[ต่อ]
หลายวันต่อมาในระหว่างที่ผมกับพี่ปูนกำลังนั่งจิบน้ำชามองดูลูกๆ วิ่งเล่นกับเจ้าปีใหม่ใต้ต้นหูกระจง (มันปลูกห่างจากตัวบ้านนะครับ ไม่ต้องห่วง) พี่ปูนก็พูดขึ้น
“ บอส วันนี้อากาศดีนะ ว่าไหม? ”
“ ดีเหรอครับ บอสว่าร้อนออก ”
“ นั่นไง งั้นพี่ว่าเราออกไปข้างนอกกันดีไหม? ”
“ ไม่เอาอ่ะครับ วันนี้วันอาทิตย์บอสอยากอยู่บ้านกับลูกมากกว่า ”
“ โธ่บอส พ่อแม่ก็อยู่ น้าอุ่นก็อยู่กลัวอะไร น่านะ ไปแป๊บเดียวเอง ”
“ ไม่เอาอ่ะครับ ”
“ แต่พี่อยากให้บอสไป... ”
“ ไปด้วย! ” เสียงตะโกนดังลั่นมาแต่ไกลแม้จะไม่เห็นว่าใครเป็นคนพูด แต่ก็เดาได้ไม่ยาก
“ ปะป๊า หม่าม้า จะไปเที่ยวไหนกัน ไอไปด้วย ”
“ แอมก็ไปด้วย ”
“ วันนี้ยัวร์จะได้ไปเที่ยว เย้ ”
พี่ปูนหันมามองหน้าผมด้วยความกระอั่กกระอ่วน ส่วนผมนะเหรอ? หัวเราะเขาตั้งแต่เห็นเจ้าตัวเล็กวิ่งมาแต่ไกลแล้ว
“ บอสถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปพี่ไม่ไหวแล้วนะ พี่ว่าพักหลังมานี่เจ้าสามแสบทำตัวแปลกๆ ”
“ แปลกยังไงเหรอครับ บอสว่าลูกก็ปกตินะ มีแต่พี่ปูนนั่นแหละที่แปลก ”
“ อย่างพี่น่ะเขาเรียกหื่นเป็นปกติ บอสอยู่กินกับพี่มาตั้งหลายปีน่าจะชินได้แล้ว ช่างเถอะๆ แต่ลูกเราแปลกจริงๆ นะ บอสไม่สังเกตเหรอ? ว่าเจ้าพวกนั้นนะจะมาหาเราได้ถูกจังหวะตลอดเลย เหมือนจงใจมาขัดยังไงไม่รู้ ”
ที่พี่ปูนพูดมันก็น่าคิด เพราะตั้งแต่คืนที่เด็กๆ ยกขโยงมานอนที่ห้องพวกผม เจ้าพวกนั้นก็ไม่ยอมกลับไปนอนที่ห้องตัวเองอีกเลย
“ ไม่ได้การละ พี่ต้องคุยกับลูกให้รู้เรื่อง ”
“ เห้ย พี่ปูน! ”
ไม่ทันแล้วครับ พี่ปูนลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเช้าไปหาลูกๆ ที่นั่งเล่นกับยัยปันและบรีสที่โซฟา
“ อ้าวพี่ปูนมีเรื่องอะไรทำหน้าเครียดเชียว ”
“ มีอะไรกันหรือเปล่าพี่บอส? ”
“ ปัน บรีส ขึ้นห้องไปก่อนไป พี่ขอคุยกับลูกแป๊ปนึง ”
เด็กสาวทั้งสองมองหน้าพี่ปูนอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ขยับตัวเตรียมจะลุกขึ้นแต่โดยดี ติดก็แต่เจ้าสามแสบห้ามไว้
“ ไม่เอาๆ ไอไม่ให้อาปันไป ”
“ น้าบรีสห้ามทิ้งแอมไปนะ ”
“ ยัวร์จะอยู่กับอาปันแล้วก็น้าบรีส ”
พี่ปูนสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะพูดขึ้น “ โอเคๆ งั้นป๊าถามตรงนี้ก็ได้ ทำไมลูกไม่ยอมกลับไปนอนห้องตัวเอง? ”
“ เรื่องแค่นี้อ่ะนะพี่ปูน ” ยัยปันถามอย่างคนไม่ประสีประสา แต่พอหันมาเห็นหน้าผมก็ดูเหมือนว่าน้องแกจะเริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมาหน่อย “ อ๋อ เพราะเด็กๆ พี่ปูนกับพี่บอสก็เลย... ”
“ อย่างนั้นแหละ ว่าไง ไอ แอม ยัวร์ ที่ป๊าถาม? ”
“ ไอ... ”
เด็กสามคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ ไม่นานเขื่อนกั้นน้ำตาก็แตก ผมไม่รอช้าวิ่งเข้าไปปลอบลูกๆ แล้วตวัดสายตาตำหนิพี่ปูนให้หยุดพูดทันที
