Chapter 14“นี่เลย เด็กในรูปนี้ใช่คนคนเดียวกันกับแฟนไอ้เฟร็ดเลย กูมั่นใจ” เอกนธีเพื่อนคนสนิทของสองเมื่อพูดอย่างมั่นใจเมื่อได้เห็นรูปหนูไมค์ในสมาทโฟนของสามภพ
“แต่...เด็กนั้นไม่เห็นจะเหมือนไอ้ไมค์เลย อาจจะคล้ายๆบ้างก็เถอะ” สองเมืองขมวดคิ้วมองเพื่อนสนิท
“โอ๊ยไอ้เหี้ย กูมั่นใจมากว่าหนูไมค์อะไรของมึงนั้นน่ะ คนเดียวกับแฟนไอ้เฟร็ดเลย แค่น้องตัดผมสั้นขึ้นเปลี่ยนสีผม เอ่อ....ถึงหน้ามันจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่กูชัวร์ว่าคนเดียวกัน” เอกนธียังคงมั่นใจในคำตอบ
“พี่แน่ใจนะพี่เอก” สามภพถาม
“กูคิดว่าคนเดียวกันแน่ๆ ตอนที่เด็กนั้นวิ่งหนีพวกบอดี้การ์ดไอ้เฟร็ดมาชนกับไอ้สองอ่ะ สายตาของเด็กคนนั้นมองมึงแบบเหมือนคนที่รู้จักกัน ไม่สิ...สายตาเค้าเหมือนกับดีใจที่ได้เจอมึงเลยนะเว้ย” เอกนธีก็ยังคงยืนยันในคำตอบ ต้องใช่คนคนเดียวกันแน่ๆ เค้าจำได้แม่น
“จะว่าไปเฮียไม่รู้สึกคุ้นไอ้ไมค์เลยเหรอวะ” สามภพหันไปถามพี่ชายคนรองที่ได้แต่นั่งขมวดคิ้วเป็นปมจ้องมองรูปหนูไมค์ในสมาทโฟน
จะว่าไปแล้วตอนที่เด็กคนนั้นเข้ามากอดสองเมือง เค้าก็รู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก มือเล็กๆนั้นสัมผัสกับมือสองเมืองไม่กี่เสี้ยววินาทีก็เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งแปล็บเข้ามาในตัวของสองเมือง สัมผัสที่คุ้นเคยเอามากๆ ในใจก็อยากจะคิดว่าเป็นหนูไมค์อยู่หรอกเพราะรูปร่างและความสูงก็ประมาณนี้ แต่ติดที่ว่าเด็กคนนั้นหน้าตาไม่เหมือนหนูไมค์เลย เอ๊ะ...หรือว่าเค้าจะคิดไปเอง ที่เอกนธีบอกมันจะเชื่อถือได้แค่ไหนกัน ถึงจะรักและอยากตามหาตัวหนูไมค์ให้เจอ แต่นี่เด็กคนนั้นมากับเฟร็ดเดอริกคู่ปรับเก่า ยิ่งทำให้สองเมืองไม่อยากเข้าไปยุ่งมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะกลัวหมอนั้นหรอกนะ
ถ้าหนูไมค์โดนเฟร็ดเดอริกจับตัวไปจริงๆสองเมืองก็คงอดไม่ได้เหมือนกัน ถึงปากจะบอกเลิกแล้วต่อกันไป แต่เมื่อมันแย่งคนรักไปก็ต้องเอาคืนให้ได้ แล้วเฟร็ดเดอริกมันจะรู้จักกับหนูไมค์ได้ยังไง แถมยังเรียกเด็กนั้นว่าเป็นแฟนของมันอีก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเจ้าเปี๊ยกนั้นก็ไม่เคยจะห่างจากตัวสองเมืองเท่าไหร่ ไอ้เฟร็ดจะเอาเวลาที่ไหนไปเจอจนได้รู้จักกันถึงขั้นเป็นแฟน ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว
