Chapter 20 : การเดินทาง (ทาริค)ในเย็นของวันเดียวกันนั้น ทัชอัลดินเดินทางไปเฟอร์โดสเพื่อเข้าพบบิดา ใบหน้าคมเข้มดูเคร่งขรึม ด้วยรู้ดีว่าข่าวที่ตนนำมาจะทำให้ผู้เป็นบิดาเสียใจ ชีคหนุ่มหยุดยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงนอนหลังใหญ่ ก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมกับประคองมืออุ่นๆ ของบิดาขึ้นมาไว้ในมือ “ท่านพ่อ ลูก... มีข่าวมาบอกครับ เรื่องของศตคุณ”
แววตาของคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงไหวระริก ทุกครั้งที่ลูกชายนำข่าวของเด็กหนุ่มมาบอกเล่าให้ฟังจะทำให้ชายสูงวัยอารมณ์ดีขึ้นมาก เพราะนอกจากจะได้อยู่ใกล้ชิดกับลูกชายซึ่งปกติงานยุ่งรัดตัวแล้ว เขายังได้รับรู้เรื่องราวของหลานชายสุดที่รักของจีรุฒน์ด้วย
“ศตคุณเรียนจบแล้วนะครับ เขาเป็นนักดนตรีเต็มตัวแล้ว แจ็คคงจะภูมิใจมากเลยล่ะครับ” ทัชอัลดินยิ้มบาง พยายามเก็บกักความรู้สึกผิดหวังไว้ให้ลึกมากที่สุด “...และ... ลูกสั่งให้ยกเลิกข้อตกลงทั้งหมดไปแล้ว ลูกคิดว่าข้อตกลงของเรานั้นไม่แฟร์กับศตคุณนัก เขาควรจะได้มีชีวิตอยู่อย่างอิสระ ไม่ต้องกังวลหรือห่วงว่าติดหนี้บุญคุณใคร และควรจะย้ายมาที่นี่หรือไม่”
“อือ...” ชีคชารีฟครางเสียงแผ่วในลำคอ พลางกระดิกปลายนิ้วเล็กน้อย
ชีคหนุ่มบีบมือของบิดาเบาๆ “...ลูกรู้ว่าท่านพ่อเสียใจ ลูกเองก็เช่นกัน” เขาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “ศตคุณมีคนรักแล้วนะครับ เป็นหญิงสาวสวยน่ารัก ลูก...” เขาหยุดไว้เพียงแค่นั้น
ผู้เป็นบิดาปิดตาลงช้าๆ แล้วนิ่งไป ส่วนทัชอัลดินก็ยังคงก้มหน้านิ่ง สักพักเขาจึงลุกขึ้นยืน “แล้วลูกจะมาเยี่ยมท่านพ่อใหม่นะครับ วันนี้ขอตัวกลับไปช่วยพี่จาร์ซีสะสางงานที่ดัมมัมก่อนครับ” จากนั้นก็สาวเท้าออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากชีคหนุ่มกลัวว่าจะไม่อาจทนเห็นสายตาอันเศร้าสร้อยของชีคชารีฟเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งได้ บิดาคงเสียใจกับการตัดสินใจของเขาไม่ใช่น้อย เพราะท่านเองก็รอที่จะได้พบกับศตคุณมานานแล้วเช่นกัน
ร่างสูงหยุดยืนอยู่ภายในสวน ไม่ไกลจากเฮลิคอปเตอร์ที่จอดรออยู่นัก เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีน้ำเงินดุจไพลินล้ำค่า พร้อมกับถอนหายใจหนักๆ
...เขาทำถูกแล้วที่ให้อิสระกับเด็กหนุ่มไป เพราะนกน้อยในกรงจะเป็นสุขไปมากกว่านกที่ได้สยายปีกกว้าง โบยบินท่องเที่ยวไปในท้องฟ้าได้ตามใจชอบได้อย่างไรกันเล่า... ทัชอัลดินบอกกับตนเองเช่นนั้น