“ โอ๋ๆ ม้าอยู่นี่แล้วนะ ไม่เป็นไรนะครับ พี่ปูนค่อยพูดวันหลังเหอะ วันนี้พอแค่นี้แหละ ”
“ แต่บอสพี่สอนให้ลูกเราเป็นคนมีเหตุผลนะ พี่ก็แค่อยากรู้ว่าทำไมลูกเราถึงทำแบบนี้เฉยๆ พี่ไม่ได้ดุไม่ได้ด่าอะไรเลย ไอแอมยัวร์อย่าทำให้ป๊าเป็นคนเลวได้ไหม? เดี๋ยวคืนนี้ป๊าโดนไล่ออกไปนอกห้องทำไง ” น้ำเสียงของพี่ปูนอ่อนลงทันทีเมื่อเห็นว่าผมเริ่มโมโหจริง
“ ก็ดีสิ ฮึกๆ ”
“ ห๊ะ? เมื่อกี้ว่าไงนะ ” พี่ปูนอุ้มเจ้าไอที่นั่งอยู่บนตักน้องปันขึ้นมาแนบอกแล้วถามพลางใช้มือลูบหัวอย่างปลอบประโลม
“ ไอ ฮื่อๆ ไอบอกว่า ก็ดี ฮื่อๆ ไอไม่อยาก ฮึกๆ ให้ป๊า ฮึกๆ อยู่ใกล้ม้า ”
ช็อกสิครับ!
ทั้งผม พี่ปูน น้องปัน และบรีส ต่างมองไปที่ไอเป็นตาเดียว ถึงผมจะยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ลูกพูด แต่คิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่
“ แอมก็ไม่อยาก ”
“ ยัวร์ด้วย ”
“ อ้าว ทำไมอย่างนั้นละ ป๊าทำอะไรผิด ไหนๆ เงียบ หยุดร้องนะครับคนดีของป๊า ป๊าเคยบอกว่าไงลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นไม่ร้องนะ แล้วหันมาคุยกับป๊าดีๆ ”
“ ม้า เพราะว่าป๊ากับม้าอยู่ด้วยกันเลยมีพวกเราใช่ไหม? ” ยัวร์ที่นั่งตักผมอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นถามหลังจากที่เริ่มควบคุมตัวเองให้หยุดร้องไห้ได้ ผมยิ้มให้ก่อนจะใช้นิ้วเรียวปราดคราบน้ำตาที่แก้มนั่นอย่างเบามือ
“ ใช่ครับ ป๊ากับม้าอยู่ด้วยกัน เพราะเราสองคนรักกันมาก สวรรค์เลยส่งพวกหนูมาให้เป็นของขวัญไง ”
“ แล้วสวรรค์จะส่งของขวัญมาให้อีกไหม ” คราวนี้เป็นเสียงตาแอมที่นั่งบนตักบรีสถามขึ้นบ้าง ผมว่าผมเริ่มจะจับประเด็นอะไรบางอย่างได้แล้วนะ
“ ถ้าส่งมาแล้วป๊ากับม้าจะยังรักพวกเราอยู่ไหม? ”
เรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้น การที่เด็กๆ อยากให้พี่ปูนอยู่ห่างจากผม เป็นเพราะพวกเขากลัว กลัวว่าผมจะท้อง กลัวว่าจะมีใครมาแทนที่พวกเขาต่างหาก
“ ไอ แอม ยัวร์ มาหาม้ามา ” พี่ปูนนั่งลงที่โซฟาข้างๆ ผมแล้วปล่อยให้เจ้าไอที่เริ่มหยุดร้องไห้มาหาผม เจ้าแอมก็ปีนลงจากตักบรีสแล้วมาหาผมเช่นกัน ผมอุ้มเด็กๆ ทั้งสามขึ้นไว้บนตักแล้วกอดเอาไว้ในคราวเดียว “ เราเป็นครอบครัวเดียวกันใช่ไหมครับ? ”
“ ครับ ” ทั้งสามตอบรับเบาๆ ผมเลยถามต่อ
“ แล้วคนที่เป็นครอบครัวเนี่ยต้องรักกันใช่ไหมครับ ”
“ ครับ ”
“ ถ้าอย่างนั้น ถึงสวรรค์จะส่งของขวัญมาให้ม้ากับป๊าอีกกี่ชิ้น เราก็ต้องรักกันถูกไหมครับ? ในเมื่อเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ”
“ … ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากเด็กๆ ผมเลยเปลี่ยนคำถาม เผื่อว่าพวกเขาจะตอบง่ายขึ้น
“ ทำไมลูกถึงคิดว่าถ้าม้ามีน้อง แล้วป๊ากับม้าจะรักหนูน้อยลงละ หื้ม? ”
“ ก็... ” แอมเงียบไปหลายอึดใจ เล่นเอาทั้งผม พี่ปูน ยัยปัน ยัยบรีส ลุ้นระทึกหายใจไม่ทั่วท้อง เพราะอยากจะรู้ว่าลูกคนกลางจะตอบว่าอย่างไร
