมอดูด้วย” ไอ้บิวมากระซิบผม ผมดีใจมากที่ได้ยิน
“จริงดิ พาฉันไปหน่อย”
ผมรีบเดินออกมาจากฝูงชนพร้อมกับไอ้บิวและชวนราณีมาด้วยเพราะต้องอาศัยให้เป็นล่าม บิวพาผมมาถึงหน้ากระโจมหมอดู ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครต่อคิวดู คงไปดูการแสดงบนเวทีกันหมด ผมชวนทั้งสามคนเข้าไปในกระโจม ให้ราณีช่วยถามหมอดูเรื่องชะตาของไอ้โหดและขอฟังคำแก้ไข แม่หมอไม่ยอมบอกเพราะว่าไม่ใช่เจ้าของชะตาเอง ผมเลยบอกว่างั้นให้ดูดวงให้ผม แม่หมอขอมือของผมให้ยื่นเข้าไปในผ้าดำที่เป็นม่านบังตัวแม่หมออยู่ มือของผมโดนจับดูอยู่ครู่หนึ่งแม่หมอก็เริ่มพูด โดยมีราณีคอยช่วยแปลให้พื้นชะตาทั่วไปค่อนข้างตรงกับตัวผมมากๆ จนมาถึงเรื่องความรัก
“แม่หมอบอกว่าพี่นาวจะต้องเสียคนรักให้กับหญิงสูงศักดิ์” ราณีบอกผม ผมอึ้งไปเมื่อคำทำนายมันตรงกับดวงของพี่ธีม
“มีวิธีแก้ไหม” ผมถาม ราณีหันไปถามแม่หมอ อีกฝ่ายก็ตอบมายาวพอสมควร ผมใจเต้นตึกตักลุ้นคำตอบ จากที่บอกว่าไม่เชื่อๆ เอาจริงๆ ก็อดหวั่นไหวไปกับคำทำนายไม่ได้
“พี่นาวต้องรีบแล้วนะคะ แม่หมอบอกว่าพี่มีเวลาก่อนจะข้ามเข้าสู่ปีใหม่ พี่ต้องหาคนรักให้เจอ แล้วจุมพิตพร้อมกับบอกเขาว่าจะรักเขาตลอดไป ถ้าหลังจากนั้น ชะตาจะแก้ไขไม่ได้อีกเลย” ราณีบอกผม
ผมดูนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ห้าทุ่มสี่สิบแล้ว ผมมีเวลาแค่ยี่สิบนาทีเอง ผมรีบวิ่งออกมาจากกระโจมแม่หมอเพื่อกลับไปที่เวทีการแสดง เดินฝ่าฝูงชนไปจนถึงด้านหน้าเวที แต่ผมไม่เห็นพี่ธีมนั่งอยู่กับบรรดาพระญาติของมันเลย ผมเลยต้องเดินอ้อมออกมาแล้วลองไปดูที่ด้านหลังของเวทีแต่ก็ไม่เจอ ผมดูนาฬิกาอีกครั้ง ตอนนี้เหลือเวลาอีกแค่สิบกว่านาที ผมกดโทรศัพท์หาพี่ธีมแต่มันก็ไม่รับสาย ในใจของผมตอนนี้ร้อนรนไปหมด ไม่รู้ว่าคำทำนายนั่นจะแม่นหรือมั่ว แต่ก็อยากลองทำดู ผมยอมทำได้ทุกอย่าง ขอแค่ให้รู้สึกว่าผมจะไม่มีวันเสียไอ้โหดมันไปให้กับใคร ตอนนี้เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ ความหวังของผมก็ริบหรี่ลง จนกระทั่งได้ยินเสียงดนตรีที่คุ้นหูดังขึ้นผมรีบวิ่งออกจากหลังเวทีมาที่ด้านหน้า ไฟที่ประดับในงานถูกปิดหมดจนมืดสนิท
‘ตั้งแต่วันที่ฉันได้คุย เคียงคู่สองคนกับเธอครั้งก่อนกลับมานอนครวญครางละเมอคอยพร่ำหาเธอเหมือนจะอ้อนวอนเกิดอะไรขึ้นมาละเออ มันอยากรู้นักเปลี่ยนฉันไปจากเดิม โอ๊ย...จะเป็นเพียงแววตาของเธอทั้งคู่ฉายมาสะกดรึเปล่าอาจเป็นดาวดวงใด ใช้เธอมาหลอกเล่นกล เป็นไปไม่ได้ออกจะงง คงเป็นเพราะเธอทำสับสนโอ๊ย เดี๋ยวอยากรัก เดี๋ยวอยากลืม...