“แต่ว่านะไอ้เฟร็ดมันบอกว่าเด็กคนนั้นเป็นแฟนมัน กูรู้นิสัยมันดีถ้ามันไม่รักใครจริงมันไม่เรียกว่าแฟนง่ายๆหรอก” เอกนธีพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ เค้าจะไม่รู้จักนิสัยเฟร็ดเดอริกได้ยังไง ก็เป็นเพื่อนกันมานี่หว่า
“แล้วเฟร็ดมันจะจับไอ้ไมค์ไปทำไมล่ะเฮีย มันไม่มีเหตุผลเลยนะ ปกติไอ้ตัวเล็กนั้นก็คอยดูแลเฮียตลอด จะเอาเวลาที่ไหนไปจีบกัน” สามภพออกความคิดเห็นเหมือนกับที่สองเมืองคิดไว้
“เหตุผลที่มันเกลียดกูไงไอ้สาม หรือมันจะเอาคืนที่กูทำรถมันคว่ำ”
“โอ๊ยเฮีย ถ้าผมเป็นเฟร็ดผมคงสะใจตอนที่เฮียเองก็รถคว่ำแล้วตาบอดเนี่ย”
“ไอ้น้องเวร”
“กูว่านะ มันอาจจะใช่หนูไมค์อะไรนั้นของมึงก็ได้ กูมีลางสังหรณ์....แล้วก็กูไม่รู้เหตุผลที่ไอ้เฟร็ดลักพาตัวหนูไมค์ไป แต่กูมั่นใจมากว่าเป็นคนคนเดียวกัน กูจำหน้าเด็กคนนั้นได้”
“แน่ใจจริงๆนะพี่เอก” สามภพถามขึ้น
“แต่กูว่าใช่ กูต้องเชื่อร่างกายตัวเองเท่านั้น เด็กคนนั้นทำให้กูรู้สึกคุ้นเคยจริงๆ”
“ตอนแรกก็ผลักไสเค้าหนีเหลือเกินสัส” เอกนธีส่ายหน้าเอือม
“ก็ตอนนั้นกูเห็นขี้หน้าไอ้เฟร็ดก็เลยอยากจบๆไป ไม่อยากมีเรื่องไรกันอีก”
“มึงต้องเชื่อร่างกายของตัวเองนะเว้ย”
“ใช่.....กูต้องเชื่อร่างกายและหัวใจตัวเอง คงเชื่อสายตาไม่ได้แล้ว”
เอกนธียิ้มกว้างเมื่อได้ยินเพื่อนสนิทพูดออกมาแบบนั้น ใช่แล้วมันต้องอย่างนี้สิ ตอนที่สองเมืองตาบอดก็ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหนูไมค์ พอกลับมามองเห็นก็ได้เห็นแต่รูปในโทรศัพท์เท่านั้น มุมกล้องอาจจะทำให้คนเราหน้าเปลี่ยนกันได้ และถ้าเอาหน้าหนูไมค์จากรูปในโทรศัพท์ที่กำลังยิ้มปรับเปลี่ยนทรงผมให้สั้นขึ้นเหมือนเด็กม.ปลายล่ะก็ ใช่มันต้องใช่แน่ๆ ในรูปหนูไมค์กำลังยิ้มให้กล้องซึ่งมีอยู่รูปเดียว แต่ตอนที่เจอเด็กคนนั้นหน้าตาเค้ากำลังตื่นกลัวอะไรสักอย่าง
เดี๋ยวนะตื่นกลัวงั้นเหรอ และท่าทางที่วิ่งกระหืดกระหอบหนีอะไรมาสักอย่างนั้นล่ะ หรือว่า.....
“เห้ย!”
“เหี้ย!”
สองเมืองและเอกนธีกระเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาและอุทานออกมาพร้อมกัน
“มึงคิดเหมือนกูใช่ไหมวะไอ้เอก”
“กูว่ากูคิดแบบนั้นเป๊ะเลยครับมึง” เอกนธีเสริม
“พวกเฮียคิดไรกันวะ” สามภพนั่งมองชายหนุ่มทั้งสองด้วยสีหน้ามึนงง
“ก็แบบนี้ไงไอ้สาม ตอนที่กูเห็นเด็กคนนั้น เค้ากำลังวิ่งหนีอะไรสักอย่างมา พอเจอกูกับสองเมืองที่ซอยหลังร้านก็วิ่งเข้ามากอดไอ้สองเลยนะ หน้าตาจากที่กลัวๆก็กลายเป็นดีใจจนน้ำตาไหล แล้วจากนั้นไม่นานพวกบอดี้การ์ดของไอ้เฟร็ดก็เข้ามาล้อม ไอ้เฟร็ดมันเข้ามาลูกน้องมันก็เอาปืนจ่อพวกกูแล้ว หลังจากนั้นหนูไมค์ก็เหมือนจะกลัวก็เลยยอมกลับไปหาไอ้เฟร็ดมัน...”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง ไอ้ไมค์มันก็ต้องกลับไปหาเฟร็ดอยู่แล้ว ไอ้เปี๊ยกนั้นมันขี้กลัวอย่างกับอะไรดี” สามภพว่า
“เดี๋ยวนะ เห้ย! กูคิดออกแล้ว...ไอ้เฟร็ดมันต้องข่มขู่หนูไมค์แน่เลยว่ะ เพราะหนูไมค์เป็นคนขี้กลัว ถ้าตัวเองไม่กลับไปหาไอ้เฟร็ดมัน มันก็คงจะยิ่งมึงไงไอ้สองเมือง โถ่ อนุภาพแห่งรัก”
“กูจะไปตามไมค์กลับ” สองเมืองเดินพรวดพราดออกจากห้องคอนโดของเอกนธีอย่างรวดเร็ว เอกนธีเห็นดังนั้นเลยรีบวิ่งเข้าเกาะกุมตัวสองเมืองทันใด
“ปล่อย! ปล่อยกู!!!” ตอนนี้เป็นสถานการณ์อันตรายอีกแล้ว สองเมืองกำลังบ้าคลั่งเหมือนหมาบ้า
“ไอ้สามมาช่วยกูจับมันไว้ดิสัส โอ๊ย เหี้ยยย ใจเย็นๆก่อนสิวะ”
สามภพและเอกนธีช่วยการล็อคตัวหมาบ้าอย่างสองเมืองไว้ ส่วนร่างสูงก็เอาแต่ดิ้นและสะบัดออก ทั้งเตะทั้งยัน เพื่อนก็เพื่อนเถอะ ตอนนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ในใจของเค้ามันเดือดปุดๆอย่างกับความร้อนในขุมนรกซะแล้ว เฟร็ดเดอริกมันกล้าดียังไงมาลักพาตัวหนูไมค์ไปจากอ้อมอกของเค้า แบบนี้มันเรียกว่าเล่นทีเผลอกันนี่หว่า หึ คนอย่างมันไม่ตายดีแน่
“กูจะไปฆ่ามัน! ปล่อยกูสิวะ!”
“มึงฟังกูก่อนสอง ตอนนี้ถ้ามึงไปมึงก็จะกลับมาตัวเปล่า ไม่ก็มึงอาจจะโดนกระสุนของไอ้เฟร็ดแล่นเข้าตัดขั้วหัวใจมึงก็ได้ มึงฟังกูก่อน” เอกนธีพยายามพูดปลอหมาบ้าให้ใจเย็นลง
“มึงจะให้กูเย็นได้ยังไง!!! มันลักพาตัวคนของกูไปนะสัส ปล่อยกูเดี๋ยวนี้!” ร่างสูงก็ยังคงพยายามเตะและสะบัดเอกนธีและสามภพออก แรงของสองหนุ่มยังไม่เท่าแรงแห่งหมาบ้าของสองเมือง สามภพพยักหน้าไปทางเอกนธีเพื่อให้รีบอธิบายให้สองเมืองได้เข้าใจ เพราะถ้ายังคงเป็นแบบนี้อีกไม่กี่นาทีหนุ่มทั้งสองคงจะรับแรงของสองเมืองไม่ไหว
“มึงฟังก่อนสอง นิ่งๆสิวะ! ถ้ามึงบุกไปตอนนี้กูว่ามึงได้ตายแน่ๆ ถ้าอยากได้ตัวหนูไมค์คืนเราต้องมั่นใจก่อนว่าใช่เค้าจริงๆ แล้วค่อยส่งหลักฐานข้อมูลของหนูไมค์ไปให้ทางตำรวจ”
“ว่าไงนะ” สองเมืองหยุดดิ้นแล้วหันไปมองหน้าเอกนธี
