(ต่อ)
Breeze'Talk ฉันมาอยู่บ้านโทนี่ได้อาทิตย์กว่าแล้ว
วันแรกที่เข้ามายอมรับเลยว่ายังประหม่ามาก ไม่ค่อยกล้าจะถึงเนื้อถึงตัวเขาสักเท่าไหร่ แต่มันก็แค่วันแรกเท่านั้นแหละ!
ก็ฉันเป็นพวกสนิทกับคนง่ายนี่ !!
ยิ่งกับคนที่รู้สึกดีด้วย ฉันยิ่งอยากใกล้ชิดกับเขาให้มากที่สุด จนบางครั้งโทนี่ต้องแอบรู้สึกเหมือนกำลังจะโดนฉันสิงร่างก็เป็นได้
" 1 เมตร!! "คำพูดแสนคุ้นหูที่จะได้ยินเสมอเวลาฉันเดินเข้าไปหา ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ฉันไม่ใช่พาหะของเชื้ออีโบล่านะ แค่เวลาอยู่ใกล้อาการปลาหมึกกำเริบเฉยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันละเมอ(ผสมตั้งใจ)จุ๊บแก้มเขาไปหนึ่งที หลังจากนั้นก็โดนสั่งห้ามให้อยู่ห่างจากเขาอย่างน้อย 1 เมตรเป็นต้นมา
" ห้ามให้ใครเห็นเด็ดขาด! เข้าใจมั้ย "การมีอยู่เหมือนไม่มี ไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันเท่าไหร่ เพราะแค่ได้อยู่บ้านเขา ห้องเดียวกับเขาแค่นั้นก็มากเกินพอ เรื่องความเป็นอยู่ อาหารการกิน ตลอดจนเสื้อผ้าทุกชิ้นเขาก็คอยดูแลจัดการหามาให้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง จนบางครั้งฉันก็เผลอคิดว่าตัวเองเป็นผู้อาศัยหรือเจ้าของบ้านกันแน่
ฉันไม่เคยคิดจะหาเหตุผลให้กับคำสั่งกักบริเวณนั่น แต่ถ้าให้เดาน่าจะเป็นเรื่องพ่อแม่ของเขาที่อบรมมา ดูจากนิสัยที่เป็นสุภาพบุรุษให้เกียรติผู้หญิงเอามากๆ การจะพาผู้หญิงสักคนเข้าทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน คงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ยิ่งเป็นผู้หญิงที่มีหนี้ท่วมหัวติดตัวมาด้วยแล้วละก็...ช่างเถอะ มันไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะยังไงตอนนี้หนี้ทุกอย่างโทนี่ก็เคลียร์ให้เรียบร้อยหมดแล้ว(ด้วยเงินเก็บของเขา) เหลือก็แต่หนี้ที่พี่ชายลงทุนเสียสละตัวเองเพื่อขัดดอก
ป๊าเล่าให้ฟังหลังจากพาฉันออกจากบ้านว่าทันทีที่พี่บอสรู้ว่าบ้านเราล้มละลาย ก็เข้าไปหาป๊าที่ห้องพร้อมกับคุกเข่าอ้อนวอนให้พาฉันหนีไป แล้วเขาจะเป็นคนรับผิดชอบหนี้ทั้งหมดเอง ป๊าเลยต้องจำใจทำตามอย่างไม่มีทางเลือก ตอนที่ฉันได้ยินนี่ร้องไห้หนักมาก พูดเลย ซึ้งใจในความรักของพี่ชาย ในขณะเดียวกันก็ละอายที่ช่วยอะไรไม่ได้ไม่พอยังมาหนีเอาตัวรอดเพียงลำพังอีก แต่พอได้กลับมาเจอพี่บอสอีกครั้ง เห็นหน้าตาเขาอยู่ดีมีสุขฉันก็ค่อยเบาใจหน่อย
เจ้าหนี้พี่บอสดูท่าทางจะเอ็นดูพี่บอสพอตัว ชักอยากจะเจอหน้าเร็วๆ แล้วสิ
แน่นอนว่าเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับพี่ชายแท้ๆ ยังไม่ถูกเล่าให้โทนี่ฟัง เพราะอะไรน่ะหรอ? สั้นๆ ง่ายๆ
‘ กลัว ’
กลัวว่าถ้าเขารู้แล้วเขาจะใช้หนี้ให้เหมือนครั้งก่อนๆ กลัวว่าหลังจากนั้นจะต้องย้ายออกจากบ้านหลังนี้ และที่แย่ไปกว่านั้นคือกลัวว่าเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกตลอดไป บ่อยครั้งที่โทนี่เฝ้าถามเรื่องพี่บอส และสิ่งที่ฉันทำได้ก็คือการเปลี่ยนเรื่อง หลายครั้งที่เขาหงุดหงิดเมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จนตอนนี้คงเริ่มเบื่อ เพราะช่วงหลังๆ มาเขาก็เลิกถามไปในที่สุด แต่ทิ้งท้ายไว้แค่