โอ๊ย โอ๊ย... ทุกสิ่งเปลี่ยนไปเพราะเธอ เธอทำให้ฉันรักเธอก่อน ไม่อาจถอนหัวใจมันคอยแอบๆ มองแบบซึ้งๆ เธอทำให้ฉันหลงใจอ่อน นอนกอดหมอนทุกคืนจะทนได้นานสักเท่าไร หากคิดถึง โอ๊ย โอ๊ย...อยากจะกินกลืนเธอทั้งตัวไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่นอยากได้ยินเพียงเสียงของเธอเพรียกบอกรักเพ้อถึงฉันผู้เดียวกดอารมณ์ทนไปไม่ไหว ใจมันหวิบหวามไม่เจอคงขาดใจ โอ๊ย โอ๊ย...โอ่ย โอ๊ย... คิดถึงจังเธอ’
มีเพียงแสงไฟหนึ่งดวงที่ส่องไปที่บนเวที คนที่ผมวิ่งตามหามันจนเกือบถอดใจยืนร้องเพลงอยู่บนนั้น สายตามันจ้องมาที่ผมตลอดเวลาที่มันขับร้องเพลงนี้ ผมจำวันแรกที่มันร้องเพลงนี้ได้ มันก็จ้องผ่านกระจกที่ห้องอัดเสียงมาที่ผมแบบนี้เหมือนกัน แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่ามันมองเห็นผม ผมได้ฟังเพลงเดิมเพลงนี้ จากคนๆ เดิม แต่สิ่งที่ผมรู้สึกต่างจากวันนั้นคือ ผมเข้าใจความหมายของเพลงนี้มากขึ้น เข้าใจแล้วว่ามันรู้สึกอย่างไรตอนที่ร้องเพลงนั้นให้ผม ที่เข้าใจเพราะผมก็กำลังรู้สึกแบบนั้นแล้วในวันนี้
‘เกิดอะไรขึ้นมาละเออ มันอยากรู้นักเปลี่ยนฉันไปจากเดิม’
...หมาธีม มันรู้ไหมว่ามันก็ทำให้ผมเปลี่ยนไป จากที่เคยคิดว่าไม่เหลือใครอีกแล้วบนโลกใบนี้ มันทำให้ผมอยากขอบคุณที่ตัวเองยังหายใจได้ในทุกๆ วันเพราะผมรู้ว่าผมจะตื่นมาเจอมัน...
‘จะเป็นเพียงแววตาของเธอทั้งคู่ฉายมาสะกดรึเปล่า’
..หมาธีม มันรู้ไหม ทุกครั้งที่ผมหันไปแล้วเห็นว่ามันก็มองมา ผมอบอุ่นเหลือเกิน ขอบคุณที่ทำให้ผมรู้ว่า ผมยังเป็นคนในสายตาของมันตลอดเวลา...
‘เธอทำให้ฉันหลงใจอ่อน นอนกอดหมอนทุกคืนจะทนได้นานสักเท่าไร หากคิดถึง’
...หมาธีม มันจะรู้ไหม ผมทรมานมากจริงๆ นะตอนที่ต้องอยู่ห่างจากมันแค่เพียงวินาที มันก็ทำให้ผมก็คิดถึงมันแล้ว ผมยอมไม่มี
หมอนเหลือสักใบ แต่ขอแค่ได้กอดมันก็พอ....
‘อยากจะกินกลืนเธอทั้งตัวไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่นอยากได้ยินเพียงเสียงของเธอเพรียกบอกรักเพ้อถึงฉันผู้เดียว’
...หมาธีม มันจะรู้ไหม ผมก็หึงมันนะ หึงมากๆ ด้วย แต่ผมไม่อยากงี่เง่า ไม่อยากให้มันรำคาญหรือเบื่อผมเลย ทุกครั้งที่หึงหรือหวงมัน ผมจะพยายามทำตัวให้ดี ทำให้มันรักผมจนอยากเก็บผมเอาไว้คนเดียวเหมือนที่ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นของใคร...
‘กดอารมณ์ทนไปไม่ไหว ใจมันหวิบหวามไม่เจอคงขาดใจ โอ๊ย โอ๊ย’
...รู้ไหม ตอนนี้ผมทนไม่ไหวแล้ว เวลาของคำทำนายใกล้จะหมดแล้ว ผมจะไม่รอมันร้องเพลงจนจบหรอกนะ หลายคำที่ผมอยากบอกมันทั้งหมด ผมแค่พูดได้เพียงสั้นๆ ก่อนจะไม่ทันการแล้วโว้ย โอ๊ย โอ๊ย..