“ มีคนบอกว่าถ้าม้ามีน้อง ม้าก็จะรักแต่น้องแล้วก็ลืมพวกเรา ” สิ้นคำลูกชายคนรอง ลูกชายคนเล็กก็เสริมทัพ ก่อนจะตามด้วยลูกชายคนโต
“ พวกเราก็เลยไม่อยากให้ป๊าอยู่ใกล้ม้า ”
“ พวกเราไม่อยากให้สวรรค์ส่งของขวัญมาให้ม้าอีกแล้ว ”
“ พวกเราไม่อยากเป็นหมาหัวเน่า ” ทั้งสามประสานเสียงกันลั่น คำตอบนี้ก็ไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้สักเท่าไหร่ ผมกระชับกอดเด็กๆ แน่นขึ้นไปอีกเพื่อเพิ่มความมั่นใจ พี่ปูนเองก็เริ่มเบียดตัวมาใกล้ผมแล้วใช้สองแขนโอบล้อมตัวผมและลูกๆ อีกที
“ มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ม้าสัญญา เพราะว่าม้ารักไอแอมยัวร์มากนะครับ รักมากกว่าป๊าซะอีก ” ผมพูดติดตลกทำเอาเด็กๆ ขำพรืดอย่างชอบอกชอบใจ มีก็แต่คนถูกพาดพิงที่ทำหน้ามุ่ย
“ อ้าว บอส! ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ ”
“ หรือว่าพี่ปูนไม่รักลูก? ”
“ ก็รัก แต่ก็รักเมียด้วยอ่ะ ถ้าต้องให้เลือกพี่ก็เลือกไม่ได้ ”
“ เหรอ??? ”
“ ยัยปันอย่ามามองพี่แบบนั้นนะ ” พี่ปูนหันไปดุน้องสาวตัวเอง ที่ตอนนี้กำลังทำหน้าล้อเลียนพี่ชายอยู่
“ ไอ แอม ยัวร์ เชื่อม้านะครับ ว่ายังไงเราทั้ง 3 คนก็คือคนสำคัญที่สุดของม้า ”
“ ของป๊าด้วย ”
“ เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะพูดยังไง พวกหนูไม่ต้องไปสนใจ รู้ไว้แค่ป๊ากับม้ารักหนูมากและจะไม่มีวันเลิกรักหนูก็พอ ”
“ ครับ ไอก็รักป๊ากับม้านะ ”
“ แอมด้วย รักๆ ”
“ ยัวร์รักป๊ากับม้าที่สุดในโลกเลย ”
ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดของเด็กทั้งสามพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ นั่นจะสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้ใหญ่ทั้ง 4 ที่นั่งฟังอยู่ได้มากขนาดนี้ แต่ความสุขก็มักจะอยู่กับเราเพียงไม่นาน เมื่อจู่ๆ คุณสามีเกิดนึกขึ้นได้ว่ายังมีบางคำถามที่ยังค้างคา
“ ว่าแต่ใครมันบอกลูกแบบนั้น? ”
เด็กสามคนมองหน้ากันสักพักเหมือนลังเล ก่อนที่เจ้ายัวร์จะหันไปเห็นอะไรที่ประตูทางเข้าเลยตะโกนลั่น
“ นั่นไง ”
ผมหันไปมองตามก็เห็นคนมาใหม่กำลังเดินเข้ามาใกล้โซฟาที่เรานั่งกันอยู่ ในมือทั้งสองข้างหิ้วของพะรุงพะรังเหมือนเพิ่งกลับจากการช้อปปิ้ง
“ อ้าว มาทำอะไรกันตรงนี้ครับ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลย บรีส ผมซื้อของที่บรีสชอบมาฝากด้วยนะ เดี๋ยวผมเอาไปใส่จานให้ แล้วก็นี่ไก่ทอดของไอแอมยัวร์ด้วย น่ากินใช่ไหมละ? ”
คนข้างตัวผมกำหมัดแน่นพลางมองตามหนุ่มลูกครึ่งอังกฤษเกาหลีที่หันหลังเดินไปทางห้องครัวอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่อย่างไม่ละสายตา ก่อนที่จะลุกพรวดพุ่งตรงเข้าไปหาหวังจะชำระแค้นให้สาสมกับที่หมอนั่นทำ
“ ไอ้โทนี่ มึงตาย!!! ”
“ เห้ย! ”
ผลั๊ว!