“ชีคครับ บางทีอิสระ อาจไม่ใช่สิ่งที่คุณศตคุณต้องการ” อาเหม็ดพยายามคัดค้านตั้งแต่เมื่อครั้งที่เดินทางกลับมาจากเวียนนา จนกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เขาวางช่อบูเก้ดอกกุหลาบที่ศตคุณใช้ติดหน้าอกในการแสดงครั้งสุดท้ายลงบนโต๊ะทำงานของเจ้านาย
ร่างสูงเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเลขา “ยังมีอะไรที่ฉันจะให้เขาได้อีกหรือ เงินทอง บ้าน รถ ถ้าหากเขาจะแต่งงานและมีครอบครัว ต้องการเงินมากมายแค่ไหน ฉันก็จะให้”
“...คุณศตคุณอยากพบอับบา อยากอยู่กับครอบครัว” อาเหม็ดเห็นว่าผู้เป็นนายไม่ได้ปัดช่อบูเก้ทิ้งหรือสั่งให้เขาเก็บไป ถ้าเช่นนั้นแล้วก็คงมีเยื่อใยที่ยังตัดไม่ขาด เจ้านายของเขาก็คงเจ็บปวดกับการตัดสินใจในครั้งนั้นมากเช่นกัน
ชีคหนุ่มหัวเราะขื่นๆ “ที่นี่มีครอบครัวให้เขาอย่างนั้นหรือ ท่านพ่อป่วยหนักจนขยับเขยื้อนไม่ได้ มีแต่ฉันกับพี่จาร์ซี พี่ชายที่เขาไม่ได้รู้จักว่ามีตัวตนอยู่เลยด้วยซ้ำ”
“แต่ว่า...”
“ออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน” ชีคหนุ่มทำเป็นก้มหน้าลงสนใจกับเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของตน ทั้งที่เขาไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรเลยแม้แต่น้อย
ผู้เป็นเลขาก้าวออกไปช้าๆ พลางย้อนนึกไปถึงเมื่อครั้งที่เขานำเอกสารรับบุตรบุญธรรมของชีคชารีฟไปให้กับทัชอัลดินดูเป็นครั้งแรก ตอนนั้นชีคหนุ่มอยู่ที่โรงพยาบาล เนื่องจากบิดาล้มป่วยกะทันหันด้วยโรคเส้นโลหิตในสมองแตก
ดวงตาอันอ่อนล้าจ้องมองชีคหนุ่มในชุดประจำชาติเต็มยศที่นั่งนิ่งอยู่ด้านหน้าห้องพักฟื้นของผู้เป็นบิดา ใบหน้าคมดูเคร่งขรึมจนน่ากลัว มือหยาบกร้านของเขาที่ถือแฟ้มเอกสารการรับรองบุตรบุญธรรมสั่นไหวด้วยความกังวล แต่เมื่อนึกถึงอีกชีวิตน้อยๆ ของครอบครัวจีรุฒน์แล้ว เขาก็จำเป็นที่จะต้องลองเสี่ยงดู
ทว่าผิดจากที่วิตกไว้มากมาย เพียงแค่เอ่ยถึงชื่อ ศตคุณ เท่านั้น สีหน้าของทัชอัลดินกลับดูอ่อนโยนขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ชีคหนุ่มรับเอกสารจากเขาไปแล้วพลิกอ่านดู
“ฉันจะดูแลเขาแทนท่านพ่อเอง” คำพูดหนักแน่นของเจ้านายยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
อาเหม็ดไม่เชื่อว่าเจ้านายของเขาจะตัดใจจากเด็กหนุ่มได้ ทั้งความผูกพันระหว่างเขากับศตคุณที่สั่งสมมานานหลายปี ส่งผลให้ตนยังคงรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย ไม่รู้ศตคุณจะเศร้าสร้อยมากเพียงไหน เขาใช้เงินส่วนของตนเองจ้างนักสืบคอยติดตามข่าว และเก็บเป็นความลับ จนกระทั่ง ทางสนามบินนานาชาติ King Fahd แจ้งเข้ามาว่ามีคนที่ชื่อและนามสกุลเดียวกันกับคนรักของชีคชารีฟเดินทางมาถึง