" งั้นฉันจะหาคำตอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง "ความประทับใจตั้งแต่แรกพบที่ฉันมีต่อเขาเพิ่มขึ้นตามเวลาที่เรารู้จักกัน มารู้ตัวอีกทีฉันก็กลายเป็นโรคเสพติดเขาไปเสียแล้ว ถึงขั้นที่คิดไม่ออกว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่เจอหน้าเขาแล้วฉันจะเป็นยังไง แม้ความจริงบางอย่างที่ฉันรู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จะตามหลอกหลอน แต่ฉันก็ยังหวังว่าซักวัน รักแท้จะแพ้ความใกล้ชิด
' โทนี่ชอบพี่บอส 'ฉันรู้ ไม่ต้องมาย้ำ และก็รู้ด้วยว่าความรู้สึกนั้นอาจจะมากกว่าชอบด้วยซ้ำไป แล้วไงล่ะ? ในเมื่อพี่บอสไม่ได้มีใจให้โทนี่หนิ ไม่งั้นสายตาที่พี่บอสมองโทนี่มันคงไม่ว่างเปล่าแบบนั้นหรอก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นโทนี่ก็ไม่เคยตัดใจ ฉันก็เช่นกัน ถึงเขาจะไม่เคยรับรู้ ไม่เคยเห็นว่าฉันมีตัวตน แต่คนอย่างยวิษฐาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก บอกไว้เลย
คืนวันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์
" พรุ่งนี้พ่อกับแม่ฉันจะไปฉลองครบรอบแต่งงานที่เกาหลี กว่าจะกลับก็เดือนหน้า บอกไว้เผื่อเธออยากออกไปข้างนอก "
เสียงโทนี่พูดขึ้นท่ามกลางความมืดมิด หลังจากที่เขาปิดไฟและล้มตัวลงนอนที่เตียง ได้ยินอย่างนั้นทำเอาคนที่เพิ่งเดินกลับจากการดูดาวที่ระเบียงตื่นเต้นจนอยากจะกระโจนลงไปดึงร่างใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงมาหอมให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็กลัวโดนเขาไล่ออกจากบ้าน เลยได้แต่พยักหน้ารัวๆ พร้อมกับยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังให้กับแผ่นหลังของเขาผ่านความมืด ก่อนจะเดินกลับไปนอนที่โซฟาอย่างเคยชิน
คงมีหลายคนแปลกใจ ทั้งๆ ที่ฉันเป็นคนพูดเองว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ แต่ทำไมเขาถึงให้ฉันนอนโซฟา เรื่องมันมีอยู่ว่า คืนแรกที่เขาพาฉันเข้าบ้าน
‘เธอนอนที่เตียงนะ เดี๋ยวฉันจะไปนอนโซฟา’
‘แต่ว่านายเป็นเจ้าของห้อง ฉันว่าฉันไปเองดีกว่า’
‘ฉันบอกให้นอนนี่ก็อย่าเรื่องมากสิ’
โทนี่ดุใส่ก่อนจะรีบเดินขนหมอนขนผ้าห่มไปยังโซฟาหน้าทีวีซึ่งไม่ได้ไกลจากเตียงมาก สุดท้ายฉันเลยต้องล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มอย่างช่วยไม่ได้
เวลาล่วงเลยจนข้ามมาอีกวัน ทั้งๆ ที่คนนอนง่ายอย่างฉันควรจะหลับไปตั้งนานแล้ว แต่ตรงกันข้ามดวงตาฉันยังคงสว่างโล่ง ไม่ว่าจะนับแกะหมดไปกี่ร้อยกี่พันตัวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะง่วง
ไม่ใช่เพราะว่าแปลกที่ คนหนีหนี้หัวซุกหัวซุนจนชิน ไม่มีสิทธิ์จะเลือกที่นอนได้มากนักหรอก ยิ่งบนเตียงคิงไซส์แบบนี้ฝันไปเถอะ นี่คือที่นอนที่สบายที่สุดตั้งแต่ฉันเกิดมา