“กูว่าถ้ามึงบุกไปเอาตัวหนูไมค์ตอนนี้มันอันตรายเกินไป”
“กูไม่กลัวไอ้เฟร็ด! จะตายก็ยอมถ้าได้ตัวไอ้ไมค์คืนมา”
“เห้ยๆ ฟังกูพูดให้จบก่อน...คือมึงบอกว่าหนูไมค์เป็นบุตรบุญธรรมของแม่มึงใช่ไหม แสดงว่าต้องมีหลักฐานการรับรองเป็นบุตรบุญธรรมแล้วก็เอกสารข้อมูลส่วนตัวอะไรพวกนี้ จากนั้นเราก็แจ้งไปทางตำรวจแล้วก็ทางครอบครัวของไอ้เฟร็ดให้รับรู้ว่ามันไปลักพาตัวลูกเค้า”
“เออ...ทำแบบนี้น่าจะเวิร์คกว่าเฮียบุกไปฟัดกับเฟร็ดนะ แบบนี้ได้ตัวไอ้ไมค์คืนแบบไม่เจ็บตัวเลยสักนิด อยากจะตาบอดอีกเหรอเฮีย” สามภพเสริม
“ไอ้น้องเวร แช่งกูเหรอมึง”
“สอง...กูว่ากูจะส่งสายสืบไปถ่ายรูปหนูไมค์มาก่อน แล้วพวกมึงเอารูปไปให้ที่บ้านมึงดูว่าใช่คนคนเดียวกันไหม ถ้าทุกคนตอบตรงกันว่าใช่ เราก็ส่งข้อมูลการรับรองเป็นบุตรบุญธรรมของแม่มึงไปทางบ้านไอ้เฟร็ด จากนั้นก็รอเอาตัวหนูไมค์คืน ง่ายๆ ยังไงถ้าเรื่องนี้ถึงหูพ่อไอ้เฟร็ดล่ะก็ ไอ้เฟร็ดคงได้รับบทลงโทษจากพ่อมันเอง มึงไม่ต้องเอาตัวไปแลกเลือดกับมันเลย โอเคเข้าใจที่กูอธิบายไหม”
“แต่มันไม่นานเกินไปรึไง กว่าจะได้ตัวไมค์คืน” แค่นี้สองเมืองก็คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว
“เฮีย...เฮียตามหามันมาเป็นเดือนๆ รออีกหน่อยจะเป็นไรไป เพื่อความชัวร์นะ” สามภพเห็นด้วยกับแผนการของเอกนธี สองเมืองก็เลยจำยอมพยักหน้ารับตกลงตามแผนของเอกนธี
รอก่อนนะไมค์...เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้ว
ส่วนไอ้เฟร็ดเดอริก หลังจากจบเรื่องนี้ มึงกับกูไม่จบกันแน่ๆ
หลังจากที่ทั้งสามตกลงแผนการเสร็จสรรพและเมื่อรู้พิกัดที่อยู่ของเฟร็ดเดอริก เอกนธีก็ส่งสายสืบโดยเป็นคนคนสวนในบ้านพักตากอากาศของเฟร็ดเดอริกเองไปตามถ่ายรูปของหนูไมค์มาทุกอริยาบถมาให้ได้หลายรูปหลายท่วงท่า เพื่อให้แน่ชัดว่าเป็นหนูไมค์จริงๆ
“เอก มึงวางใจคนสวนบ้านไอ้เฟร็ดมันได้ยังไง” สองเมืองถามอย่างกังวล
“กูฟาดเงินให้มันไปเป็นล้าน วางใจได้ กูบอกมันว่าถ้าทำงานสำเร็จก็มาเอาเงินจากมึงแล้วกัน แค่นี้ขนหน้าแข้งพี่สองเมืองคงไม่ร่วงหรอกนะครับ”
“เออ แล้วรูปจะได้วันไหน”
“กูบอกให้มันเอามาให้เร็วที่สุด กว่าจะถ่ายได้นะมึง ไอ้เขียวคนสวนบ้านไอ้เฟร็ดบอกว่าบอดี้การ์ดนี่ยืนคุมเด็กคนนั้นซะมิดเลย”
“แล้วจะได้รูปมาไหม”
“ได้แน่นอนหน่า กูเชื่อมันในไอ้เขียวมัน มันหน้าเงินจะตาย เพื่อเงินมันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
“ถ้าไม่ได้ กูจะบุกบ้านไอ้เฟร็ดจริงๆด้วยสัส”
“รอก่อนสักสองสามวัน มึงก็อยู่คอนโดกูไปก่อนแล้วกัน พอได้ตัวหนูไมค์ก็ค่อยกลับบ้าน”