เลขาผู้ซื่อสัตย์วิ่งกระหืดกระหอบไปหาเจ้านาย “ชีคครับ! คุณศตคุณเดินทางมาถึงสนามบินที่นี่แล้ว!” เขาส่งรูปถ่ายจากกล้องวิดีโอวงจรปิดให้กับชีคหนุ่มได้ตรวจดู
“มาที่นี่ทำไมนะ” มือหยาบเหวี่ยงรูปถ่ายพวกนั้นลงบนโต๊ะอย่างอารมณ์เสีย หัวใจเขาเจ็บปวด ยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“ชีคครับ! คุณศตคุณมาคนเดียว ยิ่งตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดี จะไม่เป็นอันตรายหรือครับ”
“ส่งทหารไปคอยติดตามดูแลเขาอยู่ห่างๆ ก็แล้วกัน” ชีคหนุ่มลุกขึ้นพรวด แล้วเดินอาดๆ ไปจากเลขาของตน
“แล้วชีคจะไปไหนครับ”
“ฉันมีประชุม”
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน อาเหม็ดก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงานเรื่องของพวกโจรที่บุกเข้ามาปล้นจี้แท็กซี่ และลักพาตัวนักท่องเที่ยวซึ่งใช้ชื่อในพาสปอร์ตว่าจีรุฒน์ไปก่อนที่เหล่าทหารที่ถูกส่งไปเพื่อติดตามเด็กหนุ่มจะเดินทางไปถึง
“ชีคครับ พวกมันจับตัวคุณศตคุณไปแล้ว!”
ใบหน้าหล่อเหลาเบือนหนี เขากำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ทั้งเป็นห่วง ทั้งโกรธ ความรู้สึกของเขาปะปนกันวุ่นวายไปหมด
“โธ่เว้ย! ไปเตรียมกองกำลังทหารพร้อมอาวุธแล้วเอารถออก ใช้ดาวเทียมตามหาที่หลบซ่อนของพวกมันในทะเลทราย สืบมาให้ได้ว่าพวกมันเอาตัวศตคุณไปไว้ที่ไหน!” ชีคหนุ่มสั่งการกับหัวหน้าทหาร แล้วก้าวเดินออกจากห้องไปอย่างหัวเสีย
อาเหม็ดรู้ดีว่าทัชอัลดินกำลังอารมณ์พลุ่งพล่าน เพราะตลอดเวลาชีคหนุ่มสั่งให้ตามจับพวกโจรโดยละม่อม เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อ ระหว่างทาง แม้อาเหม็ดจะกลัวเกรงเจ้านายมากขนาดไหน แต่เขาก็คิดว่าควรจะเสนอความคิดเห็นของตนออกไป “ชีคครับ นี่อาจเป็นโอกาสดี คุณศตคุณดั้นด้นเดินทางมาถึงที่นี่คนเดียว ก็น่าจะมากพอที่จะพิสูจน์ความตั้งใจของเขาแล้วไม่ใช่หรือครับ นี่อาจเป็นโชคชะตาก็ได้ ถ้าอย่างนั้นแล้ว ท่านจะไม่ลองทบทวน ทำตามที่ท่านตั้งใจไว้แต่แรกสักหน่อยหรือครับ”
ร่างสูงที่ก้าวฉับๆ อยู่หยุดกึก “......”
“ผมจะเตรียมกองคาราวาน...”
“ไม่ต้อง” ชีคหนุ่มปฏิเสธทันควัน
น้ำเสียงทุ้มต่ำกึ่งดุทำให้อาเหม็ดชะงัก แต่เขาก็ยังรั้นพูดต่อ “...แต่ชีคครับ คุณศตคุณอยากเห็นทะเลทราย นี่เป็นโอกาสดีที่ชีคกับคุณศตคุณจะได้ใช้เวลาตามลำพังร่วมกันนะครับ”
“มันจะมีประโยชน์อะไร”
“มีสิครับชีค ชีคกับคุณศตคุณจะได้รู้จักตัวตนของกันและกันมากขึ้น”
“.......”