ไม่ใช่เพราะไม่ชินที่ต้องนอนห้องเดียวกับผู้ชาย ก็ม้าฉันจากไปตั้งแต่ก่อนฉันจำความได้ ชีวิตฉันเลยต้องนอนกับป๊าและพี่บอสมาโดยตลอด เรื่องแบบนี้เลยไม่ใช่ปัญหา ถึงแม้โทนี่จะเป็นผู้ชายคนแรกที่ไม่ใช่คนในครอบครัวก็ตาม
เหตุผลที่แท้จริงคงจะเป็นบางอย่างที่คอยรบกวนจิตใจฉันอยู่ตอนนี้
ความรู้สึกผิด
เสียงซวบซาบดังมาจากโซฟาเป็นระยะ ฉันว่าคนตัวใหญ่ก็ยังนอนไม่หลับเหมือนกันนั่นแหละ ที่นอนแคบๆ แบบนั้นมันจะไปพออะไร แค่พลิกนิดเดียวก็มีสิทธิ์ลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นแล้ว ไม่รู้ว่าจะสุภาพบุรุษให้ตัวเองลำบากไปถึงไหน ยิ่งเห็นเท้าที่เลยมาจากขอบโซฟายิ่งหงุดหงิด ฉันว่าฉันคงทำต้องอะไรซักอย่างแล้ว ไม่งั้นมีหวังคืนนี้เราสองคนคงไม่มีใครได้นอน
‘ หลับรึยัง? ’
คนที่พลิกตัวไปมาเมื่อครู่ทำท่าแกล้งหลับ โด่ว ถ้าคิดจะหลอกก็น่าจะทำเนียนๆ หน่อยนะคะพ่อลูกครึ่ง
‘ ฉันนอนไม่หลับ เลยว่าจะมาคุยกับนายเรื่องพี่บอส แต่ถ้านายหลับแล้วก็ไม่เป็นไร ’
‘ ห๋าว อ้าวมานั่งทำอะไรตรงนี้ แล้วเมื่อกี้เธอว่าจะพูดอะไรกับฉันนะ เหมือนฉันได้ยินชื่อ บอส ’
คนแกล้งหลับทำแกล้งตื่นทันทีที่ได้ยินชื่อพี่บอส ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองฉันตาแป๋ว
‘ นายอยากรู้เรื่องพี่บอสมากขนาดนั้นเลยหรอ ’ โทนี่พยักหน้าหงึกๆ แล้วจ้องหน้าฉันอย่างสนอกสนใจ จนสายตาเป็นประกาย ดูท่าเขาคงจะสนใจพี่บอสสินะ ขนาดในความมืดยังแสดงออกชัดขนาดนี้ ไม่อยากจะคิดถึงตอนที่เขาสองคนอยู่ด้วยกันเลยว่าจะขนาดไหน พี่บอสไม่รู้ตัวบ้างรึไง
‘ งั้นคืนนี้ก็ไปนอนที่เตียง ห้ามเถียง ไม่งั้นก็ไม่ต้องฟัง ’
สุดท้ายทั้งเขาและฉันเลยได้ฤกษ์เข้านอนกันซะที โชคดีที่เตียงใหญ่มากขนาดที่เอาหมอนข้าง 2 อันกั้นกลางยังเหลือที่ให้เรา 2 คนนอนพลิกตัวไปมาได้สบาย ถึงจะมีแต่ฉันที่พลิกไปมองแผ่นหลังของเขาเพียงฝ่ายเดียวจนผล็อยหลับไปก็ตาม
รุ่งอรุณของวันใหม่มาเยือน ฉันตื่นขึ้นมาเหมือนคนเพิ่งได้นอนเต็มตื่นเป็นครั้งแรก ทั้งสดชื่น ทั้งอบอุ่น ทั้งปลอดภัย และความรู้สึกที่ว่ามาจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีเขาคนนี้
‘ ธ...เธอทำอะไรฉัน ออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้!! ’
โทนี่พยายามผลักฉันออกจากตัว แต่ฉันถือคติยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุเลยเกาะติดเขาเป็นปลิงยิ่งกว่าเดิม
ถ้าเป็นแบบฉบับละครไทยทั่วไป เวลาพระเอกกับนางเอกนอนด้วยกัน ตื่นเช้ามาทั้งคู่จะหันหน้าเข้าหากันจนเหลือแค่ที่มดเดินผ่าน ไม่ก็ทั้งสองจะกอดกันกลมใช่มั้ย แต่กรณีฉันมันยิ่งกว่านั้น ฉันจำได้ว่าเดินสลึมสลือกลับมาที่เตียงหลังจากไปเข้าห้องน้ำตอนตี 4 กว่าๆ แล้วเห็นโทนี่นอนอยู่ท่าเดิมด้วยความปรารถนาดีกลัวเขาจะเมื่อย เลยจะช่วยเปลี่ยนท่าให้ แต่กลับพลาดสะดุดขาตัวเองลงไปนอนซบอกคนตัวใหญ่ที่พลิกตัวมานอนหงายสมใจฉันแล้ว ภาพที่เห็นตอนตื่นมาก็เลยเป็นฉันที่นอนทับอยู่บนตัวเขา แถมยังแกล้งเอาจมูกไปคลอเคลียที่แก้มเขาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูด
‘ อรุณสวัสดิ์โท... โอ้ย! ’
เมื่อการผลักดีๆ ไม่ได้ผล เขาเลยเปลี่ยนแผนใหม่โดยการลุกพรวดขึ้นนั่ง ทำเอาฉันที่ไม่ได้ตั้งตัวลงไปกองอยู่ที่พื้น เจ็บก้นชะมัด
‘ 1 เมตร! ต่อจากนี้ไปเธอต้องอยู่ห่างจากฉัน 1 เมตร และห้ามมานอนบนเตียงนี้อีก ไม่งั้นฉันจะไล่เธอออกจากบ้าน!! ’ ,, จบเรื่องความเป็นมาที่ทำให้ฉันโดนเนรเทศมานอนบนโซฟา ,,เช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก
คนมีคู่มักแข่งกันทำเซอไพร์สแล้วเอามาอวดในโลกโซเชียลเพื่อให้คนอื่นอิจฉาเล่น คนโสดหัวใจอ่อนแอเลยต้องเก็บตัวไม่ออกไปไหนและงดรับรู้ความเป็นไปของโลก 1 วันเต็ม บางคนก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะก้าวออกจากมุมไปสารภาพความรู้สึก สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง รอลุ้นกันบ้าง ปะปนกันไป
และฉันเองก็กำลังจะเป็นหนึ่งในนั้น
" โทนี่ ฉันอยากไปสวนสนุก "
" ก็ไปซิ ฉันไม่ได้ห้าม "
เสียงทุ้มที่แสนเย็นชาตัดความหวังของฉันจนหมดสิ้น หึ คิดว่าคนอย่างฉันจะยอมง่ายๆ หรอ
" นายไม่อยากรู้เรื่องพี่บอสแล้วหรอ "
ขอโทษนะพี่ชาย แต่พี่เป็นไพ่ใบสุดท้ายที่ฉันต้องใช้ในการเอาชนะใจไอ้หนุ่มลูกครึ่งนี่
" จะบอกได้รึยัง ” เสียงทุ้มถามขึ้นอีกครั้งหลังจากลงมาจากรถไฟเหาะรอบที่ 3
“ นายจะรีบไปไหนเนี่ย มีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน ฉันไม่เบี้ยวหรอกน่า ”
“ หร๋ออออ? ” ฉันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในเมื่อโทนี่กำลังเลียนแบบเสียงฉันเวลาที่ไม่เชื่อคำพูดของเขา จะว่าไปเขาก็เริ่มพูดภาษาไทยได้บ้างแล้วนะ แถมน้ำเสียงภาษาไทยเวอร์ชั่นอังกฤษปนเกาหลีของเขาก็น่ารักสุดๆ ไปเลย
“ หายเหนื่อยยัง ไปเล่นนั่นกัน ”
ฉันพูดพลางชี้นิ้วไปยังเครื่องเล่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม โทนี่ไม่ตอบแต่ก็ยอมเดินตามฉันมาในที่สุด ชีวิตวันนี้ของฉันดีดี๊จนแทบอยากจะหยุดเวลาไว้ แต่ในความเป็นจริงเวลาเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะบังคับมันได้ ต่อให้มีเงินล้นฟ้าก็ตาม ก็ไม่อาจห้ามพระอาทิตย์ที่ตอนนี้ทำท่าจะตกดิน
“ กลับกันเหอะ ”
ฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มทำให้ฉันต้องเอ่ยปากชวนคนตัวใหญ่กลับ
“ อ้าว แล้วไม่เล่นอันนั้นหรอ ” พูดพลางกับชี้ไปที่เครื่องเล่นตรงหน้า
“ ม้าหมุน? ไม่อ่ะ ไม่ใช่แนวเลย ถ้าเป็นพี่บอสก็ว่าไปอย่าง รายนั้นกลัวความสูงสุดๆ ”
โทนี่ทำหน้าเหมือนคนเหม่อลอย ถึงเขาไม่ได้พูดแต่ฉันก็รู้ดีว่าใจของเขากำลังลอยไปหาใคร
ทุกอย่างมันจะจบวันนี้แล้ว ขอเวลาฉันอีกหน่อยนะ หากเป็นฉันไม่ได้จริงๆ ฉันก็พร้อมที่จะไป แต่ก่อนไปฉันขอใช้เวลาที่เหลือกับเขาให้เต็มที่
ในเมื่อ ความสุขและการเห็นแก่ตัว มันมักจะเป็นเรื่องเดียวกัน“ โทนี่ ” คนถูกเรียกชื่อสะดุ้งเล็กๆ เมื่อถูกเรียกออกจากภวังค์
“ หิวจัง ไปกินข้าวกันเถอะ ”
ฉันยิ้มหน้าระรื่นมองโทนี่ที่ถอนหายใจออกหนักๆ แต่ก็ยอมพาฉันไปกินอาหารที่ฉันต้องการแต่โดยดี ถึงแม้ว่าจะต้องต่อคิวนานเป็นชั่วโมงก็เถอะ