ทำไมช่วงนี้เวลามันถึงเดินช้านัก ยิ่งรู้ว่าหนูไมค์อยู่ใกล้ตัวไอ้เฟร็ดยิ่งเจ็บใจ อยากจะบ้าตายเพราะความโง่ของตัวเองที่ปล่อยให้เด็กนั้นหลุดลอยไปหาคู่อริ อยู่ใกล้เอื้อมมือแล้วแท้ๆ ทำไมตอนนั้นสองเมืองถึงไม่เชื่อสัมผัสที่ได้จากเด็กคนนั้น ทำไมไม่เชื่อร่างกายที่ตอบสนองต่อเด็กคนนั้น ทั้งๆที่เค้าเข้ามากอดตัวเองแล้วแท้ๆ หรือเพราะมัวแต่คิดว่าเด็กคนนั้นเป็นแฟนไอ้เฟร็ดเลยไม่อยากจะยุ่ง ทำไมไม่เอะใจบ้างนะ ปล่อยให้หลุดลอยมือไปได้ยังไงกัน บ้าชะมัด ยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ
สองวันผ่านไป เวลาเดินช้าอย่างกับอะไรสำหรับสองเมืองตอนนี้ อยากจะไปบุกบ้านไอ้เฟร็ดนั้นใจจะขาด ทำได้แต่นั่งรอสายสืบคนสวนจากบ้านไอ้เฟร็ดอย่างทรมาน เมื่อไหร่จะส่งรูปมายืนยัน เมื่อไหร่จะได้ตัวหนูไมค์คืน คิดถึงใจจะขาดอยู่แล้ว ตลอดสองวันที่รอคอยข่าวจากไอ้เขียวทำเอาสองเมืองนอนไม่หลับเลยทีเดียว เอาแต่คิดถึงเจ้าตัวเล็กนั้น ป่านนี้จะอยู่ยังไง จะทำอะไรอยู่ จะคิดถึงกันบ้างรึเปล่า จะโดนไอ้เฟร็ดรังแกไหม ใจสองเมืองกระวนกระวายไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วนะ
ไมค์...อีกนานแค่ไหนเราถึงจะได้เจอกัน
พี่สองคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว......
“ไอ้สองๆๆๆๆๆๆ” เอกนธีวิ่งพรวดเขาเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง ที่มีสองเมืองกำลังนั่งกุมขมับอยู่บนเตียง
“ไอ้เขียวมันส่งรูปหนูไมค์มาแล้วเว้ย” เพื่อนสนิทบอกด้วยความดีใจ เช่นเดียวกับสองเมืองที่ลุกขึ้นยืนลืมความเหนื่อยล้าไปซะหมด รีบวิ่งเข้าไปดูรูปที่ไอ้เขียวส่งเข้ามาในสมาทืโฟนของเอกนธี
“มีรูปหน้าชัดๆไหมวะ” ร่างสูงขมวดคิ้วยุ่งเมื่อเห็นรูปที่ส่งมา รูปถูกซูมจนดูไม่ชัด เห็นแล้วหงุดหงิดใจชะมัด
“เลื่อนไปเรื่อยๆสิวะ”
และแล้วก็มีรูปนึงที่หนูไมค์มองมาที่กล้องพอดิบพอดี เห็นใบหน้าหวานชัดแจน เจ้าตัวมีสีหน้าเหวอนิดหน่อย สงสัยคงจะตกใจที่เห็นไอ้เขียวมันแอบถ่ายรูปละมั้ง น่ารักเชียว นี่น่ะเหรอไอ้ตัวเล็กที่คอยดูแลเค้ามาตลอด น่าตาน่าหมั่นเขี้ยวชะมัดเลย เมื่อเอารูปที่ได้มามาเทียบกับรูปเก่าที่ได้ถูกถ่ายเก็บไว้ก่อนหนูไมค์จะโดนลักพาตัว ก็พบว่าโครงหน้าหวานเหมือนกันเป๊ะๆ แต่ต่างไปแค่นิดหน่อยเพราะทรงผมที่สั้นขึ้นและสีผมเท่านั้น ไอ้เฟร็ดมันฉลาดที่แอบเปลี่ยนรูปลักษณ์ของหนูไมค์ แต่ก็คงไม่ฉลาดเท่าแผนการของไอ้เอกนธีหรอกนะ หึหึ
“มึงส่งรูปไปให้ที่บ้านมึงเลย ให้เค้าดูว่าใช่คนคนเดียวกันไหม”
“กูว่าใช่แน่ๆ นี่แหละไอ้ไมค์”
“มึงจะแน่ใจได้ยังไงมึงตาบอดนะตอนนั้น เอาไปให้ที่บ้านมึงยืนยันทุกคนก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที”
“อืม” สองเมืองจำนนกับแผนการอีกครั้งก่อนจะส่งรูปที่ได้มาจากไอ้เขียวคนสวน เข้าแอพแชทที่นิยมใช้กันให้กับทุกคนที่บ้านและเพื่อนๆของตัวเอง