แม้เจ้านายไม่ตอบ แต่อาเหม็ด ผู้เคยเฝ้ารับใช้ชีคชารีฟและดูแลรับใช้ทัชอัลดินมาตั้งแต่เด็กก็พอจะคาดเดาความคิดของเจ้านายได้ “ผมจะรายงานชีคจาร์ซีให้นะครับ แล้วจะเตรียมอูฐสมบูรณ์ อาหารพร้อมถุงน้ำ และกระโจมอย่างดีสำหรับใช้เดินทางในทะเลทรายไว้ให้ท่านนะครับ”
คืนนั้นชีคหนุ่มพากลุ่มทหารซึ่งมีความเชี่ยวชาญสูงบุกไปยังที่หลบซ่อนของพวกเบดูอินในทะเลทรายที่ลักลอบขายอาวุธเถื่อนให้กับพวกกองโจรก่อการร้าย ซึ่งพวกมันซื้อตัวศตคุณโดยแลกเปลี่ยนกับปืนเถื่อนจำนวนหนึ่ง ไอ้หัวหน้าของพวกเบดูอินกลุ่มนั้น มันบังอาจแตะต้องศตคุณ ในตอนนั้น ถ้าหากเขาลังเล ตัดสินใจที่จะจัดการกับไอ้คนชั้นต่ำชั่วช้าคนนั้นช้าไปแม้เพียงเสี้ยววินาที เขาคงจะต้องโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองและเสียใจไปจนตลอดชีวิต
เมื่อทัชอัลดินเข้าไปในกระโจมเพื่อจัดการกับไอ้หัวหน้าโจรนั่น ทหารทุกคนทางด้านนอกก็เคลียร์พื้นที่และล่าถอย ส่วนเขา... ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจ... ให้เขาตัดสินใจพาร่างโปร่งเดินทางข้ามทะเลทรายไปยังเมืองเฟอร์โดสอย่างที่เคยตั้งใจไว้ แตกต่างตรงที่ศตคุณจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และการเดินทางจะไม่สะดวกสบายอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
เขาจะขอเห็นแก่ตัวทำตามความต้องการของตน... ถ้าหากสวรรค์ส่งศตคุณมาให้กับเขาจริง ก็ขอให้หัวใจของพวกเขาตรงกันยามที่เดินทางผ่านทะเลทรายไปยังเมืองเฟอร์โดสด้วยเถิด
ชีคหนุ่มก้าวเข้าไปหาร่างโปร่งบางที่นั่งงองุดอยู่บนพื้น เนื้อตัวสั่นราวกับลูกนกเปียกฝน เขาไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มเป็นอันตรายหรือเปล่า แต่พอขยับเข้าไปใกล้ ศตคุณก็ร้องไห้จ้า โวยวายเหมือนเด็กๆ
“อย่า! ปล่อยผมไปเถอะ!”