“ ทำไมไม่ไปกินร้านอื่นไหนบอกว่าหิวไง ”
“ ก็ร้านนี้ดูท่าน่าอร่อยอ่ะ เดินผ่านทีไรร้านก็ไม่เคยว่าง ” พูดไปพลางหยิบปีกไก่ขึ้นมาแทะ “ แต่ก็อร่อยจริงๆ แหละ ยิ่งกินกับซุปกิมจิร้อนๆ อร่อยแบบเคมีเข้ากันสุดๆ ”
โทนี่ส่ายหัวช้าๆ อย่างเอือมระอา ก่อนจะพูดขึ้น
“ เธอแน่ใจหรอว่าเป็นน้องสาวของบอสจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าคำนำหน้าชื่อในบัตรประชาชนเขียนว่าเด็กหญิง ฉันคงคิดว่าเธอแปลงเพศมา ”
“ อำไออ๊ะ (ทำไมห๊ะ) ”
“ เคี้ยวให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดก็ได้ ดูสิเนี่ยกินเลอะเทอะยังกับเด็กสามขวบ ”
โทนี่ทำเสียงดุพลางมองหน้าฉันนิ่ง ทำเอาหัวใจฉันเต้นระรัว สถานการณ์แบบนี้ชวนคิดถึงฉากหนึ่งในซีรี่ย์เรื่อง secret garden ตอนที่พระเอกเห็นนางเอกกินอาหารเลอะข้างปากแล้วเช็ดให้ มันดูธรรมดาใช่มั้ย แต่สิ่งที่ใช้เช็ดต่างหากที่ทำให้มันไม่ธรรมดา เพราะมันคือ ปากพระเอกนั่นเอง อั้ยยะ สายตาฉันเลื่อนลงมามองริมฝีปากอิ่มของคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามอัตโนมัติ ก่อนจะกลืนน้ำลายดังเอื้อกอย่างไม่เกรงใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน ถ้าเขาทำแบบนั้นกับฉันในร้านอาหารขึ้นมาจริงๆ ละก็..
“ โอ้ยยยยยยยย ”
ความโรแมนติกที่ฉันวาดฝันไว้ดับสลายในชั่วพริบตา เมื่อมือหนาคู่นั้นหยิบกระดาษทิชชูที่ฉันใช้เช็ดช้อนส้อมแล้วขยำไว้ข้างตัวขึ้นมือปาดหน้าฉันไปเมื่อกี้ ความแรงของมันยังทำเอาฉันหน้าชาไม่หาย
“ ค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย ”
อยากจะโวยวายให้สมกับการกระทำดิบๆ นั่น แต่เห็นแก่รอยยิ้มน่ารักๆ ของเขานะ งั้นจะยอมให้ซักครั้ง ถ้ามีครั้งหน้าอีก ฉันจะไม่ทน!
ฉันว่านาฬิกาที่ห้องโทนี่ต้องตายแล้วแน่ๆ เพราะเมื่อเช้าตอนออกจากบ้านมันก็ชี้เลข 10 ตอนนี้กลับเข้าบ้านมันก็ยังชี้เลขเดิม ทั้งๆ ที่ตอนไปกินข้าวยังแค่ทุ่มกว่าๆ เอง ทำไมเวลาผ่านไปเร็วแบบนี้นะ
“ สรุปจะบอกฉันได้รึยัง ”
เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังทำเอาฉันที่ยืนมองดาวเพลินๆ ถึงกับสะดุ้ง
ถึงเวลาแล้วใช่มั้ย? ที่เรื่องราวความรักข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่งของฉันต้องถูกเปิดเผย
คืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่ฉันได้มองท้องฟ้าจากมุมนี้ ถ้าคิดว่าฉันชอบดูดาวละก็คิดผิด ฉันชอบดูคนต่างหาก ในเมื่อประตูระเบียงเป็นกระจกใสที่สามารถเห็นเตียงที่โทนี่นอนได้อย่างชัดเจน ถึงฉันจะหันหลังให้เขาแต่คิดหรอว่าฉันไม่เห็นว่าเขาทำอะไรอยู่
ภาพสะท้อน
ทุกครั้งที่ออกมาระเบียงฉันจะถือกระจกอันเล็กติดมือมา ก็จะให้ทำไงได้ในเมื่ออยู่ในห้องนอนฉันไม่สามารถนั่งจ้องเขาได้ตลอดนี่ อยู่ใกล้ก็ไม่ได้ หาเรื่องชวนคุยก็โดนวกกลับไปคุยเรื่องพี่บอส จนฉันต้องหนีออกมาแอบดูเขาข้างเดียวผ่านตรงนี้แทน