ยังไงสองเมืองก็คงต้องรอคำตอบยืนยันจากทุกคนซะก่อนถึงจะดำเนินแผนการต่อไปได้
จากนี้คงต้องรอ......แค่รอเท่านั้น
ไมค์รอกูก่อนนะ อย่าพึ่งหายไปไหน ขอร้องล่ะ
ไม่กี่ชั่วโมงที่ทุกคนได้รับแชทรูปภาพจากสองเมือง ก็ตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นคนคนเดียวกันกับหนูไมค์แน่นอน และตอนนี้ทางหนึ่งสยามพี่ชายคนโตก็ได้ดำเนินการส่งเอกสารและแจ้งความกับทางตำรวจเป็นที่เรียบร้อย เสาหลักของตระกูลทั้งสองท่านอย่างคุณท่านปิ่นฤดีและคุณหญิงหยกมณีเมื่อได้รับรู้ข่าวจากสองเมืองก็รีบบินกลับจากมัลดีฟส์ทันที
ทางด้านเอกนธีที่สนิทกับทางครอบครัวของเฟร็ดเดอริกก็ได้ติดต่อไปทางคุณท่านดาร์เดล คุณพ่อของเฟร็ดเดอริก แล้วได้เล่าวีรกรรมที่ลูกชายของคุณท่านดาร์เรลได้ฟัง พอได้รับรู้ว่าลูกชายคนเล็กของตัวเองได้ลักพาตัวคนของบ้านคุณท่านปิ่นฤดีไปก็อดขายขี้หน้าไม่ได้ แต่ตอนนี้ท่านดาร์เรลอยู่ที่อเมริกาและจะรีบบินกลับกับมาเคลียร์คดีลูกชายให้เร็วที่สุด
“ทางพ่อของไอ้เฟร็ดบอกว่าจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด แล้วจะรีบเคลียร์ให้ทันที่กลับมาถึง”
“เราแจ้งตำรวจไปแล้ว ก็บุกไปเอาตัวไอ้ไมค์เลยดิพี่เอก” สามภพออกความเห็น
“ไม่ได้ว่ะ ท่านดาร์เรลขอไว้ว่าอย่าพึ่งดำเนินคดี ขอให้ท่านได้กลับมาถึงก่อนจะเคลียร์เรื่องนี้ให้เรียบร้อยเอง ไม่ต้องถึงมือตำรวจ เพราะท่านเองก็ไม่อยากให้ลูกชายเสียประวัติ”
“อะไรกันวะ นี่ต้องรอพ่อไอ้เฟร็ดกลับมาอีกเหรอ กูไม่ทนแล้วนะเว้ย!” สองเมืองโวยวายขึ้น
“เอาหน่ามึง ท่านดาร์เรลกับพ่อมึงก็เป็นเพื่อนกันนะ เรื่องนี้ไกล่เกลี่ยกันได้หน่า อย่าใจร้อนไป” เอกนธีปลอบ
“ใช่เฮีย อีกวันสองวันท่านดาร์เรลก็จะกลับมาไทยแล้ว ใจเย็นๆก่อน ถ้าดำเนินคดีแจ้งความจับเฟร็ดไป ครอบครัวเรากับเค้าก็แตกแยกกันนะ เป็นหุ้นส่วนบริษัทกันด้วย เรื่องมันคุยกันได้” สามภพปลอบพี่ชายคนกลางอีกแรง
“แต่เฮียหนึ่งแจ้งความไปแล้วหนิ เราไปเอาตัวไอ้ไมค์คืนตอนนี้ยังได้”
“ก็ใช่ที่เฮียหนึ่งแจ้งความไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ดำเนินคดีนะ รอท่านดาร์เรลกลับมาก่อน ถ้ายังไงคุยกันไม่รู้เรื่องก็ดำเนินคดีได้เลยพ่อบอกแบบนี้” สามภพหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้พี่ชายตัวเองเย็นลง
“ได้ กูจะรอ”
แค่รออีกไม่กี่วัน อดทนหน่อยไว้สองเมือง
TBC.*************************************************************************************
ว่าจะลงตั้งแต่เมื่อคืน แต่พอดีติดงานเลี้ยงงานวันเกิดคนเขียนจ้า
วันนี้เอามาเสิร์ฟแล้วน้าา ขอโทษที่หายไปนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อย่าว่าเก๊าเลยนะ เก๊าสำนึกผิดแล้ว