พอแขนแกร่งอุ้มร่างโปร่งขึ้น อีกฝ่ายก็ยังเอาแต่ร้องไห้ คงจะกลัวอยู่ไม่น้อย สายตาของศตคุณที่จ้องมองเขา บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ไว้ใจ ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนร้าย เด็กหนุ่มดูเปราะบางและน่าสงสารมากเหลือเกิน จนเขาแทบจะยกเลิกการเดินทางร่อนเร่ไปในทะเลทรายเสีย แต่เมื่อย้อนนึกไปถึงคำพูดของอาเหม็ด ในเมื่อศตคุณเป็นฝ่ายดั้นด้นเดินทางมาถึงดินแดนอาหรับแห่งนี้แล้ว ก็เหมือนกับชะตาลิขิตให้ทั้งเขาและอีกฝ่ายได้ใช้โอกาสเรียนรู้ ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทำให้ชีคหนุ่มฝืนทำใจแข็ง เลือกอูฐและของใช้จำเป็นจากหลายสิ่งหลายอย่างที่อาเหม็ดเตรียมไว้ให้ และพาเด็กหนุ่มร่วมเดินทางออกไปในทะเลทรายด้วยกันในที่สุด
ทัชอัลดินทำเป็นสื่อสารกับศตคุณไม่ได้ เพื่อที่จะลองใจ เขาอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มจะมีนิสัยและการพูดจาเช่นไร เพราะตัวเขาเองไม่เคยได้มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกันกับอีกฝ่ายมาก่อนเลย
ครั้งแรกที่ร่างสูงใช้แขนแกร่งโอบรอบเอวบางเพื่อช่วยไม่ให้เด็กหนุ่มกลัวจนตกจากหลังอูฐ เขารู้สึกได้ว่าศตคุณตัวเล็กกว่าเขามาก เนื้อตัวนุ่มนิ่มราวกับเด็กอ่อน ขี่อูฐไปสักพักก็หลับไปในอ้อมแขนของเขาง่ายๆ คงจะอ่อนล้ามากเต็มที
เด็กหนุ่มเดินทางมาที่แผ่นดินอาหรับนี่โดยไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับทะเลทรายเลย ทั้งขี่อูฐไม่เป็น ไม่รู้จักการแต่งกาย ไม่รู้วิธีการเอาตัวรอดในทะเลทราย แต่ก็ยังดื้อรั้นจะมา... ชีคหนุ่มจึงคิดว่า ศตคุณคงเป็นคนที่มีนิสัยดื้อรั้นและบ้าบิ่นอยู่พอตัว
สถานที่ที่ทัชอัลดินเลือกใช้สำหรับตั้งกระโจมครั้งแรกอยู่ภายในซอกหินผา ซึ่งพวกเขาจะได้ใช้ร่มเงาช่วยผ่อนคลายความร้อนของช่วงเวลากลางวันไปได้บ้าง ทว่าแม้จะอยู่ในร่มเงา อากาศและลมร้อนที่พัดผ่านก็ทำให้ศตคุณหายใจติดขัด เด็กหนุ่มช่างดูเปราะบางมากเหลือเกิน เขาสอนวิธีการเอาตัวรอดจากอากาศที่แห้งผากแบบง่ายๆ ให้กับอีกฝ่าย ซึ่งก็คือการใช้ผ้าคลุมปกปิดเนื้อตัว การปิดปากให้สนิทและอมผลไม้รสหวานไว้ในปาก จากนั้นก็เอนตัวลงนอนเพื่อให้ศตคุณทำตาม
ร่างโปร่งดูลังเลในคราวแรก คงเป็นเพราะยังไม่ค่อยอยากไว้ใจคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ แต่พอเอนตัวนอนได้ไม่นาน ก็หลับไปอย่างง่ายดาย
ระหว่างที่กำลังนอนหลับกันอยู่นั้น ชีคหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเจ้าเหยี่ยวแห่งทะเลทรายร้องเตือนเสียงดังลั่น จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้น จึงหันกลับไปมองดูอีกฝ่ายซึ่งคงกำลังฝันร้าย และไม่ไกลจากศีรษะเล็กออกไป มีงูตัวเขื่องกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
ทัชอัลดินดึงคันจาร์ออกจากฝักช้าๆ พร้อมกับเคลื่อนมือไปปิดปากและกดศีรษะเล็กไว้ เพราะเขากลัวว่าถ้าเด็กหนุ่มเกิดตื่นขึ้นมาแล้วขยับตัวจะเป็นอันตราย ซึ่งเขาคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ระหว่างที่เงื้อมือขึ้นสูงเพื่อเตรียมจัดการกับงูตัวนั้น ศตคุณก็ตื่นขึ้น ดวงตากลมเบิกโพลง เด็กหนุ่มคงตกใจอยู่ไม่น้อย หลังจากที่เขาจัดการกับงูไปได้ อีกฝ่ายก็เอาแต่ร้องไห้ ร้องหนักจนตัวโยน
ชีคหนุ่มเบือนหน้าหนี เขาไม่รู้ว่าควรจะทำตัวเช่นไร ไม่รู้จะปลอบอย่างไรให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้น เขาคิดว่าบางทีศตคุณอาจจะอายที่มาร้องไห้ต่อหน้าคนแปลกหน้าเช่นเขา ร่างสูงจึงจะออกไปรอทางด้านนอกกระโจม หากร่างโปร่งกลับกระโจนเข้าใส่แล้วขยุ้มเสื้อผ้าของเขาเอาไว้แน่น
“อย่าไป! อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว ฮือ...”