แต่ฉันก็ไม่ได้โรคจิตขนาดนั่งมองเขา 2-3 ชั่วโมงแบบนั้นทุกวันนะ อยากเช่นวันนี้ ไหนๆ ฟ้าก็เปิดแล้ว การมองดาวก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสักเท่าไหร่ ในทางกลับกันเป็นเรื่องดีเสียด้วยซ้ำ เพราะเหมือนฉันได้คุยกับม้าบนสวรรค์ ผู้หญิงที่ให้กำเนิดฉัน แต่ฉันไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าถามว่าเศร้าขนาดไหน ฉันคงไม่กล้าพูดคำๆ นั้นหรอก ในเมื่อคนที่เศร้ากว่าฉันเขายังไม่เคยปริปากซักคำ
ป๊าและพี่บอสเคยใช้ชีวิตโดยการมีม้าอยู่ข้างๆ จนกระทั่งฉันเกิด และในวันที่ม้าจากไปเขาสองคนต้องคอยเลี้ยงดูฉันแถมยังทำหน้าที่แทนม้าให้ฉันไม่รู้สึกขาดอะไรด้วย เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่ฉันมีมันเทียบไม่ได้กับพวกเขาแม้แต่นิดเดียว
“ โทนี่ นายชอบพี่บอสใช่มั้ย ”
“ ทำไมถามแบบนั้น ”
แม้น้ำเสียงจะไร้พิรุธ แต่สายตาที่แสร้งทำเป็นมองขึ้นไปบนท้องฟ้านั่นก็มากเกินพอที่จะยืนยันสิ่งที่ฉันคิด
“ ก็ถ้าไม่ใช่นายคงไม่สนใจพี่ชายฉันขนาดนี้ นายไม่ต้องแก้ตัวอะไรทั้งนั้นแหละในเมื่อสายตานายมันฟ้องอยู่ตลอดเวลาที่นายเรียกชื่อพี่บอส ”
“ … ”
“ เรื่องที่นายอยากรู้ฉันจะบอกนายให้หมดทุกอย่าง เริ่มด้วยเหตุผลที่พี่บอสต้องไปอยู่ในบ้านหลังนั้นก็เพราะป๊าไปยืมเงินเจ้าของบ้านนั้นมาเพื่อทำธุรกิจ แต่สุดท้ายก็เจ๊งไม่เป็นท่า พอพี่บอสรู้เข้าว่าบ้านเราล้มละลายเลยอาสาเป็นคนจะรับผิดชอบหนี้สินทั้งหมดแทน แล้วบอกให้ป๊าพาฉันหนีไป ”
“ เท่าไหร่ ”
“ หื้อ? ”
“ หนี้ที่พ่อเธอยืมคุณปูนมามันเท่าไหร่ พรุ่งนี้ฉันจะใช้ให้เอง แล้วจะได้พาตัวบอสออกมาจากที่นั่น! ”
โทนี่เพิ่มโวลลุ่มของเสียงจนดูเหมือนเกือบตะคอก มือสองข้างที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนสั่นไปหมด ฉันไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย
“ ถ้าจำไม่ผิด เหมือนต้นมันจะประมาณสิบล้าน แต่ถ้ารวมดอกด้วยตอนนี้ก็คงจะมากกว่านั้น ”
“ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่บอกฉันตั้งแต่แรก เธอกะจะทิ้งพี่ชายให้เผชิญชะตากรรมคนเดียวไปทั้งชีวิตรึไง นี่เธอยังเป็นคนอยู่รึเปล่า เธอมันเห็นแก่ตัว!! ”
โทนี่ใช้มือทั้งสองข้างผลักไหล่ฉันจนหลังชิดขอบระเบียง สายตาที่เคยอบอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นดุดันไม่ต่างจากน้ำเสียง ตอนนี้เขากลายเป็นโทนี่ที่ฉันไม่เคยรู้จักไปเสียแล้ว
“ ใช่ ฉันมันคนเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่เรื่องความสุขของตัวเอง ที่ฉันไม่บอกไปเพราะฉันรู้ไงว่าถ้านายรู้นายก็จะไปใช้หนี้ให้พี่บอส แล้วฉันก็จะไม่ได้อยู่กับนายแบบนี้อีก! ”
“ หึ ถามฉันซักคำมั้ยว่าอยากอยู่กับเธอด้วยรึเปล่า ถ้าไม่ติดว่าเธอเป็นน้องสาวของบอส คิดว่าฉันจะพาคนใจร้ายอย่างเธอเข้ามาในบ้านหรอฮะ!! ”
“ คำก็พี่บอส สองคำก็พี่บอส การมีอยู่ของฉันนายไม่เคยรับรู้เลยใช่มั้ย ”
พูดไปน้ำตาก็ไหลไป ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เวลามาอ่อนแอซักนิด ฉันไม่เคยคิดจะเรียกคะแนนสงสาร แต่ก็ไม่อาจจะห้ามตัวเองไม่ร้องไห้ได้ ยิ่งเจอแต่ละคำที่เขาสวนมา ขาทั้งสองก็แทบอ่อนแรงลงไปกองอยู่กับพื้น