----------------------
“ โอ้ย เบาๆ หน่อยสิ เดี๋ยวก็เป็นแผลเป็นเหรอก ”
“ สมน้ำหน้า ตอนทำไม่รู้จักคิด นี่ดีนะที่ฉันกับปันวิ่งไปห้ามพี่ปูนได้ทัน ไม่งั้นป่านนี้นายได้ไปหยอดน้ำข้าวต้มที่โรงพยาบาลแน่ ”
“ ฮ่าๆ ”
“ ยังมีหน้ามาหัวเราะอีก นี่แน่ะๆ ”
“ โอ้ยๆ เบาสิครับ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่แล้ว ”
“ ทีตอนนี้มาทำเป็นเจ็บ ไหนเล่ามาสิว่าไปพูดแบบนั้นกับหลานฉันทำไม ”
“ หมันไส้ ”
“ ว่าไงนะ? ”
“ เรื่องที่ฉันขอเธอแต่งงานแล้วพี่เขยเธอคัดค้านจำได้ไหม? ฉันเลยต้องเอาคืนซะบ้าง เป็นไงบ้างล่ะ ได้ข่าวว่าอดสวีทกับพี่ชายเธอเกือบ 2 อาทิตย์เลยนี่ สมน้ำหน้า ”
“ นายมันคนร้ายกาจ ”
“ แต่สู้พี่เขยเธอไม่ได้เหรอก เธอก็อีกคน จะไปเชื่อฟังอะไรเขานักหนา แค่เขาไม่ให้แต่ง เธอก็ไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือไง ”
“ ฉันจะทำอะไรไปทำไมล่ะ ในเมื่อฉันเป็นคนบอกให้พี่บอสไปบอกพี่ปูนให้พูดแบบนั้นเอง ”
“ ห๊ะ? นี่ฉันฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า? ”
“ โทนี่ ฉันว่าฉันอยากไปเรียนต่อ ”
“ บรีส แต่ฉันรอเธอมา 4 ปีแล้วนะ เธอจะให้ฉันรอไปถึงเมื่อไหร่กัน? ”
“ แล้วรอได้ไหมละ? ”
“ ไอ้ได้มันก็ได้ แต่ฉันไม่อยากรอ เธออย่ามาทำให้ความอดทนของฉันหมดนะบรีส ไม่งั้นเธอได้ไปวิวาห์เหาะกับฉันแน่ ”
“ นายนี่มัน... ”
“ ฉันร้ายได้มากกว่าที่เธอคิดนะ ยวิษฐา ไม่เชื่อก็ลองดู! ”
The End----------------------------
สวัสดีค่ะทุกคน ^^
สุขสันต์วันแม่นะคะ
วันพิเศษดีๆ แบบนี้เลยเอาตอนพิเศษมาฝากกัน
หวังว่ายังคงไม่ลืม I Am Your กันน้า
คงเป็นธรรมดาใช่ม้า? ที่เด็กๆ มักจะกลัวการมีน้อง
เพราะไม่อยากจะให้พ่อกับแม่รักใครมากกว่าตัวเอง
แต่พ่อแม่ทุกคน ย่อมรักลูกเท่ากันเสมอและไม่มีวันลดน้อยลง
ยังไงอ่านตอนนี้กันจบแล้ว ก็อย่าลืมไปหาพ่อกับแม่กันด้วยนะคะ
พาท่านไปเที่ยว ไปกินข้าว เอาพวงมาลัยมากราบท่าน
และที่สำคัญ อย่าลืมบอกรักท่านด้วยนะคะ
เดี๋ยวเราก็จะไปหาแม่เช่นกัน
บ้ายบาย เจอกันใหม่โอกาสหน้าค่ะ
รักทุกคนนะคะ 
Blueniie