ทัชอัลดินหยุดกึก นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองคนที่เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด เขาถอนหายใจแรงๆ อย่างหนักใจ แล้วปล่อยให้ศตคุณร้องไห้ไปเรื่อยๆ จนหยุดไปเอง
หลังจากร่างโปร่งหยุดร้องไห้แล้ว ใบหน้าน่ารักก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ... คงจะอายที่ปล่อยโฮต่อหน้าคนไม่รู้จักไปแบบนั้น มือหยาบจึงวางลงบนศีรษะเล็กเบาๆ เพื่อปลอบใจ ใบหน้าหล่อเหลาหันไปอีกทาง เพื่อรอให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีขึ้นอย่างใจเย็น
“ขอบคุณนะครับ”
เพียงแค่ได้ยินเสียงนุ่มเอ่ยเช่นนั้น หัวใจของร่างสูงก็หวั่นไหวจนเกือบจะยิ้มออกมา เขาพยายามซ่อนความรู้สึก และก้าวออกจากกระโจมที่พักไป
สำหรับสัตว์เลี้ยงแสนซื่อสัตย์และชาญฉลาดของชีคหนุ่ม ฟาร์ฮา มันเป็นเหยี่ยวราชาที่ถูกฝึกมาอย่างดี นิสัยของมันดุร้ายไม่ค่อยเป็นมิตรนัก แต่มันคงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกในหัวใจของเจ้านาย มันจึงยอมศิโรราบให้กับเด็กหนุ่มผู้เป็นที่รักของเขา
คืนที่สองที่พวกเขาใช้เวลาพักระหว่างการเดินทางร่วมกัน จู่ๆ มือขาวๆ นั่นก็ส่งผลอินทผลัมมาจ่อที่ริมฝีปาก ทัชอัลดินนึกฉุน เพราะเขาคิดว่าศตคุณคงทำไปด้วยความเคยชิน เด็กหนุ่มมักจะถึงเนื้อถึงตัวคนอื่นง่ายๆ แบบนี้น่ะหรือ? เขาไม่พอใจเอาเสียเลย
เส้นทางที่ชีคหนุ่มเลือกใช้ในการเดินทางไปยังเฟอร์โดสเป็นเส้นทางที่ใกล้และปลอดภัยมากที่สุด เพราะเขารู้ดีว่า ร่างกายที่บอบบางและเติบโตมาในเมืองหนาวอย่างศตคุณคงไม่สามารถทนต่อความร้อนและแห้งแล้งของทะเลทรายได้มากนัก เขาจึงเลือกเดินทางไปยังโอเอซิสที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน
ศตคุณดูตื่นเต้นมากที่ได้เห็นแหล่งน้ำชุ่มฉ่ำในทะเลทรายที่แห้งแล้ง ใบหน้าน่ารักแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม เขาวิ่งไปที่แอ่งน้ำขนาดเล็กนั่นแล้วกวักน้ำขึ้นล้างหน้าตา น้ำเสียงของเขาฟังดูสดใส จนร่างสูงลอบยิ้มด้วยความเอ็นดูอยู่หลายต่อหลายครั้ง
“เอ้อ คุณครับ ผมลงไปเล่นน้ำได้มั้ย”
เมื่อทัชอัลดินพยักหน้าและชี้บอกว่าจะไปรอที่กระโจม มือขาวๆ ก็พุ่งเข้ามายื้อชายเสื้อเขาไว้
“ขอบคุณครับ เอ่อ... แล้วคุณไม่อาบด้วยกันเหรอครับ”
...ถ้าหากศตคุณอ่านใจเขาออกละก็ คงไม่กล้าถามเช่นนี้แน่