“ แล้วทำไมฉันต้องสนใจ ในเมื่อคนที่ฉันรัก...ไม่ใช่เธอ! ”
“ แต่ฉันรักนาย มันอาจจะดูเร็วไปแต่ฉันก็มั่นใจในความรู้สึกที่ฉันมี ให้โอกาสฉันได้มั้ย ”
“ อย่าเสียเวลาเลยดีกว่า ”
“ ทีนายยังไม่ตัดใจเลยทั้งๆ ที่รู้ว่าพี่บอสไม่เคยคิดกับนายเกินคำว่าเพื่อน เพราะฉะนั้นอย่าบอกให้ฉันเลิกรักนายได้มั้ย ”
“ แต่ระหว่างฉันกับเธอ..มันเป็นไปไม่ได้ ” ดวงตาที่แข็งกร้าวและน้ำเสียงนุ่มลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ได้ยินความในใจจากฉัน แขนทั้งสองข้างของเขาปล่อยให้ฉันเป็นอิสระพลางหลุบตาต่ำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฉันอีกครั้งอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ ฉัน...ชอบผู้ชาย ”
“ พิสูจน์มั้ยล่ะ? ”
ไม่รู้ฉันไปเอาความกล้าบ้าบิ่นมาจากที่ไหน ทันทีที่พูดจบฉันก็โน้มคอคนตัวสูงลงมาประทับริมฝีปากของตัวเอง ถึงมันจะเป็นจูบที่ร้อนแรงแต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกรวมถึงความจริงใจทั้งหมดที่ฉันมี โทนี่มัวแต่อึ้งกับการจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เขายอมฉันอย่างง่ายดาย แต่เมื่อสติเขาเริ่มกลับมา ร่างสูงก็กระเด้งถอยหลังแทบไม่ทัน
“ ... ”
สายตาที่เขามองมาเป็นสายตาที่ยากจะอธิบาย มันไม่ใช่การมองคาดโทษเหมือนทุกครั้งที่ถูกฉันกระทำ แต่เป็นสายตาของคนที่สับสน หวั่นไหว หลายๆ ความรู้สึกปะปนกันไปหมดจนฉันไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ และเขาเองก็คงไม่อยากให้ฉันอ่านสายตานั้นออก ถึงได้รีบหันหลังเดินเข้าห้องไป และทิ้งฉันไว้ที่ระเบียงตามลำพัง
" ไม่จริงใช่มั้ย ที่พี่บอสหายตัวไป!! "
ฉันตะโกนแหกปากทันทีที่เห็นโทนี่เปิดประตูเข้ามาในห้อง หลังจากที่เพิ่งลงไปคุยกับเจ้าหนี้ของพี่บอสเมื่ิอครู่ ดูจากสีหน้าเป็นกังวลและท่าทางร้อนใจจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ก็บอกได้ดี ว่าสิ่งที่ฉันแอบได้ยินเขาคุยกันมันคือเรื่องจริง
" เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่บอสจะหนีไปไหนได้ ในเมื่อยังใช้หนี้ของป๊าไม่หมด "
" พ่อเธอใช้หนี้คุณปูนหมดแล้ว "
" ม..หมายความว่าไง? "
ถ้าป๊าใช้หนี้หมดแล้วจริง ทำไม่มารับพวกเรากลับไป ทำไมเจ้าหนี้พี่บอสถึงยังต้องตามหาตัวพี่บอสอีก
" บอสเพิ่งรู้เรื่องที่พ่อใช้หนี้หมดเมื่อวาน แล้ววันนี้จู่ๆ ก็หายตัวไป เธอคิดว่ามีที่ไหนที่พี่เธอจะไปได้บ้าง "
ฉันกดศรีษะลงต่ำก้มมองดูที่พื้น เห็นน้ำใสๆ ค่อยๆ ร่วงลงไปทีละแหมะ สองแหมะ พลางส่ายหัวช้าๆ เพราะไม่อยากให้เขาเห็นว่าฉันกำลังอ่อนแอ สมองขาวโพลนไปหมด แค่แรงที่จะยืนให้ตรงยังแทบไม่ไหว เรื่องที่จะให้คิดอะไรตอนนี้คงเป็นไปได้ยาก
เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคน ไม่นานปลายเท้าของอีกฝ่ายก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าเกือบจะติดเท้าฉันอยู่รอมร่อ ก่อนจะรวบตัวฉันทั้งให้จมหายไปในอ้อมอกกว้าง