“หยุด!” ทันทีที่ผมตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงดนตรีออกไปแสงไฟก็สว่างขึ้นขึ้นพรึ่บ พี่ธีมมันก็หยุดร้องเพลงในทันที ตอนนี้ทุกสายตาของผู้คนที่อยู่ในงานหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว แต่ผมไม่มีเวลาอายแล้วครับ ผมยอมให้คนทั้งโลกแซว ด่า ว่า จิกกัด รังเกียจ หรืออะไรก็ได้ แต่ผมต้องบอกมันวันนี้และเดี๋ยวนี้ก่อนจะสายเกินไป!
“พี่ธีม นาวรักพี่ธีม นาวจะรักพี่ธีมตลอดไป ตลอดชีวิตเลย ฮึก..จนกว่าจะหมดลมหายใจเลยนะ..ฮึกนาวรักพี่ธีมนะ รักมาก รัก ได้ยินเปล่าครับ ฮึก” ผมตะโกนออกไป ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะร้องไห้ มันไม่ใช่เรื่องเศร้า แต่มันตื้นตันมันซาบซึ้งกับสิ่งทำลงไปและสิ่งที่เคยได้รับจากคนที่ผมรักตลอดมา ไอ้หมาธีมมันกระโดลงมาจากเวที เดินตรงมาหาผม แล้วจู่ๆ ไฟก็ดับพรึบจนมืดสนิทลงไปอีกครั้ง ตัวของผมถูกดึงไปจนไปอยู่ในอ้อมกอดมัน มันบรรจงจูบผมอย่างนุ่มนวล ผมได้ยินเสียงเฮดังขึ้นก่อนจะมีเสียงคนนับถอยหลังเป็นภาษาอังกฤษ
“...ห้า.....สี่......สาม......สอง.....หนึ่ง.......นาโตรคราสิทิเนีย...แฮปปี้นิวเยียร์...สุขสันต์วันปีใหม่..เฮ้....เฮ้..~!”
ดอกไม้ไฟถูกจุดจนสว่างไสว เสียงคลื่นซัดเข้ามากระทบผืนทรายแข่งกับเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชน ผมถูกพี่ธีมจูงมามือของผมมาที่ริมทะเล มันกอดผมและจูบเบาๆ ที่หน้าผาก จู่ๆ ละอองเกล็ดน้ำแข็งเกล็ดเล็กๆ ร่วงลงมากระทบกับใบหน้าทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้ามืดมิดนั่น
“หิมะตกแล้ว หิมะแรกของฤดู” ผมเช็ดหิมะออกจากใบหน้าแล้วโอบรอบคอของไอ้โหดมัน รู้สึกดีใจที่ภารกิจแก้คำทำนายสำเร็จลุล่วงลงด้วยดีและทันเวลา
“มีคนบอกพี่ว่า ถ้าเจอหิมะแรกของฤดู เราต้องมีอะไรกับคนที่เรารัก จะเสริมให้รักมั่นคงตลอดไป” ไอ้โหดมันบอกกับผม หึหึ
หึ..มันคิดว่าคนอย่างผมหลอกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอไอ้หมาธีม มุกหื่นๆ ของมันไม่เคยพัฒนาเลย แต่วันนี้เป็นวันดี ผมจะยอมเล่นตามมันก็แล้วกัน
“จริงเหรอ..งั้นกลับวังกันนะ เดี๋ยวไม่ทัน” ผมแกล้งทำเสียงตื่นเต้น มันยกยิ้มก่อนจะจับมือพาผมเดินออกไป
มันเดินพาผมมาถึงรถมันก็บอกว่ามันลืมโทรศัพท์เอาไว้ มันขอตัวไปเอาโทรศัพท์ก่อนและให้ผมรออยู่ในรถ ผมเลยบอกให้มันมาเร็วๆ ไม่งั้นผมอาจจะหมดอารมณ์ได้ มันรีบทำท่ารับคำสั่งก่อนจะวิ่งออกไป ผมยิ้มเมื่อเห็นมันวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เฮ้อ มันนี่หลอกง่ายจริงๆ แสดงสู้ผมก็ไม่ได้ ไอ้โหดเอ้ย...ก็มันเป็นหมานี่นะ ไม่ใช่ดาราอย่างผม จะมาสู้กันได้ไง แต่ถึงยังไงผมก็รักที่มันเป็นแบบนี่แหละ
มีต่ออีกนิดหนึ่งค่ะ --> หน้า 17