ภาพของเรือนร่างที่สวยงามไม่มีที่ติในแอ่งน้ำใสของโอเอซิสยังคงตราตรึง ผิวละเอียดสีขาวนมสด หัวใจของร่างสูงเต้นรัวราวกับตีกลองใหญ่ จนกลัวว่าเด็กหนุ่มจะได้ยิน เขาเผลอจ้องมองศตคุณอย่างลืมตัว ใจทั้งอยากตีตราเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อยากกกกอด อยากทำให้ร่างอันงดงามนั่นเป็นของเขา แต่มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า ถ้าเขาได้มาเพียงร่างกาย ยังมีสิ่งสำคัญกว่าที่เขาต้องการ นั่นก็คือหัวใจของศตคุณ
ภายในกระโจมที่ตั้งอยู่ใต้ร่มของต้นปาล์ม ร่างโปร่งเริ่มคุ้นเคยกับชีคหนุ่มขึ้นทีละน้อย และอาจเป็นเพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจที่ตนพูด เด็กหนุ่มจึงเอ่ยปากเล่าเรื่องของตนออกมามากมาย ทั้งสาเหตุที่มายังดินแดนทะเลทรายแห่งนี้ ความอัดอั้นตันใจที่เป็นฝ่ายถูกทอดทิ้ง เล่าไปด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ทำให้คนฟังเจ็บแปลบอยู่ในหัวอก เพราะความมุทะลุทำให้เขาด่วนตัดสินใจ เขาย้อนนึกไปถึงคำพูดของอาเหม็ด ศตคุณไม่ได้ต้องการเงินทองหรืออิสระ หากต้องการอับบา ต้องการครอบครัว ทว่านั่นก็เป็นสิ่งที่เขาไม่อาจมอบให้เด็กหนุ่มได้เช่นกัน
"...ผมเป็นเด็กที่ถูกทิ้ง... พ่อแม่ คุณลุง... ญาติๆ ก็ไม่มี... กระทั่งพ่อบุญธรรมก็ยังทอดทิ้งผม...”
“ทาริค... แต่คุณไม่ได้ทิ้งผมไว้คนเดียวกลางทะเลทราย คุณคงไม่เหมือนคนอื่นๆ หรอกใช่มั้ย... คุณคงไม่เอาผมไปขายให้กับใครใช่มั้ยครับ...”
มือหยาบยกขึ้นสัมผัสเหนือแผ่นอก หัวใจปวดร้าวจนแทบจะหยุดเต้นเสียเดี๋ยวนั้น แม้เขาไม่ได้ทอดทิ้งเด็กหนุ่ม แต่ศตคุณไม่ได้คิดเช่นเดียวกัน ชีคหนุ่มเริ่มหนักใจและเป็นกังวล ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่ออีกฝ่ายรู้ความจริงว่าเขาคือใคร จะโกรธเคืองเขามากมายถึงเพียงไหนกันนะ
ทัชอัลดินปิดตาลงพร้อมกับพรูลมหายใจออกอย่างแผ่วเบา แต่ก็ยังเงี่ยหูฟังเจ้าของเสียงนุ่มฮัมเพลง... เพลงที่เด็กหนุ่มแต่งขึ้นจากดีวีดีที่เขาส่งต่อให้อาเหม็ดจัดการส่งไปให้ เวลาผ่านไปสักพัก เสียงนั้นก็เบาบางลงและเงียบไป ศตคุณคงหลับไปแล้ว ชีคหนุ่มจึงพลิกตัวเข้าหาคนที่หลับไปทั้งใบหน้าเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
ปลายนิ้วหยาบช่วยเกลี่ยทางน้ำตาบนใบหน้าหวานออกให้ แล้วโอบร่างโปร่งเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของตน ทัชอัลดินจูบศีรษะเล็กเบาๆ เพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายรู้ตัว “ขอโทษที่ทำให้เธอเสียใจ”