น้ำตามหาศาลทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก โทนี่ปล่อยให้ฉันร้องไห้โฮเหมือนเด็กแถมกำเสื้อเขาแน่นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยว ในขณะที่เขาก็ใช้มือข้างที่ว่างลูบหัวฉันเบาๆ เป็นการปลอบประโลม โดยปราศจากคำพูดใดๆ
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครสนใจ ตอนนี้โทนี่พาฉันที่หยุดร้องไห้มานั่งที่ปลายเตียง
" ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะตามหาบอสให้เจอเอง ฉันสัญญา "
นี่คือประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยินจากเขา เพราะหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยกลับมาที่ห้องนี้อีกเลย
ฉันไม่รู้ว่าเวลาที่ผ่านมาเขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหน รู้แค่ตัวเองโดนกักบริเวณไว้อีกรอบ โดยการที่เจ้าของห้องส่งบอดี้การ์ดมาเฝ้าอยู่ทุกทางเข้าออกกันฉันหนี เขาไม่รู้เลยรึไงว่าการทำแบบนี้กำลังจะทำให้ฉันเป็นบ้าในไม่ช้า นี่พี่ชายแท้ๆ ของฉันหายไปทั้งคนนะ ไม่ให้ฉันช่วยไม่พอ ยังจะขังให้ฉันอยู่แต่ในห้องแล้วไม่รายงานความคืบหน้าให้ฟังอีก
แค่กลับมาเจอหน้าฉันบ้าง กลับมาตอบคำถามฉันบ้าง ถึงคำตอบนั้นมันจะไม่ตรงใจฉันก็ไม่เป็นไร ขอแค่กลับมา
1 อาทิตย์ ผ่านไป
ในที่สุดเขาก็กลับมาทำตามคำพูดที่เคยให้ไว้
“ เจอพี่บอสแล้วหรอ ”
“ อื้ม ”
“ ฉันไปด้วย ”
“ ไม่ เธออยู่บ้าน ไปก็มีแต่เป็นภาระเปล่าๆ ”
“ แต่ว่าฉัน.. ”
คนตัวใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งใดๆ เขาเพียงก้าวเข้าไปในรถเฟอรารี่นั่นก่อนจะพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง
ฉันดีใจมากนะที่เขาหาพี่บอสเจอตามที่สัญญา และฉันก็เชื่อว่าเขาจะพาพี่บอสกลับมาได้อย่างปลอดภัย เพราะฉะนั้นมันคงถึงเวลาแล้วจริงๆ ที่ฉันต้องเดินออกจากบ้านหลังนี้ ทิ้งทุกความเจ็บปวดเอาไว้เป็นเพียงความทรงจำ แล้วกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่เคยเป็น
ในเมื่อสีหน้า ท่าทางและการกระทำของเขาบอกชัดเจนทุกอย่างว่าเขาเกลียดฉันและไม่อยากจะเห็นหน้าฉันมากขนาดไหน การมีอยู่ของฉันคงเป็นภาระอย่างที่เขาว่าเอาไว้จริงๆ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจเดินจากไปน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะยังไงสุดท้ายคนที่เขารักมีได้แค่คนเดียว และคนๆ นั้นก็ไม่มีวันเป็นฉัน ไม่ว่าฉันจะพยายามต่อไปแค่ไหนก็ตาม
ไม่รู้สึก ก็คือ ไม่รู้สึก
คนไม่ใช่ ทำดีให้ตายก็ไม่ใช่
คงถึงเวลาหยุดแล้วเดินจากไป
ลาก่อน…รักครั้งแรกของฉันEnd Talk-----------------------------
TBCมาช้าดีกว่าไม่มา เน๊อะ ><
เก๊าขอโต๊ดที่หายไปนาน
แต่ตอนนี้กลับมาแล้วนะ
กลับมาครั้งนี้พร้อมการจากไปของบรีสเลย
ถ้าอยากจะรู้ว่าคู่นี้จะลงเอยกันได้รึเปล่าก็ติดตามกันต่อในตอนหน้า
เหลืออีก 2 ตอนแล้วเน้อ
ตามกันต่ออย่าเพิ่งหนีหน้าหายไป
ถึงคนเขียนจะชอบอู้บ้าง เลทบ้างก้ตาม
แต่ยังไงก็รักและคิดถึงคนอ่านเสมอ ไม่มีวันทิ้งแน่นอน รับรอง