ร่างสูงนึกฝันอยากจะกอดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้มานานแล้ว ทว่าร่างอุ่นๆ ในอ้อมกอดนี้คือความจริง เขาบอกกับตัวเองว่าจะใช้เวลาในช่วงก่อนที่จะเดินทางไปถึงเฟอร์โดสนี้ทำให้ใจดวงน้อยๆ โอนเอนมาทางเขาบ้างสักนิด และจะไม่ล่วงเกินเด็กหนุ่ม จนกว่าศตคุณจะรู้ความจริงทุกอย่าง
...เพราะเมื่อเวลานั้นมาถึง ศตคุณคงจะเกลียดและโกรธเขามาก หากเขาก็จะทุ่มเท ทำทุกสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการ จนกว่าเด็กหนุ่มจะยอมยกโทษให้กับคนใจร้ายอย่างเขา
เมื่อลมเย็นพัดผ่านเข้ามาในกระโจม ชีคหนุ่มที่นอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่นานก็ลุกขึ้นนั่ง เขาเห็นว่าร่างโปร่งกำลังหลับสบายจึงปล่อยให้นอนต่อไปอีกสักพัก ส่วนตัวเขาลุกออกจากกระโจมไปเดินยืดเส้นยืดสาย ระหว่างนั้น ดวงตาคมกริบก็เหลือบไปเห็นลูกอินทผลัมสดสีเหลืองสุก เขาคิดว่าศตคุณคงจะชอบ และถ้าเก็บไว้เป็นเสบียงในการเดินทางไปด้วยก็คงดี เขาจึงจูงอูฐมาตัวหนึ่งแล้วเดินไปยังบริเวณที่มีต้นอินทผลัมเตี้ยๆ หากออกลูกดกเต็มต้น
ทว่าจู่ๆ เด็กหนุ่มก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา แล้วกระโจนเข้ามากอดเขาไว้แน่น
“...อย่าหายไปแบบนี้... อย่าทอดทิ้งผม... ฮือ... ฮึก... คุณรู้รึเปล่า... ใครๆ ก็ทิ้งผม... ผมไม่อยากอยู่คนเดียว... ฮืออออ...”
ทัชอัลดินยืนตัวแข็ง ก่อนจะยกมือลูบศีรษะเล็กเบาๆ เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าได้สร้างบาดแผลในใจให้กับศตคุณถึงเพียงนี้
“คุณ” เมื่อชีคหนุ่มเรียกชื่อ ร่างโปร่งก็ชะงัก แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ศตคุณก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ต่อ ชีคหนุ่มไม่รู้จะรับมือเด็กน้อยอย่างไรดี เขาจึงเอื้อมไปหยิบผลอินทผลัมสดมาป้อนให้
...อินทผลัมรสหวานๆ คงจะทำให้ศตคุณอารมณ์ดีขึ้นบ้าง
แล้วก็เป็นอย่างที่ทัชอัลดินคาดไว้ เขาทำให้เด็กหนุ่มกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
TBC~*
ยังค่ะ ภาคทาริคยังไม่จบนะคะ 55555 จะย้อนเล่าคร่าวๆ เพื่อให้เข้าใจพระเอกขึ้นสักนิดน่ะค่ะ 
พระเอกผู้น่าสงสาร ใครๆ ก็ไม่เห็นใจ 5555555555555555
ขอบคุณทุกคนที่แวะมาอ่านนะคะ วันหยุดยาวนี้ไปเที่ยวไหนกันรึเปล่า
/ไฟอิจฉาคนไปเที่ยวพลุ่งพล่าน
เดินทางกันดีๆ นะค้า 